7

โน้ตตัวที่ ๗

โน้ตตัวที่ ๗

 

“เค? คุณพ่อหมายถึงนักวาดภาพประกอบน่ะเหรอคะ”

คุลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชื่อที่บิดาเพิ่งเอ่ยออกมา สีหน้าของเธอแสดงความตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบัง เธอเดินลงมาจากชั้นสองและได้ยินบิดาคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องรับประทานอาหารเข้าพอดี

“รู้จักด้วยเหรอ” คทาธรกดวางสายพอดี สีหน้าของเขามึนตึงอยู่นิดๆ ด้วยยังเคืองเรื่องที่แม่ลูกสาวตัวดีก่อไว้ไม่หาย แต่ไม่กล้าดุด่าว่ากล่าวเพราะตนเองมีชนักใหญ่กว่าที่ชื่อกิ่งกาญจน์ติดหลังอยู่ “เขาดังมากหรือไง”

แม้จะได้ยินข้อมูลอันน่าทึ่งของผู้ชายที่ชื่อ ‘เค’ ผ่านโทรศัพท์มาเกือบสิบห้านาทีแล้วก็ตาม ทว่าอคติลึกๆ ในใจทำให้เขาไม่อยากยอมรับสิ่งที่ฟังมาเท่าใดนัก 

“ดังสิคะ เมื่อสี่หรือห้าปีก่อน ลาวีเนีย นักร้องดีวาของอเมริกาผันตัวไปเขียนนิทานเด็กแนวแฟนตาซี ก็ได้เคนี่ละค่ะวาดภาพประกอบให้ สวยมากเลยนะคะ เป็นที่ฮือฮาเชียวละ ลาวีเนียดังมากอยู่แล้ว เคก็เลยดังเป็นพลุแตกไปด้วย หลังจากนั้นออกหนังสือรวมภาพวาดออกมากี่เล่ม ก็ขายถล่มทลายเลย” คุลิกาเล่าอย่างตื่นเต้น “เขาขึ้นชื่อเรื่อง ’ติสต์มากเลยนะคะ คุณพ่อ เก็บตัวเนื้อเก็บตัว ไม่ยอมออกสื่อไหนเลย เพิ่งมีนิตยสารเจนเทิลเมนนี่ละค่ะที่ไปตามตื๊อจนสัมภาษณ์มาได้ ลูกนัทก็เพิ่งเคยเห็นหน้าเขานี่ละ เขาหล่อมากเลยนะคะ เป็นนายแบบได้สบายๆ”

ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังยกโทรศัพท์มือถือในมือขึ้นกดค้นหารูปจากเซิร์ชเอนจินหันมาให้คทาธรดู ซึ่งเป็นรูปเดียวกับที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้แล้ว ย้ำชัดว่าเรื่องราวที่เขาเพิ่งได้ฟังจากลูกน้องเมื่อครู่เป็นความจริง ผู้ชายในรูปคือเค เป็นคนดังมีชื่อเสียง ไม่ใช่คนที่เขานึกจะทุบก็ทุบได้ง่ายๆ เสียแล้ว

“อ้อ หน้าตาดีจริงๆ ด้วย”

เท่าที่ได้ฟัง ผู้ชายที่ชื่อเคคนนี้ไม่มีข้อมูลอื่นใดให้สืบค้นได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยสักนิด แม้จะรู้ว่าเขามีชื่อจริงตามพาสปอร์ตว่า เควาน คิงส์ เป็นจิตรกรและนักวาดภาพประกอบชื่อดังระดับนานาชาติ แต่รายละเอียดนอกเหนือจากนั้นกลับถูกซ่อนไว้ในเมฆหมอกอันลึกลับ กระทั่งบทสัมภาษณ์ในนิตยสารยังมีแค่เรื่องงานที่ต้องการโพรโมตเพียงอย่างเดียว ไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น เขาเกิดและโตที่ไหน หรือร่ำเรียนวาดรูปตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่ระบุเอาไว้เลยเสียด้วยซ้ำ

“ว่าแต่คุณพ่อมีธุระอะไรกับเขาเหรอคะ” คุลิกาเอียงคอมองบิดาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย “หรือว่ามีปัญหา...”

“ไม่มีอะไรหรอก พ่อแค่อยากรู้น่ะ พอดีลูกค้ารายใหญ่ชอบเขา พ่อก็เลยให้คนไปหาข้อมูลมาให้ ครั้งหน้าเจอลูกค้าจะได้คุยกับเขารู้เรื่อง” คทาธรรีบตัดบทอย่างเป็นธรรมชาติ “ปัญหาเดียวที่พ่อมีก็คงเป็นเรื่องของเราเรื่องเดียวนั่นละลูกนัท”

“คุณพ่อละก็” หญิงสาวทำหน้าง้ำ เข้าใจในทันทีว่าบิดาพูดถึงเรื่องใด เธอจึงรีบโผเข้าไปกอดเอวของเขาเอาไว้อย่างประจบประแจง “แต่คุณพ่อก็จัดการแก้ไขปัญหาให้ลูกนัทได้ทุกครั้ง ไม่ใช่เหรอคะ”

“จะเอาแต่ก่อเรื่องไม่ได้หรอกนะลูกนัท พ่อไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า ต่อไปถ้าไม่มีพ่ออยู่คอยช่วยลูกแล้วจะทำยังไงฮึ” คทาธรแกะมือของลูกสาวออกแล้วหันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ 

คุลิกายักไหล่ “ลูกนัทไม่เกเรขนาดนั้นหรอกค่ะ”

