5

บทที่ 5


 

ควันชาล่องลอย หยอกเย้าลมหนาว

          เช้าวันนี้จวนริมผายังคงเงียบสงบดังเช่นที่ผ่านมา เช่นเดียวกับความเรียบเรื่อยภายในเรือนเคียงวารีที่ยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุดนิ่ง

          ภายในเรือนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กบัดนี้ปิดบานประตูและหน้าต่างอย่างมิดชิดเพื่อป้องกันมิให้ลมหนาวพัดผ่าน เตาผิงไฟส่งเสียงปริแตกของฟืนที่อยู่ภายใน แผ่ความอบอุ่นมายังร่างของสตรีวัยกลางคนในชุดสีดำสูงค่าหลับตาพริ้ม นอนคว่ำอยู่บนเตียงอย่างผ่อนคลาย ขณะที่ปล่อยให้สาวใช้อีกสองนางนวดไหล่และขาให้อย่างเอาอกเอาใจ

          “สองสามวันมานี้ข้าได้ข่าวลือหนาหูว่ามีคนนอกเกาะมาพำนักที่นี่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่” ชางเลี่ยงหงผู้กำลังสบายตัวเปรยขึ้นมา น้ำเสียงเกียจคร้านอาบเย้าไปด้วยเสน่ห์ทั้งๆ ที่ร่างกายล่วงเลยวัยสาวมานานพอสมควร

“เรียนนายหญิง เห็นว่าเป็นสตรีสองนาง พื้นเพมาจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ เรื่องความเป็นไปในเกาะดอกเหมยไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ไม่เคยหลุดลอดสายตาไปได้

“พวกนางขึ้นเกาะมาเพียงลำพังงั้นรึ” ผู้ถามลืมตาขึ้น

“เจ้าค่ะ”

“อืม...เป็นเช่นนี้เอง” สตรีผู้สูงศักดิ์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงตามเดิม ส่งผลให้สาวใช้ที่กระตือรือร้น คันปากอยากจะเล่าถึงกับเผยสีหน้าเหลอหลา

“นายหญิงจะไม่ถามข้าน้อยเกี่ยวกับพวกนางหรือเจ้าคะ”

“ก็แปลกใจอยู่บ้าง” ชางเลี่ยงหงปรับท่าทีให้สบายขึ้น “แต่ในเมื่ออีกวันสองวันพวกนางก็ไปแล้ว ข้าจึงไม่รู้จะสนใจไปทำไม”

แน่นอนว่าการที่พวกนางเดินทางมายังเกาะดอกเหมยในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของปีย่อมน่าสนใจ หากเรื่องที่คนนอกห้ามค้างแรมบนเกาะดอกเหมยเกินห้าวันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ด้วยกันทั้งนั้น

สาวใช้หันมามองหน้ากัน สตรีผู้นี้คือมารดาของท่านเจ้าเกาะคนปัจจุบัน เดิมทีทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจวนริมผาจะต้องให้นางเป็นคนดูแล ทว่าเรื่องนี้กลับไม่ถึงหูนางเลยแม้แต่น้อย ดูท่าสิ่งที่พวกนางได้ยินมาจะเป็นเรื่องจริง หากผู้เป็นนายทราบเข้าคงกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าพวกนางไม่ยอมบอก...คนที่จะเจอปัญหาใหญ่คงจะไม่พ้นพวกนางเป็นแน่แท้

“นายหญิงเจ้าคะ ข้าน้อยได้ข่าวมาว่าพวกนางได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าเกาะ ให้สามารถพำนักเกินห้าวันได้เจ้าค่ะ”

คำพูดของนางส่งผลให้ผู้ที่มีท่าทีเอื่อยเฉื่อยลืมตาโพลง แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

เผิงซือเยียนน่ะหรือเป็นผู้เอ่ยปากอนุญาตให้คนนอกพักแรม กฎเหล็กข้อนี้เขาเป็นผู้กำหนดขึ้นมาเองแท้ๆ ไฉนเลยจึงกลืนน้ำลายตนเองได้นี่นางได้ยินผิดไปเองหรือสาวใช้เหล่านี้ปั้นน้ำเป็นตัวกันแน่?   

