เขมวันต์นึกดีใจที่มีนิสัยพกมีดพับติดตัวอยู่เสมอ
โดยเฉพาะตอนเข้าป่าแบบนี้ และเพราะเหตุนี้ เขาจึงฉวยโอกาสที่สองพี่น้องกำลังซักถามกันอยู่ตัดเชือกที่มัดมือและเท้าออกจากกันได้สำเร็จ
จากนั้นชายหนุ่มก็หมุนมีดพับในมืออย่างคล่องแคล่ว
ขณะจ้องมองหญิงสาวชาวบ้านตรงหน้าด้วยสายตาคาดคั้นแกมโกรธกรุ่น
พร้อมกับสะกิดใจอะไรบางอย่าง แต่ปากกลับพูดไปอีกทาง
“บอกฉันมาว่าทำไมเธอต้องจับตัวฉันมาด้วย
แล้วคุณเดย์อยู่ไหน”
อีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นพัลวัน “หนูไม่รู้...”
แม้ปากจะบอกแบบนั้น
แต่นัยน์ตาของเธอกลับโกหกเขาได้ไม่สนิท เพราะดวงตาคู่นั้นกลอกไปมาอย่างล่อกแล่ก
ก่อนจะหลุบต่ำอย่างคนมีชนักปักหลัง
เขมวันต์เลยคลี่ยิ้มบางๆ
รอยยิ้มที่ไม่เผื่อแผ่ไปถึงดวงตา ตอนเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง
แล้วบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เธอไม่รู้ แต่ผิงอาจจะรู้”
คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายเข่าอ่อนยวบจนทรุดตัวลงกับพื้น
ดวงตาเล็กเรียวเบิกกว้างมองมาด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว
แต่ยังคงปฏิเสธเสียงแข็งจนน่าแปลกใจ
“ผิงไหน หนูไม่รู้จัก”
“ยังจะโกหกอีก” เขมวันต์เค้นเสียงต่ำตอนทรุดตัวลงนั่ง
แล้วใช้ปลายมีดช้อนคางคนตรงหน้าขึ้นให้สบตาเขา “หรือนึกว่า
การที่เธอทาหน้าทาตาจนมอมแมมแล้วโพกหัวหูรุงรัง และแต่งตัวเป็นชาวเขาแบบนี้
ฉันจะจำไม่ได้ว่าเธอเป็นพี่เลี้ยงของผิง เธออยู่กับเขามาตั้งไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว
ทั้งที่บ้าน ที่นี่ แล้วก็ที่หอที่กรุงเทพฯ
ล่าสุดเธอก็ตามผิงมาออกค่ายอาสาด้วยเมื่อสองอาทิตย์ก่อน”
“หมอ...หมอพูดอะไร ลาโพไม่รู้เรื่อง”
หญิงสาวส่ายหน้าดิก แต่เหงื่อแตกพลั่ก เห็นได้ชัดว่ากำลังหวาดกลัวสุดขีด
จนพี่ชายของฝ่ายนั้นทนไม่ได้เสียเอง
“เอ็งอย่าโกหกหมออีกเลยว่ะ นังลาโพ
บอกความจริงหมอมาเสียเถอะ ว่าคุณหนูของเอ็งรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือเปล่า”
“ไม่นะ พี่อย่ามาพูดมั่วๆ
คุณหนูไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เป็นฉันเอง ฉันจัดการทุกอย่างเอง”
แล้วคนพูดก็ปล่อยโฮออกมา
“แต่เธอจะทำเรื่องทั้งหมดนี่เองได้ยังไง
ทั้งหลอกให้ฉันมาพักที่รีสอร์ตนี้ หลอกเอาตัวฉันมา
แล้วก็คงต้องไปหลอกอะไรคุณเดย์เอาไว้อีกด้วยใช่ไหม”
เขมวันต์คาดคั้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ทำให้ลาโพตัวสั่น และร้องไห้หนักกว่าเดิม
วาโพซึ่งเป็นคนกลางเลยเข้าไปเขย่าตัวน้องสาวแรงๆ
อย่างหมั่นไส้ หรืออาจเป็นเพราะว่ากลัวเขมวันต์จะเป็นคนเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง
“ยังจะมัวเงียบอยู่อีก รีบๆ ตอบหมอเขาไปสิวะ
หรือต้องรอให้เขาไปเอาตำรวจมาลากเอ็งเข้าคุกก่อน”
คำขู่ของพี่ชายทำให้ลาโพยอมปาดน้ำตาทิ้งแล้วตอบด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น
“ตอน...ตอนที่หนูตามไปดูแลคุณหนูที่ห้วยผาเซาะ หนูเจอคนคนหนึ่ง
เขาเห็นว่าหนูไม่ชอบเมียหมอ เขาเลยบอกให้หนูหาทางแยกหมอกับเมียจากกันให้ได้
ถ้าหนูทำสำเร็จ หมอก็จะกลับมาหาคุณหนู และหนูก็จะได้บัตรทองสามสิบบาท
ชอปปิงฟรีทุกอย่างในห้างกับร้านสะดวกซื้อทุกสาขาของเอวาลอน”
“จริงด้วย...เอ็งมันบ้าเข้าเซเว่นนี่หว่า มิน่าเล่า เอ็งถึงได้ยอมทำตามที่เขาบอกจนหน้ามืดตามัวแบบนี้”
คนเป็นพี่ชายอุทาน
“ฉันชอบเข้าเซเว่นคนเดียวเมื่อไหร่
พี่เองก็ชอบเข้าเหมือนกัน” หญิงสาวกล่าวแก้
ขณะที่เขมวันต์เม้มปากแน่นอย่างคับแค้นใจ
ตั้งใจจะเอ่ยถามอีกฝ่ายต่อว่าเดหลีอยู่ที่ไหน แต่กลับได้ยินเสียงหึ่งๆ ดังมาเข้าหูเสียก่อน
เสียงที่เขามั่นใจว่าเป็นเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์!
