10

ตอนที่ 10



“คุณ...จะบ้าหรือ ทำอะไรน่ะ”

เดหลีพยายามชักมือกลับแต่ไม่สำเร็จ ฝ่ามือกระด้างเกินกว่าจะเป็นมือนายแพทย์ได้ยังเกาะกุมมือเธอไว้แน่นเหนียว จนเดหลีรู้สึกเหมือนกำลังทาบทับลงไปบนท่อนเหล็กที่โดนเผาไฟจนร้อนผ่าวมากกว่าเนื้อหนังมังสาของชายหนุ่มผู้หนึ่ง

“ก็ทำให้คุณเห็นไงว่าผมไม่ใช่เกย์ แล้วไอ้วุ้นก็ไม่ใช่คู่เกย์ของผมด้วย” เขาตอบเสียงเข้ม คล้ายกัดฟันไปด้วย

เดหลีชะงักงันไปเล็กน้อย

อันที่จริงเธอไม่ได้สงสัยสักนิดเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนสนิท แค่อยากแกล้งแหย่เท่านั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ หญิงสาวเลยกลั้นใจแสร้งตามน้ำไปด้วย

“แค่นี้ไม่ได้พิสูจน์หรอกนะคะว่าคุณเป็นผู้ชายทั้งแท่ง” เดหลีกระซิบเสียงแผ่วแต่เน้นย้ำคำพูดด้วยการทิ้งน้ำหนักลงบนฝ่ามือมากกว่าเดิม พร้อมกับนึกดีใจที่บริเวณนี้มีเพียงแสงสลัว ไม่อย่างนั้นเขมวันต์คงเห็นใบหน้าที่แดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุกของเธอแล้ว

ชายหนุ่มเองก็ดูจะคาดไม่ถึงกับประโยคเมื่อครู่เหมือนกัน เพราะเขายืนเฉยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก้มลงมากระซิบชิดใบหูบอบบางของเธอ “รับรองคุณได้พิสูจน์แน่คุณเดย์ แต่ไม่ใช่ตอนนี้และตรงนี้ ที่สำคัญ คุณรีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ หรือหาอะไรคลุมเสียหน่อย คืนนี้อากาศเย็น ยิ่งในสวนแบบนี้ยิ่งเย็นจัด ผมไม่อยากให้คุณเป็นปอดบวมก่อนเราจะได้แต่งงานกัน”

หญิงสาวอ้าปากค้างเป็นครั้งที่สามที่ได้ยินเช่นนั้น

ยะ...อย่าบอกนะว่า แผนอ่อยของเธอใช้กับเขาไม่ได้ผล

“ไปสิ ไม่อย่างนั้น...”

“ไม่อย่างนั้นอะไรคะ” เดหลียังคงมีหวัง แม้จะรู้สึกแสงแห่งความหวังนี้จะริบหรี่เหลือเกิน

“ผมจะ...” ชายหนุ่มอึกอักคล้ายเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่สุดท้ายคำตอบนั้นก็ทำให้ความหวังของเธอภินท์พังในพริบตา “ให้หนูนิดมาช่วยเปลี่ยนเสื้อให้คุณเอง ไปสิ”

“อื้อ...แต่ฉันไม่อยากให้หนูนิดช่วยเปลี่ยนนี่คะ หนูนิดเองก็คงไม่อยากเหมือนกัน” เธอพลั้งปากไปตามวิสัยคนตรงไปตรงมา ทำให้อีกฝ่ายหรี่ตาลงช้าๆ

“หือ...แปลว่าอะไร”

เดหลีอึกอักและไม่นึกอยากตอบคำถามนี้ แต่เขมวันต์ไม่ยอมปล่อยให้เธอลอยนวลไปง่ายๆ

มือแข็งแรงของเขาลากร่างโปร่งระหงไปจนชิดแผ่นอกกว้างตอนก้มหน้าลงมาหา จนรู้สึกถึงลมหายใจผ่าวร้อนหอบกระชั้นที่ลวกผิวแก้มนวล

“ก็...ฉัน...เอ่อ...อยากให้คุณเปลี่ยนให้มากกว่านี่” ในที่สุดเธอก็พูดประโยคน่าละอายนั้นออกไปจนสำเร็จ และหวังว่าเขาจะไม่ซักไซ้อะไรที่ชวนเก้อกระดากแบบนี้อีก เพราะเมื่อก่อนเขมวันต์ไม่เคยคิดมากแบบนี้ ชายหนุ่มแทบจะกระโจนเข้าหาเธอทุกครั้งที่มีโอกาส

“ผมก็อยากเปลี่ยน...แต่...ไม่ใช่ตอนนี้...”

เดหลีนิ่งอึ้งไปกับคำตอบนั้น ใบหน้าชาวูบด้วยความอาย และดวงตาของเธอคงเปิดเปลือยความรู้สึกในใจออกมาอย่างเปิดเผย ทำให้เขมวันต์รีบจับต้นแขนเรียวเสลาเอาไว้ในทันที

“คุณอย่าเพิ่งน้อยใจไป ผมยังอยากพิสูจน์ตัวเองให้แม่ของคุณยอมรับได้ก่อน”

“คุณจะพิสูจน์ยังไงคะ”

“ก็ที่ผมทำอยู่นี่ไง”

เดหลีอยากร้องกรี๊ดใส่หน้าเขมวันต์ยาวๆ สักห้านาที

ตาทึ่ม!...คนอย่าง ศกุนตลา อัศวฤทธา น่ะ ต้องเงินต่อเงิน ทองต่อทองเท่านั้น ถ้าไม่มีเงินทองกองท่วมฟ้าติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก็ต้องมีนามสกุลเก่าแก่ที่นับย้อนไปได้ถึงครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หรือไม่เช่นนั้นก็ควรเป็นทายาทสายตรงนักการเมืองที่ยืนยงมาหลายสมัย ไม่ใช่นายแพทย์กินอุดมการณ์อย่างที่เขมวันต์เป็นอยู่

