4

โน้ตตัวที่ ๔

โน้ตตัวที่ ๔

 

นฎานั่งตัวสั่นอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน เธอประสานมือที่เปื้อนเลือดเอาไว้แน่นเพื่อช่วยตั้งสติ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ยิ่งบีบแน่นก็ยิ่งสั่น ภาพที่เพื่อนสนิทนอนจมกองเลือดยังคงฝังแน่นอยู่ในสมองจนไม่อาจประมวลผลใดๆ ได้เลย แม้จะเป็นเวลาเกือบตีห้าแล้ว แต่หน้าห้องฉุกเฉินกลับคลาคล่ำไปด้วยญาติของผู้ป่วยที่มีสีหน้าอมทุกข์ไม่แพ้เธอเลย เสียงฝีเท้าขวักไขว่ของแพทย์และพยาบาลที่วิ่งไปมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่พาให้หัวใจของเธอห่อเหี่ยวลงทุกที

เธอเกลียดโรงพยาบาล...

กลิ่นแอลกอฮอล์และน้ำยาฆ่าเชื้อที่ลอยอวลอยู่ในบรรยากาศชวนให้นึกถึงภาพวันที่เธอพามารดามาส่งที่โรงพยาบาลตอนกลางดึกแบบเดียวกันนี้ไม่มีผิด

วันที่เธอได้รู้ความจริงว่าพระเจ้าเบื้องบนโหดเหี้ยมกับเธอและแม่จริงๆ...

“ส่งมือมา”

เสียงทุ้มนุ่มที่ดังจากคนข้างตัวดึงเธอออกจากห้วงความคิด 

“คะ?”

นฎาหันกลับไปมองคนพูดด้วยสีหน้างุนงง เควานยังอยู่ตรงนั้น เขานั่งเอนศีรษะพิงผนังด้านหลัง สองมือกอดอกไว้หลวมๆ และเหยียดท่อนขายาวที่ไขว้กันไว้ด้วยข้อเท้าไปเบื้องหน้าด้วยท่าทางสบายๆ

“ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าระหว่างหูกับสมองของเธอ อะไรมีปัญหามากกว่ากัน”

เควานผินใบหน้าใต้ฮูดมาหาหญิงสาวแล้วทำในสิ่งที่เธอไม่คาดคิด คือดึงมือของเธอมาเช็ดด้วยกระดาษทิชชูแบบเปียกที่เพิ่งดึงออกมาจากซองในกระเป๋าเสื้อฮูด ไม่น่าเชื่อว่าปีศาจที่ดูดิบๆ อย่างเขาจะพกของแบบนี้ไว้กับตัวด้วย

“ฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่ ฉันไม่ชอบกลิ่นเหงื่อ เวลาบินเหงื่อเยอะ ตัวเหนียว”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวอ่านใจเธอออก มือของเขาขยับอย่างคล่องแคล่วทว่านุ่มนวลมาก แน่นอนว่าละเอียดลออมากด้วย เขาเช็ดกระทั่งคราบบริเวณข้างซอกเล็บของเธอด้วยซ้ำ

“คุณ...บินไปไหนมาไหนตลอดเลยเหรอ”

พูดออกไปแล้วนฎาก็อยากกัดลิ้นตัวเองตาย นี่เธอถามอะไรออกไปกันเนี่ย แน่ละ เขามีปีกขนาดใหญ่มหึมาแบบนั้น เขาก็ต้องบินไปทุกที่นั่นละ

“เวลาเหนื่อยๆ ก็นั่งอูเบอร์ แกร็บ แท็กซี่ แล้วแต่ว่ามีอะไรให้เลือก แต่ไม่นั่งมอเตอร์ไซค์ ฉันเกลียดมอเตอร์ไซค์” เพราะมันทำให้เขานึกถึงไอ้พี่ชายสารเลวอย่างคาสรา “เอาละ น่าจะใช้ได้แล้ว ที่เหลือก็ไปล้างอีกหน่อยก็แล้วกัน”

เควานยกมือของหญิงสาวขึ้นดมโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เขาใช้ผ้าที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ จึงทำให้พอกลบกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่ตามผิวหนังไปได้ส่วนหนึ่ง

“ขอบคุณนะคะ”

นฎาพูดเสียงเบาแล้วชักมือหนี ไอร้อนจากลมหายใจของเขายังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้วจนทำอะไรไม่ถูก การทำตัวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขาทำให้เธอสับสนไปหมด เขาพูดจาตะคอกข่มขู่เธออยู่ตลอดเวลา แต่พอจู่ๆ เขามาทำดีด้วย เธอก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรดี

“ขอบคุณทำไม” เควานเลิกคิ้วแล้วเหยียดยิ้มยียวน “ฉันเช็ดมือให้เธอเพราะไม่ชอบให้มีกลิ่นคาวเลือดบนของที่ฉันจะกินต่างหาก”

“หา!” หญิงสาวลุกพรวดขึ้นยืนด้วยท่าทางหวาดผวา เธอมองหน้าคนพูดด้วยแววตาเหมือนตกใจสุดขีด “กะ...กิน? คุณ...จะกิน...”