เขมวันต์เข้าใจไม่ผิด
คันฉัตรกำลังบังคับเฮลิคอปเตอร์ของตระกูลอัศวฤทธาให้ร่อนลงจอดบนลานกว้างของรีสอร์ตหรูแห่งหนึ่งอยู่พอดี
วนิษาที่นั่งเงียบมานานมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ
พร้อมเอ่ยถามนักบินจำเป็นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นและตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ
“พ่อบอกว่าห้วยผาเซาะอยู่ไกลมาก แต่หนูนึกไม่ถึงเลยนะว่าจะไกลขนาดนี้”
ที่เธอพูดเช่นนั้นก็เพราะการเดินทางครั้งนี้นานกว่าไปคลองหมาแหงนเกือบหนึ่งชั่วโมง
แต่คันฉัตรกลับส่ายหน้านิดๆ แทน ทำให้เด็กหญิงมองเขาด้วยความแปลกใจ
“ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ที่ห้วยผาเซาะ”
“อ้าว!” วนิษาอุทานด้วยความแปลกใจ
บนใบหน้าขาวสะอาดตาของคันฉัตรเลยมีเงาของความยุ่งยากใจฉายทับบางๆ
“คุณศกุนตลาบอกให้ฉันมาพบใครบางคนที่นี่ก่อน แล้วเขาจะพาฉันไปพบคุณเดย์เอง”
“ใครคะ แล้วทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากอย่างนี้ด้วย”
คันฉัตรยักไหล่ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เข้าใจเหมือนกัน
“เห็นว่าแถวนั้นอยู่ใกล้กับตะเข็บชายแดน
เฮลิคอปเตอร์คนทั่วไปไม่ควรเข้าไปบินเพ่นพ่านและถนนก็ไม่ดี วันก่อนฝนตกหนัก
ทางขาดเป็นบางช่วง เลยต้องมีคนนำทาง”
คำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผลหนักแน่นพอ วนิษาเลยไม่ถามต่อ
และเลือกที่จะสนใจกับบริเวณโดยรอบที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนแทน
ป่าบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ไม่น้อย
อากาศเลยเย็นจัดกว่าเมืองหลวงที่จากมา
เด็กหญิงมีแค่เสื้อยืดแขนสั้นตัวเดียวเลยต้องยกมือขึ้นกอดอก
แต่แล้ววนิษาก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อด้วยความคาดไม่ถึง
เมื่อสูทผ้าเนื้อหนักสีเข้มของคนข้างๆ คลุมทับลงมาบนช่วงไหล่บอบบาง
วนิษาหันขวับไปมองผู้เป็นเจ้าของด้วยความตกใจ
และเกือบจะสะบัดสูทตัวนี้ให้พ้นไปจากตัวอยู่แล้ว ถ้าฝ่ายนั้นไม่ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“อย่าถอดออกเชียวนะ เพราะฉันขี้เกียจทะเลาะกับพ่อเธอ
ถ้าเธอเกิดเป็นหวัดขึ้นมา”
วนิษาไม่รับคำในทันที แต่กลับเลือกทำจมูกฟุดฟิดแทน
พอได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนมอส
หรือใบสนอย่างที่เคยได้กลิ่นประจำยามอยู่ใกล้ๆ คันฉัตรเพียงอย่างเดียว
ไม่มีกลิ่นน้ำหอมฉุนๆ อย่างที่คาดไว้มาเจือปน เด็กหญิงได้แต่พึมพำขอบคุณออกไป
และเห็นดวงตาของอีกฝ่ายที่ทอประกายวาววับเหมือนแก้วเจียระไนกระทบแสงไฟราวกับกำลังหัวเราะเธออยู่ในใจ
ขัดกับน้ำเสียงห้าวแกมดุที่เอ่ยออกมา