          “นายหญิง...ที่ข้าน้อยพูดเป็นความจริงเจ้าค่ะ ท่านเจ้าเกาะอนุญาตให้แม่นางทั้งสองพำนักอยู่นานกว่าห้าวัน เห็นว่าอาจจะนานเป็นเดือนๆ เลยนะเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ยืนยันด้วยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าได้ยินมากับหู?”

ครานี้สาวใช้ก้มหน้าลง น้ำเสียงไม่มั่นคงเช่นคราแรก “ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ” นางเพียงแค่ฟังผู้คนเขาลือกันมาเท่านั้น ตลอดเวลานางและสหายเป็นสาวใช้ประจำเรือนเคียงวารีไปมาหาสู่เพียงเรือนของนายหญิง เรือนครัว กับเรือนอื่นๆ ที่จำเป็น ไฉนเลยจะไปมีส่วนรู้เห็นกับตา ได้ยินกับหูจากเรือนรับรองทางปีกซ้าย

เสียงของอีกฝ่ายเข้มขึ้นจนน่าหวั่นใจ “ในเมื่อเจ้าไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้ยินมากับหู ก็อย่ามาพูดจาเหลวไหล!”

          “จะ...เจ้าค่ะ! นายหญิงสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว” สาวใช้ทั้งหมดต่างกลัวกันจนลนลาน รีบไปก้มหน้าคุกเข่าบนพื้น

          “ดี” ร่างที่นอนเหยียดอยู่บนเตียงกล่าวจบก็หลับตาพักผ่อนราวกับเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้น ทว่าในใจกลับครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งได้ฟังอย่างมิปล่อยวาง

สาวใช้เห็นผู้เป็นนายไม่ถือสาเอาความก็รีบตรงเข้าไปนวดกายให้หญิงวัยกลางคนตามเติมด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ปากปิดสนิทด้วยไม่อยากถูกเคืองโกรธอีกเป็นระลอกสอง กระทั่งแรงบีบนวดยังต้องระมัดระวังเป็นที่สุด เพียงไม่นานชางเลี่ยงหงมีคำสั่งขึ้นมาอีกครั้ง

 “ไปตามเหยาเหยามาพบข้า”

“เจ้าค่ะ” ผู้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูโค้งกายพร้อมกับเดินจากไป ปล่อยให้ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการดูแลฝ่ายในขบคิดอยู่ตามลำพัง

เรื่องนี้ย่อมต้องสืบเรื่องราวดูให้แน่ใจ หากหลังจากนี้สตรีแปลกหน้าทั้งสองพักอาศัยอยู่นานเกินกว่ากำหนดการจริง เห็นทีนางคงต้องเป็นฝ่ายลงมือจัดการด้วยตนเอง

          ‘ว่างเหลือเกิน...’

          ยามที่อยู่เมืองหลวง ตู้ชินอ้ายก็มีงานให้ทำในโรงน้ำชามาโดยตลอด หากมิได้ช่วยชงชาในโรงครัวก็จะอยู่ต้อนรับลูกค้า ทว่าพอมาอยู่เกาะดอกเหมย นางกลับกลายเป็นคนไม่มีอะไรทำจนอดคิดไม่ได้ว่าตนเองกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว

ดรุณีน้อยยกมือเท้าคางพร้อมกับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ต่อให้เวลาล่วงเลยมาหลายวันทว่าคำพูดของเผิงซือเยียนยังคงดังสะท้อนก้องอยู่ในห้วงคิดอย่างไม่หยุดพัก

ในใจชินอ้ายขบคิดไม่หยุดหย่อน ขณะที่ปากกลับเงียบงันประหนึ่งคนบ้าใบ้ ไฉนเลยจะกล้าถามเรื่องพี่สาวหรือกำไลดอกเหมยกับเขาอีก นึกไม่ถึงว่าความตกใจกับความเขินอายจะทำให้นางไม่ได้ออกจากห้องมานานกว่าสามวันสามคืน

          ยั่วยวน...ยั่วยวน

          ชินอ้ายครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วยุ่ง หรือว่าแท้จริงแล้วท่านเจ้าเกาะต้องการทดสอบนางว่ามีความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมบ้างหรือไม่กันแน่