คำพูดที่ว่า ‘จะกินฉัน’ จุกอยู่ที่คอหอย ใครจะกล้าพูดออกมากันเล่า มันฟังดูมีความหมายแอบแฝงไปในทางอนาจารอย่างไรก็ไม่รู้ 

“กินขนม” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอพลางหยิบปึกธนบัตรที่หนีบไว้ด้วยคลิปสีเงินออกมาแล้วดึงธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทส่งให้เธอหนึ่งใบ “ไปซื้อโค้กกับมันฝรั่งทอดที่ร้านสะดวกซื้อตรงนั้นมาให้ที อ้อ ล้างมือก่อนจับกระป๋องน้ำอัดลมอีกทีก็ดีนะ ฉันไม่ชอบกลิ่นคาวเลือด”

นฎารับเงินมาจากเขาด้วยความรู้สึกเหมือนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี เธอไม่ควรคาดหวังว่าเขาจะมีคุณงามความดีใดๆ ติดตัวอยู่จริงๆ สินะ

“เอาเงินนั่นซื้ออะไรของตัวเองมากินเสียด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งเสียก่อน ฉันขี้เกียจต้องมานั่งดูแลเธออีก รำคาญ”

“ถ้าอย่างนั้น...คุณกลับไปก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันจะอยู่เฝ้าเพื่อนที่นี่เอง แค่นี้ก็รบกวนคุณมากแล้ว”

“อ้อ หมดประโยชน์แล้วก็เลยถีบหัวส่งว่าอย่างนั้นเถอะ ที่ฉันอุตส่าห์แบกเพื่อนเธอยัดใส่รถพยาบาลมานี่ไม่ได้สำนึกบุญคุณเลยว่างั้น”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ก็...ก็คุณบอกว่ารำคาญ ฉันก็เลย...” นฎาอึกอัก ใจจริงแล้วอยากจะตะโกนใส่หน้าเขาด้วยซ้ำว่า ‘รำคาญนักก็ไสหัวกลับไปเลย ไอ้ปีศาจ!’ แต่ไม่กล้า ขืนพูดก็คอขาดกันพอดี

“ที่รำคาญก็เพราะเธอมันสนิมสร้อยอย่างนี้นี่ละ รีบไปซื้อของมาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นฉันได้ฉีกเนื้อเธอกินจริงๆ แน่”

ไม่พูดเปล่าเขายังแสยะยิ้มอวดเขี้ยวยาวโง้งให้หญิงสาวดู ทำเอาเธอสะดุ้งสุดตัว แต่ยังไม่ทันก้าวขาออกเดินไปตามคำสั่ง เสียงตะโกนเรียกก็ดังขึ้นเสียก่อน

“น้ำ!”

นฎาหันกลับไปตามเสียงเรียกก็เห็นเอกภพวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล เขาสวมเสื้อยืดยับๆ กับกางเกงวอร์ม เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งลุกจากที่นอนแล้วตรงมาที่โรงพยาบาลโดยไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งสิ้น

“พี่เอก...”

นฎามองผู้มาใหม่อย่างประหลาดใจ ก่อนจะรีบหันกลับไปมองปีศาจร้ายที่จ้องจะกินหัวเธอทุกลมหายใจเข้าออก แล้วพบว่าเขาหายตัวไปเสียเฉยๆ...เหมือนไม่เคยมีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น

“น้ำเป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม” เมื่อก้าวมาถึงตัวของหญิงสาว เอกภพก็จับไหล่เธอพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อสำรวจตรวจตราอย่างละเอียด “นี่...เลือด...”

“ไม่ใช่เลือดของน้ำค่ะพี่เอก แต่เป็นเลือดของกิ่ง...” นฎามองใบหน้าที่เหมือนจะขาดใจตายไปเสียเดี๋ยวนั้นของชายหนุ่มด้วยความรู้สึกตื้นตันใจเพียงครู่แล้วก็ต้องชะงัก “เอ๊ะ...พี่เอกรู้เรื่องคนร้ายได้ยังไงคะ น้ำ...น้ำไม่ได้บอกพี่เอกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น...”

เอกภพนิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหลุบตาลงเพื่อหลบแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเธอ

“พี่...โทร. หาน้ำไง จำได้ไหม พี่ถามน้ำว่าขึ้นห้องหรือยัง แล้วน้ำก็บอกพี่ว่าอยู่ในรถพยาบาล ได้ยินเสียงหวอดังขนาดนั้นผ่านโทรศัพท์มา ทำพี่ใจแป้วหมดเลย”

“จริงด้วย...น้ำเป็นคนบอกพี่เอกเองว่าจะมาโรงพยาบาลไหน”

เอกภพโทรศัพท์หาเธอตอนที่อยู่ในรถพยาบาลจริงๆ จริงอยู่ว่าเธอตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด เขาสอบถามอะไร เธอก็พูดผิดพูดถูกเหมือนคนตั้งสติไม่ได้ แต่ก็จำได้แม่นยำว่าไม่ได้บอกเขาเรื่องมีคนร้ายบุกเข้ามาทำร้ายกิ่งกาญจน์ถึงในห้องแน่ เหตุผลก็ง่ายมาก เธอกลัวเขาเป็นห่วงแบบนี้อย่างไรเล่า

