บทที่ 3
“มาทำไม”
เสียงห้วนสั้นดุดันตามสไตล์คนพูดดังขึ้นเมื่อลงมาเจอใครบางคนยืนอยู่ในห้องรับแขก ก่อนเจ้าตัวจะเดินไปนั่งบนโซฟาที่มีสองสาวต่างวัยที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันนั่งขนาบข้าง ประโยคแรกที่ได้ยินจากคนเป็นพ่อหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานถึงสามปีมันก็เจ็บดี กวิสราได้แต่คิดอยู่ในใจ
สภาพร่างกายของชายสูงวัยที่นั่งอยู่เบื้องหน้าดูทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ผมสีดอกเลาที่เคยขึ้นแซมอยู่เล็กน้อย ยามนี้ดูจะกลายเป็นสีเดียวที่มีอยู่บนศีรษะ ริ้วรอยเหี่ยวย่นมากมายบนใบหน้าบ่งบอกความแก่ชราของบิดาเธอได้ดี
“พ่อ...สบายดีไหม” แม้จะรู้สึกลำคอตีบตันเมื่อได้เห็นภาพครอบครัวสุขสันต์ของบิดา กวิสราก็ยังคงฝืนพูดออกมาจนได้
“ก็สบายดี จะรู้สึกไม่สบายก็ตอนได้เห็นหน้าแกวันนี้แหละ”
“ถ้าอย่างนั้นเกลต้องขอโทษพ่อด้วยแล้วกันที่มาให้เห็นหน้า”
“รู้ก็ดีแล้ว แกมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย”
“พ่อไม่ต้องกลัวว่าจะได้เห็นหน้าเกลนานหรอก เกลแค่แวะมาเอาของ”
“ของอะไร ที่นี่ไม่เคยมีอะไรเป็นของแกสักชิ้น”
“เกลไม่อยากทะเลาะกับพ่อนะ แค่ตั้งใจแวะมาเอาเครื่องประดับของแม่ พ่อคืนให้เกลเถอะ ในจดหมายที่แม่เขียนทิ้งไว้ให้เกล แม่เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นไว้หมดแล้ว”
ที่ผ่านมาเธอเข้าใจการกระทำของแม่ผิดมาโดยตลอด เมื่ออายุได้สิบแปดปี ในวันที่เธอจบมัธยมปลาย คือวันที่เธอกับพ่อแตกหักกันอย่างแท้จริง สาเหตุเพราะจดหมายเล็กๆ ที่ซุกไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของพ่อ
“แค่เศษกระดาษที่ผู้หญิงแพศยาเขียนขึ้นมามั่วซั่ว แกก็เชื่อเหรอ”
“มั่วซั่วรึเปล่าไม่รู้ อันนี้พ่อก็ดูผลงานบนใบหน้ากี้แล้วกัน ตลกเนอะว่าไหม เรื่องที่เกลมีน้องที่ห่างจากตัวเองแค่สองเดือน ตรงตามที่แม่เขียนอธิบายไว้ในจดหมายทุกอย่างเลย”
“เกล น้าเคยอธิบายเรื่องกี้ให้ฟังแล้วไง หนูยังไม่พอใจเราสองคนแม่ลูกอยู่อีกเหรอ เรื่องมันนานมากแล้วนะ ปล่อยวางเสียที แล้วกลับมาอยู่เป็นครอบครัวกันอีกครั้งเถอะ กี้บ่นคิดถึงเกลทุกวันเลยนะ”
“แม่ กี้ไม่เคยพูดแบบนั้นเสียหน่อย” น้องสาวต่างมารดาพูดแทรกแม่ตัวเองอย่างเสียมารยาท ก่อนจะลอยหน้าลอยตาใส่อย่างไม่กลัวว่าคนฟังจะเสียความรู้สึกสักนิด
หึ
กวิสราได้แต่แค่นยิ้มในใจให้ละครลิงของสองแม่ลูกที่เธอเห็นจนเจนตา
“กี้ เงียบก่อน แม่จะคุยกับพี่เขา”
“พ่อเขาก็เป็นห่วง ลูกผู้หญิงไปอาศัยอยู่ข้างนอกตัวคนเดียวมันอันตราย”
“เกลอยู่มาสามปีแล้ว ถ้ามันอันตรายจริงเกลคงตายไปนานแล้ว เพราะไม่เคยเห็นพ่อออกตามหาเกลสักครั้ง”
“ยายเกล! นี่แม่แกนะ พูดจาให้เกียรติกันมั่ง!” ร่างสูงโปร่งของบิดาลุกขึ้นย่างสามขุม ใช้นิ้วที่สั่นระริกชี้หน้าเธอพลางตะคอกเสียงดัง
“เท่าที่จำได้ เกลไม่เคยมีแม่หน้าตาแบบนี้นะ”
เผียะ!
ฝ่ามือหยาบหนาฟาดใส่ใบหน้าใสอย่างไม่ยั้งแรงจนเลือดซึมติดมุมปาก แต่แทนที่คนเป็นบิดาจะได้เห็นลูกสาวคนโตหลั่งน้ำตาอย่างเคย กวิสรากลับทำเพียงเหยียดยิ้มรับชะตากรรมของตนเองอย่างเฉยเมย
“ด่า พ่อก็ด่าแล้ว ตบ พ่อก็ตบแล้ว สบายใจรึยัง พ่อคืนของที่แม่ยกให้เกลเสียที แล้วเกลจะไม่กลับมาให้พ่อเห็นหน้าอีกเลย เชิญพ่อเสวยสุขบนกองเงินกองทองของตายายที่พ่อหลอกลวงแม่มาให้สบายใจเถอะ”
“แก! แกไสหัวออกไปจากบ้านฉัน! ต่อให้เรื่องในจดหมายที่แม่แกเขียนนั่นเป็นเรื่องจริง ฉันก็จะไม่ยกให้แกแม้แต่สตางค์แดงเดียว!”