“ดมเป็นหมาไปเลย เป็นอะไรของเธอ”
เด็กหญิงแลบลิ้นให้คนที่หาว่าตนเป็นหมา
ก่อนจะลอยหน้าเถียง “ก็ถ้าไม่ดมจะรู้ได้ไงว่าคุณใส่คนเดียว หรือมีสาวๆ คนอื่นมาใส่ด้วย”
“ฉันจะใส่คนเดียว หรือคนอื่นใส่ด้วย
แล้วมันไปหนักหัวเธอตรงไหน”
“ไม่หนักหรอก แต่กลัวเป็นโรคผิวหนัง ไม่ก็ภูมิแพ้
โดยเฉพาะยายไข่มุกนั่น เพราะสงสัยจะไม่ค่อยได้อาบน้ำ
ถึงได้ฉีดน้ำหอมเสียฉุนจนเวียนหัวขนาดนั้น ถามจริงๆ เถอะ
คุณไม่รู้สึกแสบจมูกเวลาอยู่ใกล้ยายนั่นบ้างหรือไง”
คันฉัตรทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
แต่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ร่างสูงโปร่งของใครบางคนก็ปรากฏในคลองสายตา
พร้อมร้องทักคันฉัตรขึ้นก่อนอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ ผมชื่อ พุฒิ
คุณศกุนตลาให้ผมมาคอยดูแลคุณฉัตร...” ฝ่ายนั้นยังพูดไม่ทันจบ ตอนสบตาเข้ากับวนิษา
เขาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ พร้อมมีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่ในดวงตา
คันฉัตรเองก็คงจะสังเกตเห็นเหมือนกับเธอ
เพราะชายหนุ่มบอกออกไปเสียงเรียบ “หลานสาวของผมเอง แกอยากมาด้วย”
“คุณศกุนตลาไม่ได้บอกผมว่าคุณจะพาหลานมาด้วย”
ฝ่ายนั้นเอ่ยเหมือนตำหนิ และทำให้ใบหน้าของคันฉัตรดูเย็นชายิ่งกว่าเดิม
“แต่คุณศกุนตลาก็ไม่ได้บอกผม ว่าห้ามพาหลานมาด้วย”
คำพูดของเขาทำให้เธอกัดกระพุ้งแก้มแรงๆ
เพราะกลัวจะหลุดเสียงหัวเราะออกไป เพราะคาดไม่ถึงว่าจากที่เคยเป็นคู่ปรับกันมาตลอด
แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับพูดจาเหมือนปกป้องเธอเสียอย่างนั้น
ชายหนุ่มที่ชื่อพุฒิคงคิดไม่ถึงเหมือนกัน
ว่าจะได้ยินคำตอบขวานผ่าซากแบบนี้จากปากคันฉัตร เพราะฝ่ายนั้นนิ่งขึงไปนาน
ก่อนจะเอ่ยอึกอักออกมา
“ไหนๆ คุณฉัตรก็พาหลานสาวมาแล้ว
ก็เชิญเข้าไปพักที่เรือนรับรองที่ผมจัดไว้ก่อนก็แล้วกัน”
พอได้ยินเช่นนั้น วนิษากระตุกมือคันฉัตรเร็วๆ
แล้วกระซิบกับอีกฝ่ายขณะเดินตามพุฒิไป “นี่มันก็จวนค่ำแล้ว
หนูว่าเราน่าจะรีบไปหาพ่อกับพี่เดย์ แทนที่จะไปพักที่ห้องรับรองอะไรนั่นนะคะ”
คันฉัตรเห็นด้วย
และถ่ายทอดคำพูดของเธอให้เจ้าถิ่นที่มาต้อนรับ
แต่พุฒิกลับมีสีหน้าลำบากใจขณะอธิบายให้พวกเธอฟัง
“ก็อย่างที่ผมแจ้งไปแล้วละครับ ว่าทางที่จะไปมันขาด
เดินทางไม่สะดวก จากที่นี่ไปห้วยผาเซาะก็ต้องใช้ทั้งทางรถสลับกับเดินเท้า
น่าจะสักสองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ”
คิ้วเข้มของคันฉัตรขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่มีทางอื่นที่ใช้เวลาน้อยกว่านี้หรือ”
“ไม่มีครับ แต่คุณไม่ต้องห่วงนะครับ
ระหว่างที่คุณบินมานี่ ผมจัดการโทร.