“แล้วนี่ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ชายหนุ่มขบกรามแน่น นอกจากความห่วงใยที่แสดงออกอย่างชัดแจ้งในแววตาแล้ว หญิงสาวยังมองเห็นความโกรธเกรี้ยวแปลกๆ อีกด้วย “จริงสิ ได้แจ้งความหรือยัง เจ้าหน้าที่ตำรวจว่ายังไงบ้าง”

“แจ้งความแล้วค่ะ พวกคนที่หอพักช่วยกันแจ้งแต่แรกแล้ว เขาเอาเบอร์โทร. ของน้ำให้ตำรวจไป เมื่อสักชั่วโมงก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่งโทร. มาบอกว่าจะเดินทางมาสอบปากคำน้ำที่นี่เพราะน้ำไปที่ สน. ไม่ได้ ต้องอยู่รอดูอาการของกิ่งก่อน” นฎามองสีหน้าของชายหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “พี่เอกรู้อะไรมากกว่าที่น้ำรู้หรือเปล่าคะ หรือว่า...พี่เอกรู้ว่าคนร้ายเป็นใคร”

“เฮ้ย! น้ำ พูดอะไรอย่างนั้น พี่จะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนร้าย พี่ก็รู้เท่าที่น้ำบอกนั่นละ” เอกภพหัวเราะแกนๆ สีหน้าของเขาจืดเจื่อนแปลกไปจากทุกทีจนนฎาจับสังเกตได้ “จริงสิ อาการของกิ่งปลอดภัยแล้วใช่ไหม หมอว่ายังไงบ้าง”

“คุณหมอบอกว่าอาการยังทรงๆ อยู่ ต้องรอดูอีกสักพัก”

แม้เอกภพจะไม่ค่อยถูกกับกิ่งกาญจน์นัก แต่นฎาก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างที่เขาเอ่ยถามถึงตำรวจก่อน ทั้งที่ควรถามถึงอาการของคนเจ็บเป็นอย่างแรกแท้ๆ “คุณหมอให้รอก่อน ถ้ามีอะไรจะให้พยาบาลที่เคาน์เตอร์ประกาศเรียกค่ะ”

“กิ่งต้องปลอดภัยแน่ๆ” ชายหนุ่มคว้ามือข้างหนึ่งของหญิงสาวขึ้นมากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ “แล้วถ้ากิ่งอาการดีขึ้น พี่คิดว่าเราควรย้ายกิ่งไปโรงพยาบาลเอกชนที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีกว่านี้”

“เอ๊ะ ย้ายโรงพยาบาลเหรอคะ” นฎามองคนพูดตาปริบๆ “แต่...”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะ พี่จะออกค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดให้เอง และห้ามปฏิเสธเด็ดขาด” เอกภพรีบพูดเมื่อเห็นหญิงสาวส่ายหน้าแล้วตั้งท่าจะไม่ยอมรับข้อเสนอ “พี่รู้ว่าตอนนี้น้ำกับกิ่งลำบาก อะไรที่ช่วยได้พี่ก็อยากช่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ภาพจำของสองสาวเพื่อนซี้ที่เขารู้จักมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคือเด็กกะโปโลที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ พวกเธออาศัยห้องพักรูหนูเป็นที่ซุกหัวนอนและทำงานพิเศษสารพัดเพื่อหาเลี้ยงปากท้องและส่งเสียตนเองเรียนหนังสือ เงินทองที่นฎาได้มาจากการร้องเพลงถูกนำมาแบ่งส่วนเป็นค่าเช่าที่พัก ค่าเล่าเรียน ค่ากินค่าอยู่และค่ารักษาพยาบาลแม่ที่เจ็บหนัก ส่วนกิ่งกาญจน์ถึงจะเป็นพริตตีที่เริ่มมีชื่อเสียงในวงการอยู่บ้าง แต่เธอก็เหมือนนฎานั่นละ มีค่าใช้จ่ายยาวเป็นหางว่าว จะมีเงินเก็บเสียเท่าไหร่กันเชียว

“พี่เอกคะ แค่พี่เอกเป็นห่วงอยากช่วยพวกเรา น้ำก็ดีใจมากแล้ว แต่น้ำไม่รู้เลยว่าอาการของกิ่งจากนี้จะเป็นยังไง มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ แล้วหลังจากนี้จะต้องจ่ายเพิ่มแค่ไหน น้ำไม่อยากให้พี่ต้องมาพลอยเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย น้ำกับกิ่งเองก็พอมีเงินเก็บกันอยู่บ้าง น่าจะยังพอไหว”

พูดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็นึกเรื่องที่ฐานะทางการเงินของกิ่งกาญจน์อู้ฟู่ผิดหูผิดตาขึ้นมาได้ อีกทั้งเรื่องที่เตรียมจะย้ายจากหอพักไปอยู่คอนโดมิเนียมอีก ซึ่งหมายความว่าเพื่อนของเธอจะต้องมีเงินเก็บอยู่จำนวนหนึ่งแน่ๆ เพียงแต่ตอนนี้เจ้าตัวยังนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องฉุกเฉิน หากมีการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลขึ้นมาบางส่วน เธอก็คงต้องสำรองจ่ายด้วยเงินส่วนตัวที่พอมีไปก่อน 

นฎารู้เรื่องระบบเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นอย่างดี เพราะมารดาเคยนอนพักรักษาตัวนานเป็นเดือน หากเงินไม่พอจริงๆ ก็น่าจะเจรจาของผ่อนชำระได้สักสองสามงวดละน่า...