ฝ่ายม่อลี่แทบจะแห้งเหี่ยวเฉาตายอยู่รอมร่อ พอสหายไม่ยอมออกไป นางก็ไม่มีอารมณ์จะเดินเที่ยวชมเกาะตามลำพัง พอถามผลจากการไปพบว่าที่สามี อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปริปาก จนกระทั่งยามนี้หลานสาวแห่งโรงน้ำชาชื่อดังก็หมดความอดทน เดินลงไปทรุดกายแนบชิดกับร่างเล็กที่นั่งอยู่บนตั่ง ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดทับลงไปอย่างไม่ออมแรง

“เสี่ยวลี่!” ชินอ้ายได้สติก็รีบขืนเอาไว้ ถ้าไม่ทำเช่นนี้มีหวังทั้งนางกับม่อลี่ได้ล้มไปนอนบนพื้น นอกจากจะไม่ใช่ภาพที่น่าดูชมแล้วยังเจ็บตัวอีกต่างหาก

“ชินอ้าย... ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าอยากออกไปข้างนอก ข้าเบื่อ...” เสียงยานคางจากร่างที่เกยทับอยู่ด้านบนช่างน่าสงสารและน่าขันในเวลาเดียวกัน

“เสี่ยวลี่ นอกเรือนหิมะตกหนัก”

“ช่างปะไร ข้าได้ข่าวจากสาวใช้มาว่าท่านเจ้าเกาะออกไปสำรวจท่าเรือตั้งแต่เช้า”

คำบอกกล่าวผู้ที่แสร้งทำเป็นร่างไร้กระดูกส่งผลให้ร่างเล็กนั่งหลังตรง สีหน้าดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“สภาพอากาศย่ำแย่ถึงเพียงนี้” นางพึมพำเสียงแผ่ว ผู้มองกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม จุ๊ปากอย่างหยอกเย้า

“ดูสิๆ เจ้ากับเขาเพิ่งได้พบกันครั้งสองครั้ง  อย่าบอกนะว่าตู้ชินอ้ายเริ่มเป็นห่วงว่าที่สามีขึ้นมาเสียแล้ว” ม่อลี่หมายมาดอยากจะเห็นสหายคนสนิทมีท่าทีเก้อเขินดูสักครา แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อใบหน้ารูปหัวใจกลับเผยความกลัดกลุ้ม เล่นเอาคนแกล้งถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

ชินอ้ายลอบถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงมิอาจทำให้ปรารถนาของพี่สาวเป็นจริงได้ แต่หากจะให้นางยั่วยวนเขาก็ไม่ต่างจากการมอบหมายภารกิจที่มืดแปดด้านมาให้ เช่นนี้นางจะทำเช่นไรดีเล่า...

นางกรอกตาไปมาเล็กน้อย ก่อนจะฉุดคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ”

“จริงสิ? ” ม่อลี่ที่จ้องหน้านางอยู่ทวนเสียงสูง ไม่อาจเข้าใจว่าร่างเล็กกำลังคิดอันใดอยู่

“เรามีอยู่ที่นี่ก็หลายวันแล้ว ข้าวปลาอาหารนั้นเลิศรส เครื่องนุ่มห่มก็แสนสบาย ล้วนครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม เห็นได้ชัดว่าเกาะดอกเหมยแห่งนี้ให้การต้อนรับพวกเราอย่างดีมากเพียงไร” นางกล่าวจบก็ก้มหน้ามองพื้น นึกตำหนิตนเองที่มัวแต่กังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนเผลอทำการเสียมารยาทอย่างไม่น่าให้อภัย “ท่านเจ้าเกาะดีกับข้าและเจ้าถึงเพียงนี้ แต่เรายังไม่มีโอกาสตอบแทนหรือขอบคุณท่านเลย”

“แล้วอย่างไรต่อ” ครานี้เป็นฝ่ายม่อลี่บ้างที่เท้าคางลงกับขอบหน้าต่าง อ้าปากหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน อากาศเย็นสบายเช่นนี้หากไม่ได้ออกไปเดินเล่นมีหวังนางคงได้นอนจำศีลเป็นแน่แท้

ชินอ้ายก็ยังคงเป็นชินอ้ายวันยังค่ำ เอาเข้าจริงๆ นางก็สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงเลือกที่จะใช้มุมมองแตกต่างจากผู้อื่นอยู่เสมอ แรกเริ่มก็คิดว่าชินอ้ายได้นิสัยหลายอย่างมาจากท่านป้า แต่มันใช่สิ่งที่ดรุณีวัยสิบสี่ปีควรจะเป็นแน่หรือ?

