5

โน้ตตัวที่ ๕

โน้ตตัวที่ ๕

 

นฎาเดินโผเผกลับมายังห้องพักตอนเกือบบ่ายสามโมงเย็นแล้ว เธออดนอนมาทั้งคืน ได้แต่นั่งสัปหงกแบบหลับๆ ตื่นๆ ในแท็กซี่มาตลอดทางจึงรู้สึกไม่ค่อยสดชื่นนัก เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ จนเหมือนจะระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนั้น แถมศีรษะของเธอยังหนักอึ้งราวกับจะปักทิ่มลงบนหมอนได้ตลอดเวลา ติดตรงที่สภาพห้องของเธอในยามนี้ไม่เอื้ออำนวยให้พักอาศัยได้เสียด้วยซ้ำไป

หญิงสาวกวาดตามองข้าวของที่ถูกรื้อกระจัดกระจาย และคราบเลือดแห้งกรังบนพื้นห้องด้วยความรู้สึกยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ภาพเหตุการณ์อันน่าสะพรึงที่ลอยย้อนกลับเข้ามาในสมองพานทำให้แข้งขาสั่นไปหมด เธอต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากที่จะมุดข้ามเทปกั้นที่เกิดเหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจติดเอาไว้เพื่อเข้าไปหยิบข้าวของส่วนตัวด้านใน ตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมให้เธอเข้าไปยุ่มย่ามใน ‘สถานที่เกิดเหตุ’ เดือดร้อนป้าเตือนใจเจ้าของหอพักต้องมาเจรจาต้าอ่วยกับเจ้าหน้าที่ให้ด้วยความสงสาร เพราะรู้ดีว่าเธอไม่ได้มีเสื้อผ้าหรือของใช้ส่วนตัวมากนัก อีกทั้งเจอเรื่องเสียขวัญมาทั้งคืนแล้ว อย่างน้อยก็ควรได้อาบน้ำชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยก็ยังดี

“ไหวไหมหนูน้ำ”

เตือนใจมองใบหน้าซีดขาวของนฎากับสภาพเละเทะของหอพัก ใจหนึ่งก็เสียดายประตูและเครื่องเรือนที่พังวอดวาย แต่อีกใจก็รู้สึกโล่งอกที่ไม่มีใครเป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะเท่านี้ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตำหนิเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตแล้วว่าระบบรักษาความปลอดภัยของหอพักแห่งนี้หละหลวมมาก กล้องวงจรปิดก็เก่าตกรุ่น มิหนำซ้ำยังเสียหลายจุด ไม่อาจบันทึกภาพคนร้ายชัดๆ ไว้ได้เลย

แปลก...เตือนใจจำได้ว่าเพิ่งให้ช่างเข้ามาเช็กระบบไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง ก็ยังใช้ได้อยู่ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเสียได้กันเล่า ถึงหอพักของเธอจะมีอายุอานามสิริรวมเกือบสิบห้าปีแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าโกโรโกโสนักหรอก เธอคอยดูแลเอาใจใส่เรื่องความสะอาดและคอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยให้ผู้เช่าอยู่เสมอ ไม่เคยปล่อยปละละเลยอย่างที่ตำรวจค่อนขอดเสียหน่อย

“น้ำยังค่ะไหวค่ะป้า”

นฎากระพุ่มมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม เธอมึนตื้อ ไม่รู้ว่าควรเริ่มหยิบของชิ้นไหนก่อนดี ในเมื่อทุกอย่างกองรวมกันเละเทะไปหมด กลิ่นคาวเลือดที่ยังลอยคละคลุ้งอยู่ในบรรยากาศพาให้รู้สึกคลื่นเหียนจนปวดมวนในท้องไปหมด

“ให้มันจริงเถอะ เราน่ะชอบฝืนทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย” เตือนใจระบายลมหายใจยาวอย่างหนักหน่วง เธอเห็นนฎามาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจนเรียนจบ จึงรู้สึกเหมือนหญิงสาวเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง “แล้วกิ่งเป็นยังไงบ้าง รู้สึกตัวหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ แต่ตอนนี้คุณหมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้วก็พอโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง พี่เอก...น้ำหมายถึงรุ่นพี่ของน้ำน่ะค่ะ เขาเลยจ้างพยาบาลพิเศษมาสแตนด์บายไว้ให้ แล้วให้น้ำกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน น้ำว่าช่วงค่ำๆ จะกลับไปที่โรงพยาบาลอีกที”

“อ้อ...พ่อหนุ่มคนที่เคยมารับมาส่งเราประจำนั่นเอง”

เตือนใจพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เธอได้ยินจากคนที่เห็นเหตุการณ์ว่าเมื่อคืนนฎาพา ‘แฟนฝรั่งรูปหล่อ’ มาด้วย และเป็นคนละคนกับพ่อหนุ่มที่เคยมารับมาส่ง ตอนแรกก็คันปากอยากจะแซวอยู่หรอก แต่หลังจากเห็นสภาพอิดโรยของหญิงสาวแล้ว จึงคิดว่าเก็บไว้ชวนคุยวันหน้าจะดีกว่า