“อย่าปฏิเสธพี่เลยน้ำ ให้พี่ได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนน้ำบ้างเถอะ น้ำช่วยพี่เอาไว้นะ ถ้าไม่มีน้ำ อัลบัมนั้น...”

“พี่เอกคะ” นฎารีบปรามเสียงเบา เธอเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินสิ่งที่ตนพูดกับชายหนุ่มพลางบีบมือตอบ “อย่าพูดอย่างนั้นเลย พี่เอกต่างหากที่ให้โอกาสน้ำได้ทำสิ่งที่รักแล้วก็ยังได้เงินด้วย”

“น้ำก็รู้ว่ามันไม่จริง พี่เห็นแก่ตัวแค่ไหน น้ำกับพี่รู้อยู่แก่ใจ พี่ขอละนะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวก็ได้ ให้พี่ได้ทำอะไรให้น้ำสักครั้งเถอะ ให้พี่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระน้ำบ้าง”

คำพูดของเขาทำเอาหญิงสาวนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะยอมพยักหน้าอย่างอึดอัดใจในที่สุด นึกแล้วก็สมเพชตนเองนัก เธอมักใจอ่อนกับสีหน้าแววตาแบบนี้ของเขาอยู่เสมอ ถึงลึกๆ จะไม่แน่ใจว่าเขาจริงใจดังที่แสดงออกหรือไม่ แต่เธอก็พร้อมมองข้ามไปด้วยไม่อยากทำให้เขาต้องผิดหวังเสียใจ ไม่สิ...เรียกว่าเข้าข้างตนเองจะดีกว่า

คิดเองเออเองว่าตนคงสำคัญสำหรับเขาแม้เพียงนิดก็ยังดี...

 

“โผล่หัวกลับมาได้แล้วเหรอคะ”

เสียงร้องทักดังขึ้นทันทีที่เอกภพใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้ามาในห้องพักบนคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทตอนช่วงเกือบเที่ยงวัน ชายหนุ่มชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องครัวแล้วเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำแร่ออกมา แต่ยังไม่ทันยกขึ้นดื่มมือเรียวงามของหญิงสาวก็กระชากขวดน้ำไปจากเขาและสาดน้ำใส่หน้าเขาจนเปียกปอนไปหมด

“ลูกนัทถาม ทำไมไม่ตอบ”

ดวงหน้าสวยหวานราวตุ๊กตาเชิดขึ้นอย่างถือดี เอกภพมองตอบกลับมาอย่างเย็นชา แล้วหันกลับไปหยิบน้ำแร่ขวดใหม่ออกมาเปิดดื่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำเอาคุลิกาหงุดหงิดแทบบ้า

“พี่เอก!” เมื่ออีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ หญิงสาวก็กระแทกขวดน้ำลงบนเคาน์เตอร์หินแกรนิตสีดำอย่างเอาแต่ใจ

“ก่อเรื่องเลวระยำไว้ขนาดนั้นแล้วยังคาดหวังให้พี่พูดอะไรอีกงั้นเหรอ” เอกภพดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดมือจนแห้งจากนั้นจึงล้วงเปิดลิ้นชัก หยิบบุหรี่มาจุดสูบโดยไม่สนใจจะเช็ดใบหน้า เส้นผม หรือเสื้อผ้าที่เปียกอยู่เลย 

“หยาบคาย เดี๋ยวนี้พี่เอกกล้าใช้คำพูดหยาบคายกับลูกนัทเหรอ!”

“ที่สาดน้ำใส่พี่นี่คงมารยาทดีมากสินะ” เอกภพแค่นหัวเราะอย่างขมขื่น นี่คือบาปที่เขาต้องชดใช้เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเองสินะ อยากรู้เหลือเกินว่าหากเขาเลือกอีกคนมาเคียงข้าง ชีวิตจะต่างไปจากนี้หรือเปล่า “ต้องให้พี่เขียนรายงานไหมว่าไปเก็บกวาดอะไรแทนเรามาบ้าง”

“เก็บกวาด?” คุลิกาทำเสียงฮึอยู่ในลำคอ “อย่ามาพูดเอาบุญเอาคุณหน่อยเลย พี่เอกน่าจะรู้ว่าต่อให้ลูกน้องของคุณพ่อทำพลาด ลูกนัทก็มีปัญญาเคลียร์เรื่องเองได้สบายอยู่แล้ว พี่เอกแค่ถ่อไปดูมันว่าตายหรือยังต่างหาก”

