8

โน้ตตัวที่ ๘

โน้ตตัวที่ ๘

 

“คุณ...ได้แหวนคืนแล้ว ฉันไปได้แล้วใช่ไหม...”

นฎาเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเขามองกลับมาด้วยแววตาติดจะดุนิดๆ เธอก็รีบหลุบตาลงมองโต๊ะทรงกลมที่ปูผ้าสีขาวสะอาดตาโดยอัตโนมัติ

“กินอะไรเสียหน่อยก่อน แล้วจะไสหัวไปที่ชอบๆ ก็ไป ฉันเลี้ยงเอง”

เควานตอบเสียงเรียบพลางพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นทั้งสองข้างจนถึงระดับข้อศอก ท่วงท่าสบายๆ ของเขามีเสน่ห์ดึงดูดสายตาของผู้คนอย่างประหลาด โดยเฉพาะบรรดาสาวๆ ในร้านที่พากันมองเขาตาเป็นมัน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจสักนิด นฎาเสียอีกที่กลายเป็นฝ่ายอึดอัดกับสายตาของผู้คนรอบด้าน จะว่าไป...ก็อึดอัดมาตั้งแต่เขาเดินนำเธอออกมาจากบาร์ลับนั่นแล้ว เธอไม่คุ้นเคยกับการเข้าร้านอาหารหรูหราแฟนซีเช่นนี้เอาเสียเลย จึงได้แต่ก้มหน้างุดก้าวขาตามชายหนุ่มไปเหมือนคนโง่ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาถอดเสื้อนอกให้พนักงานไปแขวนไว้ที่ห้องเก็บเสื้อโคตตอนไหน เห็นอีกทีก็ตอนที่เขานั่งสวมเสื้อเชิ้ตตัวเดียวอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับเธอแล้ว

ว่าก็ว่าเถอะ ทำไมร้านนี้ถึงได้มีห้องเก็บเสื้อโคตด้วย ถึงจะเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสก็เถอะ แต่นี่มันเมืองไทยนะ ใครเขาใส่เสื้อโคตกันเล่า!

“ฉัน...ไม่หิว” นฎายิ้มเจื่อน อยากไสหัวไปที่ชอบๆ อย่างที่เขาบอกเต็มแก่แล้ว “ฉันอยากจะไปเยี่ยมกิ่งด้วย ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นยังไงบ้าง”

“ก่อนจะห่วงคนอื่นน่ะ ห่วงตัวเองก่อนดีไหม หน้าซีดอย่างกับศพ กินของหวานก็แล้วกัน”

เควานหันไปยกนิ้วส่งสัญญาณให้บริกร นฎาลอบค้อนเขาตาแทบกลับแล้วได้แต่ประสานมือไว้บนตักแน่น เธอรู้ว่าตนเองแต่งตัวไม่เหมาะสมกับสถานที่แม้แต่นิด แต่ถึงมีเวลาเตรียมตัวมากกว่านี้ เธอก็ไม่มีเสื้อผ้าดีๆ จะใส่มานั่งชูคออยู่ในร้านนี้อยู่ดี

“อีกอย่างนะ เธอก็เห็นแล้วว่ายายเพื่อนขี้ขโมยของเธอมีคนดูแลเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมก็ได้ ไม่น่าจะตายเร็วๆ นี้หรอก”

“ฟังพูดเข้า” นฎาถอนใจ “คุณอย่าเรียกเพื่อนฉันแบบนั้นได้ไหม ฉันไม่ชอบเลย”

“แล้วจะให้เรียกว่าอะไร เมียน้อย? เด็กเสี่ย? หรือว่าเมียเก็บ?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วยียวน โต๊ะที่เขาและหญิงสาวนั่งอยู่ตั้งอยู่ชิดกับกระจกใสบานมหึมา แสงแดดจากด้านนอกส่องลอดมากระทบเสี้ยวหน้าคมคายเสริมให้เขาดูงดงามราวภาพฝัน นฎายอมรับว่าเขาหล่อจริงๆ นั่นละ แต่หล่อแบบเสียชาติเกิด หน้าตาดีขนาดนี้ แต่ดันปากนรก พูดแต่ละคำฟังแทบไม่ได้เอาเสียเลย!

“คุณนี่มัน...” หญิงสาวไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาเรียกเขาดี แต่ถึงนึกออกก็ไม่กล้าพูดออกไปจริงๆ หรอก กลัวตาย! 

“หรือจะเถียงว่าไม่จริง” เควานเคาะนิ้วกับโต๊ะดังก๊อกๆ “ไม่รู้จะเรียกเธอว่าโง่หรือฉลาดน้อยดี เห็นจะจะคาตาว่าอะไรเป็นอะไรยังจะปกป้องเพื่อนอยู่อีก หรือว่าลืมไปแล้วว่าที่เธอซวยอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะยายนั่น”

“โง่กับฉลาดน้อยไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด จงใจด่าฉันทั้งขึ้นทั้งล่องไม่ใช่หรือไง คนนิสัยเสีย” นฎาพึมพำเสียงแผ่วอยู่ในลำคอ 

“ได้ยินนะ” ไม่พูดเปล่าเขายังกระดิกใบหูให้ดูราวกับมันมีชีวิต “ก็ใช่ ฉันจงใจด่าเธอนั่นละ เธอมันโง่ดักดานจริงๆ นี่ ฉันเบิกเนตรให้ขนาดนี้แล้ว ยังคิดจะคบหากับแม่นั่นต่ออีกเรอะ”

“ฉันไม่ได้บอกว่าสิ่งที่กิ่งทำเป็นเรื่องถูกต้องเสียหน่อย กิ่งน่ะผิดเต็มประตูเลยที่ขโมยแหวนไปขาย แล้วเรื่องที่ไปยุ่งกับคนที่มีครอบครัวแล้วก็...ไม่ถูกไม่ควร” หากจะบอกว่าไม่ผิดหวังที่ได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้นเลยสักนิดก็คงเป็นการหลอกตนเองอย่างน่าสมเพชที่สุด กระนั้น...เธอก็ยังอยากเชื่อมั่นในตัวของกิ่งกาญจน์ต่อไป “แต่ฉันยังยืนยันว่าอยากฟังเหตุผลจากปากกิ่งก่อน ฉันไม่อยากตัดสินใครถ้ายังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด”

