6

โน้ตตัวที่ ๖

โน้ตตัวที่ ๖

 

“น้ำ!”

นิสาร้องเรียกเสียงดังด้วยความดีใจ เมื่อเห็นนฎาเดินโผเผเข้ามาในร้านช่วงเกือบสองทุ่ม แต่แล้วก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เดินตามหลังมาติดๆ 

ตัวสูงแบบนี้...หน้าตาแบบนี้...พ่อหล่อล่ำที่มานั่งฟังเพลงคืนก่อนนี่!

“สวัสดีค่ะพี่สา” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้เจ้าของร้านโอเวอร์เดอะเรนโบว์ ในขณะที่ชายหนุ่มที่ยืนประชิดอยู่ด้านหลังส่งยิ้มเยือกเย็นมาให้แทนคำทักทาย “ขอโทษที่อยู่ๆ ก็มาโดยไม่ได้โทร. หาพี่ก่อน”

“เฮ้ย ทำไมพูดเหมือนเราเป็นคนอื่นคนไกลกันอย่างนั้นเล่า” นิสารีบเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์มาหานฎา แต่ดวงตายังคงเหลือบมองชายหนุ่มรูปงามอยู่เป็นระยะ “ถึงน้ำไม่มา พี่ก็ต้องไปหาอยู่ดี พี่เพิ่งเห็นข่าวของกิ่งในทีวี ตกใจมากเลยนะ พี่โทร. หาน้ำตั้งหลายหน แต่ติดต่อน้ำไม่ได้เลย ก็เลยโทร. หาเอก แต่อย่างที่รู้นั่นละ เอกปากหนักจะตาย ถามอะไรก็ไม่ค่อยเล่า”

นิสาไม่รู้ว่าตนเองตาฝาดไปหรือเปล่า แต่วินาทีที่เอ่ยถึงเอกภพ พ่อรูปหล่อที่ยืนอยู่ข้างหลังนฎาก็แบะปากเหมือนไม่ชอบใจนัก

“ว่าแต่น้ำปลอดภัยดีใช่ไหม” เจ้าของร้านคว้ามือทั้งสองข้างของหญิงสาวขึ้นมากุมไว้อย่างห่วงใย พลางกวาดตามองไปตามเนื้อตัวของเธออย่างสำรวจตรวจตรา “ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือเปล่า”

“น้ำ...ปลอดภัยดีค่ะ” นฎามองสาวรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ เห็นย้อมผมสีชมพู มีรอยสัก แถมทำท่าก๋ากั่นเหมือนไม่สนใจโลกแบบนี้ก็เถอะ นิสานับเป็นคนที่มีน้ำใจต่อคนรอบข้างมากที่สุดคนหนึ่งทีเดียว “พอดี...ได้...เขาช่วยเอาไว้”

เธอจำต้องเอ่ยถึงชายหนุ่มอย่างเสียไม่ได้ ใจจริงไม่อยากแนะนำให้นิสารู้จักกับปีศาจอย่างเขานัก แต่จะให้เขายืนหัวโด่อยู่อย่างนั้นก็คงทั้งเสียมารยาทและผิดปกติเกินไปหน่อย

“สวัสดีครับ ผมชื่อเค”

เควานแนะนำตัวสั้นๆ แล้วยื่นมือไปเชกแฮนด์กับนิสาอย่างคนมีอารยธรรมในแบบที่นฎาไม่เคยคิดจินตนาการมาก่อนว่าจะได้พบเห็นในชีวิตนี้ แม้เขาจะไม่ได้ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร ทว่าก็ไม่ได้แยกเขี้ยวหรือกระชากเสียงใส่เหมือนเวลาพูดกับเธอ

เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ เขาชื่อเควานต่างหาก ไม่ใช่เค...

นฎาหันไปมองหน้าเขาด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม แต่เขากลับตีหน้านิ่งขึง เธอจึงได้แต่ปิดปากเงียบ ในเมื่อเขาไม่อยากบอกชื่อจริงกับคนอื่น เธอก็ไม่มีสิทธิ์ทักท้วงใดๆ มันเป็นชื่อของเขานี่ ต่อให้เขาอยากบอกว่าชื่อ จอห์นนี เด็ปป์ หรือ จัสติน บีเบอร์ เธอจะว่าอะไรได้กันเล่า

“ผมไม่ได้ช่วยอะไรนาดาหรอกครับ แค่ไปหาเพื่อนที่นั่นพอดี แล้วบังเอิญเห็นเหตุการณ์เข้า คนร้ายคงตกใจก็เลยหนีไป”

เขาพูดต่ออย่างไหลลื่น ไม่มีสะดุดแม้สักนิด เรียกว่าโกหกได้คล่องปากจนนฎาทึ่งทีเดียว แน่ละว่าคนร้ายต้องตกใจมาก ใครบ้างเห็นปีกสีดำมหึมาคู่นั้นแล้วไม่คิดเผ่นหนีกันบ้าง!

“โถ พ่อคุณ ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยน้องน้ำเอาไว้ น้ำโชคดีจริงๆ ที่เจอคุณ” นิสาเปลี่ยนจากเชกแฮนด์เป็นกุมมือของเควานเอาไว้ด้วยท่าทางแสดงความรู้สึกซาบซึ้งเกินจริง แถมไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เสียด้วย “บอกให้ย้ายหอพักหลายครั้งแล้วก็ไม่ฟัง แถวนั้นน่ะอันตรายจะตายไป”

“แหม พี่สาละก็ ปกติมันก็ปลอดภัยดีจะตาย น้ำอยู่มาตั้งหลายปี เพิ่งจะมาเกิดเหตุนี่ละ”

นฎายิ้มเจื่อนขณะมองเควานดึงมือออกจากการเกาะกุมของนิสาอย่างสุภาพ เธอกลัวแทบแย่ว่าเขาจะหักแขนของนิสาทิ้ง เควานทำตัวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดาทางความคิดได้ยาก แต่เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ต้องนับว่าร้ายกาจและพร้อมเป็นอันตรายต่อคนรอบข้างอย่างน่ากลัว 

“เอาละ อย่าเพิ่งตั้งป้อมเถียงพี่เลย มานั่งคุยกันยาวๆ ดีกว่า แล้วนี่กินข้าวกินปลากันมาหรือยัง เดี๋ยวพี่เข้าครัวทำอะไรง่ายๆ ให้กินเอาไหม”

นิสามองปราดเดียวก็รู้ในทันทีว่าเอกภพเจอคู่แข่งที่เคี้ยวยากเข้าให้เสียแล้ว ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างนฎากับผู้ชายที่ชื่อเคคนนี้ แต่ถ้าแค่ช่วยผู้หญิงจากเหตุร้ายก็ไม่เห็นต้องคอยตามติดกันไม่ห่างแบบนี้เลยไม่ใช่หรือ เขาคงต้องคิดอะไรๆ กับสาวน้อยที่เธอรักเหมือนน้องสาวอยู่บ้างละน่า

“อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะพี่สา เดี๋ยวลูกค้าก็มากันแล้ว พี่สาไป...”