...บางทีเรื่องนิสัยใจคอนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่อีกฝ่ายเรียกว่าพี่สาวก็เป็นได้

“ข้าจะไปเตรียมชาเพื่อต้อนรับท่านเจ้าเกาะกลับมา”

ม่อลี่ได้ฟังคำของชินอ้ายแล้วถึงกับหน้าแทบคว่ำจากขอบหน้าต่าง เริ่มเชื่อแล้วว่าอีกฝ่ายยังเป็นสาวน้อยวัยเดียวกันจริงๆ

แหม...ก่อนหน้านี้พูดจาเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะ ที่แท้ก็หวังเพียงจะตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ให้เท่านั้นเอง

เดิมคิดว่าเรื่องวิธีการตอบแทนของชินอ้ายประหลาดแล้ว ทว่าการที่ซางฉือเห็นดีเห็นงามไปด้วยนับว่าน่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่า

ม่อลี่ซึ่งถือตะกร้าสานจากไม้ไผ่โดยมีชินอ้ายเดินขนาบอยู่ข้างกายเลิกคิ้วอย่างฉงน เบื้องหน้าคือบ่าวรับใช้หนุ่มในอาภรณ์สีขาวซึ่งเดินนำทางพวกนางไปยังเรือนเก็บใบชา ในเมื่อชินอ้ายยืนกรานหนักแน่นว่าจะทำทุกขั้นตอนด้วยตนเองแม้กระทั่งการเลือกเฟ้นใบชา สหายรักไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้วจึงอาสามาเป็นเพื่อน

“แม่นางตู้ แม่นางม่อ ถึงที่หมายแล้วขอรับ” ซางฉือเอ่ยพลางผายมือไปยังเรือนเล็กซึ่งไม่มีหน้าต่างเลยสักบานเดียว

“ขอบคุณท่านซาง” ชินอ้ายกล่าวขอบคุณ ผิดกับม่อลี่ที่จ้องมองผู้นำทางตาไม่กระพริบ ชายหนุ่มทนไม่ได้กับความรู้สึกอึดอัด จึงถามขึ้นมาอย่างสุภาพ

“แม่นางม่อมีอะไรจะกล่าวกับข้าน้อยหรือไม่ขอรับ”

“ท่านซาง ชุดสีขาวตัวนี้ท่านใส่ซ้ำหรือว่ามีหลายตัว”

          สาบานได้ว่าคำถามนี้นางถามด้วยความสงสัยใคร่รู้จริงๆ มิได้มีเจตนาจะเหน็บแนมหรือต่อว่าแต่อย่างใด

          ทว่าซางฉือกลับไม่คิดเช่นนั้น...

          “ตัวข้า...มีกลิ่นเหม็นหรือขอรับ” เขานิ่วหน้าด้วยความกังวล เรื่องความสะอาดถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับบ่าวไพร่

          “ก็...” ม่อลี่อ้าปากพูดได้เพียงเท่านั้นก็ถูกร่างเล็กๆ ของชินอ้ายเดินมายืนบังอยู่ด้านหน้า ช่วงชิงบทสนทนาไปอย่างเป็นธรรมชาติ

“เสี่ยวลี่เพียงสงสัยเพราะเห็นชุดของท่านมีการตัดเย็บที่คล้ายคลึงกันเจ้าค่ะ ท่านซางอย่างได้กังวล ข้ายืนกรานได้เลยว่าท่านหาได้มีกลิ่นเหม็นติดตัวไม่” นางหันไปจับมือม่อลี่ ทวงท่าไม่รีบเร่งแต่ก็ไม่ช้าเสียจนเกินไป “ข้าขอยืมตัวม่อลี่เข้าไปช่วยหาใบชาสักครู่”