แต่เหมือนชายหนุ่มจะไม่สนใจกับสีหน้าและแววตาของเธอเลย เพราะเขาก้มลงมาจูบเดหลีแรงๆ ที่ปากหนึ่งครั้ง แล้วรุนหลังเธอให้เข้าบ้าน พร้อมตบบั้นท้ายงามงอนอย่างสัพยอกอีกหนึ่งที และสั่งว่า

“ไปเปลี่ยนชุดซะ เราจะได้กินข้าวกันเสียที ผมหิวไส้จะขาดแล้วนี่”

แน่นอนว่าเดหลีผิดหวังอย่างหนัก ทั้งเรื่องเจตนารมณ์ของเขมวันต์ ทั้งเรื่องที่ตั้งใจทำในค่ำคืนนี้ เพราะทั้งเสื้อผ้าและคำพูดคำจายั่วยวนชวนกระดากปากเหล่านี้ เธอไม่เคยเอ่ยกับใครหน้าไหนมาก่อนเลย

ถ้าไม่ใช่เพราะคำสัญญาบ้าๆ ที่เขาให้ไว้แก่มารดา ก็คงเพราะเธอมันอ่อนซ้อมจนขาดแคลนเสน่ห์ของหญิงสาวจริงๆ

คิดแล้วเดหลีก็อยากลงไปดิ้นพล่านร้องไห้อยู่กับพื้น หรือไม่ก็กระทืบเท้ายิกๆ เหลือเกิน

แต่...เธอไม่ใช่เด็กแล้ว หญิงสาวจึงได้แต่กล้ำกลืนความผิดหวังที่ท่วมท้นในใจลงไปในโพรงอกก่อนเชิดหน้าขึ้น ปลอบตัวเองว่า น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ขยันโปรยเสน่ห์ สร้างสะพานคอนกรีตเสริมไทเทเนียมเข้าไว้ สักวันเขมวันต์ต้องใจอ่อนแน่นอน

เพราะจะรอให้แม่เห็นใจเขาน่ะหรือ ต่อให้เขาสั่งสมความดี บำเพ็ญตบะจนแก่กล้ากลายเป็นเทพเซียนได้ ก็ไม่รู้ว่ามารดาจะเห็นค่าชายหนุ่มไหม

 

หลังจากเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น เขมวันต์ยอมรับว่าเขารู้สึกผิดต่อหญิงคนรักไม่น้อยและเกลียดตัวเองอย่างที่สุดที่ต้องกัดฟันปฏิเสธอีกฝ่ายไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ร่างกายของเขาโหยหาแต่เธอ จิตใจของเขาเหมือนถูกมนตร์มายาเข้าครอบงำและร่ำร้องแต่ชื่อเดหลี

โชคดีที่งานในโรงพยาบาลแห่งใหม่ค่อนข้างหนักหนาไม่น้อย เพราะมีหมอประจำแค่สองคน ทว่ามีคนไข้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านมาให้รักษาอยู่ตลอดวัน เลยไม่มีเวลาเหลือให้ฟุ้งซ่านมากนัก

นอกจากนี้เขมวันต์ซึ่งเป็นสูตินรีแพทย์จำเป็นต้องรักษาโรคอื่นๆ ไปด้วย ชายหนุ่มเลยไม่ได้หยุดงานอย่างที่ควรจะเป็น จนเมื่อเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลประกาศว่า จะมีคณะหมออาสา ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันเฉพาะกิจของบรรดาหมอและพยาบาลกับบุคลากรทางการแพทย์ในตัวจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง จะเดินทางเข้ามาช่วยดูแลรักษาคนไข้ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยมีเป้าหมายให้ชาวบ้านในหมู่บ้าน และตำบลที่ห่างไกลออกไปมารับการตรวจรักษา เพื่อจะได้มีโอกาสใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยด้วย และพอเห็นชื่อคณะแพทย์ที่ประกอบด้วยวุ้นเส้น เพื่อนสนิท เขมวันต์จึงรู้สึกยินดีเป็นพิเศษ ขณะที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็เห็นว่าเขาทำงานหนักมากตลอดเวลาที่ผ่านมา เลยเอ่ยปากให้นายแพทย์หนุ่มได้หยุดพักผ่อนสองวันเพื่อชาร์จแบต

เขมวันต์อิดออดในตอนแรก เพราะรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าบ้านที่ควรอยู่ต้อนรับแขก แต่เมื่อเห็นจำนวนหมอกับเจ้าหน้าที่มีจำนวนไม่น้อยจึงตัดสินใจทำตามที่แพทย์รุ่นพี่บอกแกมขอร้อง ด้วยไม่อยากให้เขาหักโหมเกินไปจนสุขภาพกายและใจย่ำแย่

ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขาทำให้เพียงขวัญที่เป็นหนึ่งในหมออาสาน้อยใจจนน้ำตาหยด เพราะเธอเพิ่งได้เห็นหน้าเขาไม่ถึงห้านาที ชายหนุ่มก็เตรียมตัวเข้ากรุงเทพฯ เสียแล้ว

“ผิงกำลังคิดว่าจะมาขอข้าวเย็นพี่เข้มกินอยู่ทีเดียว” หญิงสาวต่อว่าปากสั่น

เขมวันต์ฟังแล้วก็ตบหน้าผากตัวเองไปครั้งหนึ่ง “จริงสิ พี่ยังติดหนี้ เลี้ยงข้าวเรานี่นะ”