หญิงสาวยิ้มหวาน แต่ทำเอาคนมองหนักใจไม่น้อย ที่เขาว่ากันว่ามีลูกเหมือนมีห่วงผูกคอนั้น คทาธรเพิ่งรู้แจ้งเห็นจริงก็ช่วงปีสองปีมานี้นี่ละ เขามีบุตรสาวคนเดียว แต่ไม่เคยหวังฝากผีฝากไข้ ขอแค่อย่าสร้างเรื่องให้หนักใจไม่เว้นแต่ละวันก็ดีถมไปแล้ว ที่ไหนได้ นำพาแต่เรื่องร้อนใจมาให้อยู่เนืองๆ เสียนี่

“น้อยไปสิไม่ว่า” คทาธรถอนใจ “แล้ววันนี้ไม่ไปทำงานหรือไง ไหนว่ากำลังทำเพลงใหม่ไม่ใช่เหรอ”

เขาเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะกลัวจะเข้าทำนองหยิกเล็บเจ็บเนื้อเสียเปล่าๆ ถึงอย่างไรเขาก็สั่งลงโทษคนที่ทำร้ายกิ่งกาญจน์ไปแล้วและส่งตัวออกไปกบดานอยู่ที่ต่างจังหวัด เหลือแค่รอให้เรื่องเงียบจากนั้นค่อยไปเคลียร์กับทางผู้ใหญ่อีกทีก็จบแล้ว 

“ลูกนัทเบื่อๆ น่ะค่ะ ก็เลยยกเลิกคิวสัมภาษณ์ไป ว่าจะไปชอปปิงแก้เซ็งสักหน่อย”

คุลิกาทำปากยื่น อารมณ์ของเธอยังคงขุ่นมัวเพราะเอกภพอยู่ไม่น้อยจึงไม่มีแก่ใจทำงานทำการนัก แม้ผู้จัดการส่วนตัวจะบ่นยาวจนเกือบเรียกว่าสวดภาณยักษ์เพราะเธอโทรศัพท์ไปขอยกเลิกคิวงานกะทันหัน เธอก็ไม่สนทั้งสิ้น กดปิดโทรศัพท์มือถือใส่เสียดื้อๆ อย่างนั้น

“นี่คงทะเลาะกับแฟนมาอีกละสิท่า ไม่อย่างนั้นคงไม่กลับมานอนที่บ้านแน่”

คทาธรกวาดตามองคนที่ยืนสวมชุดคลุมผ้าไหมสีชมพูอ่อนทับชุดนอนไว้อย่างรู้ทัน เขาเลี้ยงลูกแบบคนสมัยใหม่ แต่ไม่ถึงกับ ‘หัวใหม่’ ไปเสียทุกเรื่อง อย่างเรื่องที่คุลิกาหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนค้างอ้างแรม ใช้ชีวิตอยู่กับเอกภพ เขาก็ไม่ชอบใจนัก แต่ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งเพราะรู้ว่าห้ามไปก็เท่านั้น คุลิกาเองก็โตพอที่จะรับผิดชอบผลที่ตามมาจากการตัดสินใจของตนเองได้แล้วจึงปล่อยเลยตามเลย...

แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด แม่ลูกสาวตัวดีมีปัญหาทีไรก็วิ่งโร่มาให้เขาแก้ไขทุกทีสิน่า...

“เปล่าเสียหน่อย ลูกนัทแค่คิดถึงบ้านไม่ได้หรือไงคะ” หญิงสาวย่นจมูกใส่คนเป็นพ่อ “ว่าแต่ลูกนัท คุณพ่อนั่นแหละแปลก ปกติเห็นไปทำงานแต่เช้าทุกวัน แล้วทำไมวันนี้เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว ยังอยู่บ้านอีกล่ะคะ”

“เมื่อคืนพ่อเคลียร์งานที่ออฟฟิศจนดึกเลยตื่นสาย แล้ววันนี้ตอนบ่ายมีนัดคุยธุระกับลูกค้าข้างนอก ก็เลยคิดว่าไปจากที่บ้านเลยจะสะดวกกว่า”

“คุณพ่ออย่าโหมงานหนักนักสิคะ เดี๋ยวก็ไม่สบายพอดี” คุลิกาเกาะแขนของบิดาไว้ “ให้เด็กจัดสำรับกลางวันให้รับประทานก่อนไปทำงานสักหน่อยดีไหมคะ ถึงยังไม่หิว แต่รับของว่างหน่อยก็ยังดีนะคะ ลูกนัทเป็นห่วง”

“ขอบใจนะลูก แต่อีกเดี๋ยวพิชิตก็จะขับรถมารับแล้ว” คทาธรกดจูบบนขมับของบุตรสาวแล้วก้มลงมองนาฬิกา “ช่วงนี้รถติดเป็นบ้าเป็นบอ พ่อไม่อยากไปสาย”

“เอ๊ะ...ทำไมคุณพิชิตถึงมารับคุณพ่อล่ะคะ ศักดิ์ชายไปไหน”

หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ปกติแล้วศักดิ์ชายเป็นคนขับรถให้บิดาเสมอ เพราะเป็นคนขับรถที่มารดาของเธอคัดกรองแล้วว่าซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ และทำงานได้ดีเยี่ยม 

“วันนี้พ่อไม่เข้าออฟฟิศ แต่พรุ่งนี้มีประชุมเช้า มีเอกสารที่ต้องดูหลายอย่างก็เลยให้พิชิตขับรถให้เสียเลย จะได้คุยเรื่องงานไปพร้อมกันจะได้ไม่เสียเวลา”

