3

ตอนที่ 2

2

 

เวลาเจ็ดโมงเช้า ติงเสี่ยวโหรวตื่นขึ้นมาอย่างตรงเวลา

ห้องนอนของเธอให้ความรู้สึกเหมือนห้องนอนของสาวน้อยวัยแรกแย้มไม่มีผิด บนผนังแขวนรูปไว้หลายรูป ซึ่งรูปทั้งหมดนั้นล้วนเป็นรูปติงเสี่ยวโหรวยืนอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยต้นเดิมในฤดูกาลที่ต่างกันไป

เธอพยายามหยัดกายลุกขึ้น ลำคอยังมีอาการปวดอยู่ แม้ใส่เฝือกดามต้นคอไว้ แต่เวลาขยับตัวก็ยังรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มตลอดเวลาคล้ายกับมีมดกลุ่มใหญ่กำลังขนย้ายสิ่งของอยู่ เธอลูบท้องที่กำลังส่งเสียงโครกครากก่อนจะรีบลงจากเตียงแล้วสวมรองเท้าแตะเดินฉับๆ ออกจากห้องนอน

พอมาถึงหน้าประตูห้องน้ำก็ได้ยินเสียงเพลงไพเราะเสนาะหูของเติ้งลี่จวินดังแว่วมาจากด้านใน

เธอทุบประตู “น้าจะนั่งอยู่ในนั้นอีกนานแค่ไหนคะ”

เสียงอ่อนโยนของตู้ลี่หมิงลอยมาจากด้านใน “เพิ่งจะเข้ามาเองนะ”

“น้าช่วยรีบหน่อยได้มั้ย หนูจะไม่ไหวแล้วนะ” ติงเสี่ยวโหรวขมวดคิ้ว

“ไม่ได้หรอก” น้ำเสียงตอบกลับของตู้ลี่หมิงยังคงอ่อนโยน

ติงเสี่ยวโหรวทำได้เพียงหันกลับไปมองห้องนอนใหญ่ซึ่งอยู่เยื้องไปเล็กน้อย ห้องนั้นเป็นห้องของนายหญิงบ้านนี้ อาณาเขตของนายหญิงใช่ว่าจะทะเล่อทะล่าเข้าไปตอนไหนก็ได้ และห้องน้ำเดี่ยวของนายหญิงก็ใช่ว่าอยากจะใช้เมื่อไหร่ก็ใช้ได้ ติงเสี่ยวโหรวล้มเลิกความคิดนั้นไปแล้วพยายามอดทนไว้ก่อน

เสียงโครกครากดังขึ้นอีกครั้ง ในท้องของติงเสี่ยวโหรวปั่นป่วน...คงคิดอะไรมากไม่ได้แล้ว เธอตัดสินใจแล้วว่าเป็นไงเป็นกัน

คิดได้ดังนั้นเธอจึงเดินไปเคาะประตูอย่างแรง

เสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากในห้อง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าไฟโทสะลูกแรกในเช้าอันสดใสของนายหญิงได้ถูกจุดขึ้นแล้ว ไม่ต้องพูดก็เดาได้ไม่ยากว่าประโยคแรกที่จะออกมาจากปากเธอต้องเป็น ‘อยากตายเหรอ!’

และเป็นอย่างที่คิดไว้ ประตูเปิดออก ตู้ลี่ลี่สวมชุดนอนผ้าไหมตัวยาว ใบหน้ามีแผ่นมาสก์หน้าแปะไว้ เธอตะโกนเสียงดัง “อยากตายเหรอ!”

ตู้ลี่หมิงที่อยู่ในห้องน้ำสะดุ้งเฮือกแทบจะในเวลาเดียวกัน

ติงเสี่ยวโหรวกอดตู้ลี่ลี่ไว้แน่น พยายามปลุกเร้าทุกความรู้สึกที่มีพร้อมทั้งแกล้งพูดไปร้องไห้ไป “แม่ หนูฝันร้าย หนูคิดว่าหนูจะไม่ได้เจอแม่อีกแล้ว!”