“ติดสองมื้อแล้วนะคะ” เธอรีบร้องบอก ทำให้เขาเลิกคิ้ว “ก็ครั้งก่อนที่พี่เข้มเปลี่ยนใจกะทันหันรวมกับครั้งนี้ด้วย”

“งั้นพี่แถมให้เป็นสามมื้อเลย” ชายหนุ่มบอกอย่างใจดี

“จริงนะคะ”

“จริงสิ แต่ไว้คราวหน้านะ” แล้วคนพูดก็เห็นร่างสูงโปร่งของเพื่อนสนิทผ่านเข้ามาในคลองสายตา “อ้อ...จริงสิวุ้น ฝากผิงด้วยนะ”

เขมวันต์ไม่อยู่ฟังคำตอบของเพื่อนรัก แต่รีบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าที่จัดไว้สำหรับสองวันโยนบนเบาะนั่งข้างคนขับแล้วสตาร์ตรถขับจากไปในอึดใจต่อมา เขาไม่ใส่ใจแพทย์หญิงคนสวยเพราะเห็นฝ่ายนั้นเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง อีกทั้งยังห่วงใยหญิงสาวอีกคนมากกว่า ด้วยรู้ว่าคืนนี้เธอต้องทำงานดึกหรืออาจต้องอยู่จนถึงรุ่งเช้า...

จะสงสัยก็แต่ว่าเดหลีจะดีใจแค่ไหนและ...ไอ้เด็กฝึกงานนั่นจะอยู่ข้างๆ กายเธอหรือไม่

ถ้าหมอนั่นอยู่ เขาคงต้องหาทางทำอะไรบางอย่าง เพราะถึงเขมวันต์จะไว้ใจคนรัก แต่ก็ไม่ไว้ใจคันฉัตรแม้แต่นิดเดียว!

ความที่หมกมุ่นอยู่กับหญิงคนรัก ชายหนุ่มจึงไม่รู้เลยว่าพอคล้อยหลังจากมา หยาดน้ำอุ่นๆ ก็ไหลอาบแก้มเพียงขวัญจนเปียกเป็นทาง ทำให้คนรับใช้สาวที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยช่วยซับน้ำตาให้เจ้านายสาวแทบไม่ทัน

ถ้าเขมวันต์ไม่อยู่ห่างไกลจนเกินไป เขาคงรับรู้ได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและแค้นที่ท่วมท้นอารมณ์ของเพียงขวัญในตอนนั้น

ความรักและแค้นที่จะพร้อมจะยื้อแย่งและแผดเผาทุกสิ่ง!

 

ค่ำนั้นคันฉัตรอยู่ข้างๆ เดหลีเกือบตลอดเวลาอย่างที่เขมวันต์วิตกไว้ไม่มีผิด เพราะชายหนุ่มเปรียบได้กับกุนซือของงานนี้ ด้วยศกุนตลามอบอำนาจให้ฝ่ายนั้นจัดการได้เต็มที่ แม้ว่าคนอัศวฤทธาหลายคนจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อการเตรียมงานเสร็จ เดหลีก็ต้องยอมรับว่างานอีเวนต์ครั้งใหญ่ที่จัดให้แก่ ดิเอวาลอน อเวนิว ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ของครอบครัวในช่วงสุดสัปดาห์นี้คืบหน้าไปเร็วกว่าทุกที เป็นเพราะฝีมือของเขาก็ไม่ผิดนัก

ชายหนุ่มมีฝีไม้ฝีมือและความคิดสร้างสรรค์อย่างน่าทึ่ง ทั้งยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม เขารู้จักศิลปินนักจัดดอกไม้ระดับมือพระกาฬ ที่มาช่วยเนรมิตห้างทั้งห้างได้สวยงามราวกับชะลอทิพย์วิมานลงมาจากสรวงสวรรค์ และยังสรรหาเชฟฝีมือดีจัดทำอาหารกับของว่างเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่แขกผู้มีเกียรติและลูกค้าได้อย่างน่าทึ่ง แล้วยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดแสงและไฟรอบเวทีและบริเวณที่เป็นหัวใจของงาน

คนที่เคยดูแคลนนักธุรกิจหนุ่มมาดเพลย์บอยในตอนแรกล้วนเปลี่ยนมาเป็นชื่นชมแทน แต่คันฉัตรไม่สนใจคำชมเชยเหล่านั้นแม้แต่น้อย เขาดูเย็นชาและโดดเดี่ยวเกินไป คล้ายจ่าฝูงของหมาป่าที่ชื่นชอบการอยู่ตามลำพัง

เดหลีเกลียดหมาป่าและรักการทำงานเป็นทีม จึงไม่ชื่นชอบนิสัยข้อนี้ของเขา พอเลิกงานได้เธอจึงโล่งใจเหลือประมาณ ตอนแรกหญิงสาวตั้งใจจะรีบกลับบ้าน แล้วมาสก์หน้า คลานขึ้นเตียง นอนแต่วันเพื่อรับมือกับงานหนักในวันพรุ่งนี้ แต่กลุ่มเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมโทรศัพท์ตามตัวขึ้นมาเสียก่อน และพอนึกว่าเธอไม่ได้สังสรรค์กับเพื่อนๆ มาเกือบปี เพราะต่างคนต่างติดภารกิจ เดหลีจึงตกปากรับคำ ขับรถตรงไปยังคลับประจำที่เป็นสถานที่นัดหมาย

 

เพชรพริ้ง เพื่อนสาวสุดอินดี้ ผู้คลั่งไคล้อาหารมังสวิรัติ เปรี้ยวจนมะนาวเรียกพี่ เพราะผ่านการหมั้นหมายมาแล้วถึงสามครั้งสามครากับชายหนุ่มสามเชื้อชาติ สามรุ่น และสามวัย ทั้งรุ่นพ่อ รุ่นพี่ รุ่นเพื่อน และเพิ่งเดินทางกลับจากท่องเที่ยวทั่วโลก ก็ชิงถามขึ้นเป็นคนแรกตามประสาคนตาไว เมื่อเดหลีเดินไปถึงโต๊ะ