“ดีเลยครับ นาดาไม่ได้กินอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” เควานชิงพูดแทรกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ผมบอกแล้วนะครับว่าให้แวะกินอะไรก่อน แต่นาดาก็ไม่ยอมฟัง บอกว่าร้อนใจ ต้องรีบมาหาคุณให้เร็วที่สุด”

“รีบมาหาพี่?” นิสาหันไปหานฎา “น้ำมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“คือ...” นฎาทำหน้าไม่ถูก ไม่คิดว่าอยู่ๆ อีตาบ้าเควานก็โยนลูกให้เธอรับอย่างไม่ทันตั้งตัว เธออยากจะกรีดร้องใส่หน้าเขานัก คนที่ไม่ยอมให้เธอแวะกินอะไรแล้วรีบนั่งแท็กซี่ตรงดิ่งมาที่นี่คือเขาต่างหากเล่า! “คืออย่างนี้ค่ะพี่สา น้ำเจอใบเสร็จนี้ในห้อง ที่หัวกระดาษปั๊มตรายางว่ามาจากร้านโอเวอร์เดอะเรนโบว์...”

หญิงสาวล้วงกระเป๋าย่าม หยิบแผ่นกระดาษยับย่นมาส่งให้นิสาที่รับไปแล้วขมวดคิ้วแน่น

“ห้าแสน?” ดวงตาของนิสากวาดมองตัวเลขบนใบเสร็จแล้วเหมือนนึกอะไรออก “นี่มัน...ลายมือของคุณพิชิตนี่...”

“คุณพิชิต? ใครเหรอคะ” นฎาหันไปสบตากับเควานครู่หนึ่ง “ทำไมเขาถึงใช้ใบเสร็จของโอเวอร์เดอะเรนโบว์ล่ะคะ”

“ใบเสร็จพวกนี้เป็นของเก่าเก็บแล้วละจ้ะ ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ไม่มีเครื่องคิดเงิน พี่ก็ใช้แบบเขียนมือนี่ละ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ใช้แล้ว เก็บไว้ในลิ้นชักเคาน์เตอร์จนลืม นานๆ เครื่องพังทีก็หยิบมาใช้ที” นิสาทำท่าครุ่นคิด “สักเดือนสองเดือนก่อน คุณพิชิตตามมาหากิ่งที่นี่ พี่ก็คิดว่าเขาคงจีบกิ่งนั่นละ พอกิ่งมาขอกระดาษไปจดโน้ตพี่เลยให้ไป ไม่รู้ว่าจะขายของอะไรกันแบบนี้”

“จำลายมือกันได้ขนาดนี้ แสดงว่าเขามาที่นี่บ่อยหรือครับ”

เควานเอ่ยถามนิ่มๆ ดวงตาจับจ้องหาพิรุธของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ เขารู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าคนรอบตัวนฎาไม่มีใครไว้วางใจได้สักคน แต่ดูท่าทางแล้วเจ้าของร้านคนนี้คงมีพิษสงน้อยที่สุดแล้วกระมัง

“บ่อยมากค่ะ เมื่อก่อนเป็นลูกค้าประจำเลยละ เวลาเจอนักร้องสาวๆ สวยๆ ก็ชอบเขียนโน้ตขอเพลงแล้วก็แนบแบงก์พันเหน็บติดไปด้วย ทิปหนักแบบที่ใครๆ ก็ชอบ” พูดถึงตรงนี้นิสาก็ถอนใจ “แต่หลังๆ ก็หายหน้าหายตาไปเลยนะ ครั้งล่าสุดที่เห็นก็ตอนที่เขานั่งคุยกับกิ่งคืนนั้นนั่นละ ยังมีรูปถ่ายอยู่นั่นเลย”

สาวใหญ่ชี้นิ้วไปยังรูปโพลารอยด์บนบอร์ดหลังเคาน์เตอร์บาร์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่นิสาบ้าถ่ายรูปด้วยกล้องโพลารอยด์ เธอจึงนำกล้องมาถ่ายรูปลูกค้าในร้านเล่นๆ แล้วขออนุญาตลูกค้าติดไว้ที่บอร์ดเพื่อตกแต่งร้านให้ดูเหมือนเป็นสถานที่ที่เพื่อนฝูงชอบมารวมตัวแฮงก์เอาต์กัน

นฎาสาวเท้าตรงไปยังบอร์ดไม้ก็เห็นรูปของกิ่งกาญจน์โดดเด่นออกมาจากรูปถ่ายอื่นๆ ทันที เพื่อนรักของเธอสวมเดรสรัดรูปสีครีม นั่งเท้าคางมองตรงมายังกล้องด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ ไม่ว่าจะอยู่ในแสงสลัวเพียงไหน กิ่งกาญจน์ก็ดูสวยบาดตาอย่างหาตัวจับยาก ฝั่งตรงข้ามของหญิงสาวเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดกึ่งทางการเหมือนเพิ่งเลิกงานจากออฟฟิศจึงถอดเนกไททิ้ง เหลือเพียงสูทสีเข้มเข้าคู่กับกางเกงสแล็กที่ดูเนี้ยบเป็นพิเศษ คะเนด้วยสายตาแล้ว เขาน่าจะมีอายุไม่เกิน ๓๕ ปีและคงมีฐานะดีพอตัว จึงสวมเข็มขัดแบรนด์เนมและนาฬิกาสายหนังที่ดูมีราคา

“ว่าก็ว่าเถอะ เขาเจ้าชู้มากเลยนะ พี่ยังเตือนกิ่งเลยว่าให้ระวังให้ดี อย่าเล่นกับไฟ นักร้องรุ่นก่อนๆ ของที่นี่ถูกเขาหักอกกันมานักต่อนักแล้ว”

“คุณพิชิตคนนี้...เป็นแฟนของกิ่งเหรอคะ”

นฎารู้ว่าคำถามของตนน่าขัน เธอเป็นเพื่อนสนิทของกิ่งกาญจน์แท้ๆ แต่กลับไม่เคยพบหน้าชายหนุ่มปริศนาผู้เป็นคนรักของเพื่อนแม้แต่ครั้งเดียว

“เอ...พี่ว่าไม่น่าใช่นะ เท่าที่เห็น เขาก็น่าจะพยายามจีบกิ่งอยู่ละ น้ำก็รู้ว่ากิ่งเสน่ห์แรงจะตายไป แต่กิ่งก็ช่างเลือกนะ ใช่ว่าจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปกับใครง่ายๆ เสียเมื่อไหร่” นิสาส่ายหน้า “นี่มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าคุณพิชิตคือคนที่ทำร้ายกิ่ง...”