นางกล่าวจบก็โค้งกายพร้อมกับพาผู้เป็นสหายเข้าไปยังเรือนเก็บใบชา ครั้นอยู่ด้วยกันตามลำพังก็ลอบถอนหายใจออกมาเสียงแผ่ว “เสี่ยวลี่ เจ้าพูดเช่นนั้นถือเป็นการเสียมารยาท”

“ข้าเสียมารยาทตรงไหน ข้าเพียงแค่สงสัยจึงได้ถามออกไปตรงๆ ก็เท่านั้น”

“จะใส่ซ้ำหรือไม่ใส่ซ้ำ เจ้าก็ไม่ควรถาม หากผู้อื่นถามเจ้าเช่นนั้นบ้างเล่า เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”

“ข้าก็จะบอกพวกเขาไปว่าข้าใส่ซ้ำ อากาศที่นี่เย็นจัด ตัวข้าไม่มีเหงื่อไคลไหลย้อยเลยสักหยด” ดรุณีน้อยวัยเดียวกันยอมรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผู้ฟังอับจนปัญญา สุดท้ายจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องเสีย

“เจ้ามาช่วยข้าหาใบชาเถิด” ชินอ้ายกวาดมองดูเรือนเล็ก การจัดเก็บใบชานั้นไม่แตกต่างจากการดูแลโอสถสมุนไพร ทว่ากลิ่นหอมของมันก็ทำให้ผู้ที่คลุกคลีอยู่กับมันมานานสามารถแยกแยะได้ไม่ยาก นางก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อนจนกระทั่งมาถึงที่หมาย

“โบราณกล่าวว่าของสำคัญในชีวิตประจำวันของเรามีอยู่เจ็ดอย่าง” ดวงตาหวานที่ช้อนมองตู้ลิ้นชักเบื้องหน้า “...ไม้ ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ้ว น้ำส้ม และชา” 

“เจ้าจะเตรียมชาเหมือนที่เตรียมให้ท่านลุงเมื่อปีที่แล้ว?” ม่อลี่ถามพลางหยิบกระปุกกล่าวออกมาจากตะกร้าแล้วยื่นให้เด็กสาว

“หากเป็นยามที่เราอยู่เมืองหลวง การดื่มชาโมลี่ฮวา[1] ถือเป็นเรื่องดี เนื่องด้วยอากาศที่เมืองหลวงจะค่อนข้างแห้ง สรรพคุณของชาโมลี่ฮวาทำให้ร่างกายอบอุ่นโดยไม่ก่อให้เกิดการร้อนใน” ชินอ้ายรับกระปุกลายครามมาถือไว้ในมือ ขณะที่ไล่นิ้วมือไปยังแผ่นไม้ซึ่งเขียนกำกับประเภทชาทั้งหลาย ปากก็เอื้อนเอ่ยอย่างมิขาดช่วง “แต่สำหรับเกาะดอกเหมย...แม้จะย่างเข้าสู่ตงเทียนแต่กลับมีความชื้นสูงเพราะอยู่ติดทะเล ดังนั้นเราควรจะเลือกชาผู่เอ๋อร์[2] แบบสุก มันสามารถช่วยขจัดความหนาวและรักษากระเพาะ ช่วงฤดูเหมันต์ผู้คนจะท้องไส้แปรปรวน ชานี้จึงเหมาะสมเพราะช่วยในเรื่องการย่อยอาหารด้วย”

สายตาของนางเห็นป้ายกำกับของชาผู่เอ๋อร์พอดี มือเล็กเปิดลิ้นชักออกเพื่อบรรจุใบชาใส่กระปุกแล้วส่งคืนให้ม่อลี่ สีหน้าเผยความชั่งใจออกมาจนสหายเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เจ้ามีสิ่งใดอยากจะถามข้าหรือไม่”

“ข้า...” ชินอ้ายเม้มริมฝีปาก “เสี่ยวลี่ เจ้าเคยยั่วยวนผู้ใดบ้างหรือไม่”

“หะ...หา!” ตะกร้าสานแทบหลุดร่วงออกจากมือ ม่อลี่เบิกตากว้าง “ตู้ชินอ้าย! ข้าเป็นสหายเจ้ามาเก้าปี ข้าเคยยั่วยวนผู้อื่นหรือไม่ เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุดมิใช่รึ!”