“ทำไมมาคนเดียวยะ”

“จะให้มากับใคร” หญิงสาวถามอย่างไม่ใส่ใจ ขณะหันไปสั่งค็อกเทลแก้วโปรดกับบริกรหนุ่มที่มารออยู่

“ก็ตาฉัตรกระดูกกรุบกริบนั่นไง” ดอกเหมย เพื่อนสาวเชื้อจีนร่างอวบ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารและของกินที่สุดในกลุ่มเสริมต่อทันที

เดหลีกลอกตาหนึ่งรอบด้วยความอ่อนใจ “ทำไมฉันต้องมากับเขาด้วย”

“ก็แหม...” เพชรพริ้งลากเสียงยาวเฟื้อย ก่อนจะกระดกแก้วชอตที่บรรจุน้ำสีอำพันเข้าปากอย่างสาวคอทองแดงแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงคึกคะนอง “แม่ฉันเล่าว่า แม่เธอแทบจะล่ามโซ่คุณฉัตรไว้ติดกับตัวเธอเลยไม่ใช่หรือ”

เดหลีค้อนคนพูดวงใหญ่ “ไม่ใช่”

“งั้นตกลงเขาเป็นอะไรกับเธอกันแน่” ฝ่ายนั้นตั้งกองซักไม่หยุด

“จะเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เด็กฝึกงานกับเจ้านาย” เดหลีย้ำเสียงหนักแน่นโดยเฉพาะสองคำหลัง ทำให้เพชรพริ้งถึงกับยิ้มเยาะ

“จริงรื้อ ฉันว่าคุณฉัตรน่ากินออกจะแย่ ถึงจะดูเย็นชาไปหน่อยก็เถอะ แต่จะว่าไป ผู้ชายแบบนี้ก็เร้าใจดี มีเสน่ห์ น่าค้นหา น่าช่วยสร้างความอบอุ่นให้เขาบนเตียง”

“พอดีฉันไม่นิยมกินเด็ก โดยเฉพาะแก๊งเพื่อนนายอัค”

เดหลีแบะปาก เพราะเพิ่งมีโอกาสระบายความรู้สึกเรื่องคันฉัตรในครั้งนี้เอง กับเขมวันต์เธอก็ไม่กล้าพูดกับเขา เพราะแค่เอ่ยชื่อคันฉัตร ชายคนรักก็ทำหน้าบึ้ง หน้างอเสียแล้ว

“เด็กที่ไหน อายุน้อยกว่าเธอกี่ปีกันเชียว” จีเวลซักไซ้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“อย่างน้อยๆ ก็ห้าปีละ” หญิงสาวตอบ

“โอย...แค่นั้นเอง สมัยนี้ผู้หญิงเราแก่ช้าจะตายไป รับรองว่าไม่มีใครสังเกตหรอกว่าเธออายุมากกว่าเขา” ดอกเหมยที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ รีบแย่งเพื่อนๆ พูดบ้าง

“ฉันไม่ได้สนใจเรื่องใครแก่กว่า หรือใครเด็กกว่าหรอก”

“งั้นเธอสนใจอะไร” จีเวลถามอย่างใส่ใจ ในบรรดาเพื่อนๆ ทั้งหมด รายนี้เป็นคนละเอียดอ่อนและช่างสังเกตที่สุด ขณะที่เพชรพริ้งรีบเสริม

“นั่นสิ โอกาสสำหรับสาวๆ อย่างพวกเรามันเหลือน้อยลงทุกทีแล้วนะ เชื่อฉันเถอะ อย่าเล่นตัวนักเลย เว้นแต่เธออยากจะฉลองวาเลนไทน์คนเดียว หรือไปเที่ยวเมืองนอกกับเพื่อนๆ แบบนี้ไปตลอด” จากนั้นคนพูดก็ทิ้งจังหวะ ก่อนพูดต่อด้วยดวงตาแวววาวกว่าเดิม “หรือถ้าเธอกลัวว่าจะอยู่ด้วยกันไม่ยืด และเป็นห่วงสมบัติพัสถานประดามี ก็ไม่ต้องจดทะเบียน อยู่กันง่ายๆ แบบไม่ต้องมีพิธีรีตองก็ได้ สมัยนี้ใครๆ เขาก็ทำกัน”

“ไม่ใช่ย่ะ ฉันไม่ได้เล่นตัว แล้วก็ไม่ได้ห่วงเรื่องอยู่กันไม่ยืด ไปด้วยกันไม่รอด หรือสมบัติอะไรที่เธอบอกด้วย แต่ฉันไม่ได้ชอบเขา”

“ทำไมล่ะ ฉันว่าคุณฉัตรก็หน้าตาดีออก แบบโอปป้าเกาหลีที่กำลังนิยมกันเลย” ดอกเหมยผู้มีดวงตาขีดเดียวรีบท้วงทันที

“ก็ไม่ชอบ” เดหลีตอบมะนาวไม่มีน้ำ พร้อมหลุบเปลือกตาลงปิดบังความรู้สึกในใจเอาไว้อย่างลึกเร้น

หญิงสาวไม่ได้อยากจะปิดบังเรื่องเขมวันต์ แต่ก็ไม่รู้จะบอกออกไปอย่างไร ในเมื่อสถานการณ์ระหว่างทั้งคู่ยังคลุมเครืออยู่แบบนี้ นอกจากนั้นที่ผ่านมา เธอยังประกาศก้องกับเพื่อนๆ ทุกคนว่าชาตินี้จะไม่แต่งงาน เลยอดเก้อกระดากไม่ได้ที่จู่ๆ จะต้องมากลืนน้ำลายตัวเองแบบนี้