คทาธรซ่อนความรู้สึกอึดอัดใจไว้ใต้รอยยิ้ม เขารู้มาตลอดว่าศักดิ์ชายเป็นคนที่พ่อตาส่งมาให้เป็นหูเป็นตาให้ชโลธร แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้และใช้ให้ขับรถไปกลับจากที่ทำงาน หากเป็นธุระส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครใครรู้อย่างเช่นเรื่องของกิ่งกาญจน์ เขาเรียกใช้พิชิตได้เพียงคนเดียว ถึงจะทำงานพลาดบ้าง แต่นับว่าเป็นคนที่เขาไว้วางใจได้มากที่สุด

“แหม ทำงานหนักเกินไปแล้วนะคะคุณพ่อ”

“ก็หาเงินไว้ให้เรารูดบัตรเครดิตไง” คทาธรดีดปลายจมูกของลูกสาวเบาๆ “อ้อ คืนนี้พ่อคงกลับดึกนะ บอกแม่ด้วยว่าไม่ต้องรอกินข้าว”

 

คทาธรมาถึง ‘French Kiss’ ก่อนเวลานัดราวครึ่งชั่วโมง เขาพอรู้มาบ้างว่าเชฟ คริสตอฟ เลอกรองด์ ผู้เลื่องชื่อ เปิดสาขาของร้านอาหารฝรั่งเศสแนวฟิวชันกลางกรุง แต่ไม่นึกว่าจะมีส่วนที่เป็นสปีกอีซีบาร์ (Speakeasy Bar) หรือบาร์ลับที่กำลังเป็นที่นิยมของนักเที่ยวในยุคนี้ด้วย

บาร์ลับ...ที่ไม่ได้เป็นความลับเลยสักนิด...

ช่วงราวๆ ยุค ๒๐ มีกฎหมายห้ามจำหน่ายสุราและเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ในอเมริกา แน่นอนว่าที่ใดมีกฎระเบียบย่อมต้องมีพวกหัวขบถอยากแตกแถว จึงมีการเปิดบาร์ลับๆ เพื่อหลบสายตาของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองขึ้น บาร์เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะซ่อนอยู่ตามซอกหลืบของตึกหรืออาคารเก่าๆ ไม่มีป้ายชื่อร้านและไม่มีการโฆษณาใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงการบอกเล่ากันปากต่อปากเท่านั้น เครื่องดื่มที่มีก็จำกัด มีเหล้าอะไรก็เสิร์ฟเท่านั้น ลูกค้าไม่มีสิทธิ์เลือกมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนก็ยังแน่นขนัด เพราะรสชาติของการได้แหกกฎมันหอมหวานเสียยิ่งกว่ารสชาติของสุรามากมายนัก

น่าขันนักที่ปัจจุบันนี้ บาร์เหล้าสามารถเปิดกันได้อย่างเสรี แต่ผู้คนกลับนิยมบาร์ลับประเภทนี้กันมากขึ้น อาจเพราะโหยหาความตื่นเต้นจากการผจญภัยเล็กๆ หรือไม่ก็การได้ค้นพบสถานที่ลับที่คนอื่นไม่รู้กระมัง ทว่าสำหรับคทาธรแล้ว ผับบาร์ลับปลอมๆ พวกนี้ก็เป็นแค่สนามเด็กเล่นของคนหนุ่มสาวเท่านั้น ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือน่าสนใจแต่อย่างใด

“เชิญทางนี้ครับท่าน”

บริกรในชุดสูทสีดำผายมือเชื้อเชิญให้คทาธรและพิชิตเดินตรงไปยังประตูที่เขียนว่าทางหนีไฟ แต่เมื่อผลักให้เปิดออกกลับเป็นห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีขรึมอย่างเนวีบลูและสีน้ำตาลเป็นหลัก ที่ด้านในสุดของห้องเป็นเคาน์เตอร์บาร์ไม้โอ๊ก ด้านหลังเต็มไปด้วยชั้นวางขวดเหล้าที่สูงจดเพดานและมีขวดหลากสีสันวางอยู่จนเต็มพื้นที่ นอกจากจะมีสตูลทรงกลมให้นั่งหน้าเคาน์เตอร์แล้ว ยังมีโซฟาหนังดึงกระดุมแบบเชสเตอร์ฟิลด์ ทั้งแบบที่นั่งเดี่ยวและแบบยาวจัดไว้ตามมุมต่างๆ สำหรับลูกค้าที่มากันเป็นกลุ่ม มีการจัดระยะห่างระหว่างโต๊ะที่นั่งอย่างเหมาะสมจึงดูค่อนข้างเป็นส่วนตัวมีระดับอย่างยิ่ง

“สวัสดีครับ”

เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังดังขึ้นพร้อมๆ กับที่เจ้าของร่างสูงสง่าลุกขึ้นจากโซฟาหนังสีน้ำตาล เขาสวมเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีขาวทับด้วยเสื้อสูทสีโคบอลต์บลูเข้าชุดกับกางเกง แม้จะไม่ได้ผูกเนกไทและติดกระดุมเสื้อสองเม็ดบน เขาก็ยังดูเนี้ยบราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่น

“สวัสดี”