ข้าวของใกล้มือเหี่ยวย่นถูกหยิบฉวยขึ้นขว้างปาเพื่อขับไล่ไสส่งลูกสาวคนโตอย่างไม่คิดจะยั้งแรง จนกวิสราต้องถอยหนีเมื่อรู้ตัวว่าคุยกันดีๆ ไม่รู้เรื่องแน่
สองมือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงยามก้าวพ้นรั้วบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของตนเอง ใบหน้าหวานที่มีรอยแดงช้ำเป็นปื้นเงยเชิดขึ้นเพื่อมองท้องฟ้ายามเย็นที่อาบไล้ด้วยแสงสีส้ม ทำให้หวนคิดถึงภาพจำเก่าๆ เมื่อตอนยังเด็ก
‘ฮึก ฮึก ฮือ...แม่ขา อย่าไป! อย่าทิ้งเกลไว้ที่นี่คนเดียว’
ไม่ว่าเด็กน้อยจะกรีดร้องร่ำไห้สะอึกสะอื้นแทบขาดใจปานใด ก็ไม่อาจทำให้มารดาหันหลังกลับมาโอบอุ้ม ปลอบประโลมใจเช่นเคยได้เลย แผ่นหลังบอบบางกับกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนของหญิงสาวร่างอรชรที่ถูกเด็กน้อยเรียกขานว่าแม่มีแต่จะไกลห่างออกไปทุกที
มีเพียงมือกร้านหยาบหนาที่รั้งคอเสื้อยืดตัวบางของเด็กน้อยไว้ไม่ให้วิ่งเตลิดไปไกล การกระทำนั้นไร้ซึ่งความเมตตาและการปลอบโยนใดๆ แม้เด็กน้อยจะขัดขืนจนสุดแรงจนรอบลำคอเล็กเกิดรอยแดงช้ำ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมพ่ายแพ้เพราะไม่อาจสู้แรงผู้ใหญ่ได้อยู่ดี มีเพียงความวิงวอนร้องขอความเมตตาเท่านั้นที่ร่างเล็กพอจะคิดออกได้ในเวลานี้
‘พ่อขา ปล่อยเกล เกลจะไปหาแม่’
ดวงตากลมโตสีดำขลับที่ในเวลาปกติสะท้อนออกมาแต่ความสดใส ยามนี้กลับถูกหยาดน้ำใสกลบจนพร่าเลือน หลงเหลือเพียงความหมองเศร้าที่ไม่ว่าใครเห็นก็อดสงสารไม่ได้ แต่มันกลับไม่สามารถทำให้ชายวัยกลางคนที่รั้งตัวเด็กน้อยไว้รู้สึกสงสารได้เลยสักนิด
มือหยาบที่กำคอเสื้อออกแรงเหวี่ยงของในกำมือทิ้งทันที เมื่อเห็นเจ้าของแผ่นหลังบอบบางที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่ชีวิตกันขึ้นรถหายลับไป เด็กน้อยถูกโยนกลิ้งไปกับพื้น สภาพคล้ายตุ๊กตาผ้าขาดๆ เด็กหญิงหลุดเสียงแหลมเล็กคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด
‘อย่าหวังว่าแกจะได้เจอหน้านังแพศยานั่นอีก! มันหนีไปเสวยสุขกับผัวใหม่มันแล้ว! แกมันก็แค่ขยะที่ไม่มีใครต้องการ!’
ปัง!
ประตูหน้าบ้านปิดลงอย่างแรง เด็กน้อยวัยหกขวบถูกทิ้งไว้ตรงนั้น ข้างกองขยะหน้าบ้าน ร่างเล็กนั่งคุดคู้ ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในบ้าน สองมือโอบกอดเข่าพลางโยกตัวไปมา น้ำมูกน้ำตาไหลอาบแก้มจนใบหน้าเลอะเทอะเกรอะกรัง เสียงแหลมเล็กกระซิบปลอบใจตัวเองบางเบา
‘เดี๋ยวแม่ก็กลับมา เดี๋ยวแม่...ฮึก...กลับ...มา’
จวบจนท้องฟ้าทอประกายเป็นสีส้มอาบไล้ทุกสรรพสิ่ง ฝูงนกรีบกระพือปีกเพื่อบินกลับรัง มีเพียงสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่คล้ายถูกเวลาหยุดไว้ไม่มีเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ยามเช้า เสียงแหบแห้งที่ดังลอดออกมาจากปากเจ้าของร่างเล็ก ตอนนี้เริ่มขาดเป็นห้วงๆ
จนกระทั่ง...
‘เกล มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียว’ เสียงเล็กแหลมแสนคุ้นเคยดังทักเด็กหญิงข้างบ้าน
‘ระ...รอแม่’
‘งั้นเกลมานั่งรอในบ้านแพรก็ได้นะ’
‘ดะ...ได้เหรอ’
‘ได้สิ’
‘จริงเหรอ’
‘อือ เดี๋ยวแพรนั่งรอแม่เป็นเพื่อนนะ’
รอยยิ้มกับความใจดีในวันนั้นของแพรไหม เธอไม่สามารถลบออกไปจากความทรงจำได้เลย
‘แพร...เกลพยายามเต็มที่แล้วนะ’
ความคิดเห็น |
---|