“คงต้องให้ฉันจุดไฟเผาทุ่งลาเวนเดอร์ไล่ผีโลกสวยออกจากร่างเธอจริงๆ เสียละมั้ง สิงนานจนสะหมงสมองไปหมดแล้ว” เควานกลอกตา “จะบอกอะไรให้นะ สิ่งที่เธอจะได้ฟังจากปากเพื่อนของเธอไม่ใช่เหตุผลหรอก แต่เป็นแค่ข้ออ้างที่ยกขึ้นมาเข้าข้างตัวเองล้วนๆ”

“ฉันไม่ได้โลกสวยเสียหน่อย ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าโลกน่ะ มันไม่ได้สวยหรอก” พูดถึงตรงนี้ นฎาก็เผลอยกมือขึ้นแตะท้ายทอยของตนเอง แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว ความรู้สึกตอนที่เคยถูกกระชากหางเปียจนหน้าหงายนั้นยังคงอยู่ ความเจ็บปวดที่เคยถูกฝ่ามือกระหน่ำตีจนช้ำไปทั้งหน้าทั้งตัวนั้นไม่เคยเลือนหายไปไหน เหมือนยังฝังอยู่ในเบื้องลึกของหัวใจ “ในเมื่อคุณได้แหวนคืนแล้วแบบนี้ คุณคงไม่คิดเอาเรื่องฉันกับกิ่งแล้วใช่ไหม”

“ฉันจะเอาเรื่องเธอทำไม เธอน่ะก็แค่ซื่อบื้อจนน่ารำคาญ แต่เพื่อนหัวขโมยของเธอสิทำฉันเสียเวลาไปก็ไม่ใช่น้อย”

เขาไล่เคาะปลายนิ้วทั้งห้าบนโต๊ะช้าๆ แหวนมรกตสีเขียวสะท้อนแสงแดดเป็นประกายวูบวาบ ทั้งงดงามและน่าสะพรึงในเวลาเดียวกัน หญิงสาวมองตัวเรือนด้านข้างที่ขึ้นรูปเป็นดวงตาสีเขียวทั้งสองข้างแล้วขนลุกซู่ขึ้นมาเสียเฉยๆ 

แหวนวงนี้ต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นเควานคงไม่กดดันเธอจนแทบบ้าเพื่อนำมันคืนมาแบบนี้หรอก... 

“ถ้า...ถ้าฉันจะขอร้องคุณ อย่า...อย่าเอาเรื่องกิ่งจะได้ไหม...” นฎาเม้มริมฝีปากแน่น เธอรวบรวมความกล้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาเสียยิ่งกว่าลมพัด “ฉันรู้ว่าขอมากเกินไป แต่...แต่คุณก็ได้แหวนคืนมาแล้ว มันไม่ได้บุบสลายหรือเสียหายอะไรตรงไหนใช่ไหมคะ...”

“อ้อ รู้เหมือนกันเรอะว่าขอมากเกินไป” เควานทำเสียงดังฮึอยู่ในลำคอ “จะโง่ซ้ำโง่ซากไปถึงไหนวะ คนแบบไหนควรเก็บไว้ใกล้ตัวหรือคนแบบไหนควรอยู่ให้ห่างยังไม่รู้อีก”

“ถ้าอย่างนั้นคนแรกที่คุณควรอยู่ให้ห่างที่สุดก็คือเควานนี่ละ คุณหนู”

โทนเสียงแหบต่ำที่มาพร้อมกับจานขนมที่ถูกวางลงตรงหน้า เรียกให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงที่โน้มตัวลงมาใกล้ทันควัน ก่อนจะต้องนิ่งงันเพราะรูปโฉมที่ปรากฏต่อสายตา ชายหนุ่มผู้มาใหม่รูปงามไม่แพ้เควาน แต่เป็นความงามที่เรียกได้ว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดวงตาสีเหมือนดอกเบบีบลูอายส์ของเขาส่งให้รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นเป็นกันเอง ยิ่งประกอบกับรอยลักยิ้มที่กดบุ๋มบนสองแก้ม ยิ่งทำให้เขาดูอ่อนโยนและเป็นมิตรกว่าปีศาจตรงหน้าเธอเป็นร้อยเท่า หากเทียบเควานเป็นคืนอันหนาวเหน็บกลางที่รกร้าง ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลผู้นี้คือทุ่งดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงกลางแสงแดดเจิดจ้าในฤดูร้อน

“เก็บอาการหน่อยนาดา น้ำลายไหลยืดแล้ว” เควานโยนผ้าเช็ดปากใส่นฎาทำเอาเธอสะดุ้งสุดตัว “อย่าให้ท่าทางแสนดีของมันหลอกเอาเชียว ไอ้หมอนี่อันตรายกว่าฉันเยอะ ไม่ระวังตัวให้ดีได้ลงไปอยู่ในหม้อสตูของมันแน่”

“พูดเหลวไหล เนื้อดีๆ แบบนี้จะเอาใส่ในสตูให้เสียของทำไมกันเล่า สู้ขุนให้มีเนื้อมีหนังอีกสักหน่อยแล้วค่อยเอามาทำสเต๊กจะดีกว่า”

นฎานิ่งอึ้ง นี่เขากำลังพูดถึงเรื่องแล่เนื้อเถือหนังเธอเหมือนพูดถึงดินฟ้าอากาศจริงๆ หรือ...คิดถึงตรงนี้ ภาพสายลมและแสงแดดที่เธอจินตนาการขึ้นมาก่อนหน้านี้หายวับไปกับตา กระทั่งรอยยิ้มอบอุ่นเมื่อครู่ยังกลับกลายเป็นดูชั่วร้ายในบัดดล 

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับมาดมัวแซล ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”

เขาหัวเราะอย่างร่าเริง บุคลิกเรียบง่ายและดูเป็นมิตรที่เห็นช่วยให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งว่าคงไม่ต้องไปอยู่บนเตาย่างดังที่จินตนาการไว้ 

“โอ ผมนี่เสียมารยาทจริงๆ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อ คริสตอฟ เลอกรองด์ เป็นเชฟและเจ้าของที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณนาดา”

นฎาอ้าปากจะเถียงว่านั่นไม่ใช่ชื่อของเธอ แต่แล้วก็ต้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเชฟหนุ่มถือวิสาสะคว้ามือเธอขึ้นแล้วจุมพิตบนหลังมืออย่างนุ่มนวล วินาทีที่ริมฝีปากบางเฉียบแตะบนผิวกาย ขนอ่อนทุกเส้นบนร่างกายของเธอก็ลุกชันโดยพร้อมเพรียงจนเธอต้องรีบกระตุกมือหนี ดวงตากลมโตเต้นระริกอย่างหวาดหวั่น

เราต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่รู้สึกเหมือนเขากำลังดมชิ้นเนื้อก่อนนำไปปรุงอาหาร!