คทาธรมองมือของชายหนุ่มที่ยื่นมาตรงหน้าแล้วชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นนาฬิกาข้อมือที่เขาสวมอยู่ ตัวเรือนเป็นครอบแก้วทรงโดม มีกรอบสีทองตัดกับสายหนังสีน้ำเงินเข้ม ด้านในตัวโดมนั้นมีอัญมณีทรงกลมหลากสีสันหมุนวนไปตามกลไกราวกับเคลื่อนไหวด้วยเวทมนตร์ สีเหลืองตรงกึ่งกลางแทนดวงอาทิตย์ สีม่วง สีเขียว และสีฟ้า แทนดาวนพเคราะห์ดวงอื่นๆ เคียงคู่กับลูกโลกขนาดจิ๋ว ข้างๆ กันนั้นมีแผ่นโลหะสีน้ำเงินเข้มวาดลายทองเป็นจักรราศีทั้ง ๑๒ ราศี แทนตัวเลขนาฬิกา และมีเข็มสีทองคอยชี้บอกเวลาตามตำแหน่งที่คนคุ้นเคย

นี่มัน...นาฬิกามาร์กแอนด์จาค็อบรุ่นแอสโทรเมเนีย โซลาร์ โซดิแอก ซึ่งมีสนนราคาถึง ๑๐.๐๕ ล้าน!

“มือผมสกปรกจนคุณไม่อยากจับเหรอครับ”

เจ้าของมือคลี่ยิ้มเยือกเย็น คทาธรสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วพบกับดวงตาสีเขียวอมเทาที่ดูชืดชาราวน้ำแข็งขั้วโลก 

เย็นชา...จนหนาวเยือกจับขั้วหัวใจ...

“พูดอะไรอย่างนั้นเล่าครับ”

เขายื่นมือไปเชกแฮนด์ตามมารยาท ผู้ชายคนนี้ตัวสูงกว่าเขามาก แถมยังมีรัศมีบางอย่างข่มให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกด้อยจนเหมือนเหลือตัวเล็กนิดเดียว สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเขารูปงามชนิดหาตัวจับยาก แต่เป็นความงามที่มาพร้อมกับความรู้สึกน่าหวั่นเกรงอย่างไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายได้ 

“อ้าว หนู...”

คทาธรเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างผอมบางของสาวน้อยในชุดเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนขาดๆ สีอ่อนที่ไม่เข้ากับบรรยากาศเรียบหรูรอบข้างเลยสักนิด ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือที่ปราศจากการแต่งแต้มใดๆ และดวงตากลมโตราวตุ๊กตาคู่นี้ เห็นแวบแรกเขาก็จำได้ทันที...นฎา เพื่อนสนิทของกิ่งกาญจน์ และเป็นคนที่ลูกสาวของเขาเกลียดจับใจ!

ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้!

“รู้จักแฟนผมด้วยเหรอครับ”

เควานวาดวงแขนโอบรอบไหล่บอบบางของนฎาที่ยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อีตาปีศาจบ้าบอกแค่จะมารับตอนสิบโมงเช้า แต่ไม่ได้บอกสักนิดว่าจะพามาร้านหรูขนาดนี้ แถมตัวเองยังแต่งตัวเซตผมมาเสียเต็มยศ ในขณะที่เธอดูเหมือนเด็กรับใช้ของเขาไม่มีผิด!

‘ในตู้เสื้อผ้าของเธอ มีอะไรที่ดูดีกว่าผ้าขี้ริ้วด้วยหรือไง’

นั่นเป็นประโยคบาดหูที่เขาพูดใส่หน้าตอนนฎาขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีกว่านี้ เขาพูดไม่ผิดหรอก เธอมีแต่เสื้อผ้าเก่าๆ ทั้งนั้น ตัวที่ใหม่ที่สุดก็ซื้อเมื่อตอนต้นปีโน่น จะหยิบยืมชุดของกิ่งกาญจน์มาใส่ชั่วคราวก็ไม่ได้ เพราะรูปร่างของเธอผอมแห้ง ไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้าเหมือนเพื่อนสาวเลยสักนิด

‘โอ้เอ้ร่ำไรอยู่นั่นละ ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเธอไม่ก้าวออกมาจากประตู ฉันจะให้เธอแก้ผ้าไป’

และเพราะคำพูดบ้าๆ ของเขาอีกนั่นละ หญิงสาวถึงได้มายืนตัวลีบน่าขายหน้าอยู่ตรงนี้อย่างไร้ทางเลือก สิ่งเดียวที่ทำได้คือกระพุ่มมือไหว้ผู้ชายแปลกหน้าตรงหน้าด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เธออยากบอกอยู่เหมือนกันว่าเธอไม่ใช่แฟนของเควาน แต่ถูกบังคับให้เล่นตามน้ำต่างหากเล่า!

แต่จะว่าไป...ผู้ชายคนนี้จะเรียกว่าแปลกหน้าก็ไม่เชิง เหมือนเคยเห็นจากที่ไหน...

“ท่านครับ”

ตอนที่พิชิตสะกิดเตือน คทาธรถึงได้รู้ว่าตนเองพลาดแล้ว จริงอยู่ที่เขารู้จักนฎาผ่านคุลิกากับกิ่งกาญจน์ แต่หญิงสาวไม่เคยพบเขามาก่อน การที่เขาแสดงตัวว่ารู้จักเธอเช่นนี้ ย่อมหมายถึงไม่อาจปกปิดเรื่องระหว่างเขากับกิ่งกาญจน์ไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

“ก็ไม่เชิงว่ารู้จักหรอกครับ” หนุ่มใหญ่รับไหว้ด้วยสีหน้าที่ข่มกลั้นความรู้สึกอึดอัดไว้ไม่มิด “ผมเคยเห็นรูปจากโทรศัพท์มือถือของกิ่งอยู่สองสามครั้งก็เลยจำได้ กิ่งพูดถึงหนูบ่อยมากเลยนะหนูน้ำ ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มาพบตัวจริง”

“เอ่อ...ระ...เหรอคะ”

เขารู้กระทั่งชื่อเล่นของเธอด้วยอย่างนั้นหรือ...

