4

บทที่ 4

 

ว่าที่สามี

ใบหน้าของตู้ชินอ้ายสลดลง ขณะที่สีหน้าของบ่าวหนุ่มเผยความลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องนี้แน่นอนว่ายังมิได้กล่าวรายงานต่อท่านเจ้าเกาะ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่มีการแต่งงานตามหมายกำหนดการเดิม

ซางฉือสาวเท้าเข้าใกล้ผู้เป็นนาย ปล่อยให้เด็กสาวที่ใช้เขาเป็นโล่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตามลำพัง แล้วยกมือขึ้นป้องปาก กระซิบข้างหูผู้เป็นนายอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้แขกทั้งสองได้ยิน “ท่านเจ้าเกาะ เรื่องนี้เป็นคำสั่งของ...”

เขากล่าวจบก็ผละออกมาอย่างสุภาพ จากนั้นก็เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ ม่อลี่ซึ่งกำลังส่งสายตาปลอบขวัญไปยังชินอ้ายด้วยความเป็นห่วง

‘ชินอ้าย...ข้าเตือนเจ้าแล้วใช่ไหมว่าท่านเจ้าเกาะเป็นคนประหลาด แถมยังน่ากลัวจะตาย บอกให้หนีไปด้วยกันตั้งแต่แรกก็ไม่เชื่อ’ ดวงตาคนพูดเหลือกไม่พอ ยังกรอกไปมาจนน่าเวียนหัว

ตู้ชินอ้ายจะรับมือคนอย่างเผิงซือเยียนได้หรือ? หากปล่อยให้อยู่ที่นี่แล้วนางถูกรังแกเล่า?

แต่ดูท่า ความเป็นห่วงของม่อลี่จะไม่อาจส่งไปถึงสหายผู้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่แม้แต่จะชายตาหันมามองนางอีกเป็นครั้งที่สอง

ฝ่ายเผิงซือเยียนไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก ความเงียบที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งเพิ่มความหนาวเย็นให้กับบรรยากาศรอบกายมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ร่างในชุดสีดำขับผิวสีขาวราวหิมะของท่านเจ้าเกาะ ร่างสูงโปร่งที่ดูราวกับกำลังเปล่งประกายก้าวนำผ่านหน้าชินอ้ายไปอย่างเชื่องช้า

ท่านเจ้าเกาะให้ความรู้สึกที่ห่างไกลเกินเอื้อมและมิอาจเข้าถึง

ดวงตากระจ่างใสของชินอ้ายดูเหม่อลอยเมื่อจมอยู่ในห้วงคิด การต้องเผชิญหน้ากับความแน่นอนสร้างความหวั่นใจให้ไม่น้อย

นางไม่อยากผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่สาว นางอยากทำให้ปรารถนาสุดท้ายของพี่สาวเป็นจริง...

นึกไม่ถึงว่าผู้ที่กำลังจะเดินจากไปกลับหมุนกายกลับมา พร้อมกับผายมือยื่นมาตรงหน้าประหนึ่งร้องขอบางสิ่ง

เด็กสาวซึ่งปั้นหน้าไม่ถูก ช้อนมองเขาอย่างมึนงง “ท่านเจ้าเกาะมีอะไรหรือเจ้าคะ” นางกังวลเหลือเกินว่าเขาจะปฏิเสธเรื่องงานแต่งงาน

“ส่งกำไลมา”

ผู้ฟังนิ่งเงียบไปหนึ่งอึดใจ ขณะที่ม่อลี่กับซางฉือมองคนทั้งสองสลับไปมา ยากนักที่จะปกปิดความสนใจใคร่รู้ และยามที่ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวสังเกตสิ่งที่ผู้เป็นนายร้องขอจากร่างเล็กได้อย่างเต็มตา ใบหน้าของเขาก็เผยความตกใจออกมาก่อนจะจางหายไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ชินอ้ายก้มมองของขวัญชิ้นสำคัญในมืออย่างลังเล หากในที่สุดก็ตัดใจยอมส่งมันให้กับเขาเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงอยากพิจารณามันใกล้ๆ ดูอีกสักครั้ง แต่แล้วเจ้าของใบหน้าน่ารักกลับเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าเผิงซือเยียนกลับเก็บของๆ ตนเข้าอกเสื้อไปอย่างหน้าตาเฉย!