“คง...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะพี่สา” นฎารีบปฏิเสธเป็นพัลวัน “คือจริงๆ แล้วน้ำแค่อยากรู้ว่ากิ่งขายแหวนให้คุณพิชิตอะไรนี่จริงหรือเปล่าก็แค่นั้นเอง”

จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เชื่อว่ากิ่งกาญจน์เป็นคนขโมยแหวนวงนั้นไปขาย 

บางที...มันอาจเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด 

ว่ากันตามจริงแล้ว ความทรงจำของค่ำคืนอัปยศระหว่างเธอกับเควานนั้นจมอยู่ในเมฆหมอก ไร้รูปร่างชัดเจน ถึงจะปรากฏออกมาในรูปแบบของฝันร้าย แต่รายละเอียดต่างๆ กลับเลือนรางจนเธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เธอแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองหอบสังขารกลับมาห้องพักได้อย่างไร จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จำเรื่องที่นำแหวนวงนั้นติดตัวกลับมาด้วยไม่ได้

คำถามคือ หากแหวนมรกตบ้าๆ นั่นอยู่กับเธอจริงๆ ทำไมกิ่งกาญจน์ถึงหยิบฉวยไปโดยไม่ถามสักคำ อย่างน้อยก็ควรถามสักคำว่าได้ของมีค่าขนาดนี้มาจากไหนไม่ใช่หรือ

“เรื่องนี้พี่ก็ตอบไม่ได้นะ เพราะไม่ได้เห็นตอนที่เขาซื้อ-ขายกัน แหวนที่ว่าหน้าตาเป็นยังไงพี่ยังไม่รู้เลย ว่าก็ว่าเถอะตามปกติแล้ว ใบเสร็จเนี่ย คนซื้อต้องเป็นฝ่ายเก็บไว้ไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงเป็นคนเขียนเองแล้วให้กิ่งเก็บไว้ล่ะ มันดูแปลกๆ นะว่าไหม”

“เรื่องนี้น้ำก็ว่ามันแปลกๆ อยู่เหมือนกันค่ะ” นฎาเก็บซ่อนความผิดหวังเอาไว้ใต้รอยยิ้มแหยๆ...ก่อนมาที่ร้านโอเวอร์เดอะเรนโบว์ เธอมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าคำพูดของเควานเป็นการใส่ร้ายป้ายสีกิ่งกาญจน์ เพื่อนรักของเธอไม่มีวันทำเรื่องน่าละอายอย่างขโมยแหวนไปขายแน่ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งสืบค้นก็ดูเหมือนจะพบหลักฐานมัดตัวหญิงสาวมากขึ้นเรื่อยๆ “พี่สาพอจะมีเบอร์ติดต่อคุณพิชิตไหมคะ น้ำอยากถามเรื่องนี้จากปากเขาตรงๆ”

“พี่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของคุณพิชิตหรอกน้ำ ถึงเขาจะเป็นลูกค้าประจำ แต่เราก็ไม่ได้สนิทกันเป็นการส่วนตัว ทำไมน้ำไม่ลองถามกิ่งดูล่ะ พี่คิดว่ากิ่งน่าจะมีเบอร์ของเขาอยู่นะ” นิสามองสีหน้ากระอักกระอ่วนของนฎาสลับกับใบหน้าเรียบเฉยของเควานแล้วเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล

“กิ่งยังไม่ฟื้นเลยค่ะพี่สา”

ระหว่างเดินทางมาที่ร้าน นฎาโทรศัพท์สอบถามอาการของกิ่งกาญจน์จากพยาบาลพิเศษที่เอกภพจ้างไว้ ด้วยรู้ดีว่าตนเองคงกลับไปที่โรงพยาบาลไม่ทันเวลาเยี่ยมแน่ๆ

“แหวนวงนั้นมีปัญหาใช่ไหม” นิสาเอ่ยถามตรงๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง “หรือว่า...มันไม่ใช่แหวนของกิ่ง?”

เธอเลี่ยงที่จะพูดคำว่า ‘ขโมย’ ออกมาตรงๆ เพื่อรักษาน้ำใจของนฎา เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวรักเพื่อนคนนี้มากเพียงไหน

“มันเป็นแหวนของผม และผมต้องการมันคืน” เควานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบในขณะที่นฎาทำหน้าไม่ถูก “ถ้าคุณมีทางไหนติดต่อกับผู้ชายที่ชื่อพิชิตได้ก็กรุณาบอกผมหน่อยเถอะครับ แหวนวงนั้นสำคัญกับผมมากจริงๆ”

“จริงเหรอน้ำ” นิสาถามนฎาทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าอึกอัก เธอก็ถอนใจ “พี่ไม่อยากเชื่อเลยว่ากิ่งจะทำแบบนั้นจริงๆ”

“น้ำก็ไม่อยากสรุปอะไรจนกว่าจะฟังจากปากกิ่งก่อนค่ะพี่สา บางทีกิ่งอาจมีเหตุผล...”

นฎาไม่รู้จะหาเหตุผลใดมารองรับการกระทำของเพื่อนดี ไม่ว่าอย่างไรการลักขโมยก็ถือว่าเป็นความผิดอันน่ารังเกียจ

“นั่นสินะ อาจจะมีอะไรเข้าใจผิดกันก็ได้” นิสาลูบศีรษะของหญิงสาวเบาๆ “เอาอย่างนี้ น้ำกับคุณเคไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ก่อน เดี๋ยวพี่ให้เด็กหาอะไรให้กิน ส่วนพี่จะไปโทรศัพท์หาพวกนักร้องที่เคยกิ๊กกั๊กกับคุณพิชิต บางทีอาจจะมีเบอร์โทร. ของเขาก็ได้”

“ขอบคุณนะคะพี่สา น้ำมารบกวนพี่แท้ๆ เลย”

นฎายกมือไหว้อย่างนอบน้อม นิสารีบคว้ามือที่กระพุ่มอย่างสวยงามของหญิงสาวแล้วกดลง

“พอเลย ไม่ต้องขอบคุณกันบ่อยนักหรอก เราคนกันเอง อะไรช่วยได้พี่ก็เต็มใจช่วยน้ำเสมอ แล้วน้ำก็ไม่ได้รบกวนอะไรพี่เลยสักนิด นี่เพิ่งจะสองทุ่มกว่า ลูกค้าจะมากันจริงๆ ก็เกือบๆ สามทุ่มโน่นละ ตอนนี้พี่ว่าง แค่โทรศัพท์นิดเดียว ไม่เสียเวลามากนักหรอก” เจ้าของเรือนผมสีชมพูยิ้มกว้าง “เลิกทำหน้ามุ่ยได้แล้ว ตีนกาจะถามหาเอา ไปนั่งโน่นเลย”

นฎาพยักหน้ารับแล้วเดินไปนั่งที่สตูลทรงกลมหน้าเคาน์เตอร์บาร์ ดวงตากลมโตมองไปยังรูปถ่ายบนบอร์ดอยู่เป็นระยะ บนนั้นมีรูปถ่ายมากมายก็จริง แต่มีรูปของกิ่งกาญจน์อยู่มากที่สุด เธอถ่ายรูปกับผู้คนหลากหลาย และส่วนมากเป็นคนที่นฎาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย

ดูเหมือนคนที่เธอคิดว่าสนิทที่สุด จะมีอีกด้านของชีวิตที่เธอไม่รู้สินะ...

“จำที่ฉันเคยพูดได้ไหม เธออาจคิดว่าเขาเป็นเพื่อน แต่จะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาเห็นเธอเป็นเพื่อนหรือเปล่า”

เควานทิ้งตัวลงนั่งบนสตูลข้างๆ หญิงสาว เขาเท้าคางแล้วมองใบหน้าซีดไร้สีเลือดของเธอตรงๆ ริมฝีปากหยักสวยได้รูปยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มติดจะเยาะอยู่นิดๆ

“กิ่งเป็นเพื่อนฉัน” แม้ใบหน้าของนฎาจะอิดโรย แต่น้ำเสียงของเธอหนักแน่นยืนยันความรู้สึกที่มีต่อกิ่งกาญจน์อย่างชัดเจน

“นั่นมันก็แค่ความคิดของเธอ ถ้าเป็นเพื่อนรักกันจริง ก็น่าจะรู้สิว่าเพื่อนของตัวเองน่ะมีคนเลี้ยงอยู่”

รอยยิ้มของเควานดูชั่วร้ายจนนฎาตัวสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ 

“มีคน...ละ...เลี้ยง?”