นฎานิ่งอึ้งไป เธอได้ยินคนข้างตัวหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคออย่างเยาะหยัน แต่ไม่มีแก่ใจไปสนใจนัก มือเท้าของเธอเย็นเฉียบเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าช่างโง่งมไม่ผิดจากที่เควานบอกไว้ ไม่มีสิ่งใดผิดจากที่เขาพูดไว้เลยสักอย่าง กิ่งกาญจน์มีชีวิตอีกแบบที่เธอไม่รู้จริงๆ นั่นละ และผู้ชายสูงวัยคนนี้กับคนชื่อพิชิตที่ยืนอยู่ด้านหลังคือหลักฐานชั้นดี

‘ถ้าเป็นเพื่อนรักกันจริง ก็น่าจะรู้สิว่าเพื่อนของตัวเองน่ะมีคนเลี้ยงอยู่...’

ถ้าตอนนี้เควานพูดประโยคเดิมอีกครั้ง เธอคงไม่กล้าเถียงเขาเต็มปากเต็มคำอีกแล้ว

“แต่กิ่งไม่เคยบอกฉันเลยว่าหนูคบหาอยู่กับคุณเควาน คิงส์”

ที่จริง...คทาธรอยากพูดว่าไม่น่าเป็นไปได้เลยที่นฎาจะคบหากับผู้ชายระดับ เควาน คิงส์ ได้มากกว่า เขาไม่ได้ดูถูกหญิงสาว แต่เมื่อเห็นทั้งคู่ยืนเคียงข้างกันเช่นนี้ อคติก็บังเกิด เควาน คิงส์ รูปงามปานเสกสรรจากปลายพู่กันของศิลปินเอก แถมยังสวมเสื้อผ้าเครื่องประดับแพงระยับตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ในขณะที่นฎาสวมเสื้อผ้าปอนๆ ดูไร้รสนิยม ต่อให้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอยู่บ้าง ก็ยังไม่เหมาะสมกับชายหนุ่มผู้นี้แม้แต่น้อย ชุดที่เธอสวมอยู่ทั้งหมดยังมีราคาเทียบไม่ได้กับรองเท้าทรงเดอร์บีหนังลูกวัวสีน้ำตาลของคริสเตียง ลูบูแต็งที่เขาสวมอยู่ข้างเดียวด้วยซ้ำ

“ก็ไม่เห็นแปลกนี่ครับ ขนาดนาดายังไม่รู้เลยว่าคุณคบหาอยู่กับเพื่อนของเธอ”

คำตอบที่มาพร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำของเควานทำเอาทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้นนิ่งงัน บรรยากาศพลันหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก

“อา...อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยินหรอก ที่นี่มีแต่พวกเราเท่านั้น ผมขอให้คริสตอฟช่วยปิดกล้องวงจรปิดให้ชั่วคราวระหว่างที่เราคุยธุระกันแล้ว ผมเองก็ไม่ใช่ประเภทชอบแอบถ่ายคลิปหรืออัดเสียงไว้แบล็กเมล์ใคร ฉะนั้นสบายใจได้”

เควานผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่ง ก่อนที่เขาจะดึงนฎาไปนั่งด้วยกันที่โซฟาตัวยาวโดยไม่ยอมคลายวงแขนจากลาดไหล่บอบบางของเธอ มิไยที่เธอจะส่งสายตาอ้อนวอน แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอเธอพยายามขยับตัวออกห่าง เขาก็ยิ่งกระชับวงแขนแน่นเข้าเสียอย่างนั้น

“ผมไม่เคยคิดว่าคุณจะทำเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วคุณคิงส์”

คทาธรฝืนยิ้มทั้งที่ในใจรู้สึกกระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออก เขานั่งลงที่โซฟาเดี่ยวฝั่งตรงข้ามชายหนุ่ม ในขณะที่พิชิตนั่งลงที่โซฟาตัวข้างๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“เรียกผมว่าเคก็ได้ครับคุณคทาธร ใครๆ ก็เรียกผมแบบนั้น”

ชายหนุ่มตวัดขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้มบางเบาแต่กลับทำให้คนมองรู้สึกหนาวเยือกแปลกๆ

“คุณรู้จักชื่อผม?”

“ก็เหมือนที่คุณรู้จักผมนั่นละครับ” เควานหัวเราะเบาๆ “อย่างน้อยผมก็ควรจะรู้ไว้บ้างไม่ใช่หรือว่าคนที่ผมต้องคุยธุระด้วยจริงๆ เป็นใคร”

เขาปรายตามองพิชิตอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน ทำเอาอีกฝ่ายหน้าเจื่อน

“ลองคุณออกหน้ามาพบผมด้วยตัวเองแบบนี้ แสดงว่าคุณก็คงสืบข้อมูลของผมมาพอสมควรแล้ว และรู้ว่าผมคงไม่เสียเวลาเจรจากับลูกน้องของคุณแน่ ถูกไหมครับ”

“ดูเหมือนคุณจะอ่านความคิดของคนอื่นเก่งจริงๆ”