“กำไลนี้ข้าจะเก็บไว้เอง”

มือที่เบาโหวงของเด็กสาวสั่นระริก อยากจะทวงถามของรักของตนคืนแต่ปากกลับพูดไม่ออก มิทันไรความว่างเปล่าก็ถูกแทนที่ด้วยอุ้งมือใหญ่ที่ทาบลงมา รวบเอามือเล็กๆ ไปกุมไว้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่นางมั่นใจว่าพวกเขาเพิ่งพบกันไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ!

 “คะ...คือ...”

ชินอ้ายอ้ำอึ้ง ไม่เข้าใจว่าการที่เผิงซือเยียนทำเยี่ยงนี้ต้องการจะสื่อถึงสิ่งใดกันแน่

“ประเดี๋ยวหิมะจะตกแล้ว ควรรีบกลับที่พัก” เขากล่าวจบก็จับจูงร่างเล็กให้เดินตามไป ปล่อยให้ผู้ที่ถูกแสดงความสนิทสนมให้ถึงกับนิ่งงัน อยากจะกลายร่างเป็นรูปปั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด!

ประเดี๋ยวหิมะจะตกจึงต้องรีบจูงมือให้เดินไปด้วยกันเช่นนั้นหรือ?

นางถูกจูงมือต่อหน้าเสี่ยวลี่และท่านซาง... รู้สึกได้ถึงสายตาสองคู่ที่จ้องเขม็งมาที่มือของนางกับท่านเจ้าเกาะ ใบหน้าน่ารักจึงเห่อแดงด้วยความรู้สึกเก้อเขินยิ่งนัก

ถึงอีกฝ่ายจะเป็นถึง ‘ว่าที่สามี’ ของนางก็เถิด แต่ท่านเจ้าเกาะทำเช่นนี้ช่างไม่ปราณีหัวใจดวงน้อยๆ ของนางเอาเสียเลย!

ดรุณีน้อยพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับความตื่นเต้นอันแปลกใหม่ที่จู่โจมนางอย่างมิทันตั้งตัว ในระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังจวนริมผาปราศจากซึ่งเสียงพูดคุยใดๆ หากอย่างน้อยมันก็ช่วยให้จิตใจของนางสงบลงได้บ้าง

          บุรุษในชุดสีดำประหนึ่งค่ำคืนรัตติกาลที่ปราศจากแสงดาว แผ่นหลังกว้างดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง ทว่ามือใหญ่หนาที่กอบกุมมือเล็กไว้อย่างทะนุถนอมกลับอุ่นจนร้อน

          ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ส่งผลภาพบางอย่างซ้อนทับเข้ามา นางเผลอจ้องมองเผิงซือเยียนอย่างนิ่งงัน จังหวะการก้าวเดินของเขาดูไม่รีบร้อน ทว่าด้วยความยาวช่วงขาที่มากกว่าเกือบเท่าตัวทำให้นางต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อให้ตามทัน

ม่อลี่ที่เดินรั้งท้ายอยู่กับซางฉือยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ด้วยความยำเกรงจึงไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา ไม่รู้ว่าชินอ้ายกล้าจับมือกับบุรุษแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันไปได้อย่างไร มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังสวมใส่หน้ากาก ดูแปลกประหลาดชอบกล หากเป็นนางมีหวังขนลุกซู่จนก้าวขาไม่ออกเป็นแน่

สุดท้ายดูเหมือนชายหนุ่มจะรู้ตัวจึงเบือนใบหน้ากลับมา “เหตุใดจึงไม่พูด”

เสียงนุ่มทุ้มของเขาดึงสติที่ล่องลอยของชินอ้ายกลับมา การก้าวเท้าที่ช้าลงส่งผลให้นางไม่จำเป็นต้องรีบวิ่งตามเขาเช่นเดิมอีก

          “ข้าคิดว่าท่านเจ้าเกาะอาจไม่ชอบหิมะ...” นางเม้มริมฝีปาก “จึงคิดว่าหากไปถึงจวนเร็วๆ ก็คงดีเจ้าค่ะ”