แต่เหมือนเพชรพริ้งจะมีสายตาประดุจเครื่องซีทีสแกน “เธอไม่ชอบเขา เพราะชอบคนอื่นอยู่อย่างนั้นหรือ”

คำถามนั้นทำให้มือของเดหลีที่กำลังวางแก้วค็อกเทลกระตุกแรง จนน้ำสีฟ้าสวยกระฉอกออกมาทันที เพื่อนสนิททั้งสามคนเลยพากันร้องอุทานออกมาเป็นเสียงเดียว และยื่นมือมาเขย่าแขนเธอพัลวัน

“ตกลง เธอชอบใคร”

“ใช่คนที่เธอเคยมาถามเรื่องของขวัญวันเกิดกับฉันไหม” เพชรพริ้งร้องถาม ทำให้จีเวลกับดอกเหมยหันขวับไปมองทันที

“เดย์ก็ถามเธอด้วยหรือ” ทั้งคู่เอ่ยขึ้นเกือบพร้อมกัน ขณะที่เพชรพริ้งพยักหน้าแล้วทำตาโตใส่เพื่อนสาวอีกสองคนด้วยความตื่นเต้น

“อย่าบอกนะ ว่าเดย์ก็ถามพวกเธอเหมือนกัน”

เมื่อรู้ว่าคำตอบคือใช่ ทั้งหมดก็หันมามองเดหลีเป็นตาเดียว พร้อมเอ่ยปากขู่เข็ญกันคนละที

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะยายเดย์ว่าเขาเป็นใคร ใช่คนที่มีข่าวว่าอุ้มเธอออกไปจากงานแต่งงานซิดนีย์ไหม”

“นั่นสิ แล้วอย่าริอ่านโกหกพวกเราเชียวนะ”

“ใช่ อย่าลืมนะว่าพวกเรารู้จักเธอมาตั้งแต่นุ่งเอี๊ยมไปโรงเรียนแล้ว”

เดหลีไม่เคยรู้สึกจนมุมกับเพื่อนสนิทเท่าวันนี้มาก่อนเลยได้แต่ยักไหล่ แล้วเอ่ยออกไปแกนๆ “อือ”

“อืออะไรของเธอ”

“ก็เขานั่นแหละที่พาฉันออกไปจากงานของซิดนีย์...แล้วจริงๆ ก็ไม่ได้อุ้มด้วย แค่ประคองเฉยๆ” เดหลีกล่าวแก้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมข่าวถึงได้ลือไปไกลขนาดว่าเขมวันต์อุ้มเธอได้

แต่ดูเหมือนคำพูดของเธอจะทำให้สถานการณ์ตรงหน้าย่ำแย่กว่าเดิม เพราะเพชรพริ้งถึงกับแบะปากแล้วส่ายหน้าทันควัน “แย่ที่สุด”

“ทำไม”

“ก็ฉันได้ข่าวว่าเธอเมาจนโดนอุ้มออกไป แล้วนี่อะไร เจ้าตัวกลับบอกว่าแค่โดนประคอง แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน เขาต้องอุ้มเธอออกไปน่ะถูกแล้ว”

“แค่เขาประคองฉันยังลือกันเสียขนาดนี้ ถ้าเขาอุ้มฉัน ไม่ลือหนักกว่านี้หรือ” หญิงสาวประท้วง

“ลือหนักๆ สิดี ให้ลือกันว่าเขากับเธอกินตับกันกลางงานไปเลยยิ่งดี”

เพชรพริ้งยุอย่างเมามัน ทำให้ดอกเหมยกับจีเวลถึงกับแก้มแดง ขณะที่เดหลีถลึงตาใส่เพื่อนสนิท

“ดียังไงยะ”

“อ้าว...ก็ถ้าเขากินตับเธอไปแล้ว คุณฉัตรจะมากินเธอต่อได้ยังไง เพราะคนอย่างนั้นคงไม่กินของเหลือจากผู้ชายคนอื่นหรอก” เพื่อนสนิทหลิ่วตาให้อย่างคนที่ช่ำชองประสบการณ์รัก

เดหลีถอดทอนใจยาว ก่อนมองจ้องหน้าเพชรพริ้งอย่างอ่อนใจ “สายไปแล้วละ คุณเข้มเขาไม่มีวันทำแบบนั้นหรอก หรือถึงเคยอยากทำก็ทำไม่ได้แล้ว”

“เดี๋ยวๆ ตกลงคุณเข้มของเธอเป็นใคร เธอยังไม่ได้บอกพวกฉันเลยนะ” จีเวลรีบตั้งคำถาม เมื่อเห็นว่าเรื่องกำลังจะเลยเถิดไปใหญ่โต

“เขาชื่อเขมวันต์ เป็นหมอ”

“ว้าว...ฉลาด รวย แล้วหล่อไหม” เพชรพริ้งที่มักสนใจเรื่องฐานะหนุ่มๆ เป็นพิเศษรีบถามทันที

“ไม่...เขาฉลาด หล่อ แต่ไม่รวย”

“หมอที่ไหนมีไม่รวยบ้าง เธออย่ามาอำ” ดอกเหมยชี้หน้า

“หมอกินอุดมการณ์ไง ประมาณว่า มีหนึ่งบาทก็ยอมรักษาให้ทุกโรค” จีเวลตอบ ทำตาลอยๆ สีหน้าเคลิ้มฝัน ทำให้เพชรพริ้งแบะปาก

“บ้าสิ หมอแบบนั้นมีที่ไหนกัน หรือถึงมีก็มีแต่ในนิยายพาฝันหลอกสาวๆ ไปวันๆ เท่านั้นละ”