คำก่นด่าที่เดิมทีกำลังจะพุ่งออกจากลำคอของตู้ลี่ลี่สลายหายไปในพริบตา เธอกลัวลูกสาวในสภาพแบบนี้ที่สุด และยังกลัวที่จะปลอบใจลูกอีกด้วย “แกฝันอะไร”

ติงเสี่ยวโหรวปล่อยมารดาให้เป็นอิสระ เธอชี้ไปที่ห้องน้ำพลางแกล้งทำเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้น “เรื่องมันยาว...เอาไว้หนูเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วจะเล่าให้ฟังนะ!”

ติงเสี่ยวโหรวพุ่งเข้าไปด้านในพร้อมกับกดล็อกประตู

ตู้ลี่ลี่ยืนกระทืบเท้าปึงปังด้วยความโกรธจัดอยู่ด้านนอก “ยายเด็กบ้า แกลองหลอกฉันดูสิ!”

 

ผ่านไปสิบห้านาที ทั้งสามคนจึงมานั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะรับประทานอาหาร ตู้ลี่ลี่กอดอก ไฟโทสะในดวงตายังคงคุกรุ่น ติงเสี่ยวโหรวยัดปาท่องโก๋เข้าปาก ทำเป็นมองไม่เห็น

ตู้ลี่หมิงเทนมใส่แก้ว ติงเสี่ยวโหรวยื่นมือไปรับแก้วนมและกำลังจะพูดว่า ‘ขอบคุณค่ะน้า’ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของตู้ลี่ลี่ดังขึ้น “ไม่ต้องให้กิน!”

ติงเสี่ยวโหรวหดมือกลับ แก้วนมของตู้ลี่หมิงถูกเจ้าตัวดึงกลับไปดื่มเสียเอง

“ทำไมต้องไปเรียนขับรถด้วย” ตู้ลี่ลี่ถาม

“หนูฝันว่าตัวเองได้เรียนขับรถ แม่เคยได้ยินประโยคนี้มั้ย” ติงเสี่ยวโหรวพูดพลางคิดไปด้วยว่าจะรับมือนายหญิงของบ้านยังไงดี

ตู้ลี่ลี่ปรายตามองเธอแวบหนึ่ง

“คนที่ได้พบเจอในความฝัน ตื่นขึ้นมาแล้วให้ไปหา” ติงเสี่ยวโหรวพูดถึงคัมภีร์เล่มหนึ่งด้วยท่าทีลึกซึ้ง พอเห็นว่าตู้ลี่ลี่มีสีหน้าไม่เข้าใจ เธอจึงพูดต่อ “เช่นเดียวกับเรื่องที่ได้พบเจอในความฝัน ตื่นขึ้นมาแล้วก็ต้องทำไง”

ตู้ลี่ลี่นึกโมโห เธอลุกพรวด “มิน่าล่ะ เมื่อคืนฉันฝันถึงแก ได้เจอกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้าในความฝัน ตื่นขึ้นมาฉันก็ต้องไปตบแกสินะ!”

ติงเสี่ยวโหรวรีบกระโดดไปหลบอยู่ด้านหลังน้าชาย

ปกติตู้ลี่หมิงนั้นเข้าข้างติงเสี่ยวโหรวอยู่แล้ว เขาเกลี้ยกล่อม “ค่อยๆ คุยกันสิพี่”

ตู้ลี่ลี่ถลึงตาใส่เขา ตู้ลี่หมิงสะดุ้งอีกครั้ง เขาพยายามผลักติงเสี่ยวโหรวออกจากด้านหลังของตัวเอง “อากาศร้อนขนาดนี้ อย่ามาอยู่ใกล้น้าสิ”

ตู้ลี่ลี่ตบโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ “จะให้ฉันพูดยังไงกับแกดี!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ อีกสองคนที่เหลือก็เริ่มปวดหัว นี่เป็นวลีในการเปิดประเด็นที่ใช้เป็นประจำของตู้ลี่ลี่ หากได้พูดประโยคนี้ออกมาก็เตรียมตัวรอฟังคำเทศนายืดยาวที่จะตามมาได้เลย

“แกไม่รู้เหรอว่าแกเรียนขับรถไม่ได้ เพราะสภาพร่างกายของแกมันเป็นแบบนี้ แกรู้มั้ยว่าการขับรถมันเป็นอันตรายต่อตัวแกขนาดไหน แกเคยคิดถึงความรู้สึกของผู้หลักผู้ใหญ่บ้างมั้ย...” ยิ่งพูดตู้ลี่ลี่ยิ่งโมโห