          เมื่อได้ฟังคำตอบอันแสนซื่อ เผิงซือเยียนจึงไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก จนกระทั่งคนทั้งหมดเดินทางมาถึงจวนริมผาใหญ่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ หากสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าใต้ผามีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ซึ่งเกาะตัวกันเป็นก้อนน้ำแข็ง คาดว่าพอถึงฤดูใบไม้ผลิ อาณาบริเวณนี้คงกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ แลดูน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง

          ชินอ้ายกับม่อลี่หันมามองหน้ากันก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ชั่วชีวิตของคนทั้งสองไปมาหาสู่อยู่เพียงแค่โรงน้ำชาและร้านค้าในเมืองหลวง ไฉนเลยจะเคยสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ เพียงเท่านี้ย่อมถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

          ครั้นถึงที่หมาย ท่านเจ้าเกาะก็แยกตัวจากไป ครั้นซางฉือส่งพวกนางถึงหน้าห้องพักซึ่งอยู่ทางปีกซ้ายของจวน เขาเองก็ขอตัวจากไปโดยไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่บอกว่าให้พวกนางอาบน้ำพักผ่อน อีกประมาณครึ่งชั่วยามจะมีสาวใช้นำอาหารว่างมาให้ ดรุณีทั้งสองจึงไม่มีโอกาสถามเรื่องการแต่งงานเพิ่มเติม

          ไอร้อนลอยละล่องปะทะเข้ากับอากาศเย็นฉ่ำ ระหว่างฉากกั้นซึ่งทำจากไม้หอมแกะสลัก ม่อลี่อาบน้ำอยู่ในถังหนึ่ง ฝ่ายชินอ้ายแช่กายอยู่ในถังไม้อีกฟาก

          “ชินอ้าย ข้าว่าต่อให้เกาะแห่งนี้จะงดงามดั่งเทวโลก แต่คนกลับแปลกพิกล เจ้าคิดว่าไหวแน่หรือ?” เด็กสาวเกาะขอบถังไม้พูดคุยกับคนอีกฟาก หลังจากที่ได้แช่น้ำก็รู้สึกได้ว่าเลือดลมหมุนเวียน กล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้าได้รับความผ่อนคลาย รู้สึกสบายตัวไม่น้อย

          นางยังจำสายตาของบรรดาสาวใช้ในชุดสีขาวสะอาดได้อย่างแม่นยำ ผู้คนทั้งหลายล้วนมองนางกับชินอ้ายราวกับเป็นตัวประหลาด ช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

“เสี่ยวลี่ พวกเราถือเป็นคนต่างถิ่น หรือเจ้าคิดว่าหากมีคนจากต่างเมือง ต่างแคว้นมาขอพำนักที่โรงน้ำชา เจ้าก็จะต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นมิตรโดยไร้ข้อกังขา?”

“ชินอ้าย เหตุใดเจ้าจึงต้องแก้ตัวให้พวกเขาด้วย” ม่อลี่ใบหน้าหงิกงอ “เจ้ายอมทนสายตาหวาดระแวงจากพวกเขาได้ แต่ข้าทำไม่ได้หรอกนะ”

“ถ้าเจ้าทนไม่ได้...ก็ไม่ต้องสนใจพวกเข้าเสียก็สิ้นเรื่อง” ชินอ้ายแช่กายเล็กๆ ของตนลงไปในน้ำจนเหลือเพียงแค่ใบหน้า ความร้อนจากน้ำที่นั่งแช่อยู่ย้อมผิวกายขาวจนกลายเป็นสีแดงอ่อน “อีกอย่าง...ข้าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่สาวอย่างสุดความสามารถ แต่หากแต่งงานเกิดจากความไม่สมัครใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็รังแต่จะสร้างความอึดอัดในภาคหน้า ข้ามิอยากให้ระหว่างข้ากับท่านเจ้าเกาะเป็นเช่นนั้น”

ผู้เป็นสหายยิ่งฟังก็ยิ่งเวียนหัว ความจริงเรื่องการแต่งงานของสตรีถือเป็นธุระของบุพการีที่จะต้องตัดสินใจ แต่นางก็อดแคลงใจมิได้พี่สาวผู้นั้นหวังดีกับชินอ้ายจริงๆ หรือไม่ แต่ถ้าขืนพูดไปมีหวังสตรีผู้คลั่งไคล้พี่สาวคงโกรธนางไปอีกนานเลยทีเดียว