“นี่เธอโง่จริงๆ สินะ คิดสิคิด เงินแค่ห้าแสนจะซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมได้สักกี่ใบกันเชียว ลำพังเงินค่าตัวของเพื่อนเธอจะมีปัญญาซื้อกระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องประดับพวกนั้นจนแน่นตู้เสื้อผ้าแบบนั้นได้ด้วยหรือไง ฉันตาดีนะ ดูออกว่าทุกชิ้นเป็นของแท้คอลเล็กชันล่าสุดทั้งนั้นเสียด้วย”

ชายหนุ่มชี้ไปที่ดวงตาของตนเองแล้วยักคิ้วอย่างถือดี 

“ฉันไม่เคยใช้ของแบรนด์เนม ฉันดูไม่ออกหรอก” นฎาหน้าเสีย เพิ่งรู้ว่าปีศาจก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านของใช้ไฮเอนด์ได้เหมือนกัน “คุณจะดูถูกฉันยังไงก็ช่าง แต่ช่วยเว้นเพื่อนฉันไว้สักคนได้ไหม คุณไม่รู้จักกิ่งด้วยซ้ำ”

เธอมีคำด่าทอต่อว่าเขาเป็นหมื่นล้านคำอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกไปเพราะกลัวคมเขี้ยวและกรงเล็บของเขา

“ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวน่ะใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้จักชื่อเสียงของเพื่อนเธอนี่” เควานเดาะลิ้นเป็นจังหวะในแบบที่ทำให้คนมองรู้สึกหงุดหงิด “ฉันตามดูเธอกับเพื่อนมาแค่อาทิตย์เดียวยังเห็นอะไรๆ ตั้งเยอะตั้งแยะ เธออยู่กับเพื่อนมาเป็นปีๆ ไม่ได้สังเกตเห็นบ้างหรือไง หรือว่าเห็นแล้วแต่จงใจมองข้ามกันแน่”

นฎานิ่งอึ้งไป เควานพูดถูกอย่างหนึ่ง...เธอ ‘เห็น’ ว่าการเงินของกิ่งกาญจน์อู้ฟู่ผิดปกติจริงๆ นั่นละ แต่เลือกที่จะคิดในแง่ดีว่าเพื่อนรักคงได้รับเงินค่าตัวก้อนโตจากงานพริตตีที่กำลังไปได้สวย แม้รายรับดูจะไม่ค่อยสัมพันธ์กับรายจ่ายฟุ่มเฟือยของกิ่งกาญจน์แม้แต่นิด

“แต่ฉันก็ไม่แปลกใจหรอก เธอน่ะหลอกง่ายจะตายไป” เควานหัวเราะเสียงแผ่ว “ไม่รู้จะเรียกว่าอ่อนต่อโลกหรือปัญญาอ่อนดี”

“เออ ฉันมันปัญญาอ่อนเอง พอใจไหม” หญิงสาวชิงว่าตนเองเสียก่อนที่เขาจะสรรหาถ้อยคำเจ็บแสบมาจิกกัดเธออีก ด่าตัวเองเจ็บน้อยกว่า! “จะยังไงก็เถอะ ฉันไม่เชื่อเรื่องที่กิ่งมีคนเลี้ยงอะไรนั่นแน่”

“งั้นเหรอ” เควานแสยะยิ้ม เขาจิ้มนิ้วไปบนหน้าผากของนฎาจนเธอหน้าหงาย “ก็มาคอยดูกันว่าใครจะหน้าแหก ยายเด็กซื่อบื้อ”

“คุณพูดไทยคล่องเกินไปแล้ว”

ปากจัดด้วย!

นฎาคลำหน้าผากป้อยๆ รู้สึกเจ็บแปลบๆ เธอมั่นใจว่าเขาไม่ได้ออมแรงเลยสักนิด!

“ก็ฉันฉลาด หัวไว ไม่เหมือนเธอนี่”

เควานรวนกลับหน้าตาเฉย หญิงสาวไม่กล้าโต้ตอบเขาอยู่แล้วจึงได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจยาวเหยียดอีกครั้ง ก่อนที่จะต้องทนฟังเขาพ่นคำพูดใส่หน้าอีก พนักงานของร้านก็ยกจานกะเพราไข่ดาวที่ทำอย่างง่ายๆ สองจานออกมาวางตรงหน้าสองหนุ่มสาว ชายหนุ่มยกนิ้วเป็นสัญญาณว่าขอสั่งเบียร์หนึ่งขวดแล้ววางธนบัตรสีเทาทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์

ตอนแรกนฎาไม่รู้สึกอยากอาหารนัก แต่เมื่อได้กลิ่นพริกกระเทียมเคล้าใบกะเพรา ท้องก็ร้องโครกคราก เธอจึงตักข้าวใส่ปากด้วยความหิวโหย รสเผ็ดร้อนช่วยเพิ่มความอยากอาหารให้โดยอัตโนมัติ พริบตาเดียวเธอก็กวาดอาหารจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่เม็ดข้าวติดจาน

“กินอีกสิ”

เควานเลื่อนจานของตนเองให้หญิงสาวแล้วยกขวดเบียร์ที่เพิ่งมาเสิร์ฟขึ้นดื่ม เขาไม่สนใจแม้แต่จะหยิบเงินทอนในถาดที่บริกรวางไว้สักนิด

“แล้วคุณไม่กินเหรอ” นฎาหยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดปาก เธอหิวมากจริงๆ จนแทบจะกระโจนใส่ข้าวอีกจานอยู่แล้วหากไม่จำเป็นต้องรักษามารยาท

“ฉันไม่กินอาหารที่คนอื่นปรุง” เขาตอบพลางเลื่อนจานให้ใกล้หญิงสาวมากขึ้นอีกเป็นเชิงคะยั้นคะยอ 

“คุณกลัวถูกวางยาพิษหรือไง”

“ใช่” ชายหนุ่มตอบแล้วจุดบุหรี่สูบ สีหน้าของเขาเฉยชาจนคนฟังมองไม่ออกว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ “รู้ไหม ถ้าไว้ใจคนมากเกินไป มักต้องลงเอยด้วยความตายนะ”

“คุณเคยถูกวางยาพิษจริงๆ เหรอ”

แต่...เขาไม่ใช่คนนี่นา คงไม่ตายง่ายๆ เพียงเพราะถูกวางยากระมัง

“ถามทำไม จะลองวางยาพิษฉันดูบ้างหรือไง” เควานพ่นควันออกทางจมูกแล้วหัวเราะเบาๆ “กินๆ เข้าไปเลย ผอมจนกระดูกทิ่มแล้ว เป็นผู้หญิงต้องมีเนื้อมีหนังหน่อยถึงจะกอดอุ่น นี่อะไร กอดกี่ทีก็หาเนื้อไม่เจอเลย”

แค็ก!