ไปเรียนคุณศกุนตลาเรียบร้อยแล้วว่าถนนหนทางไม่ดี การเดินทางก็ลำบากมาก
คุณศกุนตลาเลยให้ผมส่งคนเข้าไปรับคุณเดหลีออกมาแล้ว
คิดว่าพวกคุณรออีกสักชั่วโมงหนึ่ง ก็น่าจะมาถึงครับ”
“แล้วพ่อ...เอ่อ หมอเข้มล่ะคะ” เด็กหญิงถามขึ้นทันที เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยชื่อบิดาของเธอออกมา
พุฒิกะพริบตาถี่ๆ อยู่สองครั้ง
ก่อนหันมาบอกเธออย่างเสียไม่ได้ “หมอเข้มติดคนไข้ มาไม่ได้ครับ
ให้คุณเดหลีมาคนเดียว”
วนิษาเม้มปากเมื่อได้ยินเช่นนั้น
และยอมเดินตามพุฒิเข้าไปยังเรือนรับรอง ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเรือนหลังอื่นค่อนข้างมาก
เมื่อมองดูดีๆ
แล้วจะพบว่าเรือนหลังนี้แท้จริงแล้วเป็นกระท่อมหลังขนาดกลาง
ที่ภายนอกดูเหมือนสร้างเลียนแบบกระท่อมฝาไม้ไผ่ขัดแตะ และหลังคามุงจากแบบชาวบ้าน
แต่ด้านในกลับออกแบบตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เหมือนห้องสวีตโรงแรมห้าดาวก็ไม่ปาน
ด้วยมีทั้งส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ และห้องนอนแยกจากกันชัดเจน
“คุณฉัตรกับคุณหนูรออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ
ผมจะให้เด็กไปจัดอาหารกับเครื่องดื่มมาให้กินแก้หิวไปพลางๆ
ระหว่างที่คุณเดหลียังเดินทางมาไม่ถึง”
คันฉัตรพยักหน้ารับ ทำให้พุฒิจากไปอย่างรวดเร็ว
วนิษาซึ่งเดินสำรวจกระท่อมหลังนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง
หันมามองคันฉัตรนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“สงสัยอะไรก็พูดออกมา ฉันอ่านใจคนไม่ออก”
เด็กหญิงคลี่ยิ้มทะเล้นส่งให้อีกฝ่าย “ขนาดอ่านใจไม่ออก
คุณยังรู้เลยว่าหนูสงสัย”
“อย่าโยกโย้ พูดมาเร็วๆ”
วนิษาย่นจมูกกับคำสั่งนั้น
ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำตามที่อีกฝ่ายบอก แต่อีกใจร้องค้าน เพราะสังหรณ์แปลกๆ
ที่ผุดพรายขึ้น “หนูว่าที่ตาคุดนั่นพูดมันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“เขาชื่อพุฒิ เธอว่าแปลกตรงไหน” คันฉัตรกล่าวแก้
และซักต่อเสียงเข้ม
เด็กหญิงมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา
พอพบว่าบนใบหน้าขาวคมสันของคันฉัตรไม่ได้มีแววดูแคลนหรือล้อเลียนอย่างที่วิตก
เลยพูดออกไปตามใจคิด
“ก็เขาบอกว่าถนนหนทางไม่ดี ลำบากมาก
ต้องใช้รถสลับเดินเท้า แล้วคุณคิดว่าคนอย่างพ่อหนู
จะปล่อยให้พี่เดย์มากับคนแปลกหน้าตามลำพังหรือคะ”
“เขาบอกพ่อเธอติดเคส”
“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ต้องให้รอจนกว่าพ่อจะเสร็จงาน
แล้วออกมาด้วยกัน” วนิษาแย้งอย่างมั่นใจ ก่อนตัดสินใจปิดปากเงียบ
เมื่อเห็นพุฒิเดินนำหน้าคนงานของรีสอร์ตเข้ามา
พวกเขาแบกถาดอาหารทั้งคาวและหวาน
กับเครื่องดื่มทั้งน้ำผลไม้สดและน้ำเปล่ามามากมาย
“ผมกลัวว่าคุณฉัตรกับคุณหนูจะหิว เลยให้คนเตรียมอาหารเย็นมาให้เลย
กินเสร็จก็น่าจะได้เจอคุณเดหลีพอดี”
คันฉัตรพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก “ขอบคุณ
แล้วคุณไม่กินด้วยกันหรือ” ชายหนุ่มถาม เพราะเห็นว่าจาน ชาม ช้อน
และแก้วน้ำที่เตรียมมานั้นมีมาแค่สองที่เท่านั้น
“ไม่ละครับ ผมยังไม่หิว เชิญคุณฉัตรกับคุณหนูเลยครับ
มาๆ ไม่ต้องเกรงใจครับ”
พูดพลางคนพูดก็รินน้ำสีม่วงเข้มจากเหยือกแก้วที่มีละอองไอน้ำเกาะพราวที่ด้านนอกให้พวกเธอคนละแก้ว