“เดี๋ยวถ้าน้ำจะไปโรงพยาบาล ป้าจะไปเป็นเพื่อนนะ ตอนนี้ก็เก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นแล้วย้ายขึ้นไปห้องชั้นบนก่อนก็แล้วกัน เด็กนักศึกษาที่เรียนจบเพิ่งย้ายออกพอดี ป้าให้คนทำความสะอาดไว้แล้ว ส่วนห้องนี้ไม่ต้องห่วงนะ ป้าจะเอาแม่กุญแจมาคล้องไว้ ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาอนุญาตให้เอาเทปกั้นออกเมื่อไหร่ ป้าจะให้ช่างมาซ่อมประตูห้องน้ำแล้วมาช่วยเก็บกวาดอีกที”

“ขอบคุณป้ามากๆ เลยค่ะ แต่น้ำเก็บกวาดเองได้นะคะ แค่นี้ก็ทำให้ป้ากับคนอื่นๆ เดือดร้อนกันมากแล้ว”

หญิงสาวยกมือไหว้เตือนใจอีกครั้งจนเจ้าตัวต้องรีบคว้ามือของเธอไว้

“โอ๊ย ไหว้หนเดียวพอแล้วลูก ป้ากับคนอื่นๆ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเดือดร้อนนะ โจรขึ้นหอพักคือเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกัน ครั้งนี้เป็นกิ่งกับน้ำที่โชคร้าย ถ้ายังจับโจรไม่ได้ ครั้งหน้าอาจเป็นคนอื่นๆ ในหอนี้ก็ได้”

เจ้าหน้าที่ตำรวจไล่สอบปากคำผู้เช่าทุกคนอย่างละเอียดก็จริง แต่ก็เป็นไปตามขั้นตอนและไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนรำคาญใจทั้งสิ้น การที่เจ้าหน้าที่ดูกระตือรือร้นในการตามหาเบาะแสคนร้ายช่วยทอนความกังวลและหวาดกลัวของผู้เช่าไปได้มาก ทุกคนจึงเต็มใจให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

“ป้า” หลานชายวัย ๑๕ ปีของเตือนใจยื่นหน้าเข้ามาในห้องอย่างกลัวๆ กล้าๆ เพราะผู้เป็นป้าสั่งไว้ว่าห้ามเข้ามาในที่เกิดเหตุเป็นอันขาด แม้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตรวจสอบและเก็บหลักฐานไปแล้วก็ตาม “พี่ๆ ที่ชั้นสี่บอกว่าช่องเคเบิลดับ ไม่รู้เป็นอะไร”

“เออๆ ป้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เตือนใจโบกมือไล่หลานชาย ถึงเขาจะโตแล้ว แต่สภาพของห้องที่เห็นอยู่ ณ ขณะนี้ก็ไม่ชวนมองเอาเสียเลย “น้ำเก็บของไปก่อนนะลูก เดี๋ยวป้ามา”

หญิงสาวพยักหน้ารับ เธอรอจนเตือนใจเดินออกไปแล้วจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบสมุดบัญชีธนาคารที่ซ่อนไว้ด้านในสุดออกมาพลิกดูทีละหน้า แม้จะมีเงินเก็บอยู่ไม่มากนัก แต่ก็น่าจะพอสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กิ่งกาญจน์ได้ในกรณีฉุกเฉินอยู่บ้าง จะหวังพึ่งแต่ความช่วยเหลือจากเอกภพอยู่ฝ่ายเดียวคงไม่เหมาะนัก ต่อให้เขายืนยันว่าเต็มใจเพียงไหน ก็ควรรู้จักเกรงใจและคิดหาหนทางช่วยเหลือตนเองก่อน

ไม่มีใครหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ใครไปตลอดชีวิตได้หรอก ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนถึงจะถูก

“มีเงินแค่นี้เองเหรอ จ๊น...จนนะเราน่ะ”

เสียงทุ้มน่าฟังดังขึ้นพร้อมกับเงาดำทะมึนทาบทับมาจากทางด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่นฎาจะหันกลับไปมอง มือเรียวสวยราวกับมือของสตรีทว่ามีขนาดใหญ่กว่ามากก็ยื่นข้ามไหล่มาดึงสมุดบัญชีธนาคารไปจากเธอเสียก่อน

“เอ๊ะ...คุ...คุณ...” ทันทีที่เห็นว่าอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญเป็นใคร ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างอย่างตื่นตกใจ เขายังสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกันกับเมื่อคืน ทว่าดูไม่มีร่องรอยของความเหนื่อยอ่อนใดๆ ให้เห็นเลยสักนิด “เค...เควาน...นี่คุณ...เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่...”

เธอคงไม่จำเป็นต้องถามกระมังว่าเขาเข้ามาได้อย่างไร จากการพบกันสองครั้งที่ผ่านมา เขาปรากฏตัวขึ้นเหมือนจู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาจากอากาศธาตุอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

คำตอบยียวนจากชายหนุ่มเจ้าของชื่อไม่เกินความคาดหมายของนฎานัก เขาเคยพูดดีๆ เสียที่ไหนกันเล่า

“ขอสมุดบัญชีคืนด้วยค่ะ”

หญิงสาวแบมือ เธอทำได้มากที่สุดเท่านี้ละ ใครจะกล้าแย่งของจากมือของเขากันเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือที่มีกรงเล็บยาวโง้งพร้อมฉีกเนื้อเถือหนังเธอแบบนั้น!