“สงสัยน้ำจะท่วมโลกแฮะ ท่านเชฟใหญ่ถึงได้ย้ายก้นมาเสนอหน้านอกครัวได้”

เควานทำหน้าเมื่อย บรรดาลูกค้าสาวๆ ในร้านพากันยกโทรศัพท์มือถือขึ้นบันทึกภาพเชฟอัจฉริยะผู้ขึ้นชื่อว่าพบตัวยากที่สุด ปกติแล้วคริสตอฟมักหมกตัวอยู่แต่ในห้องครัวหรือไม่ก็ในออฟฟิศเพื่อคิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆ แม้จะมีคนดังระดับโลกขอพบเป็นการส่วนตัวเพื่อชื่นชมฝีมือการปรุงอาหาร เขาก็พร้อมปฏิเสธอย่างเย็นชาที่สุด คนเดียวที่เขายอมอ่อนข้อให้โดยไม่มีข้อแม้มีเพียงพ่อมดร้ายกาจอย่างชิวหลุนเท่านั้นละ 

“มีเรื่องสนุกทั้งทีก็ต้องออกมาดูหน่อยสิ” คริสตอฟหัวเราะแล้วหันไปหานฎา “คุณน่ะดวงซวยแล้วที่ต้องมาเจอคนอย่างไอ้หมอนี่”

“พูดมากไปแล้ว” เควานปรายตามอง “ไปจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีก่อนเถอะ ถ้าไอ้ชิวหลุนกลับมาแล้วรู้ว่าแกทำเรื่องชั่วอะไรไว้ แกได้โดนมันกัดหัวขาดแน่”

คำพูดของเควานทำให้สีหน้าของเชฟหนุ่มดูแปลกออกไปเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับมายิ้มแย้มตามเดิม แต่นฎาก็สังเกตเห็นว่ารอยยิ้มของเขาดูจืดเจื่อนลง

คนที่ชื่อชิวหลุนน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ...

“แหม...งานกร่อยเสียแล้ว ล้อเล่นนิดเดียวต้องเอาไอ้วายร้ายมาขู่กันเลยเรอะ” เจ้าของร่างสูงในชุดเชฟสีขาวสะอาดตาค้อมศีรษะให้นฎาแล้วค่อยๆ เดินถอยหลังออกห่างทีละนิด “เมนูพิเศษสำหรับคุณวันนี้คือ ปารีส์-แบรสต์ รสอิสปาออง Bon Appétit (บอน นัปเปติ) กินให้อร่อยนะครับคุณผู้หญิง ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อน”

คริสตอฟหันหลังเดินกลับไป แผ่นหลังของเขาตั้งตรง ดวงตามองไปเบื้องหน้า ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของลูกค้าสาวๆ รอบด้านแม้แต่นิดนฎามองตามเขาไป ดูเหมือนว่าเขาจะมีแฟนคลับเยอะพอตัวทีเดียว แสดงว่าเขาต้องเป็นคนดังพอตัวทีเดียว คงมีแต่เธอนี่ละกระมังที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาเป็นคนมีชื่อเสียง

“เอ้า จะกินก็กินสิ นั่งบื้ออยู่ทำไม”

เควานเคาะโต๊ะเรียกหญิงสาวให้หันกลับมาสนใจขนมทรงกลมบนจาน เธอยิ้มแหยๆ ก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมาถือไว้ ดวงตากลมโตหลุบมองขนมหน้าตาสวยงามอย่างชื่นชม เธอเพิ่งเคยเห็นขนมหน้าตาสวยแบบนี้เป็นครั้งแรก ตัวแป้งทรงกลมชิ้นเล็กๆ ชิ้นพอดีคำนั้นทำจากแป้งเนื้อบางเบาที่มีรูตรงกลาง มองเผินๆ ดูคล้ายโดนัตที่โรยด้วยอัลมอนด์ฝานบางอบกรอบและประดับด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสดกับราสป์เบอร์รีอย่างประณีตบรรจง ตัวขนมผ่าครึ่งสอดไส้ด้วยครีมสีชมพูสลับกับราสป์เบอร์รีในสัดส่วนที่ลงตัวอย่างยิ่ง

“อื้อหือ...อร่อย...”

นฎาเบิกตากว้าง ดวงตาของเธอเป็นประกายวิบวับเหมือนเด็กน้อย รสทุกอย่างเข้มข้นหวานหอมอบอวลอยู่ในปากจนเธอต้องรีบตักอีกคำเข้าปากด้วยท่าทางมีความสุข กลิ่นหอมอ่อนๆ ของลิ้นจี่และกุหลาบเข้ากันได้ดีกับรสอมเปรี้ยวของราสป์เบอร์รีและสร้างความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง

“อะ...เอ่อ...แล้วคุณไม่กินอะไรเหรอคะ”

แม้ขนมจะอร่อยแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถามเจ้ามือตามมารยาท ชายหนุ่มยักไหล่

“ไม่ละ ฉันไม่กินอาหารที่คนอื่นปรุง”

เป็นครั้งที่สองที่นฎาได้ยินคำตอบแบบนี้จากเขา 

“คุณไม่กินอาหารที่คนอื่นปรุงเลยเหรอคะ” เธอเลิกคิ้วนิดๆ อย่างประหลาดใจ...นี่หมายความว่าที่เขาพูดครั้งก่อนก็คงไม่ได้ล้อเล่นสินะ “ฉันหมายถึง...คุณคริสตอฟก็เป็นเพื่อนคุณ เขาคงไม่วางยาพิษคุณหรอกมั้งคะ”