คทาธรยิ้มเจื่อน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกไล่ต้อนซึ่งๆ หน้าแล้วไม่อาจโต้กลับได้ดังใจ แถมอีกฝ่ายยังเป็นเพียงชายหนุ่มรุ่นลูกอีกต่างหาก

“ผมเป็นแค่ศิลปิน ไม่ถนัดเรื่องแบบนั้นหรอกครับ”

แต่ชำนาญเรื่องวางหมากบังคับให้คนเดินตามแผนการของตนต่างหาก เขาอุตส่าห์ใจดีให้เวลาสืบข้อมูลเรื่องเขามาหนึ่งคืนแล้ว หากยังไม่รู้ว่าต้องส่งคนระดับไหนมาคุยกับเขาอีกก็ถือว่าโง่บัดซบเกินกว่าที่เขาจะเสียเวลาด้วยแล้ว 

“คุณไม่ใช่แค่ศิลปินธรรมดา แต่เป็นศิลปินชื่อดัง ไม่ว่ายังไงผมก็ควรมาพบคุณด้วยตนเอง”

นฎาแทบไม่เชื่อหูตนเอง ศิลปิน? ปีศาจเขี้ยวโง้งตนนี้น่ะหรือเป็นศิลปินอะไรกับเขาด้วย จากประสบการณ์ชวนขนลุกขนพองที่ผ่านมาของเธอ เควานถนัดก็แต่ศิลปะในการกลั่นแกล้งทรมานคนเล่นอย่างเดียวนั่นละ!

“ผมว่าเรามาเข้าประเด็นกันเลยดีกว่าครับ” เควานเอนกายพิงพนักโซฟา “คุณมีข้อเสนออะไรก็ว่ามาได้เลย ผมรอฟังอยู่”

“นี่คุณ...”

พิชิตอดรนทนไม่ไหวที่เห็นว่าอีกฝ่ายช่างอวดดีเหลือเกิน แต่ยังไม่ทันอ้าปากต่อว่า คทาธรก็หันมาส่งสายตาห้ามไว้เสียก่อน

“ผมคิดว่าคุณแค่อยากได้แหวนคืน”

เขาหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูท แล้ววางบนโต๊ะไม้โอ๊กเบื้องหน้า เควานมองกล่องนั้นด้วยสายตาเรียบเฉยจนยากที่จะคาดเดาความคิดได้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายอย่างที่สุดในสายตาของนฎา

“แหวนเป็นของผม ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องคืนมันให้ผมอยู่แล้ว แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะคืนให้ผมเฉยๆ โดยไม่มีข้อต่อรองหรอก ถูกไหม” ชายหนุ่มเลื่อนมือจากบ่าบอบบางของหญิงสาวขึ้นมาคลึงต้นคอของเธอเบาๆ ในแบบที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย แต่จะขยับหนีก็รู้สึกได้ถึงกรงเล็บที่ลากไปตามผิวเนื้ออ่อนๆ อย่างเชื่องช้า เธอจึงได้แต่นั่งนิ่งๆ เพราะกลัวว่าจะถูกเขาหักคอเอา “บอกข้อเสนอของคุณมาได้เลย แล้วผมจะตัดสินใจเองว่าจะปิดปากเงียบเอาไว้ หรือป่าวประกาศให้สื่อรับรู้ดี”

นฎาหันไปมองชายหนุ่มด้วยแววตาประหลาดใจ อีตาปีศาจนี่...กำลังจะแบล็กเมล์คนอื่นอย่างนั้นหรือ

“คุณกำลังขู่ผม?” สีหน้าของคทาธรไม่เปลี่ยน แต่ดวงตาฉายแววหวาดระแวงอย่างไม่อาจปิดบังได้

“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่สำหรับผม ผมขอเรียกว่าสร้างผลประโยชน์ร่วมกันแบบ...ผมได้เปรียบมากกว่าคุณนิดหน่อย”

เควานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ทว่าสร้างแรงกดดันให้คนฟังอย่างประหลาด

“ขู่จะแจ้งความดำเนินคดี ที่แท้ก็แค่อยากเรียกเงินว่าอย่างนั้นเถอะ”

พิชิตห้ามปากตนเองไม่อยู่ นึกแค้นไอ้บ้านี่นัก ขู่เอาๆ จนเขานอนไม่หลับมาแทบทั้งคืน 

“คุณคิดว่าผมดูเหมือนคนหิวเงินเหรอครับ คุณคทาธร”

ชายหนุ่มเดาะลิ้นเบาๆ สองสามครั้ง เขาไม่แม้แต่จะมองไปทางพิชิตสักนิด เหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนในสายตาของเขา

“ต้องขอโทษที่ลูกน้องของผมเสียมารยาท ไม่มีใครกล้าคิดกับคุณแบบนั้นหรอกครับคุณเค”

คทาธรมองออกว่ารสนิยมของเควานไม่ธรรมดาเลย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ หากไม่ใช่ลูกผู้ดีมีเงินเหลือไว้ถลุงเล่น จะมีปัญญาครอบครองของฟุ่มเฟือยราคาเกินเอื้อมสำหรับคนทั่วไปเช่นนี้ได้อย่างไร จริงอยู่ที่สมัยนี้จะมีบริการให้เช่าข้าวของแบรนด์เนมเพื่อสนองความต้องการยกระดับตนเองของคนงบน้อย แต่ก็สร้างภาพลักษณ์ได้เพียงฉาบฉวย ไม่มีทางดู ‘รวย’ อย่างเป็นธรรมชาติได้ตลอดรอดฝั่งแบบเควานแน่ ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่แค่ดูคุ้นเคยกับการสวมใส่ของแบรนด์เนมเพียงอย่างเดียว เขายังทำให้ข้าวของเหล่านั้นดูเหมือนผลิตขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะได้อย่างน่า...หมั่นไส้!