“แล้วถ้าน้ำตายขึ้นมาจริงๆ ลูกนัทมีปัญญาร้องเพลงเองหรือเปล่าล่ะ” เอกภพพ่นควันสีเทาออกทางจมูก ริมฝีปากได้รูปยกขึ้นนิดๆ มองดูคล้ายกำลังเหยียดยิ้มหยัน “ทุกวันนี้พี่แทบไม่รู้แล้วว่าใครเป็นนักร้องแบ็กอัปกันแน่”

เป็นความจริงที่คุลิการ้องเพลงในอัลบัมเองทุกเพลง แต่อยู่ในสัดส่วนที่น้อยจนแทบนับประโยคได้ ส่วนใหญ่แล้ว เสียงร้องคลอของนฎาดังเสียจนแทบกลบเสียงไร้พลังของเธอมิด ผู้คนแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงจริงของคุลิกาเป็นแบบใด

“พี่เอก!”

“ทำไม รับความจริงไม่ได้เหรอ” เอกภพพ่นควันบุหรี่ใส่ใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของหญิงสาว “รู้ไหมว่าเพราะไอ้อารมณ์ชั่ววูบโง่ๆ ของลูกนัททำให้มีคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องมารับมารับเคราะห์ไปด้วย”

เขาพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ ตราบใดที่เขาอดทนไม่ขย้ำคอคนตรงหน้าได้ โพรเจกต์ในอนาคตที่เขาวางแผนไว้ก็ยังดำเนินต่อไปได้

“ก็จ่ายเงินให้มันไปสิ ลูกนัทบอกแล้วไงว่าจะรับผิดชอบเองทั้งหมด”

หญิงสาวยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ทั้งที่ตอนแรกที่ลูกน้องของบิดาโทรศัพท์มารายงานว่าลงมือผิดฝาผิดตัว เธอตกใจจนแทบล้มทั้งยืน กรีดร้องด่าทอเป็นชุดจนเอกภพมาได้ยินเข้า ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ เขาบึ่งออกจากบ้านไปทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านังเด็กนฎานั่นหอบเพื่อนไปที่โรงพยาบาลไหน

“นั่นก็เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว” เอกภพขยี้ก้นกรองบนเคาน์เตอร์ในแบบที่รู้ว่าคุลิกาเกลียดที่สุด...น่าสังเวชไหมเล่า โกรธแค่ไหนก็เอาคืนได้แค่ทำของที่เธอเลือกมาประดับครัวให้เป็นรอยเท่านั้น “พี่คุยกับทางโรงพยาบาลแล้วว่าให้มาเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดที่เรา ส่วนเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจ พี่คงช่วยอะไรไม่ได้ ลูกนัทไปจัดการเรื่องกล้องวงจรปิดที่จับภาพไอ้ลูกน้องโง่ของพ่อเราได้เอาเองก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มรังเกียจตนเองไม่น้อยที่ทำตัวเป็นนกสองหัว ยืนฟังเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำนฎาอย่างละเอียด เขาไม่เถียงว่าเป็นห่วงหญิงสาวอย่างจริงใจ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่อาจปล่อยให้คุลิกา ‘พัง’ ตอนที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นหน้าที่การงานกับอนาคตในวงการเพลงของเขาเองก็คงไม่แคล้ว ‘พัง’ ไปพร้อมๆ กันนั่นละ

“เรื่องนั้นให้เลขาฯ ของคุณพ่อส่งคนไปจัดการก็ได้”

คุลิกามองคนที่เนื้อตัวเปียกชุ่มตรงหน้าด้วยสายตากึ่งกรุ่นโกรธกึ่งเยาะหยัน สุดท้ายแล้ว...เอกภพก็ต้องเลือกช่วยเธออย่างที่คิดไว้ ที่จริงเธอแค่คิดจะขู่นฎาให้กลัวเฉยๆ ไม่คิดว่านักเลงบ้าเลือดที่ส่งไปจะลงมือเกินเลยเพียงเพราะเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายสู้กลับยิบตา 

น่าเสียดาย...หากคนที่ถูกทำร้ายจนน่วมเป็นนังนฎานั่นก็ดี ความริษยาที่ล้นอกอยู่ ณ ตอนนี้จะได้บรรเทาเบาบางลงได้บ้าง!

“ก็แล้วแต่เราก็แล้วกัน” เอกภพเสยผมเปียกชื้นไปด้านหลังเร็วๆ แล้วถอนใจ “เหนื่อย จะไปอาบน้ำนอนสักงีบ วันนี้คงไม่เข้าไปที่บริษัท...”