“งกจริ๊ง เงินแค่นี้ยังไม่พอซื้อรองเท้าฉันข้างหนึ่งเลยด้วยซ้ำ” เควานแบะปาก โยนสมุดบัญชีคืนใส่หน้าคนตัวเล็กกว่า แล้วหันไปยังตู้เสื้อผ้าอีกด้านที่เปิดค้างอยู่ ด้านในมีพวกเสื้อผ้า กระเป๋า และเครื่องประดับแบรนด์เนมวางเรียงกันอยู่หลายชิ้น “ดูๆ ไปแล้วเพื่อนของเธออู้ฟู่ไม่เบานี่ ไม่น่าคบกับคนกระจอกแบบเธอได้เลยนะ”

“คุณกลับไปก่อนได้ไหมคะ ฉันเหนื่อยจริงๆ” นฎาถอนใจ ถามว่ายังกลัวเขาอยู่ไหม ตอบเลยว่ามาก แต่เวลานี้เธออ่อนแรงเกินกว่าจะให้เขารังแกเธอเล่นเพื่อความบันเทิงแล้ว

“ฉันใจดีด้วยหน่อยก็เอาใหญ่เชียวนะนาดา คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ต่อรองกับฉันด้วยหรือไง”

เควานดีดหน้าผากกลมมนของหญิงสาวดังเผียะจนเป็นรอยแดง ก่อนจะแยกเขี้ยวยาวโง้งขู่ ทำเอาเธอต้องผงะถอยหลัง ศีรษะกระแทกเข้ากับชั้นวางในตู้ดังตึง

“ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ต่อรองกับคุณหรอก แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยมากจริงๆ ฉันไม่ไหวแล้ว” นฎาคลึงศีรษะด้านหลังป้อยๆ แรงกระแทกเมื่อครู่แม้ไม่แรงนัก แต่ก็ทำเอาเห็นดาวอยู่เหมือนกัน “ฉันขออาบน้ำแล้วก็นอนเงียบๆ สักชั่วโมงสองชั่วโมงได้ไหมคะ ได้โปรดเถอะ”

เมื่อร่างกายอ่อนล้าถึงขีดสุด หญิงสาวก็ไม่สนอีกแล้วว่าตนเองกำลังต่อปากต่อคำอยู่กับคนหรือปีศาจ สมองและร่างกายของเธอถูกความตึงเครียดตลอดคืนที่ผ่านมาดูดพลังงานไปจนหมดสิ้น

“ได้” เควานยักไหล่ พลางใช้เท้าเขี่ยข้าวของที่กองอยู่บนพื้นอย่างไร้มารยาทที่สุด “หาแหวนมาคืนฉันก่อนสิ แล้วฉันจะไป”

“แหวนนั่นมันคงสำคัญต่อคุณมาก ฉันเองก็อยากรีบๆ หามาคืนให้คุณจะแย่ แต่ขอฉันอาบน้ำนอนพักสักงีบไม่ได้เหรอ” นฎาอยากร้องไห้เต็มแก่ “ฉันเหนื่อย ฉันหิว ฉัน...”

พูดได้เพียงเท่านั้น หญิงสาวก็เข่าอ่อน ทรุดลงนั่งบนพื้น ภาพที่เห็นรอบด้านกลายเป็นสีดำสลับกับแสงสว่างวูบวาบ หูของเธอมีเสียงวี้ๆ ดังอยู่เป็นระยะจนแทบไม่ได้ยินเสียงสบถเหยียดยาวของคนที่ยืนค้ำศีรษะอยู่ แต่ก็พอเดาออกว่าหยาบคายเอาเรื่อง 

“สำออยจริ๊ง”

สิ่งแรกที่ได้ยินหลังเสียงวี้ๆ ในโสตประสาทเงียบลงทำเอานฎาอดก่นด่าปีศาจปากร้ายอยู่ในใจไม่ได้ แน่ละ...ใครจะกล้าพูดต่อหน้าเขาตรงๆ กันเล่า!

“สภาพห้องแบบนี้เธอยังจะหลับเข้าไปลงอีกเหรอ หรือเคยชินกับการนอนในกองขยะอยู่แล้ว?”

“คุณนี่มัน...” นฎาพูดเสียงแหบโหย อยากด่าเขากลับแรงๆ ใจจะขาด แต่กลัวจะคอขาดเสียก่อน “ป้าเจ้าของหอพักหาห้องไว้ให้ฉันข้างบนอีกห้องหนึ่ง”

เธอเงยหน้าขึ้นมองเควาน ก็เห็นว่าเขามองตอบกลับมาด้วยสายตาเย็นชาจนน่าขนลุก สีเขียวอมเทาราวผืนน้ำที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกดึงความทรงจำของฝันร้ายให้กลับมาสู่ห้วงความคิดของเธออีกครั้ง แม้การพบกันครั้งหลังนี้เขาจะดูน่ากลัวน้อยลงมาก แต่ก็ยังไม่อาจลืมได้ว่าตัวตนของเขาที่ปรากฏในห้วงฝันทำให้เธอกรีดร้องจนสะดุ้งตื่นกลางดึกมานานแรมเดือน

“อ้อ ย้ายจากกองขยะหนึ่ง ไปอีกกองขยะหนึ่งว่าอย่างนั้นเถอะ” เควานกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มเยาะ “แต่ก็เอาเถอะ มันก็เหมาะสมกับเธอดี”

“เดี๋ยว...คุณ...”