          “แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร”

“จนกว่าท่านเจ้าเกาะจะบอกกับข้าเองว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับข้า ข้าก็จะอยู่ที่นี่ต่อ” น้ำเสียงของชินอ้ายจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

ม่อลี่ได้ฟังเช่นนั้นก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นจากถังพร้อมกับหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่แล้วบุกผ่านฉากกั้นไปหาเด็กสาว เล่นเอาผู้ที่กำลังแช่น้ำอย่างเพลินๆ สะดุ้งสุดตัว รีบใช้มือเล็กปิดบังเรือนร่างแทบไม่ทัน

“เสี่ยวลี่ ข้าตกใจหมดเลย”  

“ตู้ชินอ้าย รีบลุกขึ้นมาแต่งกายเสีย เรื่องจะแต่งหรือไม่แต่ง...เจ้าต้องไปถามเขาให้รู้แล้วรู้รอด ชื่อเสียงของสตรีสำคัญมาก หากเจ้าอยู่รอที่นี่ต่อไปแล้วเขาไม่แต่งงานกับเจ้าขึ้นมา หลังจากนี้จะมีบุรุษหน้าใดมาสู่ขอเจ้ากันอีกเล่า” ม่อลี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบฉุดร่างเล็กขึ้นจากน้ำก่อนจะเริ่มจับนางแต่งตัว

ชุดลำลองที่สาวใช้ตระเตรียมมาให้พวกนางมีสีแดงอ่อนซึ่งไม่ต่างจากชุดที่พวกนางผลัดเปลี่ยนมาก่อนหน้าที่เท่าไรนัก คาดว่าบนเกาะดอกเหมยจะให้ผู้มาเยือนสวมใส่สีแดงเพื่อแบ่งแยกให้รู้ว่าเป็นคนนอก

          ชินอ้ายสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเคอะเขิน แม้นางจะเคยอาบน้ำกับม่อลี่มาตั้งแต่เด็ก ทว่าพอเริ่มโตเป็นสาว...พวกนางก็ไม่เคยอาบน้ำด้วยกันอีก นึกไม่ถึงว่าม่อลี่จะหลุดคำพูดน่าอายออกมา

“จะว่าไปแล้ว...ข้ารู้สึกว่าหน้าอกของเจ้าใหญ่ขึ้นนะ”

ผู้ฟังถลึงตาแต่ก็ไม่อยากต่อความ ด้วยเหตุนี้พอใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วก็รีบออกมาจากห้อง ทิ้งให้เสียงหัวเราะของคนแกล้งดังไล่หลังมากับสายลมหนาว นึกไม่ถึงว่าจะปะเข้ากับบุรุษในชุดสีขาวเข้าพอดิบพอดี

“มะ...แม่นางตู้” ซางฉือที่ปกติมักจะดูสุขุมกลับเอ่ยวาจาติดขัดยิ่ง ใบหน้าแดงก่ำ ชินอ้ายเห็นดังนั้นก็เบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ

“ทะ...ท่านซางคงไม่ได้ยินที่...” นางพูดมาถึงตรงนี้ก็นิ่งไป แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีหากขากลับก้าวไม่ออก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาขณะที่เบนสายตาหนีไปอีกทาง ต่อว่าสหายอยู่ในใจ

‘เสี่ยวลี่เอ๋ยเสี่ยวลี่ งามหน้าแล้วไหมล่ะ!’

ข้ารับใช้หนุ่มเห็นสีหน้าอับอายของนางก็รีบกล่าวเปลี่ยนเรื่องเพื่อลดความอึดอัด “แม่นางตู้จะไปที่ใดหรือขอรับ”

ดรุณีน้อยหันหน้ามามองหน้าเขาในที่สุด “ข้าอยากพบท่านเจ้าเกาะเจ้าค่ะ” 

“เช่นนั้นให้ข้านำทางท่านไปดีหรือไม่” ชายหนุ่มอาสา

“คงต้องขอรบกวนท่านซางแล้วเจ้าค่ะ” การพบเจอกับซางฉือช่างประจวบเหมาะยิ่งนัก เพราะนางไม่รู้เลยว่าเผิงซือเยียนพำนักอยู่ส่วนใดของจวนริมผาแห่งนี้

ทว่าสิ่งที่ชินอ้ายไม่รู้ คือชายหนุ่มตั้งใจมาดักรอนางที่เรือนแห่งนี้ตั้งแต่แรกเพื่อสอบถามเรื่องบางอย่างซึ่งค้างคาใจมาตั้งแต่เมื่อยามบ่ายที่ผ่านมา...