ชายหนุ่มชะงักเมื่อเรียวแขนงดงามราวสลักเสลาสอดเข้ามาโอบรัดรอบเอวไว้หลวมๆ แผ่นหลังของเขาแข็งเกร็งขึ้นมาทันทีที่รับรู้ได้ว่าหญิงสาวแนบแก้มแล้วขยับเบาๆ ด้วยกิริยาเหมือนแมวออดอ้อนเจ้าของแบบที่เขาชินชาจนแทบไม่รู้สึกรู้สมอะไรเสียแล้ว

“ปล่อย” เสียงของเอกภพเย็นชาและเหนื่อยหน่าย “ลูกไม้เดิมๆ ใช้ไม่ได้ผลหรอกนะลูกนัท”

“ไม่ปล่อย” คุลิการัดเอวสอบของเขาไว้อย่างดื้อดึง ดวงตาฉายแววอวดดี “แล้วก็ไม่มีวันปล่อยด้วย พี่เอกก็รู้ดีว่าพี่เอกเป็นของลูกนัท”

“อ้อ...แบบที่ลูกนัทเป็นเจ้าของหมา เจ้าของแมวน่ะเหรอ”

เอกภพแค่นหัวเราะเสียงแหบแห้ง เขารู้...ในสายตาของเธอ เขาก็มีค่าเท่านั้นละ เป็นสมบัติที่ไม่ยอมแบ่งปันให้ใคร อย่างน้อยก็จนกว่าจะเบื่อ 

“อย่ามาประชดนะ พี่เอกก็รู้ว่าเรื่องครั้งนี้เป็นความผิดของพี่เอกด้วยเหมือนกัน ลูกนัทมีคิวไปอัดรายการทอล์กโชว์ตอนเย็นแป๊บเดียว พี่เอกก็ดอดไปส่งเด็กนั่นแล้ว แถมยังนั่งเฝ้ามันร้องเพลงอีก จะให้ลูกนัทคิดยังไง”

“ก็คิดเหมือนที่คนปกติเขาคิดกันสิ” ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว เขาพยายามแกะมือของหญิงสาวออก แต่เธอก็เกาะติดแน่นหนึบอย่างน่ารำคาญ “พี่ขอละนะ เลิกทำตัวแบบนี้เสียทีก่อนที่จะมีใครตายขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้พ่อเราใหญ่คับฟ้าก็อย่าลำพองว่าจะจัดการให้เราได้ทุกเรื่อง โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่สามารถปิดแผ่นฟ้าด้วยมือข้างเดียวได้หรอกนะลูกนัท”

ที่จริง...ก็พอทำได้นั่นละ หากมีอิทธิพลมากพอ...

เรื่องที่คุลิกาเป็นลูกหลานจากตระกูลผู้ดีเก่าที่ผันตัวมาเล่นการเมืองนั้นไม่ใช่ความลับของจักรวาลแต่อย่างใด ตอนที่เธอเดบิวต์ในฐานะศิลปินใหม่ๆ บรรดาสื่อมวลชนพากันประโคมข่าวใหญ่โตเสียด้วยซ้ำไปว่าหลานสาวคนเดียวของท่านคชินทร์ อดีตรัฐมนตรีสามสมัยได้ผันตัวเข้าสู่วงการบันเทิง แน่นอนว่าด้วยบารมีของผู้เป็นปู่ทำให้พวกสำนักข่าวหัวใหญ่ๆ ของเมืองไทยเกรงใจอยู่บ้าง จึงไม่เคยนำเสนอข่าวของหญิงสาวในแง่ลบเลย แต่ใช่ว่าพวกสำนักข่าวยิบย่อยที่เกิดใหม่จะเกรงกลัวท่านคชินทร์ที่รามือจากแวดวงการเมืองไปแล้วเสียเมื่อไหร่ ยิ่งคทาธรบิดาของคุลิกาหันมาทำธุรกิจเต็มตัวแทนที่จะสานต่อเส้นทางสายการเมืองด้วยแล้ว นักข่าวรุ่นใหม่จึงมองเพียงว่าเขาเป็นเพียงนักธุรกิจผู้ร่ำรวยล้นฟ้ามากกว่าผู้มีอิทธิพล ต่อให้เลี้ยงนักเลงหัวไม้ไว้ประดับบารมีเป็นฝูงก็ไม่สามารถข่มให้คนยุคห้าจีที่มีโซเชียลเป็นอาวุธกลัวจนหัวหดเหมือนยุคแอนะล็อกได้

“ปิดแผ่นฟ้าไม่ได้ แต่ก็ให้ทุนทำค่ายเพลงกับพี่เอกได้”

คำพูดที่เพิ่งได้ยินทำเอาชายหนุ่มชะงัก แล้วหันกลับไปหาหญิงสาวเหมือนไม่เชื่อหูตนเอง

“ลูกนัทคุยกับคุณพ่อแล้ว คุณพ่อบอกว่าถ้าพี่เอกอยากทำค่ายเพลงจริงๆ ก็ให้เริ่มจากค่ายลูกในเครือของเฮฟเวนก่อน จะได้ลดความเสี่ยงลง คุณพ่อจะไปคุยกับคุณลุงธันว์ให้ ส่วนเรื่องเงินทุน อยากได้เท่าไหร่ก็ค่อยมาว่ากันอีกที”