“มันไม่ใช่เพื่อนฉัน แค่เป็นผู้ร่วมชะตากรรมเฮงซวยเดียวกันเฉยๆ” เควานเท้าคางมองใบหน้าที่สว่างวาบอย่างมีความสุขยามกินของหญิงสาวแล้วหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “เธอนี่ว่าง่ายดีนะ ใครให้กินอะไรก็กิน รู้ไหมว่าไอ้ที่เขมือบอยู่น่ะมีอะไรใส่อยู่บ้าง”

“หา?” นฎาชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “นี่...คุณจะบอกว่าในขนม...มียาพิษ...เหรอคะ”

“อา...ลองเดาดูสิ”

เควานยิ้มหวาน ทำเอาหญิงสาวนั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้ากินขนมเลิศรสต่อ 

“เธอเคยได้ยินนิทานฝรั่งเศสเรื่อง เคราน้ำเงิน ไหม ไอ้ชายร่ำรวยโรคจิตที่ห้ามเมียทุกคนเปิดประตูห้องใต้ดิน ไม่อย่างนั้นจะฆ่าทิ้งทั้งหมดน่ะ”

“คะ?” นฎากะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร “นิทานเรื่องนั้น...ที่...เจ้าชายถูกสาปเป็นสัตว์ร้ายแล้วตอนหลังแบลล์มาช่วยแก้คำสาปด้วยรักแท้ใช่ไหมคะ”

“ยายโง่เอ๊ย นั่นมันเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรต่างหาก โตมายังไงฮึ ได้อ่านหนังสือหนังหาบ้างหรือเปล่า” ชายหนุ่มกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย “ป่วยการจะอธิบายให้เด็กสมองกลวงอย่างเธอเข้าใจจริงๆ แต่เอาเถอะ สรุปง่ายๆ ก็คือไอ้คริสตอฟน่ะคือที่มาของนิทานเรื่องเคราน้ำเงิน แต่เป็นเวอร์ชันที่ฮาร์ดคอร์และสยดสยองกว่ามาก ฉะนั้นอย่าได้เผลอไปหลงใหลได้ปลื้มมันเชียว เธอจะม่องเท่งไม่รู้ตัว”

“นี่หมายความว่า...คุณคริสตอฟ...ไม่ใช่คนเหรอคะ” หญิงสาวลดเสียงเบาลงด้วยกลัวว่าคนรอบข้างจะได้ยิน “เขา...เป็น...เป็นเหมือนคุณ...”

“คิดว่าไงล่ะ” เควานไม่ตอบรับแต่ไม่ปฏิเสธ “กินๆ เข้าไปได้แล้ว มันไม่มียาพิษหรอกน่า ฉันแค่ล้อเล่น”

“ฉันกินไม่ลงแล้ว” นฎาวางส้อม นึกโมโหอีตาบ้าเควานนัก บอกให้เธอกินแท้ๆ แล้วจู่ๆ ก็หาเรื่องมาพูดแหย่จนเธอกลืนอะไรไม่ลงเสียนี่ “ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมคุณถึงชอบแกล้งปั่นหัวคนนักนะ มันสนุกนักหรือไง”

“เพราะฉันทำได้ไง” ชายหนุ่มเหยียดยิ้มหยัน “ฉันกำลังแสดงให้เธอดูว่าการเป็นคนที่กุมอำนาจเหนือกว่า ทำให้การเหยียบคนไว้ใต้ฝ่าเท้ามันง่ายดายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก”

“หา? แล้ว...แล้วจะมาแสดงให้ฉันดูทำไม...” หญิงสาวมองหน้าปีศาจหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ

“ก็เผื่อว่าจะฉลาดขึ้นสักนิด” เขาชูนาฬิกาให้เธอดู “เธอรู้ไหมว่านาฬิกาเรือนนี้ราคาเท่าไหร่”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง สาม...สามหมื่นมั้ง”

เอาอีกแล้ว เขาถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังพูดก่อนหน้านี้อีกแล้ว เธอจึงได้แต่พยายามเดาราคาให้สูงที่สุดเท่าที่จะคิดได้ไว้ก่อน

“คิดเป็นเงินไทยก็สิบล้านกับอีกห้าหมื่น”

เควานพูดหน้าตาเฉย แต่ทำเอาคนฟังเกือบสำลักน้ำลายของตนเองตาย

“สิบล้าน!” นฎาร้องดังเกือบเป็นตะโกน ก่อนจะลดเสียงลงเมื่อคนที่นั่งโต๊ะข้างๆ หันมามอง “นี่เท่ากับคุณ...แบกบ้านทั้งหลังไว้บนข้อมือเลยนะ!”

เธอไม่คิดเลยว่านาฬิกาเรือนเล็กเท่านี้จะมีราคาน่าตกใจจนผมแทบร่วง

สิบล้านกับอีกห้าหมื่น” เขาย้ำราคาอีกครั้งราวกับไม่ยอมจะให้มูลค่าของมันตกหล่นไปแม้แต่บาทเดียว “คิดบ้างไหมว่าทำไมฉันถึงแต่งตัวแบบนี้มาทั้งที่ไม่ต้องก็ได้”

“เพราะคุณรวยมั้ง” นฎานึกก่นด่าปีศาจเผด็จการตรงหน้าเหยียดยาวอยู่ในใจเป็นรอบที่ล้าน ชอบไล่ต้อนให้เธอเล่นเกม ๒๐ คำถามแทบตลอดเวลา จนหวาดระแวงไปหมดว่าหากพลาดตอบไม่ถูกใจเขาขึ้นมา เขาได้จับเธอหักคอเล่นปะไร “เว้นแต่...คุณจะเช่าชุดกับยืมนาฬิกามาจากคนอื่น”

“ฉันไม่ได้กระจอกขนาดนั้นน่า และใช่ ฉันรวย รวยมากด้วย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่ฉันแต่งตัวเต็มยศมาวันนี้อยู่ดี”

หญิงสาวลอบกลอกตาให้ความมั่นหน้าเกินล้านของเควาน เธอมองออกว่าเขาหงุดหงิดที่เธอตอบไม่ตรงกับคำตอบที่อยู่ในใจของเขาเสียที แต่ใจร้ายพอที่จะไม่เฉลยในทันที เพราะอยากเห็นสีหน้างุนงงสับสนและกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเธอเพื่อความบันเทิงส่วนตัว...เกลียดนิสัยแบบนี้ของเขาจริงๆ!