“ใครๆ ก็ชอบเงิน ผมก็ชอบ แต่พอดีมีเยอะแล้ว ไม่ได้ขาดแคลนอะไร ไม่จำเป็นต้องขโมยสมบัติคนอื่นไปขาย”

คทาธรฟังแล้วสะอึก ไอ้หนุ่มนี่กำลังบอกว่าตัวเองรวยและแขวะเรื่องกิ่งกาญจน์ไปพร้อมกัน แม้จะไม่พอใจนัก แต่เขาก็รีบหันไปปรามพิชิตด้วยสายตาอีกครั้งก่อนที่จะอ้าปากพล่ามอะไรออกมาให้เสียเรื่องอีก

“บอกตามตรงนะครับ คุณให้ทางผมเสนอ ผมก็คงเดาใจคุณไม่ถูก เอาเป็นว่าคุณบอกมาเลยก็ได้ครับว่าคุณอยากได้อะไร ถ้าไม่เกินความสามารถ ผมจะจัดการให้คุณตามความต้องการทุกอย่าง”

“ทุกอย่าง?” เควานนึกหยันอยู่ในใจ เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังกัดฟันกรอดๆ เชียวละ แล้วอย่างไรเล่า เขาต้องสนใจความรู้สึกของมนุษย์ตัณหาจัดอย่างมันด้วยหรือ “แหม...คุณช่างใจกว้างจริงๆ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ขออะไรเกินขอบเขตความสามารถของคุณแน่ แต่ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออก เอาไว้นึกออกแล้วจะบอกอีกทีก็แล้วกัน หวังว่าถึงตอนนั้นคุณคงจะไม่เบี้ยวผมนะครับคุณคทาธร”

“นี่คุณล้อกันเล่นใช่ไหม” พิชิตลุกพรวดขึ้นยืน “แบบนี้มันจงใจปั่นหัวพวกเราเล่นชัดๆ! คิดว่าคนอื่นว่างงานเหมือนคุณหรือไง!”

“พิชิต!”

ครั้งนี้เสียงของคทาธรเข้มจัดจนลูกน้องสะดุ้ง 

เควานหัวเราะ เขาเอื้อมมือไปหยิบกล่องแหวนมาเปิดออกก่อนจะค่อยๆ สวมแหวนลงบนนิ้วกลางข้างซ้ายอย่างเชื่องช้า 

นฎามองไปยังมรกตสีเขียวที่อยู่บนหัวแหวนแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หากไม่มีรูปที่เควานเคยถ่ายไว้เป็นหลักฐานว่าเธอเคยสวมมันตอนเมาไม่ได้สติ เธอไม่มีทางเชื่อแน่ว่าตนเองจะแตะต้องแหวนที่ดูน่ากลัวแบบนี้ 

“ถ้าอยากปั่นหัวเล่นแล้วจะทำไม”

กระแสพลังมืดดำที่ไหลผ่านจากแหวนมาสู่กายเนื้อ กระตุ้นทุกเซลล์ให้ตอบรับอย่างรุนแรงจนเขาเกือบควบคุมคมเขี้ยวของตนเองไม่ให้งอกยาวออกมาไม่อยู่ การอยู่ห่างจากแหวนนานๆ ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของมนุษย์ต้องสาปเช่นเขาเอาเสียเลย โชคยังดีที่ได้มันคืนมาก่อนที่จะเริ่มเสื่อมถอยแบบที่ไอ้พี่ชายสารเลวของเขาเคยเป็น

“ว่าไงนะ...” พิชิตขบกรามแน่น

“ถ้า-อยาก-ปั่น-หัว-เล่น-แล้ว-จะ-ทำไม” เควานพูดซ้ำประโยคเดิมอีกครั้งโดยเน้นทีละคำอย่างจงใจกวนประสาท ริมฝีปากหยักงามได้รูปยกแย้มเป็นรอยยิ้มขบขัน “ทีนี้ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม”

“หน็อย...”

“นั่งลงพิชิต อย่าต้องให้ฉันพูดซ้ำ”

ครั้งนี้สีหน้าของคทาธรแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด พิชิตทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมนั่งลงอย่างเสียไม่ได้

“แหม เชื้อง...เชื่อง”

นฎาเกร็งตัวยามชายหนุ่มวาดวงแขนโอบไหล่ของเธอไว้อีกครา ลำพังสัมผัสของเขาก็ทำเอาเธอกลัวแทบบ้าแล้ว นี่ยังมีหัวแหวนมรกตที่มีไอเย็นแปลกๆ แผ่ออกมาคลอเคลียอยู่ข้างแก้มของเธออีก

“คุณเค ผมไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้อไปกว่านี้ คุณอยากได้อะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็บอกมาได้เลย ผมยินดีทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้”

“โอ ผมมั่นใจว่าคุณต้องยินดีทำทุกอย่างแน่” จู่ๆ เควานก็ลุกขึ้นยืนติดกระดุมเสื้อสูทด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาสาวเท้ายาวๆ เพียงสองก้าวก็เข้าประชิดโซฟาที่คทาธรนั่งอยู่แล้ว จากนั้นจึงโน้มตัวลงไปกระซิบชิดริมหูของอีกฝ่าย “พอดีความลับของคุณไม่ได้มีแค่เรื่องเดียวเสียด้วย ผมคงต้องคำนวณหน่อยว่าต้องแลกกับอะไรถึงจะคุ้มค่า”