“ลองจิบน้ำองุ่นนี่ดูสิครับ จากไร่ของเราเอง ผมให้เด็กคั้นให้พวกคุณสดๆ เลยนะครับ”
วนิษาทำตามที่อีกฝ่ายบอก
และพบว่าน้ำสีม่วงเข้มในมือรสชาติดีไม่น้อย “อร่อยจริงๆ ด้วยค่ะ น้าฉัตร”
ในเมื่อเขาให้เธอเป็นหลาน เธอก็จะให้เขาเป็นน้า
เด็กหญิงมุ่งมาดในใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปรินน้ำองุ่นเติมให้เต็มแก้วเป็นรอบที่สอง
เห็นพุฒิมองมาตาละห้อยเลยนึกขึ้นมาได้ว่า
ฝ่ายนั้นคงอยากให้คันฉัตรชิมน้ำผลไม้ดูบ้าง จึงเอ่ยชวนชายหนุ่มอีกรอบ
แต่เขากลับปรายตามองมาอย่างเหยียดหยามระคนรำคาญ
“เธอชอบก็กินไปเถอะ”
พุฒิฟังแล้วรีบร้องถาม “ถ้าคุณฉัตรไม่ชอบน้ำองุ่น
จะเปลี่ยนเป็นน้ำสับปะรดแทนไหมครับ”
“ไม่เป็นไร ผมกินน้ำอะไรก็ได้”
เขาบอกพร้อมยกแก้วน้ำในมือขึ้นจิบ ก่อนจะพยักหน้าไปที่อาหารจานเขื่องหลายจานที่วางเรียงรายอยู่บนถาดสเตนเลสใบใหญ่
“แล้วนั่นอะไรครับ”
“อ้อ...พ่อครัวที่นี่เขาขึ้นชื่อเรื่องอาหารป่าน่ะครับ
ผมเลยให้เขาจัดกบทอดกระเทียมกับเนื้อกวางผัดฉ่า แล้วก็แกงป่าหมูป่ามาให้
ไม่รู้ว่าพวกคุณจะกินกันได้ไหม”
วนิษาชอบอาหารป่าและอาหารรสจัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เลยทำท่าจะพยักหน้าให้อีกฝ่าย แต่คนที่มาด้วยกลับแย้งขึ้นเสียก่อน
“บอกตรงๆ นะครับว่าผมกับหลานไม่คุ้นกับอาหารพวกนี้เลย
ถ้าจะให้ดี ขอเป็นอาหารฝรั่งดีกว่า”
เด็กหญิงอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น อาหารฝรั่ง มันๆ
จืดๆ เลี่ยนๆ จะมาสู้ แกงป่า ผัดฉ่า แบบบ้านๆ ได้ยังไงกัน
เธอเลยพยายามส่งสายตาประท้วงให้คุณน้ากำมะลอ
แต่เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองมา ขณะที่พุฒิดูจะมีสีหน้าหนักใจกับคำขอนี้ไม่น้อย
จนพึมพำออกมาคล้ายขอไปที “อาหารฝรั่งหรือครับ ผมจะลองดูนะครับ”
“เดี๋ยว...ผมอยากได้ซุปหัวหอมแบบฝรั่งเศสสองที่
หอยเอสคาโก้อบเนยกระเทียม สำหรับเรียกน้ำย่อย พาสตาคาโบนาราหนึ่งที่เอาเส้นแองเจิลแฮร์นะ
และฟิเลมิยองแบบมีเดียมแรร์ น้ำหนักสักสองร้อยห้าสิบกรัม สองที่”
“เอ่อ...ซุป...หอยอบ พาสตา และฟิเลมิยองนะครับ”
สีหน้าเจ้าถิ่นยุ่งขิงหนักขึ้นไปกว่าเดิม แต่คันฉัตรกลับทำไม่รู้ไม่ชี้
ตอนรับคำเสียงหนักแน่น
“ครับ”
“ผมจะบอกพ่อครัวให้นะครับ” พุฒิบอกแล้วทำท่าจะรีบไป
ก่อนหันมาเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ “แต่คุณฉัตรต้องรอหน่อยนะครับ
อ้อ...แล้วคุณฉัตรจะไม่รับน้ำสับปะรดสักหน่อยหรือครับ”
“ไม่ละ คุณไปจัดการเรื่องอาหารเถอะ”
“ได้ครับ แต่คุณฉัตรห้ามพลาดน้ำองุ่นของรีสอร์ตเราเลยนะครับ
ไม่อย่างนั้น ต้องเสียดายแน่ๆ” พุฒิย้ำเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนพยักหน้าให้ลูกน้องช่วยกันยกอาหารทั้งหมดออกไปจากเรือนพัก
พออยู่กันตามลำพังแค่สองคน
คันฉัตรก็เอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงขบขันแกมติเตียนอย่างไม่ปิดบัง “เด็กตะกละ
ดื่มจนหมดเหยือกเลยหรือ”
“ก็มันอร่อย หนูชอบ” วนิษายิ้มกริ่ม
พร้อมยกน้ำองุ่นที่เหลือครึ่งแก้วสุดท้ายขึ้นดื่มทีละน้อยด้วยความเสียดาย
คันฉัตรมองมาด้วยสายตาขบขันระคนอ่อนใจ
จากนั้นก็ยื่นแก้วน้ำองุ่นในมือส่งให้เธออย่างไม่ลังเล “งั้นเอาของฉันไปอีกแก้ว”
“คุณแน่ใจนะ”
“แน่ใจ”
“แต่คุณพุฒิบอกว่าใครพลาดแล้วจะเสียดายนะ”
“รีบๆ กินเถอะน่ะ อย่าพูดมาก” เขาตัดบทเหมือนรำคาญ
เด็กหญิงเลยเลิกเซ้าซี้ ถือเสียว่าเป็นลาภปาก