เส้นทางเชื่อมต่อระหว่างเรือนต่างๆ มีระเบียงทางเดินเชื่อมต่อกันเป็นระเบียบ มีหลังคาคอยกันแดดและฝน สองข้างทางปกคลุมด้วยสีขาวโพลน ความเย็นที่ปลายนิ้วส่งผลให้ร่างเล็กประสานมือไว้เบื้องหน้า ใช้ชายแขนเสื้อซึ่งด้านในซึ่งบุด้วยขนสัตว์มอบความอบอุ่นให้กับตน เมื่อผ่านพ้นไปได้ระยะหนึ่ง เสียงทุ้มสุภาพของซางฉือก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

          “แม่นางตู้ เรื่องกำไลดอกเหมย...”

          ดวงหน้ารูปหัวใจเบือนกลับมายังผู้ถามซึ่งเดินอยู่เคียงข้าง หรือเขาจะอยากตำหนินางที่หนีไปหากำไลที่หล่นหายโดยมิได้บอกกล่าว “ข้าต้องขอโทษท่านซางด้วยนะเจ้าคะ เป็นเพราะข้ากระวนกระวายเรื่องกำไลมากเกินไปจึงมิได้คิดหน้าคิดหลัง ปล่อยให้ท่านกับเสี่ยวลี่ต้องตามหา” 

“แม่นางตู้อย่าได้เกรงใจ เป็นเพราะข้าน้อยไม่ดีจึงไม่ทันได้สังเกต หากต่อไปภาคหน้าท่านมีเรื่องกังวลหรือไม่สบายใจ ก็ขอให้ท่านบอกข้าน้อยได้ทันที” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งเพื่อผายมือให้ร่างเล็กก้าวเท้าไปยังฝั่งขวาของทางแยก “แล้วกำไลนั่น ท่านได้มานานแล้วหรือขอรับ”

“ประมาณเกือบห้าปีได้เจ้าค่ะ”

“ข้าน้อยขอถามได้ไหมว่าท่านได้มาจากผู้ใด”

ชินอ้ายมีสีหน้าประหลาดใจ คำถามของซางฉือเหมือนกับสิ่งที่ท่านเจ้าเกาะถามนางมิผิดเพี้ยน กำไลที่พี่สาวมอบให้นางมีความพิเศษอย่างไรกับคนบนเกาะแห่งนี้อย่างนั้นหรือ?

ความสงสัยเพิ่มมากขึ้น พี่สาวอยากให้นางแต่งงานกับเผิงซือเยียน ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเกาะดอกเหมย แม้นางไม่คิดจะขุดคุ้ยความเป็นมาของผู้มีพระคุณ ทว่าก็มิอาจข่มกลั้นความสนใจใคร่รู้ตามธรรมชาติของมนุษย์ไปได้

“ท่านซาง คำถามนี้ข้าตอบท่านเจ้าเกาะไปแล้ว กำไลนั้นเป็นของขวัญจากผู้มีพระคุณของข้าเจ้าค่ะ” นางตอบเสร็จก็ถามต่ออย่างไม่ขาดช่วง “มันมีอะไรพิเศษหรือเจ้าคะ”

“เรื่องนี้...” ซางฉือเผยสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย “ไว้แม่นางตู้ถามท่านเจ้าเกาะด้วยตนเองจะดีกว่าขอรับ”

เขากล่าวจบก็ก้าวนำไปด้านหน้า ทิ้งให้เด็กสาวมองตามด้วยความสงสัย ไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดเรื่องนี้จำเป็นต้องให้เผิงซือเยียนเป็นผู้ตอบ

 

บนเกาะดอกเหมยมีจวนริมผาตั้งอยู่ศูนย์กลาง เรือนใหญ่เล็กแผ่กิ่งก้านโอบล้อมคล้ายต้นไม้เติบใหญ่ แลดูน่าตื่นใจและพิศวงไปในคราเดียว

แม้เกาะดอกเหมยจะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ในแถบทะเลฝั่งทิศตะวันตกแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้ไม่ใหญ่ถึงขั้นสถาปนาป๋าอ๋องอย่างเกาะเทียนซิงทางทะเลตะวันออก ทว่าก็มีจ้าวเกาะเป็นผู้ปกครองมาหลายชั่วอายุคน

เรือนหนิงจิ้ง[1]โอ่อ่ากว้างขวาง กึ่งกลางโถงมีเตาผิงไฟขนาดใหญ่แผ่ไอร้อนต่อสู้กับอันอากาศหนาวเย็น

ผู้เป็นเจ้าเรือนถอดเสื้อคลุมสีดำทะมึนพาดไว้กับเก้าอี้ใหญ่ ร่างสูงโปร่งมุ่งหน้าไปยังส่วนของห้องนอนที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน ทว่าที่นี่ยังไม่ใช่จุดหมายของเขา...

เผิงซือเยียนหยุดฝีเท้าลงที่หน้าชั้นหนังสือก่อนจะเขย่งปลายเท้า เอื้อมมือขึ้นไปลูบไล้ตรงชั้นบนสุด ทันทีที่สัมผัสถึงแท่นที่นูนขึ้นมาก็กดฝ่ามือลงไป เปิดกลไกให้ชั้นหนังสือเคลื่อนไปด้านข้าง เผยให้เห็นห้องลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในชายหนุ่มก้าวไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากล่องไม้ขนาดเล็กซึ่งวางโดดเดี่ยวอยู่ด้านในสุด

กำไลดอกเหมยเป็นสิ่งที่บุรุษบนเกาะดอกเหมยจะมอบให้ผู้ที่ตนพึงใจ ตามธรรมเนียมคือยามที่ครอบครัวใดให้กำเนิดบุตรชายก็จะสั่งทำกำไลเช่นนี้ให้หนึ่งวงต่อคน บนเกาะนี้ไม่นิยมมีมากภรรยา เพราะฉะนั้นความสำคัญของมันจึงเทียบเท่ากับความสุขทั้งชีวิตของบุรุษบนเกาะทุกคน ส่วนใหญ่แล้วจึงมักจะมอบให้สตรีที่จะแต่งงานด้วยหลังจากผ่านพ้นคืนวิวาห์ไปแล้วยี่สิบสองวัน

ชายหนุ่มครุ่นคิดพลางเอื้อมมือหมายจะเปิดมันเพื่อสำรวจสิ่งที่ ‘ควร’ จะถูกเก็บอยู่ภายใน หากก็ชะงักเมื่อโสตประสาทรับรู้ถึงผู้มาเยือนเรือนตน ด้วยเหตุนี้จึงดึงสายตากลับออกมาพร้อมกับมุ่งหน้าออกจากห้องลับ แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่อยากปล่อยให้แขกต้องรอนาน

กลางโถงใหญ่มีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตริยืนอยู่สงบเสงี่ยม ชุดสีขาวตัดกับสีแดงโดดเด่นนัก

          “คารวะท่านเจ้าเกาะ” ซางฉือเห็นผู้เป็นนายเดินออกมาก็รีบทำความเคารพ ชินอ้ายเองก็รีบทำตาม ยามพบกันที่ท่าเรือนางก็เสียมารยาทกับอีกฝ่ายไปหนหนึ่งแล้ว นางไม่อาจทำพลาดซ้ำสอง โดยเฉพาะการทำเช่นนี้ยังสามารถช่วยให้นางหลบหลีกสายตาของผู้ที่สวมหน้ากากได้อย่างไม่น่าเกลียด มือเย็นที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อพลันร้อนขึ้นเมื่อนึกถึงคราที่เขากุมมือของตน

          เผิงซือเยียนมองนางเล็กน้อย ก่อนจะเบือนสายตาไปยังบ่าวรับใช้ “ซางฉือ เจ้าไปได้”

          ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ฝ่ายเด็กสาวก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น การตกแต่งภายในห้องดูเรียบง่ายกว่าที่วาดไว้ในจิตนาการมากนัก เครื่องเรือนเครื่องใช้ล้วนทำจากไม้ประดู่สีเข้ม