นฎาสำลักข้าวจนไอค็อกแค็ก ในเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงเควานได้ เธอจึงพยายามทำใจไม่นึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายในคืนนั้นทั้งที่มันตามหลอกหลอนมานานแรมเดือน แต่เมื่อได้ยินเขาพูดสื่อความนัยถึง ‘เรื่องนั้น’ ขึ้นมา ภาพความทรงจำอันน่าอดสูก็ลอยเด่นชัดอยู่ในห้วงความคิดอย่างสุดที่จะห้ามได้

“อ้าว น้ำเป็นอะไรล่ะนั่น”

นิสาเดินออกมาจากทางด้านหลังร้านพร้อมกระดาษโน้ตเล็กๆ หนึ่งแผ่น 

“ตะกละมากไปหน่อยมั้งครับ” เควานมองใบหน้าแดงก่ำของนฎาแล้วยิ้มกริ่มในแบบที่เธอเกลียดที่สุด “นั่นเป็นเบอร์โทรศัพท์ของคนที่ชื่อพิชิตหรือเปล่าครับ”

“อ้อ ใช่ค่ะ” นิสาส่งกระดาษให้ชายหนุ่มแล้วเดินไปรินน้ำเย็นๆ ใส่แก้วให้นฎาดื่ม เธอลูบหลังลูบไหล่ของหญิงสาวด้วยท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี “โชคดีที่เขายังใช้เบอร์เดิมไม่เปลี่ยนนะคะ คุณลองคุยดูก็แล้วกันว่าเรื่องแหวนอะไรนั่นเป็นยังไงมายังไงกัน ฉันว่า...เรื่องของกิ่งน่าจะมีอะไรเข้าใจผิดกันมากกว่า”

เควานยิ้มเย็นชา เขาล้วงโทรศัพท์เครื่องบางเฉียบออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดหมายเลขตามที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษ 

“เดี๋ยวก็รู้ครับว่าใครเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว”

ถ้ารู้ว่าใครเป็นตัวการแล้ว...พ่อจะเอาคืนให้ยับ!

 

“ไม่ต้องร้องแล้วนะ ฉันอยู่นี่แล้ว”

คทาธรลูบศีรษะปลอบคนที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ตามใบหน้าของหญิงสาวมีรอยฟกช้ำดำเขียวที่เริ่มเป็นสีม่วงและปูดบวมอย่างน่าเวทนา บนแขนทั้งสองข้างของเธอมีผ้าพันแผลพันไว้จนเหมือนมัมมี่ 

“กิ่งกลัวค่ะคุณธร ไม่รู้ว่ามันจะตามมาทำร้ายกิ่งที่นี่อีกไหม”

กิ่งกาญจน์ปล่อยโฮออกมาเสียงดังอย่างไม่ต้องอายใคร เพราะคทาธรย้ายเธอขึ้นมาที่ห้องวีไอพีชั้นบนทันทีที่เธอรู้สึกตัว ในห้องจึงมีแค่เธอกับเขาเท่านั้น

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะให้ลูกน้องเฝ้าหน้าห้องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง รับรองว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอะไรหนูกิ่งแน่ๆ”

คทาธรขบกรามแน่น นึกโกรธคุลิกานักที่อารมณ์ร้อนไม่เข้าเรื่อง อยากเล่นงานคนที่ตนเองไม่ชอบหน้า แต่ดันทำให้คนของเขาถูกลูกหลงเสียนี่ แต่จะแล่นไปเล่นงานแม่ลูกสาวตัวดีก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเกิดคุลิกาโวยวายขึ้นมา เรื่องถึงหูภรรยาของเขาเข้า ได้ความแตกกันพอดีว่าเขาแอบเลี้ยงดูกิ่งกาญจน์อย่างจริงจังอยู่

“จริงนะคะคุณธร กิ่งกลัวจนจะบ้าอยู่แล้ว”

ที่กลัวมากกว่าคนจะมาทำร้ายซ้ำก็คือ กลัวเสียโฉมแล้วต้องสูญเสียความรักใคร่เอ็นดูจากคทาธรไป เขาชอบเธอเพราะรูปลักษณ์ดึงดูดตา ส่วนเธอตกหลุมรักเขาเพราะขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่เล็ก คทาธรมีทุกอย่างที่เธอฝันหา แม้เขาจะมีอายุคราวพ่อ แต่ยังดูหนุ่มแน่นกว่าวัยมาก เหมือนเพิ่งจะอยู่ในช่วงวัยสี่สิบกลางๆ แถมยังดูภูมิฐาน มีบุคลิกสุขุมนุ่มนวลไม่เหมือนพวกหนุ่มๆ รุ่นเดียวกับเธอที่วันๆ เอาแต่พูดจาทะลึ่งตึงตัง ไม่ทำอะไรให้เป็นโล้เป็นพายสักอย่าง แถมยัง...สร้าง ‘ปัญหาใหญ่’ ไว้ให้เธอต้องคอยตามล้างตามเช็ดอย่างน่าอดสูที่สุด!

เธอรู้ว่าคทาธรแต่งงานมีครอบครัวแล้ว

รู้ว่าผิดศีลธรรมที่ไปพัวพันกับเขา แต่เธอก็ตั้งใจว่าจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ในพื้นที่ของตนเองไม่ไประรานใคร

รู้ว่าหากนฎารู้ว่าเธอคว้าบิดาของคุลิกามาเป็นคนรัก คงไม่มีวันรับได้ และอาจ...ไม่ให้อภัยเธอ

แต่จะให้เธอทำอย่างไรได้เล่า ก็เธอรักเขา ต่อให้เขาไม่ได้รวยล้นฟ้า เธอก็ยังจะเลือกเขาอยู่ดี

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องกลัว” คทาธรเลื่อนมือมากุมมือของหญิงสาวเอาไว้ “ฉันไม่ยอมให้ใครทำร้ายหนูอีกเป็นอันขาด”

“เอ่อ...เจ้านายครับ”

พิชิตเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องพิเศษด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เนื่องจากถูกเอ็ดตะโรใหญ่โตเรื่องที่ไม่ดูแลเรื่องนักข่าว ปล่อยให้กลายเป็นข่าวใหญ่โตที่อาจทำให้เจ้านายกับบุตรสาวถูกลากเข้าไปเอี่ยวด้วยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ 

“มีอะไร”

คทาธรปรายตามองลูกน้องด้วยหางตา สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งขึง เห็นได้ชัดว่ายังไม่หายโกรธ

“มีเรื่องด่วนครับ”

พิชิตกระแอมเขาเหลือบมองกิ่งกาญจน์ด้วยแววตาลังเลกึ่งกังวลใจ คทาธรมองออกว่าเป็นเรื่องที่พูดต่อหน้าหญิงสาวไม่ได้จึงบีบมือของเธอเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าเดี๋ยวกลับมา แล้วลุกออกไปนอกห้อง

“ว่ามา”

ทันทีบานประตูปิดลง คทาธรก็เอ่ยเสียงเข้ม พิชิตเหลียวซ้ายแลขวาแล้วลดเสียงพูดลงพอให้ได้ยินกันสองคน

“มีผู้ชายโทรศัพท์หาผมเรื่องแหวน...เอ่อ...แหวนที่คุณกิ่ง...”