แต่คราวนี้เธอดื่มอย่างช้าๆ เพราะเริ่มรู้สึกแปลกๆ เหมือนพื้นใต้ฝ่าเท้าโคลงเคลง
ซ้ำยังรู้สึกมวนท้องแปลกๆ น้ำองุ่นแก้วนั้นเลยเหลืออยู่ถึงครึ่งแก้วตอนวนิษาวางมันลงบนโต๊ะเล็กตรงหน้า
“จุกล่ะสิ” ชายหนุ่มถามเสียงเหมือนสมน้ำหน้า
แต่ดวงตากลับทอประกายประหลาดที่วนิษาอ่านไม่ออก หรือถึงอ่านออก
ก็ไม่กล้าคิดว่าคู่ปากคู่ปรับจะเป็นห่วงเป็นใยเธอขึ้นมา
“เปล่า แต่ของดีต้องกินช้าๆ จะได้เก็บไว้กินนานๆ” เธอแกล้งตอบ
แล้วตัดสินใจชวนคันฉัตรคุยเรื่องอื่นไปเสีย เผื่อจะลืมอาการที่เกิดขึ้นกะทันหัน
“จริงสิ ว่าแต่คุณไปแกล้งเขาทำไม”
“แกล้งอะไร”
“ก็เมนูอาหารฝรั่งพวกนั้น”
“ไม่ได้แกล้ง แต่อาหารป่ามันเผ็ดร้อนเกินไป
ประเดี๋ยวเราก็ต้องบินกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว ถ้าฉันเกิดท้องเสีย
หรือเธอท้องเสียขึ้นมาจะลำบาก อีกอย่างไหนๆ
ก็ตั้งใจจะทำให้ที่นี่เป็นรีสอร์ตห้าดาวของจังหวัดนี้
ก็ควรฝึกปรือฝีมือเชฟให้มากหน่อย อาหารที่ฉันบอกไปก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
ถ้ามืออาชีพจริง ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงขรึมก่อนมองสำรวจไปทั่ว
วนิษาขี้เกียจเดินตามอีกฝ่ายออกไปด้านนอก เพราะจู่ๆ
ก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เปลือกตาหนักอึ้งจนต้องขยี้ตาหลายๆ ทีติดกัน
แต่ในที่สุดก็ต้านทานความง่วงที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันไม่ได้
เด็กหญิงไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปนานแค่ไหนตอนเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง
เพราะพบว่าอาการปวดมวนท้องเมื่อครู่ ออกอาการรุนแรงยิ่งกว่าเก่า
คราวนี้วนิษารู้สึกอึดอัดเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกแน่นในท้อง
ทำให้อยากอาเจียนเต็มที
พอคิดถึงตรงนี้ ร่างเล็กบางก็พุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ
แล้วโก่งคออาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง มารู้สึกตัวอีกที
ก็พบว่ามืออุ่นจัดของคนที่มาด้วยกำลังช่วยลูบหลังให้ ทั้งยังส่งแก้วน้ำให้บ้วนปาก
ความอาทรของเขาทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ
ก้ำกึ่งระหว่างซาบซึ้งและไม่อยากเชื่อ
แต่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น ความรู้สึกดีๆ
ที่ก่อตัวขึ้นก็โบยบินหายวับไปราวกับหยดน้ำที่ถูกแสงแดดจ้ากลางเดือนเมษายนแผดเผา
“เป็นไงล่ะ อยากตะกละดีนัก อยู่ดีไม่ว่าดี
ซัดน้ำองุ่นอัดแก๊สเข้าไปทั้งเหยือก” เสียงห้าวเอ่ยดุๆ ทำให้วนิษาแยกเขี้ยวใส่
“หนูเคยกินโค้กทีละขวดลิตรมาแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไรเลย
น้ำองุ่นบ้านั่นต้องใส่อะไรแน่ๆ”
น่าแปลกที่คราวนี้คันฉัตรไม่แย้งคำพูดของเธอแม้แต่นิดเดียว
เขาเดินไปหยิบแก้วน้ำทั้งสองใบขึ้นมองพิจารณา
ก่อนทำเช่นเดียวกันนั้นกับเหยือกใบที่ใส่น้ำองุ่นที่บัดนี้แทบไม่มีเหลือติดก้นแล้ว
วนิษาอดแหย่อีกฝ่ายไม่ได้ “เป็นยังไง
คุณเจอเศษยานอนหลับบ้างไหม”
“เจอ” เขาตอบเรียบๆ
แต่สีหน้าแววตาจริงจังเกินกว่าจะพูดล้อเล่น ทำให้เด็กหญิงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“คุณล้อเล่นหรือเปล่า”
“ไม่เชื่อก็มาดูนี่” เขาพยักหน้าให้เธอไปหา
พร้อมเอียงเหยือกแก้วในมือให้เธอดู “เห็นคราบสีขาวๆ นั่นไหม...”