“มีสิ ก็คุณเข้มนี่ไง” เดหลีตอบเสียงอ่อนอย่างอึดอัด ขณะที่เพื่อนๆ ตาค้าง รวมถึงจีเวลด้วย เพราะฝ่ายนั้นแค่คาดเดาไปเรื่อยเปื่อย

“แล้วแม่ของเธอว่ายังไง” เพื่อนสาวผู้หลงรักโยคะร้องถาม ทำให้เดหลีถอนหายใจอีกเฮือก

“แม่ก็หาคุณฉัตรมาให้ฉันไง”

“เพอร์เฟกต์” เพชรพริ้งดีดนิ้วเปาะ “นี่เธอทำบุญมาด้วยอะไรฮึ ยายเดย์ ถึงได้มีผู้ชายมาให้กินทีเดียวพร้อมกันถึงสองคน”

“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่กินคุณฉัตร ส่วนคุณเข้ม ถึงฉันอยากกินก็กินไม่ได้เหมือนกัน และเขาก็ไม่มีวันกินฉันแน่ๆ”

“ทำไม” เป็นอีกครั้งที่สามสาวผนึกลมปราณกันเปล่งเสียงถาม

เดหลีมองหน้าเพื่อนๆ แต่ละคนอย่างครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจพูดเสียงอ่อนอย่างคนหมดสิ้นความหวัง

“เพราะ...ฉันไม่ชอบคุณฉัตรแบบนั้น แค่คิดว่าเขาเป็นเพื่อนนายอัค ฉันก็อยากร้องยี้ใส่หน้าเขาเสียแล้ว ส่วนคุณเข้มก็เป็นเพราะว่าเขาดันไปสัญญาบ้าๆ กับแม่ฉันไว้ว่าจะไม่ล่วงล้ำก้ำเกินฉันแม้แต่ปลายก้อย...จนกว่าแม่ฉันจะพอใจในตัวเขา ซึ่งพวกเธอก็รู้นี่ว่าถ้าไม่มีเงินทองกองท่วมฟ้า หรือคาบบัตรแพลทินัมมาเกิด มีนามสกุลเก่า เล่าเรื่องบรรพบุรุษย้อนหลังไปได้สักสองร้อยปีเป็นอย่างต่ำ แม่ของฉันก็ไม่มีวันพอใจ อีกอย่าง...เขามีลูกติดด้วย...ลูกกับเวียนนา”

คำตอบนี้ทำให้เพื่อนสนิททั้งสามถึงกับพูดไม่ออก

“แล้ว...เธอจะทำยังไง” จีเวลเอ่ยถามขึ้นก่อน

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เดหลีส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “แล้วยิ่งมีคุณฉัตรเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นมือที่สามด้วยแบบนี้ ฉันยอมรับเลยนะว่าปวดหัว”

ปัญหาหัวใจแก้ยากกว่าเรื่องงานหลายร้อยเท่าพันทวี

เพชรพริ้งเคาะปลายนิ้วเรียวเสลาลงกับที่เท้าแขนอย่างครุ่นคิด “จะว่าไป คุณฉัตรนี่ก็แปลก จู่ๆ เขาก็เข้ามาในชีวิตเธอเหมือนพายุเลยนะ”

“นั่นสิ คนอย่างเขา จริงๆ แล้วจะหาสาวๆ สวยๆ แต่งงานด้วยสักกี่คนก็ได้ แต่ทำไมถึงได้มามองสาวสองพันปีอย่างเธอก็ไม่รู้” ดอกเหมยเสริมด้วยทีท่าจริงจัง

เดหลีนิ่งอึ้งอยู่อึดใจหนึ่ง ลังเลว่าควรจะเล่าถึงบทสนทนาของเธอกับคันฉัตรให้เพื่อนสนิทฟังดีไหม แต่คำพูดที่หลุดมาจากฝ่ายนั้น ไม่ต่างจากหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจ ขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนอย่างคันฉัตรถึงต้องทำตามที่ศกุนตลาสั่ง เพราะเขาไม่ได้รักเธอแม้แต่น้อย ใครๆ ก็รู้ว่าชายหนุ่มเป็นเพลย์บอยตัวฉกาจ

เขาอาจไม่โฉ่งฉ่างเหมือนอัครา แต่ก็มีพริตตี หรือดารา นางแบบที่เลี้ยงดูอยู่หลายคน หญิงสาวเลยตอบไปสั้นๆ แค่ว่า “เพื่อผลประโยชน์ไง”

“ไม่ใช่เขาหลงรักเธอหรือ” ดอกเหมยผู้คลั่งไคล้ความโรแมนติกทำดวงตาชวนฝันใส่

เดหลีหัวเราะเบาๆ พร้อมส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่หรอก เขาไม่น่าจะรักฉันได้ เหมือนที่ฉันก็ไม่รักเขาเหมือนกัน”

ทุกคนสบตากันอย่างครุ่นคิดเมื่อได้ยินคำยืนยันหนักแน่นเช่นนี้ จากนั้นจีเวลก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นก่อน “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่น่าจะรีๆ รอๆ อยู่อย่างนี้เลยนะ” 

“ใช่ ไม่อย่างนั้น เกิดหมอคนนั้นเข้าใจผิดว่าเธอคิดจะเหยียบเรือสองแคม จับปลาสองมือจะทำยังไง วัยอย่างเราๆ นี่ เงื้อๆ ง่าๆ ไม่ได้นะ ต้องฟันธงฉับเลย” ดอกเหมยสอน

“ใช่ ในเมื่อเธอไม่ได้รักคุณฉัตร แต่รักคุณหมอ เธอก็น่าจะกระโดดขึ้นเตียงคุณหมอไปเลย ไม่ต้องลังเล” เพชรพริ้งกล่าวย้ำ

เดหลีอดหน้าแดงไม่ได้ ถึงกับเอ่ยเสียงอุบอิบออกมา “นึกหรือว่าฉันไม่เคยทำ”

“แล้วยังไง...”