“คนที่โทรศัพท์มา อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของแหวนเหรอ”

คทาธรรู้แต่แรกแล้วว่าแหวนมรกตน้ำงามวงนี้ไม่มีทางเป็น ‘มรดกตกทอด’ ดังที่กิ่งกาญจน์อ้างแน่ ที่รับซื้อไว้เพียงเพราะเขาสนใจในตัวเธอต่างหากเล่า คิดแล้วก็น่าขำ เขาอายุปูนนี้แล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่รู้เท่าไหร่ ดันตกหลุมรักเด็กคราวลูกจนหัวปักหัวปำเสียนี่

แต่ยังไม่มากกว่าที่เขารักลูกสาวคนเดียวแน่

ชีวิตแต่งงานของเขากับชโลธรไม่เคยมีปัญหาใดๆ ต่อกัน ที่จริงต้องเรียกว่าราบรื่นไร้อุปสรรคคลื่นลมใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะเป็นการจับคู่จากผู้ใหญ่โดยดูจากความเหมาะสม แต่ชโลธรก็น่าพึงใจไม่น้อย เธอสวย อ่อนหวาน เพียบพร้อมทั้งชาติตระกูลและการศึกษา พวกเขาครองคู่กันอย่างรักใคร่ปรองดอง เป็นคู่สามีภรรยาที่ใครต่อใครพากันอิจฉา

ใครเลยจะรู้ว่าสำหรับคทาธรแล้ว ชีวิตอันสมบูรณ์แบบนี้ช่างน่าเบื่อ สมบูรณ์พร้อมเกินไปเหมือนภาพวาดยุคคลาสสิก งดงามทว่าขาดความตื่นเต้นเร้าใจโดยสิ้นเชิง

ชโลธรเหมือนรูปสลักเทพธิดาทั้งในและนอกห้องนอน สวยงาม ทว่า...แข็งทื่อ ไร้ความกระตือรือร้นบนเตียง คทาธรคิดว่าอาจเป็นเพราะเธอไร้ประสบการณ์เรื่องชายหญิง หากลองผ่านคืนวิวาห์ไปแล้ว เธออาจค่อยๆ ปรับตัวให้ตรงกับรสนิยมของเขาทีละนิดก็ได้ แต่เขาคิดผิด ภรรยาของเขาไม่เคยเปลี่ยน คืนแรกนอนนิ่งเป็นท่อนไม้อย่างไร หลายปีต่อมาก็ยังนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น เขาพยายามอดทนมาตลอดจนกระทั่งเธอตั้งท้อง เขาจึงออกนอกลู่นอกทางกับผู้หญิงอื่นบ้างเป็นครั้งคราว ก่อนจะหันไปบ้างานจนหมดความสนใจในเรื่องความสุขทางกายไปเอง

กิ่งกาญจน์คือคนเดียวที่ทำให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวยกลับมาสู่ชีวิตอันแสนจืดชืดในรอบยี่สิบปี...

“ผมว่าไม่น่าอ้างตัวนะครับ เขาส่งหลักฐานมาด้วย”

พิชิตรีบเปิดรูปในโทรศัพท์มือถือแล้วหันหน้าจอให้เจ้านายดู รูปแรกเป็นรูปแหวนในระยะใกล้ เห็นรายละเอียดแต่ละส่วนชัดเจนชนิดหากไม่ใช่เจ้าของคงไม่มีทางจัดแสงถ่ายรูปได้ใกล้ชิดเช่นนี้แน่ รูปที่สองเป็นรูปของชายหนุ่มรูปงามอย่างหาตัวจับยาก เขาสวมชุดสูทตัดเย็บอย่างประณีตและนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาดึงกระดุมแบบเชสเตอร์ฟิลด์ มือที่ประสานอยู่บนตักหลวมๆ มีเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวโดดเด่นเป็นสง่าสะดุดตา ซึ่งก็คือแหวนวงเดียวกับรูปแรก

“เจนเทิลเมน?” คทาธรเลิกคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นตัวหนังสือที่ประทับอยู่บนมุมขวาล่างของรูป ใครๆ ก็รู้จักนิตยสารชื่อดังหัวนี้กันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่เพราะอยู่รอดมาได้ในยุคดิจิทัลที่นิตยสารเล่มอื่นๆ ทยอยปิดตัวกันไป แต่เป็นเพราะเจ้าของกับทีมบรรณาธิการมีเส้นสายแข็งแรง สามารถตามตัวคนดังที่กำลังเป็นกระแสมาสัมภาษณ์พิเศษได้เป็นเจ้าแรก และบางครั้งก็เป็นเพียงเจ้าเดียวเสียด้วย “ผู้ชายคนนี้เป็นใคร ดาราฝรั่ง? นายแบบต่างชาติ?”

“ผมก็ไม่แน่ใจครับ ผมขอหลักฐานที่เขาอ้างว่าเป็นเจ้าของแหวนตัวจริงไป เขาก็ส่งรูปกลับมาสองรูปแค่นี้ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านี่เป็นรูปของเขาหรือเปล่า หรือเป็นแค่รูปของนายแบบในนิตยสาร...”

“ไม่ได้เรื่อง!” คนเป็นเจ้านายเอ็ดเสียงดังก่อนจะลดเสียงลงด้วยกลัวว่าคนป่วยจะได้ยินเข้า “แล้วไม่ถามชื่อเสียงเรียงนามเขาไว้บ้างหรือไง เป็นเลขาฯ ฉันมาเกือบสิบปี ยังทำงานหละหลวมแบบนี้อยู่อีกได้ยังไง”

“ถะ...ถามแล้วครับ เขาบอกว่าเขาชื่อเค” พิชิตบอกละล่ำละลัก “ผม...ผมมัวแต่ตกใจเรื่องที่เขาบอกว่าจะเอาเรื่องผมข้อหารับซื้อของโจรอยู่ ก็เลย...ไม่ได้ถามอะไรต่อ...”

“หลักฐานแค่นี้ยืนยันอะไรไม่ได้สักนิด ทำเป็นกลัวจนขี้ขึ้นสมองไปได้” คทาธรระบายลมหายใจหนักหน่วง “แล้วเขาจะเอายังไง”

“เขา...เขาบอกว่าต้องการแหวนคืนภายในคืนนี้ แล้วจะไม่เอาเรื่องทั้งผม แล้วก็...คุณกิ่ง...”

พิชิตเป็นคนออกหน้าจัดการทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกิ่งกาญจน์ เพื่อที่จะได้ไม่มีสิ่งใดเชื่อมโยงมาถึงคทาธรได้ แต่ก็เท่ากับว่าหากเกิดเรื่องวุ่นวายใดๆ ขึ้น เขาก็จำต้องเป็นหนังหน้าไฟดีๆ นี่เอง

“คืนนี้? บ้าหรือเปล่า ดึกดื่นป่านนี้แล้วไม่มีความเกรงอกเกรงใจคนอื่นบ้างหรือไง ไร้มารยาทสิ้นดี!”