“ถ้างั้นก็บอกมาตรงๆ เถอะค่ะ สมองเล็กอย่างฉันเดาไม่ถูกหรอก” นฎาชิงว่าตัวเองก่อนที่เขาจะเหน็บเธอเข้าให้อีก

“เห็นแก่ที่เธอรู้ตัวว่าโง่ ฉันจะบอกให้ก็ได้” เควานทำเสียงฮึขึ้นจมูก พอเริ่มคุ้นเคยกันบ้างแล้ว แม่เด็กคนนี้ก็เริ่มกล้าต่อปากต่อคำกับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน...ค่อยน่าเบื่อน้อยลงหน่อย “มนุษย์น่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่โคตรฉาบฉวย มองกันแค่เปลือกนอก เธอก็ดูเอาว่าไอ้สองคนนั้นมองเธอกับฉันด้วยสายตาแตกต่างกันแค่ไหน”

“นั่นเป็นเพราะคุณแต่งตัวเว่อร์จัดเต็ม ในขณะที่ฉันแต่งตัวแบบนี้มาต่างหาก” หญิงสาวมองสภาพของตนเองแล้วอดเหนื่อยใจไม่ได้

“ต่อให้สองคนนั้นไปเจอเธอที่อื่นก็มองด้วยสายตาแบบนี้อยู่ดีนั่นละ เพราะพวกมันคิดไปเรียบร้อยแล้วว่าเธอจน กระจอก ไร้พิษสง”

“มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วไหมคะ” นฎาฟังแล้วทำหน้าเมื่อย เขาหลอกด่าเธออีกแล้ว แต่จะเถียงก็เถียงไม่ออก เพราะเป็นเรื่องจริงตามนั้นทุกประการและเธอก็ยอมรับอยู่ลึกๆ ในใจ เพียงแต่ไม่เคยมีใครพูดใส่หน้าเธอแบบนี้มาก่อน

“เป็นเรื่องที่ใครๆ รู้อยู่แล้ว เธอก็เลยจำเป็นต้องก้มหน้ายอมรับคำดูถูกแล้วปล่อยให้คนที่มีอำนาจเหนือกว่ารังแกว่าอย่างนั้นเถอะ เธอยังคิดว่าตัวเองกระจอกเลย แล้วคนอื่นจะไม่คิดได้ยังไง” เควานกระตุกมุมปากซ้ายขึ้นอย่างเยาะหยัน “ฉันไม่แปลกใจเลยที่เธอถูกคนอื่นรังแกได้รังแกดีแบบนี้”

“คุณก็รังแกฉันด้วยไม่ใช่หรือไง”

“ก็ฉันเป็นปีศาจ ฉันรังแกทุกคนตามความพอใจอยู่แล้ว” เขาพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจจนน่าหมั่นไส้ “ฟังเอาไว้ให้ดีนะนาดา ถ้าเธอทำตัวอ่อนแอปวกเปียกอยู่แบบนี้ ก็ต้องเป็นเหยื่อไปตลอดชาตินั่นละ ในโลกนี้มีคนที่เหยียบหัวข่มเหงคนอื่นเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองทำได้อยู่เยอะแยะ ไอ้คุณคทาธรของเพื่อนเธอก็เป็นมนุษย์ประเภทนั้น ถ้าฉันไม่แสดงให้รู้ว่าไม่ใช่คนที่มันจะข่มกันได้ง่ายๆ ป่านนี้มันคงวางอำนาจใส่พวกเราเต็มที่ไปแล้ว และฉันอาจไม่ได้แหวนคืนด้วย”

“สรุปว่าที่คุณแต่งตัวเต็มยศมาก็เพื่อข่มเขาก่อนใช่ไหมคะ”

แหม...พูดเสียยาวเหยียด ใจความมีอยู่เท่านี้เอง

“เริ่มมีสมองบ้างแล้วนี่ ยายบื้อ” ชายหนุ่มหัวเราะ “เอาเป็นว่าธุระระหว่างเธอกับฉันจบกันแค่นี้แล้วนะนาดา จากนี้ไปก็พยายามอย่าแส่หาเรื่องอีกล่ะ อ้อ แล้วก็เลิกซะทีนะ ไอ้ท่าทางหงิมๆ เหมือนปะป้ายว่า ‘เชิญรังแกหนูได้เลย’ ไว้ที่หน้าผากแบบนี้น่ะ ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นเบี้ยล่างชาวบ้านเขาไปตลอดชีวิตนั่นละ”

“นอกจากคุณแล้ว ใครจะรังแกฉันอีกเล่า”

นฎาหัวเราะเสียงแห้ง ไม่รู้ทำไม พอเขาพูดว่า ‘จบกันแค่นี้’ ใจถึงได้โหวงๆ พิกล เธอควรจะดีใจที่พ้นเวรพ้นกรรมจากเขาได้มากกว่าไม่ใช่หรือ

“ทุกคนรอบตัวเธอนั่นละ” เควานเท้าคางมองหน้าหญิงสาวตรงๆ “แต่อย่างว่าละนะ เธอมันโง่เข้าเส้นไปเสียแล้ว ต่อให้พูดจนปากเปียกปากแฉะยังไงก็ไม่มีทางเข้าใจหรอก”

“รู้แล้วว่าโง่ ไม่ต้องย้ำกันนักหรอก”

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ในอกอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลายสับสนปนเปไปหมด ใจหนึ่ง...โล่งอกที่ไม่ต้องพบปีศาจเขี้ยวโง้งอีกแล้ว แต่อีกใจ...อดคิดถึงปีกสีดำคู่มหึมาของเขาไม่ได้ น่าแปลกนักที่เธอรู้สึกอุ่นใจและหวาดกลัวเขาได้ในเวลาเดียวกัน

“ใช้ชีวิตให้ดีล่ะ แต่ถ้าวันไหนเบื่อๆ อยากขายวิญญาณเล่นก็ใช้โทรศัพท์ที่ฉันให้โทร. มาหาฉันได้ทุกเมื่อ”