นฎาร้องไม่ออก ตอนที่วงแขนแข็งแรงช้อนตัวเธอจนลอยหวือขึ้นจากพื้นราวเป็นเพียงตุ๊กตายัดนุ่นไร้น้ำหนัก ร่างกายของเธอแข็งเกร็งยามที่ถูกอุ้มไว้แนบอก เธออ่อนแรงเกินกว่าจะดิ้นรนขัดขืน จึงทำได้เพียงใช้มือดันเขาออกห่างนิดหนึ่งเพื่อสร้างช่องว่างระหว่างกันบ้าง ผิวกายของเขาร้อนมาก ร้อนเสียจนแก้มที่ซีดขาวที่อังไออุ่นจากเนื้อตัวของเขาอยู่กลายเป็นสีแดงสุกปลั่งขึ้นมาได้

“จะ...จะทำอะไร...ปล่อย...ปล่อยฉัน...”

“งี่เง่าอะไรอีกเล่า อยากนอนก็จะพาไปนอนไง” เควานทำหน้าเมื่อยแล้วกระชับวงแขนแน่นเข้าจนหญิงสาวตัวสั่น “อย่าสะดีดสะดิ้งนักเลยน่า ทำอย่างกับมีปัญญาเดินเองอย่างนั้นละ”

“ฉัน...ฉัน...เดินเองได้ แค่ให้ฉันนั่งพักสักเดี๋ยว ฉันก็ไหวแล้ว” มือที่วางอยู่บนแผงอกหนาหนั่นของเขาสั่นสะท้านจนเขารับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของเธอ “คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันสัญญาว่าจะตื่นมาหาแหวนให้คุณแน่ๆ”

“ฉันไม่เชื่อคำสัญญาพล่อยๆ ของมนุษย์หรอกนะ นาดา” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบชวนเสียงสันหลังไม่ต่างจากประกายวูบวาบในดวงตา “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปลิ้นปล้อนที่สุดแล้ว เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่มีที่สิ้นสุด”

“ว่าแต่มนุษย์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ปีศาจอย่างคุณก็เปลี่ยนใจแทบตลอดเวลาเหมือนกัน ไหนว่าให้เวลาฉันสามวัน แล้วอยู่ๆ มาคอยตามจี้ฉันว่าจะเอาให้ได้ดังใจเดี๋ยวนี้ ฉันทำตัวไม่ถูกเลย”

“ปากเก่งเหมือนกันนี่เธอ” เควานหรี่ตามองเจ้าของร่างผอมบางในอ้อมแขนแล้วแสยะยิ้ม “ฉันเป็นปีศาจนะ จะโกหกปลิ้นปล้อนกะล่อนตอแหล หรือทำตัวโคตรชั่วไร้ศีลธรรมจรรยาแค่ไหนก็ได้”

“แปลว่าคุณไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญาก็ได้ ถูกไหม” พูดถึงตรงนี้มือไม้ที่เย็นเฉียบอยู่แล้วของหญิงสาวก็ยิ่งเย็นจนแทบกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง “ไม่ว่าคุณจะได้แหวนหรือไม่ได้แหวนกลับคืนไป คุณก็อาจจะ...ฆะ...ฆ่า...ฉันอยู่ดี...”

ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองเสี้ยวหน้านิ่งขึงของเจ้าของอ้อมแขนอย่างหวาดหวั่น

“คิดว่าไงล่ะ เธอคงต้องเสี่ยงดวงเอาแล้วละหนูน้อย ว่าจะอยู่หรือตาย” เควานเลิกคิ้วซ้ายขึ้นนิดๆ “แต่วันนี้ฉันใจดี จะยอมให้เธอนอนพักก่อนแล้วค่อยตายทีหลัง”

เขาพูดพลางใช้เท้าดันบานประตูห้องให้เปิดออกแล้วอุ้มหญิงสาวออกไปด้านนอก

“ขออาบน้ำก่อนด้วยได้ไหมคะ จะได้ตายแบบสะอาดๆ ตอนมีคนมาเก็บศพจะได้ไม่ดูทุเรศนัก”

เธอเหนื่อยจนเริ่มปลง ไหนๆ ถ้าจะต้องตายจริงๆ ก็ขอให้ตายแบบดูดีหน่อยเถอะ

“เธอนี่ตลกดีนะ”

เป็นครั้งแรกที่นฎาเห็นเควานหัวเราะด้วยสีหน้าเหมือนมนุษย์ปกติอย่างเหลือเชื่อ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับเป็นปีศาจร้ายผู้มีใบหน้างดงามและเย็นชาดังเดิม 

“เอาละ เห็นแก่ที่เธอทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ฉันจะสงเคราะห์ด้วยการอาบน้ำให้เธอเองก็แล้วกัน รับรองว่าสะอาดหมดจด ไม่ดูอนาถตอนที่มีคนพบศพเธอแน่”

“หา?” หญิงสาวทำหน้าตื่น “ไม่เอา!”