“คือ...ผมบอกเขาว่าดึกแล้วไม่สะดวก มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ แต่เขาบอกว่าเขาไม่สนครับ” พิชิตทำหน้าเหยเมื่อเห็นเจ้านายถลึงตาใส่ “เขา...เขายังบอกอีกว่าสถานีตำรวจเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้า...ถ้ามีปัญหาไปคุยที่นั่นก็ได้ ถึงขนาดกล้ายกตำรวจมาขู่แบบนี้ เขาต้องมั่นใจมากว่าเอาเรื่องทางเราได้นะครับ”

หลังฟังจบ คทาธรก็นิ่งไป พิชิตพอมองออกว่าเจ้านายคงต้องหนักใจไม่น้อย จริงอยู่ที่คทาธรทั้งรักทั้งหลงกิ่งกาญจน์มาก แต่ไม่เคยคิดหย่ากับภรรยาเลย ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปล่อยให้ความสัมพันธ์ลับๆ ครั้งนี้เล็ดลอดไปถึงหูภรรยาได้เป็นอันขาด

“ผมนึกแล้วว่าแหวนวงนั้นต้องเป็นของร้อน ไม่อย่างนั้นจะรีบเอาของมาปล่อยทำไมกัน”

แล้วเจ้านายของเขาก็บ้าซื้อในราคาสูงลิ่ว แค่เพราะถูกใจสาวเจ้า เป็นเขาหน่อยไม่ได้ จะกดราคาให้เหลือแสนเดียวเป็นอย่างต่ำ เจ้าหล่อนร้อนเงินขนาดนั้น ไม่กล้าเรื่องมากนักหรอก นี่อะไร ซื้อทั้งแหวน รับเลี้ยงทั้งคน เสียเงินไม่รู้กี่ต่อ!

“พูดอะไรระวังปากหน่อย” คทาธรดุเสียงเฉียบ ทำเอาลูกน้องหุบปากฉับ “แกโทรศัพท์กลับไปหาผู้ชายคนนั้น ต่อรองว่าขอนัดเจอพรุ่งนี้ช่วงบ่าย”

“ชะ...ช่วงบ่ายเลยเหรอครับ” พิชิตกลืนน้ำลายเอื๊อก “เสียงเขาเอาเรื่องมากเลยนะครับ พูดอะไรไปก็สวนกลับแทบทุกคำ ผมงี้ไปไม่เป็นเลย”

ไอ้หมอนั่นปากคมอย่างกับกรรไกร แถมยังพูดดักซ้ายดักขวาเหมือนรู้ทันไปหมด น่าเจ็บใจฉิบ!

“ด้นสดไปสิวะ พูดพล่ามอะไรไปก็ได้ อย่างที่แกชอบทำนั่นละ ซื้อเวลาให้ฉันหน่อย”

“ซื้อเวลา?” ชายหนุ่มทำหน้าไม่เข้าใจในตอนแรก ก่อนจะเบิกตากว้าง “เจ้านายจะสืบเรื่องของผู้ชายคนนี้เหรอครับ”

“ก็ไม่น่ายากอะไรนี่ แค่ให้คนของเราติดต่อไปที่เจนเทิลเมนก็น่าจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร” คทาธรหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วกดต่อสาย 

“หมายความว่า ท่านจะไม่คืนแหวนให้เขา...”

“คืนสิ ถ้าเขาเป็นเจ้าของแหวนจริงๆ ฉันคืนให้แน่” หนุ่มใหญ่ยกมือถือขึ้นแนบหูแล้วรอให้คนปลายสายกดรับ “แต่ก่อนอื่นฉันต้องรู้ก่อนว่าจะต้องเจอกับคนประเภทไหน จะได้เตรียมตัวจัดการได้ถูก”

พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ ดูว่าเป็นคนประเภทที่ควรใช้เงินหรือกำปั้นปิดปากมากกว่ากัน ถ้าเป็นอย่างหลัง เขาจะรีบจัดการให้จบในม้วนเดียว!

 

“ไง ถึงกับนั่งซึมกะทือเลยเหรอ ยายเด็กโลกสวย”

เควานยิ้มหยันแล้วกระดกเบียร์ขวดที่สองขึ้นดื่ม ดวงตาคมกล้ามองใบหน้าซีดขาวของคนที่นั่งข้างๆ อย่างเย็นชา นฎานั่งนิ่งอยู่แบบนั้นตั้งแต่เขากดเปิดลำโพงให้เธอฟังบทสนทนาระหว่างเขากับพิชิตแล้ว กระทั่งเมื่อเขาคุยจบและกดปิดลำโพงไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เธอก็ยังนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนสักนิด

“ผิดหวังหรือไง ที่ความจริงไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดไว้”

“เปล่า” นฎาส่ายหน้าด้วยความรู้สึกเหมือนถูกทุบกลางกระหม่อมด้วยค้อนล่องหนจนมึนตื้อไปหมด หากจะบอกว่าไม่รู้สึกผิดหวังเสียใจเลยสักนิด ก็คงเป็นการโกหกตนเองอย่างบัดซบที่สุด “บางที...กิ่งอาจมีเหตุผลส่วนตัวที่ต้องทำแบบนั้นก็ได้...”

“อ้อ แค่อ้างเรื่องเหตุผลส่วนตัวก็มีสิทธิ์ชอบธรรมในการขโมยของคนอื่นไปขายได้แล้วเหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ อย่างจงใจยั่วประสาท เมื่อเห็นนฎาได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออกก็หัวเราะเยาะเบาๆ “ไม่รู้ว่าเธอเซ่อหรือสมองไม่มีกันแน่ แทนที่จะโกรธเพื่อน ดันพยายามหาเหตุผลมาช่วยเพื่อนเสียนี่ จะบอกอะไรให้นะ เพื่อนเธอน่ะขายเก่งเอาเรื่อง ลดแลกแจกแถมน่าดู ขายแหวนแถมตัวเสียด้วย”

“อย่ามาดูถูกเพื่อนฉันนะ”

นฎากำหมัดแน่น เธอตวัดตามองเขาอย่างกรุ่นโกรธ แต่ต้องผงะเมื่ออีกฝ่ายเผยอริมฝีปากเอาคมเขี้ยวเข้าขู่

“ดูถูก? แน่นอน ฉันดูไม่ผิดแน่ ฉันมองคนแบบเพื่อนเธอทะลุปรุโปร่งจากลิ้นปี่ยันลำไส้ใหญ่นั่นละ” เควานแบะปาก “เธอเองก็ระวังไว้ให้ดีเถอะ ต่อไปถ้าเพื่อนเธอขายทุกอย่างหมดจนไม่มีอะไรขายแล้ว รับรองว่าได้เอาเธอไปเร่ขายแน่”

“ความคิดต่ำตมจริงๆ คุณน่ะ พูดจาทุเรศเป็นอย่างเดียวเลยสินะ”

นฎาโกรธจัดจนเห็นช้างตัวเท่าหมู ต่อให้เขาแยกเขี้ยวขู่หรือกางกรงเล็บใส่เธอก็ไม่สนใจอีกแล้ว เธอลุกขึ้นยืนแล้วตั้งท่าจะเดินออกไป แต่เควานคว้าต้นแขนของเธอไว้แล้วกระชากกลับมาเต็มแรงจนร่างผอมบางปลิวหวือมานั่งเกยอยู่บนตัก