ติงเสี่ยวโหรวแอบชำเลืองมองเวลาในโทรศัพท์

“หนูจะไปทำงานสายแล้ว!” ติงเสี่ยวโหรวหยิบกระเป๋าแล้ววิ่งออกไป ทิ้งเสียงบ่นของมารดาไว้เบื้องหลังพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง

ใช่ว่าเธอไม่มีคำพูดอะไร แต่เธอแค่พูดออกมาไม่ได้ก็เท่านั้น เธอไม่กล้าบอกมารดาว่าตัวเองอกหัก ในความเป็นจริงมารดาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกำลังมีความรัก และเธอยิ่งไม่กล้าบอกว่าหลังจากที่อกหักแล้วก็ได้รู้ว่าชีวิตคนมันสั้นนัก อยากทำอะไรให้รีบทำ เพราะฉะนั้นเธอถึงได้ไปเรียนขับรถ

พูดแบบสรุปคือ ติงเสี่ยวโหรวเป็นคนกระตือรือร้นไม่ยอมหยุดอยู่กับที่ เธอไม่อยากให้ความเศร้าโศกเสียใจมามีอิทธิพลต่อตัวเองนานเกินไป ดังนั้นตั้งแต่เลิกกันเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ ของวันหยุดสุดสัปดาห์เธอก็ออกจากความเศร้าโศกเพราะการอกหักนั้นได้

ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองดึงดูดสายตาคนอื่นเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นตอนขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินหรือจะเป็นตอนเดินบนถนนเพราะมักจะมีใครหลายคนมองเธอเสมอ ตอนแรกเธอคิดว่าหลังจากที่รถชนแล้วทำให้เธอสวยขึ้นหรือเปล่า ทว่าพอคิดได้ว่าลำคอของตัวเองมีเฝือกอยู่ก็ชักจะไม่แน่ใจสักเท่าไหร่

เธอเป็นคนรักสวยรักงามมาตั้งแต่เด็ก เธอชอบดูพวกนางแบบตัวสูงรูปร่างดีในจอโทรทัศน์และชอบดูเสื้อผ้าที่คนพวกนั้นสวมใส่ด้วย เธอยังเคยเอาผ้าขนหนูมาพันตัวหลังอาบน้ำเสร็จแล้วโพสท่าเป็นนางแบบอยู่บนเตียง ทุกครั้งที่หอบผ้าขนหนูเดินเชิดไปถึงหัวเตียงแล้วหมุนตัวมองกลับมา ติงเสี่ยวโหรวมักจะคิดว่าตัวเองนั้นงดงามราวกับเป็นราชินีของคนทั้งปวง ต่อมาพอได้เข้าเรียนเธอก็แอบซื้อนิตยสารแฟชั่นมาอ่าน ดังนั้นตอนที่รู้ว่ามหาวิทยาลัยเปิดสอนสาขาการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วย เธอจึงรู้สึกเหมือนหาจุดมุ่งหมายของตัวเองพบ ซึ่งมารดาเองก็เห็นด้วย นี่เป็นน้อยครั้งมากที่ท่านจะสนับสนุนทางที่เธอเลือก ทั้งยังบอกอีกว่าพอเรียนจบจะได้มารับช่วงต่อกิจการของครอบครัว

กิจการที่ว่าคือร้านไหมพรมซึ่งตั้งอยู่บนถนนที่ไม่ใช่ย่านธุรกิจในเขตทงโจว มีพื้นที่ทั้งหมดไม่ถึงยี่สิบตารางเมตร ตู้ลี่ลี่และน้องชายร่วมมือกันทำกิจการมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ร้านรวงรอบข้างหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกิจการไปไม่หยุด ทว่า ‘ร้านไหมพรมลี่ลี่’ นั้นยังคงยืนหยัดเปิดกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ นี่คือเรื่องที่ตู้ลี่ลี่ภาคภูมิใจที่สุด 