เพชรพริ้งรีบถามต่อ ขณะที่จีเวลกับดอกเหมยแม้จะหน้าแดงและมีทีท่าขวยเขิน แต่ก็ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเพื่อนๆ เห็นท่าทีอึกอักของเธอแล้ว คนจินตนาการสูงลิบลิ่วอย่างดอกเหมยเลยหลุดปากออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

“อย่าบอกนะ ว่าเธอโดนหมอเข้มถีบตกเตียง”

“บ้า” เดหลีค้อนคนถามวงโต “เขาไม่ได้ทำแบบนั้นหรอก”

“แล้วเขาทำยังไง” เพชรพริ้ง เพื่อนผู้อ่านกามสูตรจบถึงสองรอบ เกาะติดเรื่องนี้ไม่ปล่อย

ท่าทางจริงจังของเพื่อนร่วมโต๊ะ ทำให้เดหลีปฏิเสธไม่ออก และตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟังแต่ก็ไม่หมดเปลือกเสียทีเดียวนัก พอเล่าจบ เพชรพริ้งก็ส่ายหน้า ขณะที่ดอกเหมยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่วนจีเวลจ้องหน้าเธอเหมือนกำลังมองสัตว์ประหลาดจากดาวอังคาร

“ทำไม”

“ก็...ใครจะคิดว่าเธอจะอ่อนต่อโลกขนาดนี้”

“นั่นสิ ถึงเขาปฏิเสธเธอก็จริง แต่เธอมีโอกาสตั้งหลายที ทำไมไม่รู้จักปล้ำเขาฮึ”

“ใครจะกล้า” เดหลีพึมพำ ขณะที่จีเวลส่ายหน้า

“เธอไม่กล้า หรือเขาไม่กล้ากันแน่”

“ฉันสิไม่กล้า” แค่ที่ทำไปก็มากเกินพอแล้ว ถ้าจะให้เธอลงมือปล้ำเขมวันต์ก่อน ก็คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังหวาดหวั่นกับจุดหมายปลายทางของมันไม่น้อย

“แต่ฉันกลับคิดว่าเขาไม่กล้ามากกว่า” ดอกเหมยกล่าว หลังจากนั่งจ้องเดหลีอยู่ครู่หนึ่ง

“ทำไม”

“ก็เธอน่ะชอบทำหน้า วางท่าเหมือนสวมมงกุฎราชินีกับหน้ากากเจ้าหญิงน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลาเลยน่ะสิ รู้ตัวบ้างไหม” เพื่อนสนิทย้อน ขณะที่จีเวลกับเพชรพริ้งพยักหน้ารับทันควัน

“ใช่ เธอชอบทำท่าไม่ยี่หระ เย็นชา รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วผู้ชายชอบนะเวลาที่ผู้หญิงทำตัวเป็นนางแมวยั่วสวาท แกล้งงอนนิดงอนหน่อย หรือโมโหหึงบ้างในบางครั้ง เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่ามีค่า เป็นที่ต้องการ แต่ผู้หญิงที่ปั้นหน้าเย็นชา ทำท่าปั้นปึ่งอยู่ตลอดเวลาเหมือนนางพญาน่ะ...ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว เพราะผู้หญิงแบบนี้ น่าพาควงออกงาน แต่ไม่น่าอยู่ด้วยบนเตียง” เพชรพริ้งเสริมทันที ขณะที่เดหลีหน้าแดงด้วยความตกใจระคนโมโห

“นี่พวกเธอว่าฉันหรือ”

“อย่าเพิ่งโกรธสิเดย์ พวกเราหวังดีต่อเธอจริงๆ นะ” จีเวลรีบปลอบ

“ฉันพูดจริงๆ นะเดย์ เธอต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ เลิกวางมาดนางพญาได้แล้ว เชื่อเถอะ มาดแบบนี้อาจข่มลูกน้องที่สหภาพแรงงานเป็นหมื่นเป็นแสนคนของเธอได้ แต่มันเอามาใช้กวักมือหาสามีไม่ได้แน่นอน” ดอกเหมยย้ำเสียงหนักแน่น

ขณะที่เพชรพริ้งนั้นออกจะหนักข้อกว่าใคร เพราะถึงกับเอื้อมมือมาสะกิดกระดุมเสื้อที่เธอใส่อยู่ พร้อมเอ่ยเสียงหงุดหงิด “อีกอย่างนะ เธอควรมีเดรสสวยๆ มากกว่านี้ และถ้าฉันเดาไม่ผิด เธอควรเลิกใส่ชุดทำงานไปหาเขา เพราะไม่มีอะไรทำให้ผู้ชายหดเท่ากับสูท กางเกงสีเข้มๆ และเสื้อเชิ้ตใส่ไปทำงานของผู้หญิงอีกแล้ว เว้นแต่เธอจะใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว ไม่มีอะไรอยู่ข้างใต้นั้น และเธอต้องท่องไว้ เป็นผู้หญิงเริ่มต้นก่อนบ้างอะไรบ้าง ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด แต่เชื่อฉันเถอะว่าผู้ชายแบบนี้ เธอต้องจับเขากดแล้วกินเลย”

นางแมวยั่วสวาท...เชิ้ตตัวเดียว...จับกดแล้วกินเลย...