“นั่นสินะ...” นางพึมพำ สีหน้าหนักใจยิ่งขึ้นขณะที่แย่งตะกร้าสานมาถือเสียเอง

“เจ้า...อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับท่านเจ้าเกาะ?” เด็กสาวคาดเดาได้บางส่วน แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือคำพูดถัดมา

“ท่านเจ้าเกาะบอกให้ข้ายั่วยวนเขา”

“อะไรนะ!” ม่อลี่อ้าปากค้าง มิทันไรก็มีเสียงดังขัดจังหวะดังขึ้นที่ด้านนอก เป็นเสียงอันแสนสุภาพของซางฉือ

“แม่นางตู้ ท่านเจ้าเกาะ...”

ยามที่ม่อลี่ได้ยินคำว่า ‘ท่านเจ้าเกาะ’ สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ สัญชาตญาณการปกป้องสหายพุ่งพล่าน หากนางรู้ว่าเผิงซือเยียนจะพูดกับชินอ้ายเช่นนี้ นางคงไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเลยเถิดมาถึงขั้นเลือกเฟ้นชาให้ด้วยตนเอง!

          บุรุษผู้นั้นเห็นตู้ชินอ้ายเป็นสตรีประเภทใดกัน! คิดจะให้สหายของนางทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้น...ชักจะหยามเกียรติกันเกินไปแล้ว!

“ไม่ต้องมาท่านเจ้าเกาะแล้ว! ข้าจะพาชินอ้ายกลับเมืองหลวง” หลานสาวเถ้าแก่โรงน้ำชากล่าวอย่างเดือดดาลพร้อมกับคว้าแขนของชินอ้ายไว้ ครั้นเดินไปกระชากบานประตูให้เปิดออกก็ถึงกับผละเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

ดวงตาใสกระจ่างที่เจือไปด้วยความตกใจของชินอ้ายสบดวงตาสีเข้มของร่างสูงโปร่ง แม้ใบหน้าของเขาจะมีหน้ากากสีดำสนิทอันแสนน่ากลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่านางกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่หลังหน้ากากดังกล่าวนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า

นางรีบก้มหน้างุดมองเท้าราวกับเด็กน้อยทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ มือข้างหนึ่งกำตะกร้าสานแน่นขึ้น นางไม่เคยสัมผัสท่านเจ้าเกาะในแง่มุมเช่นนี้มาก่อน...

เผิงซือเยียนยืนนิ่งไม่เอื้อนเอ่ยวาจา แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาส่งผลให้ซางฉือผู้เป็นบ่าวรับใช้มานานยังใบหน้าซีดเซียวกว่าปกติ ถึงขั้นที่ม่อลี่ซึ่งมีท่าทีโมโหในคราแรกกลับทำตัวประหนึ่งว่าตนเป็นใบ้ เปลวเพลิงแห่งโทสะราวกับถูกพายุหิมะถล่มใส่ นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

ความเงียบอันน่าอึดอัดดำเนินไปยาวนานเพียงใดก็มิอาจทราบได้ ชินอ้ายมองเห็นรองเท้าคู่ใหญ่ที่สาวเข้ามาใกล้จนแทบชนเข้ากับรองเท้าของตน ไออุ่นที่ช่วยปิดกั้นลมหนาวแห่งเหมันต์ฤดูโน้มกายลงมา ร่างเล็กเกร็งตัวทันทีเมื่อลมหายใจร้อนผ่าวโฉบลงมาที่ข้างใบหู

“มากับข้า” เสียงของเขายังคงนุ่มทุ้มไพเราะเช่นเคย หากสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือความเผด็จการซึ่งยากต่อการปฏิเสธ

ชินอ้ายไร้ทีท่าตอบสนอง สิ่งเดียวที่รับรู้คือก้อนเนื้อในอกที่ดิ่งวูบก่อนจะสั่นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ความร้อนฉ่าลวกลามจากหน้าไปถึงใบหู คาดเดาว่าป่านนี้หูของนางคงแดงฉานเป็นสีเลือดไปแล้ว