ติงเสี่ยวโหรวเพิ่งรู้ว่านักศึกษาส่วนมากที่เรียนการออกแบบเครื่องแต่งกายนั้น เป็นพวกที่ทางบ้านเปิดโรงงานอยู่แล้วหลังจากเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ในขณะที่ติงเสี่ยวโหรวยังคงง่วนกับการหาที่ฝึกงาน พวกเขาก็ได้ผลิตเสื้อผ้าที่ตัวเองออกแบบออกมาแล้ว

อาชีพของติงเสี่ยวโหรวในตอนนี้คือผู้ออกแบบตู้แสดงเสื้อผ้า พูดง่ายๆ คือจัดเสื้อผ้าและอุปกรณ์รวมไปถึงเลือกสีสันให้เข้ากันเพื่อจัดแสดงสินค้าหลักตัวใหม่ของแบรนด์ อีกทั้งยังเป็นอาชีพที่กระตุ้นการใช้จ่ายเงินของลูกค้าอีกด้วย สำนักงานใหญ่ของบริษัทอยู่ในย่านธุรกิจของประเทศ ผู้จัดการใหญ่เช่าชั้นที่สิบเจ็ดซึ่งมีทัศนียภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดีเหมาะแก่การทำเป็นสำนักงานไว้...ติงเสี่ยวโหรวเดินตามบรรดามนุษย์เงินเดือนที่แต่งตัวสวยหล่อเข้าไปในอาคารขนาดใหญ่ บางทีเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ทุกคนอาจจะเพิ่งออกมาจากห้องเช่าที่ทั้งเล็กทั้งแคบ ได้กินเจียนปิ่งกั่วจือหรือเครปสไตล์จีนหกชิ้นซึ่งซื้อมาจากริมถนน ทว่าในเวลานี้ทุกคนล้วนดูสดชื่นมีชีวิตชีวาต้อนรับเช้าวันใหม่ นี่สินะพลังของความหวัง

ติงเสี่ยวโหรวขยับตัวอย่างเชื่องช้าเนื่องจากยังเดินเหินได้ไม่ค่อยสะดวกนัก เธอเห็นคนกลุ่มหนึ่งทางด้านหน้ากำลังเดินเข้าไปในลิฟต์จึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

“รอด้วยค่ะ!” ติงเสี่ยวโหรวรู้ดีว่าหากขึ้นลิฟต์รอบนี้ไม่ทัน นั่นหมายความว่าเธอจะต้องไปทำงานสายอย่างแน่นอน ภายในลิฟต์เต็มไปด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายของคนหนุ่มสาว

ติงเสี่ยวโหรวตาเป็นประกายด้วยความดีใจ เมื่อพบว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของลิฟต์คือเพื่อนร่วมงานที่บริษัท ราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต หญิงสาวโบกมือให้อีกฝ่ายพลางจับลำคอแล้ววิ่งไปด้วย

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเพื่อนร่วมงานหนุ่มมองเห็นเธอ ทว่าเขากลับแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและเบนสายตามองไปทางอื่นแทน ทุกคนที่ยืนอยู่ในลิฟต์ไม่มีใครยื่นมือออกมาช่วยกดปุ่มเปิด-ปิดลิฟต์ให้เธอสักคน ในระยะห่างเพียงไม่กี่เมตร ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง คนในลิฟต์อาจจะก้มหน้าลง หรืออาจจะยิ้มขบขันอย่างไม่อาจกลั้นที่เห็นคนอื่นกลายเป็นตัวตลกก็เป็นได้

“นี่! นี่!”

มือของติงเสี่ยวโหรวยังโบกค้างอยู่กลางอากาศ ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปด้านบนอย่างช้าๆ

เพื่อนร่วมงานส่วนมากมาถึงกันแล้ว ติงเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปในบริษัท ทักทายเพื่อนร่วมงานไม่กี่คนที่เดินผ่าน เธอทำเหมือนคนถูกความสำเร็จของการตลาดแบบหลายระดับชั้นล้างสมอง สองมือกำหมัดแน่น เดินกระแทกเท้าปึงปังแล้วพูดติดกันสามครั้ง 

“สู้ๆ! สู้ๆ! สู้ๆ!”