“ไม่เอาอะไร ก็ ‘เอา’ ไปแล้วไม่ใช่เรอะ” เควานเลิกคิ้วนิดๆ แล้วกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มสื่อความนัย นอกจากจะพูดไทยชัดแจ๋วแล้ว เขายังรู้ความหมายสองแง่สองง่ามแสนหยาบคายของสิ่งที่ตนเองพูดเป็นอย่างดีจนนฎาอยากร้องกรี๊ดใส่หน้าเขานัก “ยังจะอายอะไรอีก ฉันเห็นมาหมดแล้ว...”

ชายหนุ่มชะงักครู่หนึ่งเมื่อมุดออกมาจากเทปกั้นหน้าห้องแล้วพบเข้ากับสายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้ร่วมพักอาศัยในหอพัก บางคนแง้มประตูไว้นิดๆ แล้วยื่นหน้าออกมามอง บางคนก็ยืนจ้องกันโต้งๆ อย่างไม่คิดปิดบัง เล่นเอานฎาทำหน้าไม่ถูก อีกประเดี๋ยวคงได้ลือกันไปทั่วแน่ 

แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่ต้องอยู่กับเขาตามลำพังสองต่อสอง...

“คุณ...ปล่อยฉันลงเถอะ ฉันขอร้อง” หญิงสาวกระซิบ “แล้ว...แล้วฉันก็ยังไม่ได้หยิบเสื้อผ้าข้าวของส่วนตัวออกมาจากห้องเลย...”

“ก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไรนักหนาไม่ใช่หรือไง ในตู้เสื้อผ้าเธอมีแต่ขยะทั้งนั้น” เควานยักไหล่พลางก้าวขาเดินขึ้นบันไดโดยไม่สนใจสายตาอ้อนวอนของคนในอ้อมแขน 

“แต่...แต่ในตู้เสื้อผ้าของเพื่อนฉันมีนะ” นฎาเห็นช่องทางรอดจึงรีบพูดเสียงสั่น “ฉัน...ฉันต้องเก็บของพวกนั้นให้กิ่งด้วย...”

“อ้อ รู้เหมือนกันเรอะว่าของพวกนั้นมีค่า” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “แล้วเธอไม่เอะใจบ้างหรือไง ว่าทำไมโจรถึงไม่ค้นหรือหยิบของพวกนั้นจากตู้เสื้อผ้าของเพื่อนเธอเลยสักนิด”

“เอ๊ะ?” สมองของนฎาอ่อนล้าเกินกว่าจะตามคำพูดและความคิดของเขาทัน “คุณ...พูดเรื่องอะไร...”

“เธอนี่ไม่ใช่แค่หน้าตาดูโง่นะ แต่โง่จริงๆ ด้วย” เควานกลอกตา “การที่คนร้ายไม่ได้แตะต้องของมีค่าของเพื่อนเธอเลยแบบนั้น หมายความว่าพวกมันไม่ได้ประสงค์ทรัพย์ แต่มันต้องการเล่นงานคนต่างหาก”

“เล่นงานคน? เล่นงานทำไม พวกเราไม่ได้มีเรื่องกับใครเสียหน่อย” หญิงสาวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “บางที...คนร้ายอาจจะตกใจที่พวกเรากลับมาก็เลยไม่ทันได้หยิบอะไรไปก็ได้...”

“หรือไม่ก็รอเล่นงานเธออีกคน” ชายหนุ่มหลุบตามองใบหน้าซีดขาวของนฎา “ฉันว่าไม่เธอก็เพื่อนเธอจะต้องไปเหยียบตาปลาใครสักคนแล้วละมั้ง ท่าจะเหยียบแรงมากเสียด้วย ถึงได้คิดเอากันถึงตายแบบนี้”

 

“นังลิน! นังสารเลว!”

เสียงตะโกนที่ดังมาจากบ้านไม้สองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ที่ตั้งอยู่สุดซอย ทำให้นฎาต้องเร่งฝีเท้าในรองเท้านักเรียนเปื้อนโคลนวิ่งฝ่าสายฝนไปยังปลายทางให้เร็วขึ้น ร่างผอมบางราวกับจะปลิวลมเปียกปอนไปหมด แต่เสียงกรีดร้องสลับกับเสียงขว้างปาข้าวของทำให้เธอไม่มีเวลาใส่ใจตนเองนัก เธอวิ่งสุดฝีเท้าผ่านรั้วเหล็กที่มีสนิมเกรอะกรังเข้าไปในบ้าน

“อย่าทำแม่ฉันนะ!”

นฎาโยนกระเป๋านักเรียนทิ้ง แล้วกระโจนเข้าไปผลักชายร่างใหญ่ที่กำลังใช้มือหนึ่งกระชากเรือนผมยาวของมารดาจนหน้าหงาย ส่วนอีกมือเงื้อง่าขึ้นสูงหมายจะฟาดลงไปบนใบหน้าของเหยื่อเคราะห์ร้าย นฎาตัวเล็กกว่ามาก แต่เธอใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีโถมเข้าใส่ เขาจึงล้มหงายก้นจ้ำเบ้ากระแทกพื้นดังโครม

“นังน้ำ!”

เสียงคำรามดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมๆ กับที่หางเปียยาวจดเอวของนฎาถูกกระชากเต็มแรงจนรู้สึกเหมือนคอของตนเองจะหักไปเสียเดี๋ยวนั้น จากหางตา หญิงสาวเห็นว่าเขาหยิบมีดเปื้อนเลือดที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาตัดหางเปียของเธอจนกุดในพริบตา ก่อนที่จะเงื้อมีดขึ้นอีกคราหมายจะจ้วงแทงเธอ แต่นลินก็โผเข้ามาใช้ร่างกำบังลูกสาวไว้ คมมีดจึงปักเข้ากลางหลังจนมิดด้าม

“แม่!”