“ขะ...ขายวิญญาณ?” นฎากะพริบตาปริบๆ 

“เธอเป็นนักร้อง คงเคยได้ยินชื่อ โรเบิร์ต จอห์นสัน มาบ้างใช่ไหม มือกีตาร์เพลงบลูส์ที่เจ๋งที่สุดคนหนึ่งในโลก”

“ฉันรู้จักเพลง ‘They’re red hot’ ของเขา แต่...เขาไม่ใช่นักร้องคนโปรดของฉัน”

เธอจำได้รางๆ จากตำราเรียนว่าเขาเป็นนักดนตรีผิวสีโด่งดังมากช่วงปี ๑๙๓๖-๑๙๓๗ แนวเพลงของเขาแปลกใหม่มากสำหรับคนในยุคนั้น แถมยังมีฝีมือดีดกีตาร์ฉกาจฉกรรจ์ในแบบที่ไม่เคยมีใครเล่นได้มาก่อน ว่ากันว่าเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดดนตรีแนวร็อกแอนด์โรลล์ในยุคต่อมา

“อา...ถ้าอย่างนั้นเธอก็คงรู้สินะว่าเขาขายวิญญาณให้ปีศาจ เพื่อแลกกับความสามารถทางดนตรีระดับพระกาฬ”

เควานเดาะลิ้นขณะมองสีหน้าของหญิงสาว เขาชอบเวลาเธอทำหน้าโง่แบบนี้เสียจริง เห็นแล้วอยากแกล้งให้ร้องไห้เป็นบ้า

“มันก็เป็นแค่ตำนานมั้งคะ เขาอาจจะฝึกฝีมืออย่างหนักก็ได้”

เหมือนตอนที่เธอหัดเล่นกีตาร์ใหม่ๆ นั่นละ เธอเล่นได้แย่มาก ต้องฝึกฝนอยู่นานหลายปีกว่าจะเข้าที่เข้าทางและใช้ทำมาหากินได้อย่างทุกวันนี้

“โรเบิร์ต จอห์นสัน เป็นแค่เด็กยากจนอาศัยอยู่ในโรงเก็บฝ้าย ไม่มีความสามารถโดดเด่นอะไรเลย จนกระทั่งมีคนแนะนำให้ไปยืนร่ายมนตร์วูดูเงอะๆ งะๆ อยู่กลางสี่แยกเดลตา ในมิสซิสซิปปี ร่ายผิดๆ ถูกๆ อยู่นานเชียวละจนปีศาจรำคาญโผล่ออกมาเสียเองจะได้ไม่ต้องทนฟังมนตร์เพี้ยนๆ นั่นอีก โรเบิร์ตส่งกีตาร์ให้ปีศาจ มันปรับจูนสายแล้วเล่นด้วยลีลาแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนให้โรเบิร์ตดู ก่อนจะถามว่า ‘อยากเล่นได้แบบนี้ไหม’ เธอคงไม่ต้องเดาคำตอบใช่ไหมว่าโรเบิร์ตตอบว่าอะไร”

“เขาตอบตกลง...ใช่ไหมคะ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มเหมือนกำลังเล่านิทานของเขาล่อลวงให้นฎานั่งฟังเพลินเหมือนต้องมนตร์

“ใช่ โดยแลกกับวิญญาณ เมื่อไหร่ก็ตามที่โรเบิร์ตดัง ปีศาจจะเก็บวิญญาณไปทันที จะว่าไปก็เคี่ยวเอาเรื่องอยู่นะ โรเบิร์ตดังเป็นพลุอยู่แท้ๆ อยู่ๆ ก็ต้องมาตายตอนอายุแค่ ๒๗ ปี เพิ่งแต่งเพลงได้ ๒๙ เพลงเท่านั้นเอง แต่ก็ถือว่าคุ้ม เพราะเขาได้สมปรารถนา ทำความฝันให้เป็นจริงได้ ทั้งที่ก่อนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะฝันด้วยซ้ำ”

“คุ้มตรงไหนเล่าคะ ต้องมาตายตั้งแต่ยังหนุ่มแท้ๆ”

“ของฟรีไม่มีในโลกหรอกนะยายบื้อ ทุกอย่างมีราคาค่างวดของมันทั้งนั้น ฉันน่ะรู้จักปีศาจที่ทำสัญญากับ โรเบิร์ต จอห์นสัน เป็นอย่างดี บอกได้คำเดียวว่าไอ้ปีศาจนั่นหน้าเลือดฉิบ เทียบกันแล้วฉันใจดีกว่าเยอะ”

เควานยิ้มขันเมื่อนึกถึงใบหน้างดงามปานภาพศิลป์ของชิวหลุน น้อยคนนักที่จะรู้ว่าไอ้งูแสบเคยฝังตัวอยู่แถบมิสซิสซิปปีและลุยเซียนามานานนับร้อยปีก่อนจะย้ายถิ่นฐานไปทั่ว 

“คุณเนี่ยนะคะใจดี?”

นฎายิ้มแหย เธอเลือกไม่ถูกว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี ถ้าเควานกล้าพูดว่าตนเองใจดี ในโลกนี้ก็คงไม่เหลือคนใจร้ายให้เห็นอีกแล้ว

“ก็ลองขายวิญญาณให้ฉันดูสิ จะได้รู้ว่าฉันใจดีจริงไหม”

เควานยักคิ้วยียวน ในขณะที่นฎารีบส่ายหน้าทันควัน เธอดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเลื่อนไปตรงหน้าชายหนุ่ม แทนการปฏิเสธด้วยคำพูด เขามองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาหมุนเล่น

“ฉัน...คิดว่าฉันพอใจของฉันแบบนี้แล้วค่ะ”

“อย่าเพิ่งปฏิเสธเร็วนัก” ปีศาจหนุ่มเลื่อนโทรศัพท์กลับไปตรงหน้าหญิงสาวแล้วหยัดกายขึ้นยืน เงาทะมึนของเขาที่ทาบทับลงมาบนร่างของเธอพาให้รู้สึกหวาดหวั่นพิกล “เก็บโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้ก่อน บางทีเธออาจจะต้องโทร. หาฉันเร็วกว่าที่คิดก็ได้”