เป็นครั้งแรกที่นางมีโอกาสได้มาที่เรือนท่านเจ้าเกาะจึงประหม่าไม่น้อย จนกระทั่งร่างสูงโปร่งเคลื่อนไปยังโต๊ะกลม เมื่อน้ำชาถูกรินออกจากกานางจึงได้สติ รีบเดินไปนั่งบนเก้าอี้อย่างรีบร้อน

          เดิมทีอยากถามเขาเรื่องการแต่งงาน ทว่าในใจก็อยากรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพี่สาวกับเกาะดอกเหมย ไหนจะเรื่องความพิเศษของกำไลที่ชายหนุ่มยึดไป ทั้งนี้เป็นเพราะชินอ้ายเรียบเรียงความสำคัญของพวกมันไม่ถูก ภายในหัวพัวพันกันยุ่งเหยิง จึงไม่รู้ว่าควรจะถามเรื่องใดก่อนดี

          “น้ำชา” เสียงนุ่มทุ้มของเขาดึงสติของชินอ้ายให้เงยหน้าขึ้นสบตาเขา

          “ขอบคุณเจ้าค่ะ” มือเล็กๆ เตรียมจะเอื้อมออกไปรับถ้วยชา ทว่าอีกฝ่ายกลับดึงมือหนีพร้อมกับกล่าวเสริมขึ้นมาอีก

          “ระวังร้อน”

          ผู้ฟังถึงกับกะพริบตาปริบๆ ถึงนางจะยังดูเป็นดรุณีอายุน้อยซึ่งยังไม่ถึงวัยปักปิ่น[2] หากก็คลุกคลีกับร้านน้ำชามาตั้งแต่เด็ก นางเข้าใจว่าท่านเจ้าเกาะหวังดีกับนาง แต่เรื่องนี้คงจะเป็นการดูถูกมากจนเกินไปกระมัง

          “ท่านเจ้าเกาะอย่าได้กังวลเจ้าค่ะ ข้าเติบโตขึ้นมาในโรงน้ำชา”

          เสียงของเด็กสาวส่งผลให้ท่านเจ้าเกาะยื่นถ้วยชาส่งให้กับนาง เสียงพึมพำแผ่วเบายิ่งนัก “ข้าลืมไป...”

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาเหมยฮวาลอยขึ้นมาแตะจมูก นางรู้จักชาชนิดนี้แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ดื่มมาก่อน ชาเหมยฮวาเป็นการผสมผสานระหว่างชาอู่หลงอบผสมกับเกสรของดอกเหมย ความร้อนที่ส่งผ่านจากถ้วยชาสู่ปลายนิ้วช่วยให้จิตใจที่กังวลของนางสงบลง เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังมิทันแนะนำตัวกับเผิงซือเยียนอย่างเป็นทางการ

“ท่านเจ้าเกาะเจ้าคะ ต้องขออภัยที่ก่อนหน้านี้ข้ามิได้แนะนำตัวกับท่าน ข้ามีนามว่าตู้ชินอ้ายเจ้าค่ะ”  

“ตู้ชินอ้าย” หน้ากากสีดำซึ่งวาดด้วยลวดลายอักษรสีทองของเขาขยับเล็กน้อยตามจังหวะการพยักหน้าของเจ้าตัว ขณะที่เด็กสาวก้มหน้ามองถ้วยชาในมือแล้วยกขึ้นจิบคำหนึ่ง รสชาติของมันหอมละมุนลิ้นจนผู้ชิมยกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก หากนางขอชานี้ไปชงให้ม่อลี่ลองดูบ้าง...ท่านเจ้าเกาะจะให้หรือไม่กันนะ

นางเผลอคิดอย่างเพลิดเพลิน ความเกร็งและตื่นเต้นในทีแรกลดน้อยลง กระทั่งคำถามจากเจ้าของเสียงนุ่มทุ้มแทรกเข้ามา

“เจ้าอยากแต่งงานกับข้าหรือไม่”

ชินอ้ายเงยหน้าฉับพลัน แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “จะ...เจ้าคะ?”