นี่คือคำพูดติดปากของเธอ ในขณะที่ให้กำลังใจคนอื่นก็ยังได้ให้กำลังใจตัวเองไปด้วย

แต่ไม่มีใครตอบกลับมา ทุกคนกำลังวุ่นวายกับงานในมือ ติงเสี่ยวโหรวไม่ได้สนใจ เธอชินแล้วกับชีวิตที่ไม่มีใครแยแส โต๊ะทำงานของตัวเองในหลืบก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าเธอไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ ส่วนมากเธอต้องออกไปร้านนู้นร้านนี้เพื่อจัดการดูแลตู้จัดแสดงเสื้อผ้า ติงเสี่ยวโหรวนั่งลงตรงโต๊ะทำงาน เธอรู้ดีว่าที่ตัวเองเลือกมาทำงานในเวลานี้เพราะไม่อยากเจอหน้าหวังเท่อ ก่อนหน้านี้ พวกเธอจะมาเจอกันที่ด้านนอกบริษัทตอนแปดโมงยี่สิบนาทีเป๊ะๆ ของทุกวัน กินเคเอฟซีราคาแปดหยวนเป็นอาหารเช้าด้วยกันหรือไม่ก็ซื้อข้าวปั้นที่เซเว่นมากิน ในขณะที่คิดย้อนกลับไป ข้อศอกของติงเสี่ยวโหรวก็ถูกอะไรบางอย่างทิ่มเข้า เธอมองลงไปเห็นต้นกระบองเพชรที่เขาตั้งใจซื้อมาให้เธอเพื่อป้องกันรังสีจากคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะตั้งอยู่ตรงนั้น

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

ติงเสี่ยวโหรวเพิ่งจะกดรับ เสียงผู้หญิงจากปลายสายก็ดังขึ้นมาทันที “สวัสดีค่ะ คุณติงเสี่ยวโหรวใช่มั้ยคะ”

“ค่ะ ฉันเอง”

“คืออย่างนี้นะคะ ฉันโทร. มาจากบริษัทประกันภัยค่ะ เรื่องอุบัติเหตุรถชนนั้น ตัวแทนได้ประเมินความเสียหายออกมาแล้วนะคะ โรงเรียนสอนขับรถกับคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง”

“พอดีฉันกำลังประชุมอยู่ เดี๋ยวจะติดต่อกลับไปนะคะ” พูดจบติงเสี่ยวโหรวก็วางสาย เธอยกมือกุมขมับ รู้สึกได้ถึงความวุ่นวาย หญิงสาวมองไปเบื้องหน้าอย่างว้าวุ่นใจก่อนจะรีบชักสายตากลับมาได้ทันโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว เธอก้มศีรษะลง ซ่อนตัวอยู่ตรงโต๊ะทำงานของตัวเอง ท่าทางแบบนี้ออกจะน่าขำนิดหน่อย ดูแล้วคล้ายกับนกกระจอกเทศที่ซุกตัวอยู่ในทะเลทรายไม่มีผิด

เธอเห็นหวังเท่อ แฟนเก่าของเธอเอง

วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เธอกำลังทำงานอยู่ในร้านแห่งหนึ่ง หวังเท่อส่งข้อความมาชวนไปกินข้าวตอนเย็น ในตอนนั้นติงเสี่ยวโหรวคิดว่าในที่สุดวันนี้ก็มาถึง หวังเท่อจะขอแต่งงานกับเธอแล้ว และคำสาปที่ติดตัวเธอมานานหลายปีจะได้ถูกลบล้างไปเสียที

การคาดเดาของติงเสี่ยวโหรวไม่ใช่การเดามั่วๆ ก่อนหน้านี้เธอได้ยินหลายคนพูดกันว่าหวังเท่อขอคำแนะนำเรื่องแบรนด์แหวนเพชรจากเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้หญิง ต่อมาเธอเห็นประวัติการค้นหาบนคอมพิวเตอร์ของเขาประมาณว่า ‘ขอแต่งงานอย่างไรให้โรแมนติกที่สุด’