“น้ำ...หนีไปลูก” นลินกัดฟันผลักนฎาเต็มแรงทั้งที่ยังมีมีดปักคาหลังอยู่ “หนีไป ไม่ต้องห่วงแม่ หนีไป!”

“ไม่ น้ำไม่ไป!” หญิงสาวกรีดร้อง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เธอพยายามดึงแขนของมารดาให้ลุกขึ้นวิ่งหนีไปพร้อมกับตนเอง ทว่าร่างของคนเป็นแม่กลับหนักอึ้งราวก้อนศิลา ไม่ว่าจะออกแรงมากเพียงใดก็ไม่ขยับเขยื้อน “แม่! ลุกสิแม่! ไปกับน้ำ! เราจะหนีไปด้วยกันนะแม่!”

“หนีไป...” นลินร่ำไห้ เธอหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสีเลือดแดงฉานอาบสองแก้ม “หนีไปลูก ชีวิตของน้ำต้องดีกว่านี้ หนู...ต้องมีชีวิตที่ดีกว่าแม่...”

“ไม่! แม่! แม่จ๋า!”

นฎาส่ายหน้า ในขณะที่มารดาสะบัดมือของเธอออก มิไยที่หญิงสาวจะยื่นมือไขว่คว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ แต่เธอกลับถูกแรงบางอย่างกระชากร่างให้ลอยหวือออกจากภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า สัมผัสและไออุ่นที่หลุดลอยจากมือไปบีบรัดหัวใจจนเหมือนจะแหลกสลาย ยิ่งเห็นร่างของคนที่รักสุดหัวใจห่างไกลออกไปทุกทีจนเหลือเพียงจุดเล็กๆ ที่มองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไรอีก เธอก็ยิ่งตะโกนเรียกจนเสียงแหบแห้ง

“ไม่!”

ร่างของหญิงสาวผวาเฮือก ดวงตาเบิกโพลง แต่กลับมองสิ่งใดไม่เห็นเพราะฉาบไปด้วยม่านน้ำตา มือเล็กเรียวป่ายสะเปะสะปะไปรอบตัวเพื่อหาพื้นที่มั่นคงสำหรับยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่าฟูกที่อยู่ข้างใต้นั้นอ่อนนุ่มเกินไป แตะตรงไหนก็ยวบยาบไปหมด เธอจึงใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะขยับเนื้อตัวอันสั่นเทาให้อยู่ในท่านั่งได้

นี่เรา...ฝันไปงั้นเหรอ...

นฎาซบใบหน้ากับฝ่ามือทั้งสองข้าง สัมผัสเปียกชื้นจากคราบน้ำตาบนแก้มพาหัวใจให้จมดิ่งลงสู่ห้วงอดีตอันไม่น่าจดจำอีกครา แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ภาพอันโหดร้ายนั้นยังคงแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง 

“ร้องลั่นอย่างกับถูกเชือดแบบนี้ ฝันร้ายหรือไง”

เสียงทุ้มต่ำที่ชวนให้นฎาผวาเสียยิ่งกว่าฝันร้ายที่เพิ่งผ่านพ้นนั้นทำเอาหัวใจของเธอแทบหยุดเต้น เธอเงยหน้าขึ้นมองหาเจ้าของเสียงทันควัน ก่อนจะพบว่าเขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนั่นเอง 

“คุณ...ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่...”

สมองของนฎาเหมือนยังจมอยู่ในภวังค์และไม่พร้อมประมวลผลใดๆ ทั้งสิ้น เธอยกมือสั่นระริกขึ้นแตะท้ายทอยของตนเองด้วยความรู้สึกคล้ายหางเปียที่เคยถูกตัดทิ้งไปสมัยเรียนมัธยมปลายยังคงอยู่ตรงนั้น...นานแล้วที่เธอไม่ได้ฝันถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นเลย คงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับกิ่งกาญจน์มีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างกระมัง จึงไปกระตุ้นความทรงจำที่เคยคิดว่าฝังมันไว้ในส่วนที่ลึกและมืดดำที่สุดไปแล้วให้ลอยกลับขึ้นมาอีกครา...

เหตุการณ์ที่ทำให้เธอไม่กล้าไว้ผมยาวอีกเลย ทั้งที่เคยชอบให้แม่ถักเปียให้

“ถามโง่ๆ ฉันเป็นคนอุ้มเธอขึ้นมาบนห้องนี้ ฉันก็ต้องอยู่ตรงนี้น่ะถูกแล้ว” เควานกอดอกมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเย็นชา ทว่าแววตากลับสั่นไหวแปลกๆ “ฉันได้ยินเธอตะโกนเรียกหาแม่เหมือนเด็กยังไม่หย่านมไม่มีผิด”

“นี่...กี่โมงแล้ว...”