นางเกือบจะทำชากระฉอกออกจากถ้วยเสียแล้ว ก่อนหน้านี้อุตส่าห์โอ้อวดกับเขาเสียดิบดีว่าเติบโตมาในโรงน้ำชา หากทำหกไปมีหวังน่าอับอายขายหน้าเป็นแน่

คำถามของเขามันไม่ถือว่าโหดร้ายไปหรอกหรือ? แม้นางตั้งใจมาถามความเห็นเรื่องการแต่งงาน แต่การที่จู่ๆ ต้องมาถูกบุรุษถามเช่นนี้ใส่มันช่างให้ความรู้สึกที่ประหลาดชอบกล โดยเฉพาะก้อนเนื้อในอกที่กระตุกวูบไปชั่วขณะหนึ่ง

“ท่านเจ้าเกาะ...พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ”

‘ท่านเจ้าเกาะโปรดเมตตาอ้ายเอ๋อร์ด้วย ท่านอย่าได้ถามคำถามนี้อีกเลยนะเจ้าคะ’ นางร้องขอในใจ มือไม้ลนลานรีบวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ดวงตากรอกไปมาจนน่าขัน

“ข้าถามว่า...เจ้าอยากแต่งงานกับข้าหรือไม่” เผิงซือเยียนยังคงถามนางด้วยประโยคเดิม น้ำเสียงดูเหมือนจะเจือแววขบขันอยู่ในที 

“ขะ...ข้า” ร่างเล็กอ้ำอึ้ง หากตอบว่า ‘ไม่อยาก’ ก็ไม่ต่างจากบอกว่ารังเกียจเขา แต่หากตอบว่า ‘อยาก’ จะไม่กลายเป็นสตรีน่าไม่อายหรอกหรือ ท่านเจ้าเกาะมีหน้ากากอำพรางใบหน้าจึงไม่อาจอ่านสีหน้าของเขาได้ ทว่าชินอ้ายก็อยู่ใกล้พอที่จะเห็นประกายหยอกเย้าในดวงตาสีเข้มคู่นั้น นางจึงได้รู้ว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งเข้าให้แล้ว!

ดรุณีน้อยเม้มปาก ตัดสินใจว่าในเมื่อนางไม่อาจเลือกตอบเขาได้สักทาง จึงใช้ความเงียบเป็นคำตอบเสีย

ฝ่ายเผิงซือเยียนกลับยกมือขึ้นมาเท้าคางด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ชุดสีดำขยับตามจังหวะราวกับผืนฟ้ายามรัตติกาล ส่วนดวงตาของเขากลับพร่างพรายราวกับมีดาวดวงนับพันดวงอยู่ในนั้น “หากเจ้าอยากแต่งงานกับข้า ก็ยั่วยวนข้าสิ”

          ร่างเล็กแทบแข็งกลายเป็นเสาหิน นานเท่านานถึงได้หาเสียงของตนเองจนพบ “ยะ...ยั่วยวน?”

          “ใช่...” ร่างสูงโปร่งเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เสียงของเขาคล้ายมีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้นางมิอาจทำสิ่งใดนอกจากรอฟังอยู่อย่างเดียว “เกลี้ยกล่อมให้ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า”

หัวใจของเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาพลันเต้นแรงขึ้นอย่างมิอาจควบคุม ใบหน้าน่ารักกลายเป็นสีขาวสลับแดง ลมหายใจถึงกับสะดุดหยุดไปชั่วครู่ เขากำลังคาดหวังจะให้นางเกลี้ยกล่อมเขา ให้นางยั่วยวนเขาเช่นนั้นหรือ!

ท่านเจ้าเกาะหาได้สนใจสีหน้าตกตะลึงของนางไม่ เมื่อเบือนสายตาไปยังบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ก็พบว่าหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง

“หากเจ้าทำได้ ข้าก็จะกลายเป็น ‘ว่าที่สามี’ ของเจ้า และงานแต่งงานจะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า”

เสียงนุ่มทุ้มของเขาดังอย่างแผ่วเบาก่อนจะกลืนหายไปในความเงียบงัน ฤดูหนาวปีนี้ช่างแตกต่างจากปีก่อนๆ โดยสิ้นเชิง...



[1]หนิงจิ้ง (宁静) หมายถึง เงียบสงบ
 
วัยปักปิ่น หมายถึง สตรีอายุ 15 ปีซึ่งจะผ่านพิธีการปักปิ่น (朱子家礼) เพื่อแสดงออกว่าสตรีผู้นี้เป็นหญิงสาวเต็มตัวและสามารถแต่งงานออกเรือนได้ [2]

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น