หลังจากนัดเวลาเรียบร้อยแล้ว ติงเสี่ยวโหรวก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอต่อสายหาชาช่าเล่าความเป็นไปของเรื่องราวอย่างรวบรัด ก่อนจะเริ่มบ่นว่าวันนั้นตัวเองแต่งตัวธรรมดาเกินไป ในสถานการณ์แบบนี้ควรจะแต่งตัวให้สวยถึงจะถูก อย่างไรเสียเธอก็คิดไปไกลถึงขนาดที่ว่าต่อไปจะตั้งชื่อลูกว่าอะไร จะซื้อบ้านเพื่อให้ลูกได้เข้าโรงเรียนดีๆ ที่ไหน ถ้าลูกแต่งงานแล้วไม่กตัญญูจะทำอย่างไรก็ยังไม่ทันได้คิด...ชาช่าเตือนเธอว่าอย่าเพิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งเวลาแบบนี้ยิ่งต้องทำเป็นไม่สนใจ ผู้ชายถึงจะรู้สึกว่าได้รับของมีค่าไป ติงเสี่ยวโหรวเห็นว่ามีเหตุผล เธอเปลี่ยนกระโปรงตัวใหม่ในร้านเงียบๆ เก็บป้ายราคาให้ดีก่อนจะลงมาที่แผนกจำหน่ายเครื่องสำอางเพื่อขอให้ช่างแต่งหน้าให้แล้วออกไปตามนัดอย่างมีความสุข

เมื่อมาถึงร้านอาหาร หวังเท่อก็รออยู่ก่อนแล้ว อาหารทั้งหมดบนโต๊ะล้วนแต่เป็นสิ่งที่ติงเสี่ยวโหรวชอบกินทั้งนั้น เธอนั่งลงพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานต่างจากทุกครั้ง 

‘ทำไมวันนี้ถึงมากินข้าวกับฉันล่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า’

หวังเท่อหัวเราะ ‘กินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยคุยกัน’

ติงเสี่ยวโหรวได้แต่บอกตัวเองว่าในสถานการณ์แบบนี้อย่าได้กินอะไรเยอะนัก ทว่าพอได้จับตะเกียบก็อดไม่ได้ที่จะกินนู่นกินนี่ อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะหาข้ออ้างให้ตัวเองอีกหน่อยว่าเดี๋ยวก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่กินก็เสียดายของแย่

หวังเท่อดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนในใจของติงเสี่ยวโหรวกำลังลิงโลด 

‘นายกำลังคิดอยู่ใช่มั้ยล่ะว่าจะสารภาพออกมายังไง’ 

และในที่สุดหวังเท่อก็ทนไม่ไหว จึงต้องพูดออกมา ‘เสี่ยวโหรว อย่าเพิ่งกิน ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ’

‘ฉันตกลง’ ติงเสี่ยวโหรวพูด

‘หา?’

ติงเสี่ยวโหรวเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดความในใจออกไปจึงรีบอธิบาย ‘ฉันหมายถึง...นายพูดเถอะ’

หวังเท่อกระแอมหนึ่งทีพร้อมกับนั่งตัวตรง มองหญิงสาว “เสี่ยวโหรว ฉันว่าเราดำเนินความสัมพันธ์แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วละ”

สมองของเธอกำลังประมวลผลอย่างหนักว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร เธอคิดแม้กระทั่งว่าหรือนี่จะเป็นการแกล้งอำของอีกฝ่ายก่อนขอแต่งงาน อย่างเช่นหวังเท่ออาจจะพูดต่อ ‘ฉันอยากจะเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบใหม่กับเธอด้วยการเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ’

‘เราเลิกกันเถอะ’ หวังเท่อบอก

ความคาดหวังบนใบหน้าของติงเสี่ยวโหรวยังไม่ทันจะฉายออกมาก็มีอันต้องชะงักไป เละ และเธอก็ไม่ได้คิดเพ้อฝันอะไรอีกแล้ว เธอมองหวังเท่อ อีกฝ่ายมีท่าทีจริงจังเหลือเกิน

‘ฉันชอบลูซี่’

เธอฟังเขาพูดด้วยท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูก ‘ช่วงเวลาที่คบกัน เธอดีต่อฉันมาก เธอมอบความทรงจำดีๆ ให้แก่ฉัน และฉันคิดว่าตัวเองก็ทำเรื่องที่สามารถทำให้เธอได้ไปหลายอย่างแล้ว ฉันคิดอยู่นานมาก แต่ก็ยังรู้สึกว่าลูซี่เหมาะกับฉันมากกว่า ฉันคิดทบทวนอยู่นานมากเลยนะถึงได้คำตอบแบบนี้ เพราะงั้นฉันเลยรีบมาบอกเธอ เพราะไม่อยากให้เธอเสียเวลาไปมากกว่านี้...’