วนิษาพยักหน้ารับ
เมื่อพบว่าที่ก้นเหยือกแก้วมีตะกอนขาวจางๆ นอนก้นอยู่
ตะกอนที่ไม่มีวันพบในน้ำองุ่นปกติ เลยอดไม่ได้ที่จะยกมือปิดปากด้วยความตกใจระคนหวาดวิตก
“อะไรคะ”
“น่าจะเป็นตะกอนยาที่เหลืออยู่”
“ยาอะไรคะ”
“คงเป็นยานอนหลับ” ชายหนุ่มคะเน
ก่อนมองเธอด้วยสายตาพิจารณา “และดีที่เธอดื่มน้ำนี่ไปมากจนคลื่นไส้เลยอ้วกออกมา
ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ เพราะกินเข้าไปเกือบหมดเหยือกแบบนี้
อาจต้องเป็นเจ้าหญิงนิทราก็ได้”
คำพูดของเขาทำให้วนิษาตัวชาวาบด้วยความตกใจ
คันฉัตรที่ปกติเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอมาตลอด
ทำในสิ่งที่เด็กหญิงคิดไม่ถึงด้วยการเอื้อมมือมาขยี้หัวเธอแรงๆ แล้วเอ่ยล้อเลียน “ไอ้นิสัยตะกละของเธอนี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ”
วนิษาเลยโกรธเขาไม่ลง และได้แต่ถามเสียงอ่อยออกไป “แล้วเขาวางยาเราทำไม
ไหนคุณบอกว่าเขาเป็นคนของคุณยายไง”
“เขาเป็นคนของคุณศกุนตลาจริงๆ แต่จะวางยาเราทำไมนั้น
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่า...คงหาคำตอบได้ไม่ยาก” คันฉัตรบอกเสียงเข้ม
“คุณจะทำได้ยังไง”
รอยยิ้มขบขันผุดขึ้นแวบหนึ่งก่อนจางหายไป
เหลือแต่ประกายคมกล้าในดวงตาที่บอกให้รู้ว่าวิธีที่อีกฝ่ายจะใช้คงไม่สะอาดโสภาสักเท่าไร
วนิษารู้สึกหนาวยะเยือกตั้งแต่โคนผมยันปลายเท้า
พร้อมกับนึกสงสัยว่าศกุนตลาสั่งให้ลูกน้องกระตุกหนวดเสือทำไมกัน
เดหลีเองก็ได้ยินเสียงเหมือนใบพัดแหวกอากาศดังมาเข้าหูเช่นกัน
แต่พอแหวกม่านดูก็ไม่เห็นเฮลิคอปเตอร์อย่างที่คิดไว้
เพราะพระอาทิตย์กำลังจะตกดินในไม่ช้า
ท้องฟ้าจึงถูกย้อมไปด้วยสีส้มอมชมพูอย่างงดงาม
ส่วนต้นไม้น้อยใหญ่ที่รายล้อมอยู่ด้านนอกก็เริ่มเห็นเป็นเงาตะคุ่มท่ามกลางแสงสลัว
บ่งบอกว่าอีกไม่นานรัตติกาลก็จะมาเยือน
เดหลีขบริมฝีปากด้วยความหงุดหงิด เธอไม่กลัวความมืด
แต่ไม่ชอบที่ต้องอยู่ท่ามกลางความมืดในสถานที่ที่ไม่รู้จัก
ทว่าการจะหนีออกไปจากกระท่อมแห่งนี้โดยผ่านทางช่องระบายอากาศในห้องน้ำก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะไม่รู้ว่าคนที่จับตัวเธอมา วางกำลังไว้ด้านนอกกี่คน และที่แย่กว่านั้น เดหลีไม่มีโทรศัพท์มือถือ
เลยไม่สามารถตรวจสอบพิกัดที่อยู่ได้
ทางเดียวที่ทำได้คือตั้งสติและหาโอกาสเท่านั้น
เธอบอกตัวเองเช่นนี้ ตอนที่ประตูห้องพักถูกเปิดออก
พร้อมร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์คนหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ
จากนั้นก็วางลงบนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเรียบร้อย
และไม่ลืมจุดเทียนไขเล่มเล็กให้เธอเล่มหนึ่ง
“อาหารเย็นของคุณหนู”
พูดจบคนพูดก็รีบออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ทำทีท่าเหมือนคนรับใช้มากกว่าโจรโฉดที่ดักฉุดคนมาทำมิดีมิร้าย
เดหลีบอกตัวเองในใจ ตอนได้ยินเสียงลั่นกุญแจดังจากด้านนอก
และตัดสินใจไม่สนใจพวกมันอีกต่อไป เธอลุกขึ้นไปดูอาหารที่ถูกส่งมาให้
แล้วก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
นี่เป็นอาหารสำหรับหญิงสาวที่โดนฉุด
หรือตัวประกันที่ถูกจับมาเรียกค่าไถ่จริงหรือ
ข้าวเม็ดเรียวสวยที่เห็นตรงหน้าดูนุ่มและหอมกรุ่นตามแบบอย่างที่ข้าวหอมมะลิชั้นดีควรจะเป็น
ส่วนกับข้าวก็เป็นของโปรดเธอทั้งสิ้น
ทั้งอกไก่ย่างหอมกระเทียมพริกไทยและสมุนไพรไทยบางอย่างที่ลอกหนังออก
กับต้มยำกุ้งน้ำใส หอมตะไคร้ ใบมะกรูด และมะนาวสด กับผัดผักกาดแก้วที่ยังคงสดกรอบ
เพราะพ่อครัวแค่นำไปสะดุ้งไฟแล้วราดน้ำมันหอยกับซีอิ๊วขาวแต่งรสเท่านั้น
ขณะที่เทียนเล่มเล็กที่ถูกจุดริบหรี่ในถ้วยตะไลใบจิ๋วก็ส่งกลิ่นหอมสดชื่นของตะไคร้ออกมา
หญิงสาวเลยยิ่งมั่นใจว่า ใครสักคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะต้องรู้จักเธอดีทีเดียว
และหลังจากนั่งมองถาดอาหารตรงหน้าได้อึดใจใหญ่
เดหลีก็เชื่อว่า คนที่จัดอาหารถาดนี้ จะต้องเป็นคนที่รอบคอบไม่น้อย
ดูจากจานชามไปถึงแก้วน้ำที่นำมาให้ใช้นั้นล้วนเป็นเมลามีนเนื้อหนาทั้งสิ้น
ส่วนอุปกรณ์สำหรับกินข้าวก็มีแค่ช้อนคันเดียว
เรียกได้ว่าเธอไม่มีโอกาสมองหาอาวุธจากชามแตก เศษแก้ว หรือส้อมแม้แต่ชิ้นเดียว
เดหลีนึกอยากจะคว่ำถาดอาหารนี้ทิ้ง
แต่กลับต้องชะงักค้าง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่ง
หญิงสาวรีบแนบหูเข้ากับผนังแล้วฟังอย่างตั้งใจ
ได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิงร้องสั่งอะไรบางอย่าง
และเสียงผู้ชายสองคนที่เฝ้าด้านหน้าเอ่ยค้าน ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงเหมือนของหนักๆ
ร่วงกระทบพื้น แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงไขกุญแจที่ด้านนอกห้องดังขึ้น
โอกาสของเธอมาแล้ว!