นฎาเหลียวซ้ายแลขวามองหาโทรศัพท์มือถือที่ใช้แทนนาฬิกามาตลอดแต่ก็ไม่พบ บนผนังห้องก็ไม่มีนาฬิกาติดอยู่ เธอจึงมองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างที่เริ่มเป็นสีส้มอมม่วงจางๆ บ่งชัดว่าเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เธอจำไม่ได้เลยว่าตนเองผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านอนไปกี่ชั่วโมงแล้ว รู้เพียงก่อนหน้านี้อ่อนเพลียมากจนแทบทรงตัวไม่อยู่

แต่ที่แน่ๆ คือปีศาจหน้าบูดตนนี้ไม่มีโอกาสได้อาบน้ำเธออย่างที่ลั่นวาจาไว้

แน่ละ ใครจะไปยอม!

ในเมื่อเขานั่งปักหลักอยู่บนเก้าอี้ไม่ยอมไปไหน เธอจึงทำได้แค่ทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้โดยไม่คิดถึงเรื่องชำระล้างร่างกายอีกทั้งที่เหนียวตัวจะแย่ จากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น เธอสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย แต่ที่ฝันร้ายยิ่งกว่าก็คือตื่นขึ้นมาแล้วเจอสีหน้าเย็นชาจนชวนขนหัวลุกของเขานี่ละ!

“หกโมง” ดวงตาสีเขียวอมเทาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าขาวซีดของเธอนิ่ง “ทำไมไม่นอนต่ออีกสักหน่อยล่ะ เธอนอนหลับไปแค่แป๊บเดียวเองนี่”

“ไม่ละ ฉันจะอาบน้ำแล้วไปโรงพยาบาล”

นฎาส่ายหน้าเนือยๆ น่าประหลาดนักที่การมีตัวตนอยู่ของปีศาจร้ายบนเก้าอี้ตัวนั้นทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้ แม้เขาไม่ได้ปลุกให้เธอตื่นตอนฝันร้ายเหมือนที่กิ่งกาญจน์ทำอยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่ได้ลุกหนีไปไหน อย่างน้อยเมื่อเธอลืมตาขึ้นก็ยังมีใครสักคนอยู่ด้วย ไม่ได้ถูกทอดทิ้งไว้ตามลำพังอย่างที่เป็นมาตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ

คิดแล้วก็น่าสมเพชตัวเองจริงๆ แฮะ ที่เคว้งคว้างจนต้องคิดยึดอมนุษย์เป็นที่พึ่งทางใจชั่วคราวแบบนี้

“คิดจะไปดูคนเจ็บน่ะ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ยายเด็กซื่อบื้อ”

เควานแบะปาก สภาพของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าช่างดูไม่ได้เอาเสียเลย ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ตามเสื้อผ้ายังมีรอยเลือดของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายให้เห็นเป็นดวงๆ ผมเผ้าหรือก็ยุ่งเหยิง ไม่มีอะไรน่ามองสักนิด แต่เสียงร้องเรียกมารดาของเธอกลับกระแทกใจของเขาอย่างจัง 

เธอกรีดร้อง...แบบเดียวกับที่เขาเคยทำเมื่อครั้งที่ยังโง่เขลาและไม่รู้เดียงสา ครั้งที่เขาต้องเป็นฝ่ายสูญเสียเพราะไอ้พี่ชายสารเลว!

“ฉันยังไหว”

นฎาหย่อนเท้าวางลงบนพื้นเย็นเฉียบ แต่เพียงแค่ขยับตัว เข่าก็อ่อนยวบพาร่างล้มตึงลงไปนั่งพับเพียบกองอยู่กับพื้น เธอจึงได้รู้ในตอนนั้นเองว่าตนเองแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย

“เธอนี่มันน่ารำคาญจริ๊ง...”

เควานทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคอ ก่อนจะใช้มือใหญ่โตของตนเองดึงคอเสื้อของหญิงสาวจากทางด้านหลังเหวี่ยงให้ขึ้นไปนั่งบนเตียงตามเดิมประหนึ่งเธอเป็นแมวตัวเล็กๆ คอเสื้อยืดเนื้อบางนั้นรัดคอเธอจนเป็นรอยแดงและทำเอาสำลักจนไอโขลกๆ ยังดีที่เสื้อเก่าๆ ของเธอไม่ขาดติดมือเขาไปด้วย

“เอ้า กินซะ”

ชายหนุ่มโยนห่อขนมปังไส้กรอกจากร้านสะดวกซื้อกับนมกล่องใส่ตักของนฎา เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างประหลาดใจ

“นี่คุณ...บินไปซื้อมาเหรอ...”

“ถามโง่ๆ ร้านสะดวกซื้ออยู่แค่ปากซอยทำไมต้องบินไปด้วย เดินไปง่ายกว่าไหม” เควานแยกเขี้ยวแล้วหยิบถุงมันฝรั่งทอดมาแกะกินคู่กับโค้ก ดูเหมือนจะเป็นสองสิ่งที่เขาชอบเป็นพิเศษ “กินซะ ถ้าอยากตายก็รอไว้หลังจากหาแหวนให้ฉันเจอแล้วโน่น ส่วนตอนนี้ยังไม่อนุญาตให้ตาย”

“ฉันรู้น่าว่าต้องหาแหวนให้คุณ ย้ำบ่อยจนฉันจะท่องได้แล้ว”