หวังเท่อยังพูดต่อไปอีกหลายคำ แม้ติงเสี่ยวโหรวจะไม่ได้ขัดขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ฟัง เธอรู้สึกว่าอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจกำลังถล่มลงมาทีละน้อย เธอเก็บซ่อนอดีตอันงดงามเหล่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่เอาไว้ในเศษซากปรักหักพัง ไม่สามารถมองเห็นเมืองแห่งความรักที่เคยมีอยู่ตรงนั้นได้อีกแล้ว

ในวันนั้นติงเสี่ยวโหรวแสดงท่าทางยินดี เธอบอกลาอีกฝ่ายอย่างสุภาพแล้วยิ้มพร้อมกับเอ่ยคำลา จากนั้นจึงยืนกรานว่าจะจ่ายเงินเอง ตอนที่เลิกรากัน เธอร้องไห้ฟูมฟายไม่ออก เธอเอาแต่คิดว่ายังไงเธอก็เป็นคนที่ถูกทิ้งจึงพยายามที่จะรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองไว้ ศักดิ์ศรีเป็นสิ่งที่ดี นี่เป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้มาจากตู้ลี่ลี่ผู้เป็นมารดาของเธอ เธอใช้การกระทำบอกกับหวังเท่อว่าตัวเองไม่เป็นไร เธอเลือกที่จะเหยียบย่ำหัวใจที่แตกสลายแล้วเดินจากมาโดยไม่คิดจะหันกลับไปอีก

ตอนนี้หวังเท่อเดินตรงมาที่โต๊ะทำงานของเธอ ติงเสี่ยวโหรวคิดไปต่างๆ นานา หรือว่าไอ้บ้านี่เป็นโรคร้ายรักษาไม่หาย หรือว่าเขาถูกทิ้งแล้วจะกลับมาขอคืนดี ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ทำให้ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกเหมือนได้แก้แค้นทั้งหมด

หวังเท่อหยุดยืนตรงข้างกายเธอ เขายื่นการ์ดเชิญหนึ่งใบมาให้ 

“เสี่ยวโหรว ฉันจะแต่งงานแล้วนะ”

ติงเสี่ยวโหรวยกมือขึ้นตบหน้าหวังเท่อไปหนึ่งฉาดดังเผียะ!

นั่นเป็นแค่จินตนาการของติงเสี่ยวโหรว เธอยังคงเหม่อมองการ์ดเชิญสีชมพูใบนั้นอยู่

“เสี่ยวโหรว?” หวังเท่อเรียกเธอ

ติงเสี่ยวโหรวตื่นจากภวังค์ เธอไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ นั่นทำให้หวังเท่อรู้สึกลำบากใจนิดหน่อย 

“ลูซี่บอกว่าถ้าเธอไม่รับ ลูซี่จะเป็นคนเอามาให้ด้วยตัวเอง”

ติงเสี่ยวโหรวรีบดึงการ์ดเชิญมาถือไว้ทันที เธอหันมองรอบกาย พวกเพื่อนร่วมงานที่แอบดูมาโดยตลอดจึงแสร้งทำเป็นง่วนอยู่กับงานอีกครั้ง หวังเท่อเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกว่าหวังเท่อเหมือนกับเด็กอมมือคนหนึ่ง ที่จำเป็นต้องมีคนเป็นผู้ใหญ่กว่ามาคอยดูแล ถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างดี เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขา ในวินาทีนั้น ติงเสี่ยวโหรวรู้สึกว่าหวังเท่อตัดสินใจไม่ผิด ลูซี่เหมาะสมกับเขามากกว่าเธอ

สองนิ้วของเธอหนีบการ์ดเชิญไว้ รับรู้ได้ว่าท่าทีของตัวเองนั้นแข็งกระด้างคล้ายกับว่าหัวใจของเธอในตอนนี้ด้านชาจนเกือบจะไร้ความรู้สึก

เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับปั้นยิ้ม “ยินดีด้วยนะ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น