หญิงสาวบอกตัวเอง หันซ้ายหันขวามองหาอาวุธ
แล้วสายตาก็ไปปะทะเข้ากับกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่นำติดมาด้วยโดยบังเอิญ
จำได้ว่าในนั้นมีทั้งตำราทำอาหารของจีเวล
และของเล่นของดอกเหมย ของพวกนั้นน่าจะพอเป็นประโยชน์กับเธอได้บ้างในเวลาคับขันเช่นนี้
หญิงสาวเลยรีบคว้าแส้หนังเส้นอ่อนบางขึ้นมาพันรอบมือซ้าย
และมือขวาจับตำรากับข้าวเล่มโตของเพื่อนรักไว้มั่น
พวกมันอาจไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนมีดหรือปืน
แต่ก็ดีกว่าไม่มีอาวุธอะไรในมือ
เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือปกแข็งและหนักพอที่จะสร้างความเดือดร้อนให้คนที่ถูกปาใส่หน้าไม่น้อย
ส่วนแส้นั่น ถึงจะเป็นเซ็กซ์ทอยชิ้นหนึ่ง แต่ถ้าฟาดออกไปให้เต็มแรง
ก็คงทำให้คนถูกฟาดหลังลายได้เหมือนกัน
เดหลีคิดพลางกระชับของในมืออย่างมุ่งมาดและหันไปเป่าเทียนเล่มเล็กให้ดับวูบลง
อย่างน้อยเธอก็รู้ตำแหน่งของเฟอร์นิเจอร์ในห้องนี้ดีกว่าคนที่กำลังจะเข้ามา
ดังนั้นสู้กันในความมืดย่อมได้เปรียบกว่า
หญิงสาวรอจนประตูห้องเปิดออก
และเห็นเงาสูงใหญ่ของใครบางคนก้าวเข้ามา
จึงกลั้นใจปาหนังสือไปตรงหัวฝ่ายนั้นสุดแรงเกิด
เป้าหมายของเธออุทานลั่น คงทั้งเจ็บและตกใจ แต่เดหลีไม่ใส่ใจ
เธอพุ่งไปข้างหน้า เล็งช่องว่างระหว่างประตูกับอีกฝ่ายที่เห็นแสงลอดผ่านเข้ามา
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นออกไปด้านนอก
เอวคอดของหญิงสาวก็ถูกรวบไว้แน่นด้วยอ้อมแขนแข็งแรงเสียแล้ว
ได้ยินเสียงห้าวเอ่ยถามคล้ายๆ ว่า “จะไปไหนคนสวย...”
ทว่าเดหลีไม่ใส่ใจฟัง เธอทั้งกลัว ทั้งโกรธ
และโมโหเสียจนหน้ามืด รู้แต่ว่าอยากหนีไปให้พ้นๆ
และใครก็ตามที่อาจหาญมาแตะต้องตัวเธอต้องเจอดี
ศอกของหญิงสาวจึงกระทุ้งแรงๆ
ไปยังลำตัวหนาของคนที่กอดรัดอยู่ ทำให้ฝ่ายนั้นอุทานอู้ด้วยความเจ็บปวด
และเผลอปล่อยมือจากเธอ ทำให้แส้หนังในมือซ้ายถูกเปลี่ยนมาถือไว้ที่มือขวา
พร้อมกับสะบัดออกไปแรงๆ และขู่เสียงดังว่า
“ฉันจะไปไหนก็ช่าง แต่ถ้าแกไม่หลีกไป แกตายแน่”
พูดจบก็รู้สึกเหมือนแส้ในมือถูกคนตรงหน้าดึงจนตึง
และได้ยินเสียงดังแควกเหมือนมันกำลังจะขาดที่กลางเส้น พร้อมๆ
กับเสียงห้าวที่ย้อนถาม
“คุณคิดจริงๆ
หรือว่าแส้เส้นเท่าหนวดแมวนี่จะทำอะไรผมได้”
ความคิดเห็น |
---|