“เอ๊ะ? คุณหมายความว่ายังไงคะ”

นฎาเงยหน้ามองคนพูด เขาไม่ตอบแล้วเดินจากไปเสียดื้อๆ หญิงสาวมองตามแผ่นหลังกว้างใต้เสื้อเชิ้ตเนื้อดีไป ได้ยินเขาฮัมเพลงท่อนหนึ่งเบาๆ เธอจำได้ว่าเป็นเพลง “Me And The Devil Blues” ของ โรเบิร์ต จอห์นสัน ผู้ขายวิญญาณให้ปีศาจร้ายนั่นเอง

Early this morning

เช้าตรู่วันนี้

When you knocked upon my door

ตอนที่ท่านเคาะประตูเรียกข้า

Early this morning, ooh

เช้าตรู่วันนี้, อูววว

When you knocked upon my door

ตอนที่ท่านเคาะประตูเรียกข้า

And I said “hello Satan

ข้าจึงเอ่ยว่า “สวัสดี ซาตาน-

I believe it's time to go”

ข้าเชื่อว่ามันถึงเวลาที่เราต้องไปกันแล้ว”

นฎา...ฉันสังหรณ์ว่าเธอจะต้องดวงซวยจนต้องวิ่งแจ้นมาหาฉันเร็วๆ นี้แน่...

 

“โอ๊ย จะโทร. อะไรกันนักกันหนาคะพี่ชมพู่ ลูกนัทบอกแล้วไงว่าวันนี้ลูกนัทอยากพักผ่อน”

คุลิกากระแทกเสียงใส่คนปลายสายทันทีที่กดรับโทรศัพท์ เธอเพิ่งจอดรถที่ลานจอดวีไอพีของร้านอาหาร French Kiss หลังจากตะลุยชอปปิงมาจนเหนื่อยเลยกะจะแวะพักกินอาหารจานโปรดเสียหน่อย แต่ยังไม่ทันเปิดประตูลงจากรถ คนที่เธอไม่อยากคุยด้วยที่สุดในตอนนี้ก็โทรศัพท์มากวนอารมณ์กันเสียแล้ว

“แหม คุณนาย อย่าเจ้าอารมณ์นักเลย คุณพี่ไม่ได้โทร. มาจิกเรื่องงานหรอกค่ะ”

ชัชวาลพยายามสะกดอารมณ์ขุ่นเคืองเก็บไว้แล้วพูดเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างเอาอกเอาใจ ถึงแม่นักร้องสาวกำมะลอจะเอาแต่ใจเหลือทน แต่บทจะดีขึ้นมา เจ้าหล่อนก็ดีใจหาย น่ารักอ่อนหวานจนเขาหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง

“ถ้าอย่างนั้นโทร. มาเรื่องอะไรล่ะคะ อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องรายการประกวดร้องเพลงอะไรนั่น ถ้าใช่ก็ปฏิเสธไปเลย ลูกนัทไม่เอาด้วยหรอกนะคะ ไม่เป็นกรรมการอะไรทั้งนั้น”

หญิงสาวคว้ากระเป๋าสะพายคล้องไหล่แล้วก้าวลงจากรถ เธอสวมแว่นตากันแดดสีชาปกปิดใบหน้าไว้เกือบครึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังดูสวยเด่นจนตกเป็นเป้าสายตาของคนที่เดินอยู่ในลานจอดรถแทบจะในทันที

“เรื่องรายการนั้นน่ะไว้ค่อยว่ากันอีกที” ชัชวาลแบะปาก เขารู้ดีว่าคุลิกาไม่ยอมรับงานประเภทต้องเป็นกรรมการหรือเป็นเมนเทอร์ในรายการประกวดร้องเพลง เพราะกลัวความแตกเรื่องตนไม่ได้ร้องเพลงในอัลบัมเองเท่านั้นละ “คุณน้องได้ดูรูปที่คุณพี่ส่งไลน์ไปให้หรือยังคะ ถ้ายังก็รีบเปิดดูเร็วๆ เลย”

“รูป?” คุลิกานิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ “รูปอะไรคะ ถ้าเป็นรูปโป๊ของพี่ชมพู่กับหนุ่มๆ ลูกนัทขอบายค่ะ ไม่อยากดู”

“โอ๊ย รูปนี้เด็ดกว่ารูปที่คุณพี่แซ่บกับหนุ่มๆ เยอะค่า รับรองว่าคุณน้องกรี๊ดดังยาวไปถึงโลกหน้าแน่ๆ”

คุลิกาฟังเสียงหัวเราะคิกคักที่มาพร้อมกับประโยคแฝงความนัยแล้ว รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่พอจะอ้าปากต่อว่าต่อขานผู้จัดการส่วนตัวด้วยถ้อยคำแรงๆ อย่างที่ทำมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ทำงานด้วยกันมา เจ้าตัวก็เหมือนเป็นนกรู้ชิงตัดสายไปเสียเฉยๆ หญิงสาวถอนใจก่อนจะกดเปิดแอปพลิเคชันไลน์อย่างเสียไม่ได้

เอ๊ะ?

ดวงตาคู่งามเบิกกว้างเมื่อเห็นรูปที่ปรากฏบนหน้าจอ ถึงจะเป็นการถ่ายซูมจากระยะไกลด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ แต่ด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ที่ทันสมัยมาก ภาพจึงคมชัดชนิดไม่ต้องคาดเดาว่าใครเป็นใคร เรื่องเดียวที่ไม่ชัดเจนก็คือ ทำไมนังนฎาถึงไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงนั้นด้วย!

คุลิการู้เป็นอย่างดีว่าผู้ชายอีกสองคนในรูปเป็นใคร แม้จะไม่เคยพบตัวจริงก็ตาม คนหนึ่งคือเชฟ คริสตอฟ เลอกรองด์ เจ้าของร้านเฟรนช์คิส เชฟชาวฝรั่งเศสที่แทบไม่เคยก้าวเท้าออกนอกครัวให้เห็นเลย ขนาดเธอเป็นลูกค้าประจำแท้ๆ ยังไม่เคยได้พูดคุยกับเขาแม้แต่ครั้งเดียว...ส่วนอีกคนคือ เควาน คิงส์ นักวาดภาพประกอบคนดังที่เธอเองก็เป็นแฟนคลับตัวยง แต่ไม่กล้าฝันว่าจะได้พบตัวจริง

แล้วนี่มันอะไรกัน นังเด็กกระจอกอย่างนฎานั่งพูดคุยกับพวกคนดังระดับนั้นอย่างสนิทสนมได้ยังไง!