“แลกกับ?” เขามองหน้าคุลิกาตรงๆ เพราะรู้ดีว่าของฟรีไม่มีในโลก

“ลูกนัทต้องเป็นศิลปินเบอร์แรกของค่ายพี่เอก” หญิงสาวเอื้อมมือไปปัดปอยผมเปียกชื้นที่ปรกหน้าผากของชายหนุ่มออกอย่างเบามือ “จากนั้นพี่จะทำเพลงแนวไหน กับใครก็ตามใจ แต่นักร้องคนแรกของค่ายต้องเป็นลูกนัท”

“ลูกนัทก็เป็นศิลปินของค่ายแม่อยู่แล้ว จะลดตัวลงมาออกงานกับค่ายลูกทำไม”

นั่นผิดความตั้งใจแรกของเขาอยู่นิดหน่อย เขาอยากแยกค่ายเป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นตรงกับใครทั้งนั้น แต่ก็รู้ว่ายาก เพราะเดี๋ยวนี้วงการเพลงไม่ได้ทำเงินเป็นกอบเป็นกำเหมือนยุครุ่งเรืองในอดีต การแยกตัวออกไปบินเดี่ยวโดยไม่มีใครค้ำจุนเลยถือว่าเสี่ยง อย่างน้อยก็ควรมีผลงานฮิตติดหูหรือมีศิลปินฝีมือดีที่ ‘ขาย’ ได้ ถึงเดี๋ยวนี้ช่องทางการขายเพลงจะเปลี่ยนไปเป็นระบบดิจิทัลหรือสตรีมมิงกันเกือบหมดแล้ว ทว่าหากวัตถุดิบในมือดีและจับทางตลาดถูก ก็อาจทำให้เริ่มตั้งหลักได้อย่างมั่นคงไม่ยาก

นฎาคือวัตถุดิบชั้นเลิศนั้น และเธอคือคนที่เขาอยากปั้นให้เป็นศิลปินเบอร์แรกของค่าย ไม่ใช่คุลิกา...

“มันก็เครือเดียวกันหมด จะออกกับค่ายแม่หรือค่ายลูกก็เหมือนกันนั่นละ ยังไงก็อยู่ในความดูแลของคุณลุงธันว์อยู่ดี” คุลิกามองสีหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของชายหนุ่มแล้วคลี่ยิ้มหวาน “ศิลปินเบอร์แรกของค่ายจะใช้เด็กโนเนมได้ยังไง เปิดตัวทั้งทีก็ควรให้มันปังไปเลยสิคะถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นก็มีแต่พัง”

“ลูกนัทลืมอะไรไปหรือเปล่า จะทำเพลงได้ก็ต้องมีนักร้องที่ร้องเพลงได้นะ”

เอกภพพูดเสียงขึ้นจมูก คุลิกายักไหล่แล้วยืดตัวขึ้นประทับจุมพิตบนริมฝีปากเย็นชืดของชายหนุ่ม แม้เขาไม่จูบตอบ เธอก็ไม่สน เพราะรู้ดีว่าต่อจากนี้เธอจะกลับไปเป็นฝ่ายคุมเกมอีกครั้ง

“เราก็มีนักร้องที่ร้องเพลงได้อยู่แล้วนี่คะ”

คำตอบที่เพิ่งได้ยินทำให้คนฟังยืนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ เขาอ่านเจตนาของคุลิกาออกแทบจะในทันที มือทั้งสองข้างค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น

“หมายถึงจะให้น้ำมาเป็นโกสต์ซิงเกอร์ให้อีกเหรอ”

“น้ำของพี่เอกคงไม่ปฏิเสธหรอกมั้งคะ เห็นพี่เอกขออะไรก็ทำให้ทุกอย่างชนิดถวายหัวนี่”

“ไม่ได้”

เอกภพขบกรามแน่นจนขึ้นนูนเป็นสัน เขาเคยตั้งใจไว้แล้วว่าหากเรื่องการตั้งค่ายเพลงที่วาดหวังไว้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เขา ‘อาจจะ’ ปลดแอกนฎาออกการเป็นเงาเสียงและทำเพลงให้เธออย่างจริงจัง เขารู้ดีว่าหากยังปล่อยให้เธอจมอยู่ในวังวนเดิมๆ เช่นนี้ต่อไป ความสามารถที่มีของเธอคงเลือนหายไปในความมืดอย่างน่าเสียดาย เขาต้องรีบดึงเธอออกมาสู่แสงไฟก่อนที่จะไม่มีโอกาส

“ยอมรับเถอะค่ะ ถ้าจะตั้งค่ายเพลงจริงๆ ในอนาคต พี่เอกต้องการชื่อเสียงของลูกนัทกับเสียงของเด็กนั่นเป็นตัวช่วย หรือพี่คิดว่ามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้” คุลิกาลากปลายนิ้วไปบนแผงอกกว้างอย่างยั่วเย้า “ยังไม่ต้องรีบตอบตอนนี้ก็ได้ค่ะ ลูกนัทรู้ว่ามันยาก พี่เอกคงต้องใช้เวลาคิดอีกสักพัก”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาแล้วหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ประกายแห่งความลังเลที่เคลือบอยู่ในแววตาของเขานั้นฟ้องชัดว่าเธอชนะนังเด็กนฎานั่นไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทำไมจะไม่เล่า ก็เธอรู้จักสีหน้าแววตาชนิดนี้ของเอกภพเป็นอย่างดี ต่อให้เขาแสดงออกว่าห่วงใยคนอื่นแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็รักตนเองมากกว่าใครในโลกนี้ทั้งนั้น 

เธอรู้เสมอว่าท้ายที่สุดแล้ว เอกภพจะเลือกอะไร และรู้ด้วยว่าเขาไม่มีวันยอมทิ้งความฝันไปเพื่อนังเด็กกระจอกคนหนึ่งแน่...