“พูดเรื่องอะไรของคุณ” คทาธรผงะถอยหลังนิดหนึ่ง ความรู้สึกอึดอัดในตอนแรกเริ่มขยับระดับเปลี่ยนเป็นความโกรธ 

“ก็เรื่อง...” ชายหนุ่มลากเสียงยาวอย่างจงใจยั่วประสาทให้อีกฝ่ายหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก “เอ...ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องไหนก่อนดี เรื่องที่เมียเก็บของคุณขโมยแหวนของผม หรือเรื่องที่ลูกสาวของคุณส่งนักเลงไปทำร้ายคนแต่ดันผิดฝาผิดตัวเสียได้ ถ้าเป็นเรื่องหลังนี่รับรองว่าคงเป็นข่าวดังเสียยิ่งกว่าเรื่องแรกอีก ว่าไหมครับ”

คทาธรตัวแข็งทื่อ เขาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืดหลังขึ้นตั้งตรงด้วยแววตาเต้นระริก ปลายนิ้วจิกพนักวางแขนแน่นอย่างลืมตัว บ้าน่า...ผู้ชายคนนี้รู้เรื่องที่คุลิกาทำด้วยอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้!

“แล้วผมจะติดต่อไปนะครับ คุณคทาธร” เควานยิ้มแล้วพูดต่อโดยไม่หันกลับไปหาหญิงสาว “มาเถอะนาดา ฉันจะพาเธอไปชิมของหวานฝีมือคริสตอฟ ดูเหมือนวันนี้เธอจะโชคดีได้กินปารีส์ แบรสต์นะ”

นฎามองแผ่นหลังกว้างของเควานสลับกับใบหน้าหลากอารมณ์ของคทาธรกับพิชิตอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะต้องรีบลุกพรวดขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินเสียงปีศาจหนุ่มทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคอแบบที่เขาชอบทำตอนไม่สบอารมณ์ แต่ถึงจะกลัวถูกเขาหักคอแค่ไหน เธอก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ทั้งคทาธรและพิชิตด้วยท่าทางเงอะงะ จากนั้นจึงเผ่นแผล็ววิ่งตามคนที่ก้าวขานำออกจากห้องไปก่อนอย่างร้อนรน

“ท่านครับ มันพูดอะไรกับท่าน” พิชิตแทบจะกระโจนใส่เจ้านาย เขาพยายามเงี่ยหูฟังสิ่งที่เควานกระซิบแล้ว แต่ก็ไม่ได้ยิน “ให้ผมส่งคนไปจัดการไอ้คนอวดดีนั่นไหมครับ”

“อย่าหาเรื่องใส่ตัว” คทาธรส่ายหน้าแล้วดันตัวขึ้นจากโซฟาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ผู้ชายคนนั้นไม่ธรรมดา ลองกล้าขู่กันโต้งๆ แบบนี้ แสดงว่าต้องเตรียมการมาดีทีเดียว”

“เตรียมการมาดี?”

พิชิตมองเจ้านายอย่างไม่เข้าใจ คทาธรในยามนี้หน้าซีดเผือดเหมือนถูกผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ อย่างไรอย่างนั้น อยากรู้นักว่าไอ้หมอนั่นพูดอะไร ถึงได้ทำให้คนที่เยือกเย็นในแทบทุกสถานการณ์ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้

“ใช่ ไอ้หนุ่มนั่นเป็นประเภทน้ำนิ่งไหลลึก คิดอ่านอะไรอยู่ คาดเดายาก” คทาธรถอนใจ “อยู่เฉยๆ รอดูท่าทีของเขาไปก่อน อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม”

“ถ้าอย่างนั้นส่งคนไปคอยประกบมันเอาไว้ดีไหมครับท่าน จะได้รู้ความเคลื่อนไหวของมัน ถ้ามันคิดเล่นไม่ซื่อวิ่งแจ้นไปบอกนักข่าว เราจะได้เล่นงานมันได้จั๋งหนับ”

“ถ้าเขาคิดจะบอกนักข่าวแต่แรก คงไม่คิดติดต่อมาขอเจรจากับเราหรอก เขาน่าจะมีจุดประสงค์อย่างอื่น แต่ฉันยังเดาไม่ออกว่ามันคืออะไร” เขาระบายลมหายใจหนักหน่วง “เอาเป็นว่าส่งคนตามดู เควาน คิงส์ กับแม่หนูนฎาตามที่แกบอกก็แล้วกัน ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรที่ดูผิดปกติให้รีบมาแจ้งฉันทันที”

“จะให้ตามดูเด็กนฎานั่นด้วยเหรอครับ แต่...แต่เด็กคนนั้นเป็นเพื่อนกับคุณกิ่ง...”

“แล้วก็เป็นแฟนของ เควาน คิงส์ ด้วย” คทาธรมองตรงไปยังบานประตูที่สองหนุ่มสาวเพิ่งเดินออกไปไม่นานนัก “บางทีเด็กคนนั้นอาจจะรู้อะไรที่เราไม่รู้ หรือไม่ก็อาจจะพาเราไปพบกับจุดอ่อนของผู้ชายคนนั้นก็ได้”

คิดหรือว่าฉันจะยอมถูกแกไล่บี้อยู่ข้างเดียว ฝันไปเถอะ!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น