ดูเอาเถอะ แต่งตัวสะเหล่อเสียไม่มี ยังหน้าด้านหน้าทนเสนอหน้าในร้านหรูอีก!

ไวเท่าความคิด คุลิการีบต่อสายกลับไปหาชัชวาลในทันที แค่เพียงครู่เดียว ผู้จัดการส่วนตัวก็กดรับสายคล้ายกำลังรออยู่แล้ว

“ไง กรี๊ดเลยไหมล่ะ”

“รูปนี้มาจากไหนคะพี่ชมพู่ ใครส่งมาให้”

นอกจากจะไม่กรี๊ดแล้ว เธอยังอยากจะกินหัวชัชวาลอีกต่างหาก เธออุตส่าห์ไปตระเวนชอปปิงจนอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้วเชียว ดันทำให้หงุดหงิดอีกแล้ว!

“ไม่มีใครส่งให้หรอก มันว่อนเต็มโซเชียลมีเดียไปหมด พอดีพี่เห็นว่ามีคนคุ้นหน้าคุ้นตาของคุณน้องอยู่ด้วยเลยรีบส่งต่อให้ดู”

“รูปนี่ถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ว...นังเด็กนั่นไปทำอะไรที่ร้านเฟรนช์คิส

ทุกคำที่พูดออกไปอัดแน่นด้วยความรู้สึกชิงชังที่มีต่อคนที่ถูกพูดถึงอย่างไม่อาจซ่อนเร้นไว้ได้มิด มีไม่กี่คนที่คุลิกากล้าแสดงด้านมืดให้เห็นโดยไม่ต้องประดิษฐ์กิริยาท่าทางให้เป็นนางฟ้าผู้แสนดี และชัชวาลก็คือหนึ่งในนั้น 

“น่าจะเมื่อตอนกลางวันละมั้ง ไม่รู้สิ คนโพสต์กันเยอะมากจนพี่ไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนโพสต์คนแรก แต่ก็คงมีคนถ่ายหลายคนอยู่ละ ต้องไปไล่ดูอีกที แหม...นานๆ เชฟคริสตอฟจะยอมโผล่หน้าหล่อๆ มาให้เห็นสักทีหนึ่ง สาวๆ ก็คงตื่นเต้นกันนั่นแหละ เลยโพสต์กันใหญ่เลย เชฟหล่อจริงๆ นั่นละ หนุ่มอีกคนก็หล่อไม่เบานะ รู้สึกคุ้นๆ หน้ามากเลย ใช่นายแบบไหม”

ชัชวาลหัวเราะคิกคัก รู้สึกดีขึ้นหน่อยที่ทำให้คุลิกาแทบจะลุกขึ้นมาเต้นเร่าๆ ได้ ทำให้เขาเดือดร้อนต้องโทรศัพท์ไปขอโทษคนนั้นทีคนนี้ทีที่แม่เจ้าประคุณแคนเซิลงานจนทำเอาหัวหมุนไปหมด เอาคืนแค่นี้ถือว่ายังน้อยกว่าความเดือดร้อนที่เขาต้องเจอหลายเท่า

“นั่นคือ เควาน คิงส์ ที่เคยวาดภาพประกอบนิทานของลาวีเนียไงคะพี่ชมพู่”

คุลิกาเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดใจ เธอเดินก้าวฉับๆ ไปจนถึงหน้าประตูร้านอาหารแล้วก็เปลี่ยนใจเดินกลับไปที่รถ...หมดอารมณ์ ไม่กงไม่กินมันแล้ว!

“อุ๊ย! เขาคือเคที่คุณน้องกรี๊ดอยู่ใช่ไหมคะ แล้วนี่เขามาทำอะไรที่เมืองไทยคะเนี่ย มาเที่ยวหรือว่าทำงานให้นักร้องคนไหนอีก”

“ลูกนัทจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะคะ” หญิงสาวกระแทกเสียง “พี่ชมพู่นั่นละไปสืบมาเลยนะคะว่าเขามาทำอะไร มีโพรเจกต์ไหนกับใครเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้ามีก็ต้องหาทางไปร่วมโพรเจกต์ให้ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

“นี่ คุณน้องลูกนัทคะ คุณน้องน่ะเส้นใหญ่เส้นโตคับประเทศกว่าใครทั้งนั้น สืบเองจะง่ายกว่าไหมคะ โทรศัพท์หาคุณพ่อหนูกริ๊งเดียวก็จบแล้ว” ชัชวาลถอนใจ “หรือไม่ก็ให้น้องเอกไปถามแม่เด็กนฎาตรงๆ เลยก็ได้ แม่เด็กนั่นน่ะไม่เคยปฏิเสธคำขอของน้องเอกอยู่แล้ว”

“ไม่เอาละค่ะ ขืนให้พี่เอกไปถาม มันก็ทำมารยาออดอ้อนพี่เอกเอาอีก พี่ชมพู่ออกจะกว้างขวาง ถ้าเขามาทำอะไรเกี่ยวกับวงการบันเทิง พี่ลองถามๆ ดูก็น่าจะพอได้ข่าวบ้าง เดี๋ยวลูกนัทจะบอกให้คุณพ่อลองถามพวกเอเจนซีต่างๆ อีกแรง ถ้ามาทำโพรเจกต์อะไรที่เกี่ยวข้องกับคนในแวดวงเรา ลูกนัทจะต้องมีส่วนร่วมให้ได้”

หญิงสาวย้ำความคิดเดิม ไม่ว่านฎากำลังมีแผนการจะทำอะไร เธอจะเขี่ยออกไปให้พ้นวงโคจรให้ได้ เธอจะไม่ยอมให้นังเด็กคนนั้นได้ไต่เต้าขึ้นมายืนเทียบเท่ากันได้ง่ายๆ แน่!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น