ประโยคหลังหญิงสาวได้แต่พูดงึมงำอยู่ในลำคอด้วยกลัวว่าคนมีเขี้ยวจะงับคอเข้าให้ เธอแกะขนมปังออกจากห่อแล้วส่งเข้าปาก รสชาติของขนมปังราคาถูกกลับอร่อยที่สุดในยามที่เธอหิวโหย ใช่...เธอเพิ่งรู้ว่าตนเองหิวมากก็ตอนได้ลิ้มรสหวานปะแล่มๆ ในปากนี่เอง 

“ไง หิวใช่ไหมล่ะ” เควานเคี้ยวมันฝรั่งกร้วมๆ แม้เขาจะกินเร็วมาก แต่ท่วงท่ากลับสง่างามและดูเรียบร้อยมีมารยาทแบบคนที่ได้รับการอบรมมาดี ผิดกับคำพูดคำจาขวานผ่าซากของเขาลิบลับ 

“ขอบคุณนะคะ” นฎาหลุบตามองกล่องนมในมือ “จริงสิ เมื่อคืนคุณให้เงินฉันไว้ ฉันยังไม่ได้คืนคุณเลย”

เธอตบมือไปตามกางเกงพลางมองหากระเป๋าย่ามใบเก่ง

“ของเธออยู่โน่น” เควานทำท่าพยักพเยิดไปยังกระเป๋าที่วางอยู่มุมห้อง “เงินนั่นเก็บไว้หาอะไรกินเถอะ ผอมจนเหลือแต่กระดูกแล้วเธอน่ะ”

เขาไม่ได้พูดเกินจริงสักนิด นฎาตัวผอมมากพอๆ กับที่บอบบางเหลือใจ เธอดูเหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเสียด้วยซ้ำไป แต่เขารู้ดีกว่านั้น เธอเป็นเด็กน้อยที่ซ่อนรูปทีเดียวละ

“ก็ไม่ได้ผอมขนาดนั้นเสียหน่อย”

นฎาพึมพำ แต่ชายหนุ่มได้ยินชัดทุกคำ

“ก็จริง”

ดวงตาคมกริบเลื่อนมาที่หน้าอกของหญิงสาวทำเอาเธอหน้าร้อนวูบ ต้องรีบบิดตัวหันไปอีกทางแล้วเสทำเป็นดูดนมจากกล่องโดยไม่พูดอะไรอีก

“แม่ของเธอยังอยู่ไหม”

จู่ๆ เควานก็เอ่ยถามขึ้นหลังจากปล่อยให้ความเงียบโรยตัวครอบคลุมบรรยากาศอยู่พักใหญ่ นฎาชะงักแล้วหันกลับมามองหน้าคนถามด้วยแววตาหวาดระแวง

“ทำไมอยู่ๆ ถึงถามหาแม่ของฉันล่ะคะ”

“กลัวฉันตามไปหักคอแม่ของเธอหรือไง” ชายหนุ่มกระดกกระป๋องโค้กขึ้นดื่มแล้วกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มชืดชา “ฉันได้ยินเธอแหกปากตะโกนเรียกหาแม่ดังลั่น ก็เลยสงสัยว่าแม่ของเธอยังอยู่หรือเปล่า”

“แม่ยังอยู่”

นฎาตอบอย่างประหยัดถ้อยคำที่สุด เป็นอีกครั้งที่เธอเผลอเอื้อมมือไปแตะเปียที่ไม่มีอยู่จริงตรงท้ายทอย เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากพูดถึงผู้ให้กำเนิดนัก แต่มีหรือที่เควานจะสนใจความรู้สึกของคนอื่น ต่อให้อีกฝ่ายแสดงทีท่าอึดอัดใจมากเพียงไหน เขาก็ยังจะถามต่อไปอยู่ดี

“แล้วอยู่ที่ไหน”

“แม่ของฉันร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ก็เลยไปพักกับญาติที่ต่างจังหวัด” หญิงสาวไม่รู้จุดประสงค์ของเขา แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ไม่น่าเป็นเรื่องดีนัก ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีวันยอมให้มารดาต้องเผชิญกับคมเขี้ยวและกรงเล็บของปีศาจร้ายอย่างเขาเป็นอันขาด “ตอนนี้ฉันพอมีแรงบ้างแล้ว เดี๋ยวฉันจะรีบลงไปหาแหวนที่ห้องข้างล่างให้คุณก่อนไปโรงพยาบาลนะ”

เธอรีบเปลี่ยนเรื่องพูดซึ่งเควานก็พอมองออก

“แหวนไม่ได้อยู่ที่ห้องข้างล่างหรอก” เควานล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบแผ่นกระดาษยับยู่ยี่ออกมาโยนใส่นฎา “เพื่อนเธอขายมันไปแล้ว”

“หา?” หญิงสาวทำตาโต เธอรีบคลี่กระดาษแผ่นนั้นออก แล้วกวาดตามองตัวหนังสือที่อยู่บนนั้นอย่างตื่นตกใจ “นี่เป็น...ใบเสร็จ?”

ใบเสร็จรับเงินที่ระบุว่าเป็นค่าซื้อขายแหวนมรกตหนึ่งวงในราคา...ห้าแสนบาท! 

เป็นไปไม่ได้ แหวนบ้าอะไรราคาตั้งห้าแสน!

“ฉันเจอตอนลงไปหยิบกระเป๋าของเธอขึ้นมานั่นละ ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะไม่ใช่เพื่อนแท้เสียแล้วกระมัง นาดา”

 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น