ท่านเจ้าเกาะเห็นนางยืนนิ่งไม่ยอมขยับก็ถอนหายใจ มือใหญ่ขาวสะอาดยื่นออกมากุมมือเล็กก่อนจะออกตัวเดินทันทีโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว

ครั้นเจ้าของร่างในชุดสีรัตติกาลและสีแดงสดจากไปแล้ว หนึ่งเด็กสาวหนึ่งข้ารับใช้จึงค่อยหายใจได้ทั่วท้อง ม่อลี่กับซางฉือฟื้นคืนจากการเป็นอัมพาต หันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย

“แม่นางม่อไม่ควรทำให้ท่านเจ้าเกาะโกรธ” ซางฉือส่ายหน้าอย่างหนักหน่วง

“มะ...มันไม่ใช่ความผิดของข้าเสียหน่อย” คู่สนทนาเถียงเสียงอ่อย เป็นความผิดของนางหรืออย่างไรที่เป็นห่วงเรื่องความสุขทั้งชีวิตของสหาย

“ข้าจะนำทางแม่นางม่อกลับเรือน” ท่านเจ้าเกาะเดิมทีคาดเดาอารมณ์ได้ยากเย็นอยู่แล้ว ครั้งนี้มิอาจล่วงรู้ได้เลยว่าแม่นางตู้จะต้องรับมือกับสิ่งใดบ้าง

 

ไอจากน้ำเดือดจับตัวเป็นละอองเกาะอยู่ที่ปากของปั้นชา ควันชาในถ้วยล่องลอยปะทะกับลมหนาว ส่งกลิ่นเข้มข้นของชาผู่เอ๋อร์ให้โชยไปในอากาศ

ว่ากันว่าชาผู่เอ๋อร์มีราคาแพงดั่งทองคำ ใช้เวลาหมักอย่างน้อยหนึ่งปี...ห้าปี...สิบปี...ยี่สิบปีจึงจะสามารถนำมาชงดื่มได้

          หน้ากากของเผิงซือเยียนปิดบังตั้งแต่ส่วนของหน้าผากเรื่อยมาจนกระทั่งถึงคาง ทว่าประสาทสัมผัสของชายหนุ่มก็เฉียบคมยิ่งนัก

          “เจ้าใส่น้ำผึ้ง?”

          ร่างเล็กผู้นั่งเม้มริมฝีปากอยู่ฝั่งตรงกันข้ามพลันได้สติ อย่างน้อยน้ำเสียงของชายหนุ่มก็ไม่ได้น่ากลัวดังเช่นก่อนหน้านี้ “ใช่เจ้าค่ะ ชาผู่เอ๋อร์นี้ ข้าได้ใส่น้ำผึ้งเข้าไปด้วยเล็กน้อย”

          “เหตุใดจึงเลือกน้ำผึ้ง”

          “น้ำผึ้งขึ้นชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ สรรพคุณมีอยู่มากมายหลายประการ นอกจากจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น บำรุงสมองแล้ว ยังช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก ข้าเห็นว่าช่วงนี้หิมะตกหนักนัก การดื่มน้ำผึ้งสามารถช่วยต้านทานโรคและบรรเทาหวัดให้หายเร็วขึ้นได้เจ้าค่ะ”

          “พอถามถึงเรื่องน้ำผึ้ง เจ้ากลับตอบได้อย่างคล่องแคล่ว” ชายหนุ่มหยิบถ้วยชาขึ้นมาหมุนอยู่ในระดับสายตา น้ำเสียงไม่เชิงตำหนิแต่กลับเจือด้วยคลื่นอารมณ์ที่ต่างออกไป “เหตุใดยามที่ข้าบอกให้เจ้ามากับข้า เจ้ากลับไม่พูดอะไรเลยสักคำ”

“คะ...คือ” ชินอ้ายอ้ำอึ้ง นางจะกล้าพูดออกไปได้อย่างไรว่าทั้งกลัวและประหม่ากับการที่เขาเข้าประชิดตัวเช่นนั้น สุดท้ายจึงเลือกตอบอ้อมแอ้ม “ข้าคิดว่าท่านกำลังไม่พอใจ”

          เผิงซือเยียนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะซึ่งคั่นกลางระหว่างทั้งสอง “ข้าย่อมไม่พอใจแน่”

          ดรุณีน้อยได้ฟังเช่นนั้นก็เป็นห่วงม่อลี่ขึ้นมาจับใจ รีบผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับไปคุกเข่า ค้อมศีรษะลงต่ำจนใบหน้าแทบจะแนบลงบนพื้นเย็น “ท่านเจ้าเกาะ ข้ายินดีรับโทษแทนเสี่ยวลี่ ขอท่านโปรดอย่าได้ถือสาหรือเคืองโกรธนางเลย”

          ชินอ้ายหลับตาแน่น ยากยิ่งนักที่จะควบคุมเสียงมิให้สั่น หากก็ต้องตะลึงงันเมื่อผู้ที่นางคุกเข่าให้กลับทรุดกายลงเบื้องหน้า พร้อมกับยื่นมือออกมาเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตาเขาอย่างนุ่มนวล

          “ในสายตาของเจ้า ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

          ดวงตาที่หลบซ่อนอยู่หลังหน้ากากสั่นไหว ผู้สบมองเองก็สั่นไหวไม่แพ้กัน

          นางอยากปฏิเสธออกไปว่าไม่ใช่ แต่เพราะเหตุใดกัน...นางกลับมิอาจพูดมันออกมาได้อย่างเต็มปาก

          แท้จริงเป็นเพราะลึกๆ แล้วนางก็ไม่มั่นใจในความรู้สึกดังกล่าว นางไม่รู้จักอีกฝ่ายดีพอ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขาคิดเช่นไร การที่เขาบอกให้นางยั่วยวนเขาเป็นการล้อเล่นกับความรู้สึกหรืออยากกลั่นแกล้งนางกันแน่

          เผิงซือเยียนมองความลังเลที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่สวย มือเย็นที่เชยคางมนสั่นระริกเล็กน้อยขณะที่เขาถอนมือออก ยามนั้นเองที่ชินอ้ายเพิ่งรู้สึกใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  

          “ข้าผิดหรือที่อยากให้เจ้ากระตือรือร้นในการเข้าหาข้าบ้าง...แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี” ความอ้างว้างของเขาดั่งเข็มแหลมที่ทิ่มแทงลงบนดวงใจของผู้ฟัง สัญชาตญาณร้องบอกว่านางไม่อาจปล่อยมือนี้ไปได้ นางไม่อาจยอมให้เผิงซือเยียนห่างไกลไปจากนางมากกว่าที่เป็นอยู่

          ร่างสง่างามของท่านเจ้าเกาะเตรียมหยัดกายขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องชะงักงันเมื่อมือเล็กอันแสนอบอุ่นยืนออกมารั้งแขนของเขาเอาไว้

          “ข้า...” ความอุ่นวาบที่เอ่อท้นขึ้นมาจากอก เพิ่มความกล้าให้อย่างมหาศาล กระทั่งนางเองยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

          ม่านตาของเผิงซือเยียนหดแคบลงแสดงให้เห็นว่ากำลังตกใจ ชั่วขณะนั้นเองที่ชินอ้ายตระหนักสิ่งที่ตนเองต้องการได้ในที่สุด

          อยากรู้จักมากขึ้น อยากเรียนรู้และเข้าใจความรู้สึกของเขาให้มากขึ้น...

          “ตะ...ตราบใดที่ท่านเจ้าเกาะยังยินดีและไม่รังเกียจ” นางเว้นจังหวะ แล้วใช้ลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากเพื่อผ่อนคลายความประหม่า แววตาใสกระจ่างจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยโดยไม่หลบดังเช่นที่ผ่านมา “ข้าเองก็ปรารถนาจะเข้าใกล้ท่านให้มากกว่านี้เจ้าค่ะ”

         


 

[1]โมลี่ฮวา (茉莉花) หมายถึง ดอกมะลิ
 
ชาผู่เอ๋อร์ (普洱茶) คือชาชนิดหมักในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อตากแห้งแล้วต่อมาจะนำเข้าสู่วิธีการบ่มโดยธรรมชาติ น้ำชามีสีดำ [2]

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น