เดหลีท่องตามอย่างมึนๆ ก่อนพลั้งเผลอถามถึงสิ่งที่คั่งค้างในใจออกไป

“แล้วถ้า...ฉันกินเขาไม่ได้ล่ะ”

“ทำไมถึงจะกินไม่ได้ยะ” ดอกเหมยทำหน้านิ่ว

“แบบ...เขาอาจจะเบ้อเริ่มเทิ่ม หรือฉันอาจจะเล็กไป...” ความเมา ทำให้เธอเริ่มหายขัดเขิน ขณะที่เพื่อนๆ ทำตาโต ก่อนหัวเราะกันคิกคัก

“อุ๊ย! ถ้าเขาเป็นพี่บิ๊กเบิ้มจริงละก็ เธอยิ่งต้องพยายามกินเขาให้ได้ ห้ามพลาดเด็ดขาด บอกเลยพวกคุณภาพคับเป้าที่ไม่ใช่เพราะราคาคุยน่ะ หาไม่ได้ง่ายนักหรอก” เพชรพริ้งผู้เชี่ยวชาญรีบเสริม ขณะที่จีเวลหน้าแดงแล้วช่วยออกความเห็นต่อ

“ส่วนเรื่องที่เธอกลัวว่า...เธออาจจะเล็กเกินไป ฉันว่าหมอเข้มของเธอเขาน่าจะมีวิธีนะ เพราะเขาเป็นสูตินรีแพทย์ไม่ใช่หรือ”

เดหลีไม่ทันได้ตอบคำถามนั้น ก็รู้สึกเหมือนไฟในคลับดับวูบลงกะทันหัน เลยแหงนหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะคนที่พวกเธอกำลังพูดถึงมายืนอยู่ข้างโต๊ะได้อย่างไรก็ไม่รู้

“คุณเข้ม...”

เสียงแผ่วเบาของเธอทำให้เพื่อนๆ พร้อมใจกันอุทานพร้อมกันอีกครั้ง

“คุณเข้ม!

“ครับ” ชายหนุ่มรับคำเสียงขบขัน และมองมาด้วยดวงตาคมวาวอย่างแปลกใจ

ทำให้สาวๆ ทั้งสามหลุบตาลงแทบไม่ทันพร้อมกับพึมพำ “คือ...ยายเดย์เพิ่งพูดถึงคุณน่ะค่ะ”

“เดย์บอกว่าคุณเป็นหมอ...”

“แต่...คุณไม่เหมือนหมอเลย”

“ใครๆ ก็ชอบพูดแบบนั้นครับ” เขาตอบ ขณะหันมาหาเดหลีแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมไปหาคุณที่ห้างแต่ไม่เจอ ไปรอที่คอนโดฯ ก็ไม่เห็นกลับมาเสียที เลยโทร. ถามคุณอัค คุณอัคแนะนำให้มาที่นี่” พูดจบชายหนุ่มก็หันไปส่งยิ้มบางๆ ให้เพื่อนสาวทั้งสามคนของเธออย่างมีมรรยาท “ว่าแต่พวกคุณจะโกรธไหมครับถ้าผมจะขอนั่งด้วย”

“ไม่โกรธหรอกค่ะ” ดอกเหมยตอบเสียงอ่อย และดวงตาเยิ้มฉ่ำผิดปกติ จนเดหลีนึกขำ

ไหนบอกว่าชอบแต่โอปป้าเกาหลีไงยะ แม่ดอกเหมยเมืองจีน!

ขณะที่จีเวลดูจะมีสติมากกว่าใครเพื่อน เพราะรีบกระแอมกระไอออกมาแรงๆ แล้วตอบว่า “แต่ฉันว่า ยายเดย์คงโกรธมากถ้าคุณเลือกที่จะนั่งที่นี่”

“ทำไมหรือครับ” คิ้วเข้มเหมือนคมดาบเลิกขึ้นด้วยความสนใจ ขณะที่เดหลีอึกอัก ไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทกำลังจะทำอะไร

เพชรพริ้งที่ดูจะหัวไวที่สุดในเรื่องนี้จึงตอบแทนทันที “ก็เพราะยายเดย์กำลังง่วงได้ที่แล้วสิคะ”

เขมวันต์ยิ้มจางๆ ที่มุมปาก...รอยยิ้มรู้ทัน

เดหลีหน้าแดงซ่าน พร้อมกับแอบหยิกเพื่อนสนิททันที พูดออกมาได้ว่าเธอกำลังง่วงได้ที่ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เพิ่งสี่ทุ่มครึ่งเท่านั้น

แต่ดีที่เขมวันต์ไม่พูดอะไรออกมา เขายังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ดอกเหมยจึงรีบเอ่ยสำทับทันที

“พวกเราก็ทั้งเมาทั้งง่วงเหมือนกัน เลยเกี่ยงกันว่าใครจะพายายนี่ไปส่งบ้าน คุณมาก็ดีแล้ว พายายเดย์ไปส่งทีนะคะ”

เขมวันต์ไม่มีโอกาสแม้แต่จะปฏิเสธ เพราะสาวๆ ทั้งสามคนพากันผลักไสให้เขากับเดหลีลุกขึ้นกลับบ้าน มิหนำซ้ำยังพร้อมใจหลิ่วตาเป็นนัยให้เธอเสียอีก

เพชรพริ้งนั้นหนักที่สุด เพราะแอบทำท่ากระชากคอเสื้อที่ใส่อยู่ออกแล้วกระซิบว่า

“เสร็จแล้วอย่าลืมมาเล่าให้พวกเราฟังด้วยนะ ว่าเขาเป็นพวก เอส เอ็ม แอล หรือเอกซ์แอล” พูดจบคนพูดก็เลียริมฝีปากประกอบ

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เพื่อนสาวกำลังสั่งให้เธอสวมแค่เชิ้ตตัวเดียวแล้วจัดการกินเขมวันต์เสียเลย!

ทีนี้ก็เหลือแค่ เขาจะยอมให้เธอกินหรือเปล่า!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น