“เธอไม่สงสัยบ้างเลยเหรอว่าทำไมคืนนั้นเธอถึงได้ลงเอยด้วยการไปนอนอยู่บนเตียงเดียวกับฉัน”

ชายหนุ่มกระซิบ ลมหายใจร้อนจัดที่เป่ารดใบหูเล็กทำเอาหญิงสาวขนลุกเกรียวจนต้องพยายามกระถดหนี แต่มือของเขาแข็งแกร่งราวเหล็กกล้า ตรึงเธอเอาไว้แน่นจนไม่อาจลุกหนีไปได้ 

“ลองถามเพื่อนเธอดูสิว่าทำไมถึงพาเธอไปส่งไว้ที่นั่น”

“เอ๊ะ? คุณหมายความว่ายังไง” นฎาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทันควัน ปลายจมูกจึงชนเข้ากับปลายคางของเขาพอดี กลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ผสมกลิ่นเบียร์จางๆ พาให้เกร็งไปทั้งตัว “คุณ...คุณรู้อะไรที่ฉันไม่รู้ใช่ไหม ถ้ารู้ก็พูดออกมาสิ อมพะนำไว้ทำไม”

หญิงสาวเกลียดเขานัก ชอบตีหน้าตายเหมือนไม่สนใจโลก แต่กลับเก็บงำทุกสิ่งที่รู้ไว้อย่างเงียบเชียบ!

“ก็รู้เรื่องที่พอจะเผาทุ่งลาเวนเดอร์โง่ๆ ของเธอให้วอดได้ละ” เควานกระซิบตอบ ดวงตาเผลอหลุบมองริมฝีปากสั่นระริกของคนบนตัก...เขาจำรสชาติหวานหอมของริมฝีปากคู่นี้ได้ นุ่มนิ่มและบอบบาง...เหมือนกลีบดอกไม้ “คนไทยชอบพูดกันใช่ไหม ไอ้ที่ว่าวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เพื่อหนีความจริงน่ะ”

“ฉันไม่ได้หนีความจริง”

แต่ความจริงของเรื่องนี้เป็นอย่างไร เธอยังไม่รู้เลยสักนิด!

นฎาผลักใบหน้าของเขาให้ออกห่างแล้วลุกหนีได้สำเร็จในที่สุด เควานไม่ได้คว้าแขนของเธอเอาไว้อีก เขาเพียงมองหน้าเธอนิ่ง...นิ่งสนิทเสียจนเธอต้องจับมือของตนเองไว้โดยอัตโนมัติเพื่อควบคุมไว้ไม่ให้สั่น ครั้งนี้เธอไม่ได้สั่นเพราะความกลัว แต่สั่นเพราะประกายบางอย่างที่แฝงเร้นอยู่ในดวงตาของเขา 

ดวงตา...ที่เหมือนป่าทึบถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกจนมองไม่ออกว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่...

“ไอ้การปิดหูปิดตา ไม่มองสิ่งที่เห็นคาตาอยู่ตรงหน้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการวิ่งหนีความจริงตรงไหนเลย” ชายหนุ่มยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มจนหมด “ฉันว่าเธอรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าเพื่อนเธอมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม แต่เลือกที่จะทำเป็นไม่เห็นเสียมากกว่า”

“อย่าพูดเหลวไหล อยากพูดอะไรก็พูดออกมาเลย มัวแต่อ้อมไปอ้อมมาอยู่ทำไม”

นฎาบีบมือของตนเองแน่น แต่ละคำที่หลุดออกมาจากปากของปีศาจตนนี้ล้วนเสียดแทงใจทั้งสิ้น ทว่าไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าไม่จริง เธอรู้มาตลอดว่ากิ่งกาญจน์ทำตัวแปลกไปจากเดิม แต่ไม่ถึงขนาดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ก็แค่ไม่เล่าทุกเรื่องให้เธอฟังเหมือนเคย และเอาใจใส่เธอมากจนผิดสังเกตอยู่สักหน่อย หากไม่นับเรื่องของแบรนด์เนมที่อัดแน่นจนล้นตู้แล้ว นอกเหนือจากนี้ก็ปกติดีทุกประการ

กิ่งกาญจน์เป็นเพื่อนของเธอ ไม่ว่าอย่างไรเธอจะรอฟังความจริงจากปากของเพื่อนเท่านั้น ไม่มีวันยอมให้อีตาปีศาจนี่ปั่นหัวตามใจชอบเป็นอันขาด!

“พูดแล้วเธอจะหายโง่ ฉันก็หมดสนุกน่ะสิ”

เควานยักไหล่แล้วชูขวดเปล่าให้บาร์เทนเดอร์ดูเป็นเชิงบอกว่าขออีกขวด นฎามองท่าทางยียวนกวนประสาทของเขาแล้วได้แต่กัดฟันกรอด แค่ชั่วโมงเดียวเธอได้ยินเขาด่าเธอว่าโง่เป็นร้อยครั้งแล้วนะ!

“งั้นก็เชิญสนุกไปคนเดียวเถอะ ฉันกลับละ”

นฎาเหนื่อยและเครียดเกินกว่าจะต่อกรกับไอ้ปีศาจปากร้ายตนนี้แล้ว ไหนๆ ก็กินอิ่มแล้ว เธออยากล้มตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆ แล้วนอนหลับยาวรวดเดียวโดยไม่มีผีบ้าอย่างเขาตามเกาะติด ส่วนเรื่องปวดประสาทอื่นๆ ไว้ค่อยว่ากันหลังนอนเต็มอิ่มแล้ว

“ก็ตามใจ แต่พรุ่งนี้อย่าลืมล่ะว่าเรามีนัดกัน” เควานดื่มเบียร์ขวดใหม่รวดเดียวครึ่งขวด “เธอมีหน้าที่ต้องไปรับแหวนกับฉัน อย่าเบี้ยวล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันหักคอเธอแน่”

“พูดอย่างกับฉันมีทางเลือกอื่นอย่างนั้นละ” หญิงสาวระบายลมหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย “ฉันได้ยินคุณขู่เขาฟ่อๆ ก็นึกว่าจะแล่นไปรับแหวนคืนนี้เลยเสียอีก ไม่คิดว่าคุณจะทนรอได้จนถึงพรุ่งนี้บ่ายด้วยซ้ำ เห็นอยากได้แหวนคืนนักหนาไม่ใช่หรือไง”

“ฉันไม่คิดว่าฝั่งนั้นจะยอมคืนแหวนให้ง่ายๆ โดยไม่มีเงื่อนไขหรอก” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “ฉันก็เลยส่งรูปที่มีชื่อนิตยสารแปะติดไปด้วย พวกมันจะได้มีเวลาหาข้อมูลสักหน่อย เวลาเจอหน้ากัน อะไรๆ จะได้ง่ายเข้า”

“คุณนี่เจ้าแผนการจนฉันตามไม่ทันจริงๆ”

เขาฉลาดไม่เบา แต่ก็ไม่น่าแปลกอะไรนักหรอก เขาไม่ใช่มนุษย์นี่! 

“ดูเหมือนคุณจะสนุกที่ได้ทำให้คนอื่นทุกข์ใจสินะ”

“สนุกมากเชียวละ” เควานยิ้มหวาน “เดี๋ยวคอยดูพรุ่งนี้เถอะ สนุกกว่านี้อีก”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น