เป็นคนที่ฝังลึกอยู่ในใจของเขาแล้วอย่างไร

มีความสามารถมากกว่าเธอแล้วอย่างไร

สุดท้าย เธอก็เป็นฝ่ายชนะอยู่ดี!

คุลิกาจะทำทุกทางเพื่อให้แน่ใจว่านฎาจะต้องถูกกดไว้เป็นเพียงเงาใต้ฝ่าเท้า ไม่มีวันได้เผยอหน้าขึ้นมาเทียบชั้นเธอได้ ต่อให้ต้องใช้วิธีสกปรกกว่านี้ เธอก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย สำหรับคนอื่นคงเป็นเรื่องน่าขันเสียเต็มประดาที่เห็นเธอลดตัวลงไปเล่นงานคนที่ไม่มีอะไรเทียบตนเองได้ ทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือแม้แต่ฐานะทางสังคม แต่กลับมีพรสวรรค์เหนือกว่าเธอชนิดไม่เห็นฝุ่น เธอลงเรียนร้องเพลงกับครูชื่อดังทั้งไทยและเทศมาตั้งแต่เด็ก ทว่าต่อให้มีเทคนิคแพรวพราวอย่างไร เนื้อเสียงและการเข้าถึงอารมณ์เพลงกลับไม่อาจเทียบนังเด็กกระจอกนั่นได้เลย

น่าเจ็บใจชะมัด!

“เลิกพูดเรื่องเหลวไหลได้แล้ว ต่อให้ทำเป็นเฉไฉเปลี่ยนเรื่องพูดยังไง เราก็ยังมีความผิดร้ายแรงติดตัวอยู่ดี” เอกภพตัดบท “พี่ขอละนะ เลิกยุ่งกับน้ำซะ ก่อนที่เรื่องมันจะเลยเถิดไปกันใหญ่”

“พี่เอกก็เลิกยุ่งกับมันสิคะ แล้วลูกนัทจะหยุด” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี “ทำงานกับมันก็ทำไป แต่นอกเหนือจากงาน ห้ามไปยุ่งกับมันอีก ถ้าพี่เอกยอมรับปาก ลูกนัทก็จะรับปากเหมือนกัน”

“ไร้สาระน่าลูกนัท คิดว่าตัวเองเป็นเด็กอนุบาลหรือไง โกรธใครก็เที่ยวบังคับให้คนอื่นโกรธเขาไปด้วย” เอกภพถอนใจอีกคำรบ

“ทำไมคะ รักมันมากนักหรือไง” คุลิกาจ้องเขาเขม็ง “อย่าคิดว่าลูกนัทดูไม่ออกนะว่าพี่เอกคิดยังไงกับมัน”

“เลิกคิดเองเออเองเสียทีเถอะลูกนัท น้ำเป็นแค่รุ่นน้องที่เคยทำวงดนตรีด้วยกันมาก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านี้”

เสียงของชายหนุ่มต่ำพร่าลงหนึ่งระดับ คำปฏิเสธที่เพิ่งเอ่ยออกไปกรีดหัวใจจนแหว่งวิ่น...ต่อให้รักแล้วอย่างไร เขามาไกลเกินกว่าที่จะหันหลังกลับไปยังจุดเริ่มต้นแล้วไม่ใช่หรือ คืนวันที่เคยร้องเพลงด้วยกันตอนติดฝนที่ป้ายรถเมล์ยามดึกก็ผ่านมาเนิ่นนานจนเหลือเพียงภาพเลือนรางไม่ต่างจากหมอกควัน

ความทรงจำงดงามที่เป็นเหมือนฝัน พลันสลายหายไปเมื่อยามลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับโลกแห่งความจริงอันโหดร้าย...

“ให้มันจริงเถอะค่ะ อย่าให้ลูกนัทจับได้ทีหลังก็แล้วกัน” คุลิกามองเขาด้วยสายตาคาดโทษ

“ถ้ายังไม่เลิกบ้าก็ตามใจ พี่จะไปอาบน้ำนอนแล้ว”

เอกภพหลบตา แล้วรีบสาวเท้าตรงไปยังห้องนอนโดยไม่สนใจเสียงพูดที่ดังไล่หลังมาอีก ในหัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดระคนสับสนวุ่นวาย

พี่ขอโทษนะน้ำ หากไม่เป็นเพราะพี่ น้ำก็คงไม่ต้องมาเดือดร้อนแบบนี้...

หากไม่เป็นเพราะพี่ น้ำก็คงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ไปแล้ว...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น