บทนำ
สำนักงานเขตบางรัก สถานที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดที่คู่รักทั้งหลายพากันมาจดทะเบียนสมรส ยิ่งในช่วงเดือนแห่งความรักแบบนี้เจ้าหน้าที่เขตก็ยิ่งมีงานมากจนแทบจะล้นมือ แต่ละวันต้องต้อนรับคู่รักที่จูงมือกันมาจดทะเบียนสมรสกันอย่างคับคั่ง แต่โชคดีที่วันนี้ไม่ได้ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ไม่อย่างนั้นคนคงแน่นขนัดมากกว่านี้อย่างแน่นอน
คนที่มาที่สำนักงานเขตแห่งนี้ส่วนใหญ่จะมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสดชื่น ดวงตาเป็นประกายด้วยความรัก แต่ก็ยังมีบางคนที่เป็นข้อยกเว้น อย่างเช่นชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ต่อหน้านายทะเบียนวัยกลางคน ทั้งสองกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือ บรรยากาศระหว่างพวกเขาตึงเครียดจนแม้แต่นายทะเบียนยังไม่กล้าจะเอ่ยปาก ได้แต่ปล่อยให้ทั้งคู่อ่านเอกสารในมือจนจบ
“ฉันไม่มีปัญหา” ฝ่ายหญิงเป็นคนพูดก่อน
“ผมก็ไม่มี”
หญิงสาวหันไปมองเขาเล็กน้อยก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อลงบนเอกสาร ชายหนุ่มทำแบบเดียวกัน ฝ่ายหญิงเลื่อนเอกสารไปตรงหน้าเพื่อนที่มาด้วยให้เซ็นชื่อที่ช่องพยาน ส่วนฝ่ายชายนั้นพยานของเขาคือทนายหนุ่มในชุดสูทดูเนี้ยบ
ทั้งสองหันมามองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะแลกเอกสารทั้งสองชุดแล้วทำแบบเดิม
นายทะเบียนมองทั้งสองหนุ่มสาวเล็กน้อย เขาทำงานที่สำนักงานเขตแห่งนี้มาหลายปี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เขาเลื่อนเอกสารสองชุดไปตรงหน้าสองหนุ่มสาว
“แน่ใจแล้วนะ...”
นายทะเบียนถามยังไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ ฝ่ายหญิงก็เซ็นชื่อเสร็จแล้ว แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากกลืนคำที่เหลือลงไป นายทะเบียนหันไปมองฝ่ายชายที่เซ็นชื่อในเอกสารด้วยสีหน้านิ่งไม่แพ้กันแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ
เขาดึงเอกสารกลับมาตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มจัดการงานของตัวเอง เสร็จแล้วจึงเลื่อนเอกสารที่เหมือนกันทุกประการให้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายคนละฉบับ
เอกสารแผ่นนี้มีกรอบสี่เหลี่ยมลายไทย อักษรพิมพ์ตัวหนาสีน้ำเงินเด่นอยู่ด้านล่างตราครุฑ
‘ใบสำคัญการหย่า’
ฝ่ายหญิงเอื้อมมือไปรับเอกสารมา รวบกองเอาไว้กับเอกสารชุดแรก จัดการยัดทั้งหมดเก็บใส่กระเป๋าสะพายอย่างไม่ไยดี เธอลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณนายทะเบียนที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้แล้วหันไปพยักหน้ากับคนที่มาด้วย ก่อนทั้งสองสาวจะพากันเดินออกจากสำนักงานเขต
ฝ่ายชายมองตามแต่ไม่พูดอะไร เขาหันไปขอบคุณนายทะเบียนเช่นเดียวกัน ก่อนจะเดินออกไปพร้อมทนาย เมื่อมาถึงด้านหน้าซึ่งเป็นที่จอดรถ เขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหญิงสาวแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มนิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาหันไปหาทนายหนุ่ม กล่าวขอบคุณตามมารยาท ทั้งสองจับมือกันก่อนจะแยกย้ายกันไป
“แน่ใจเหรอนาว่าไม่ให้ฉันไปด้วย” ชไมพรเอ่ยหลังจากขับรถมาจอดที่หน้าอาคารสูงของบริษัทส่งออกมีชื่อแห่งหนึ่ง
“แกรออยู่ในรถนี่แหละ ของส่วนใหญ่ฉันทิ้งไปหมดแล้ว เหลือแค่สองสามอย่างที่ฉันยังไม่ได้เก็บมา ใช้เวลาไม่นานหรอก แกไม่ต้องดับเครื่องนะ รออยู่ในรถนี่แหละ ฉันไปไม่ถึงห้านาทีหรอก” พิมพ์นาราบอกแล้วไม่รอช้า รีบเปิดประตูลงจากรถทันที
หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ข้างรถยนต์อีกอึดใจก่อนจะเชิดหน้าขึ้นและเดินตรงไปที่ประตูทางเข้า โดยมีสายตาของเพื่อนสนิทอย่างชไมพรมองตามหลังอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
พิมพ์นาราตกเป็นเป้าสายตาเมื่อเธอเดินเข้ามาในบริษัทแต่หญิงสาวไม่คิดจะสนใจ ด้านล่างนี่ยังถือว่าน้อยด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเธอมาถึงแผนกการตลาด สถานที่ที่เธอนั่งทำงานมากว่าสิบปี ไม่มีพนักงานคนไหนไม่รู้จักเธอ หรือก่อนหน้านี้หากพวกเขาไม่รู้จัก พิมพ์นาราก็เชื่อว่าตอนนี้พวกเขารู้จักเธอแล้ว
หญิงสาวเดินไปที่โต๊ะทำงาน เก็บของที่ต้องการใส่ถุงกระดาษใบเล็กที่นำติดตัวมา
“คุณนา”
เสียงคุ้นหูดังขึ้น พิมพ์นาราเงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มให้ไกรศรที่เดินมาหาเธอถึงโต๊ะทำงาน
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะคะ ถ้าวันนั้นคุณศรไม่ให้โอกาสนา นาก็คงไม่ได้ก้าวมายืนตรงจุดนี้แน่ และนาต้องขอโทษคุณศรจริงๆ ที่ไม่ได้แจ้งเรื่องให้คุณศรทราบล่วงหน้า มันเป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหันจริงๆ”
ไกรศรมองหญิงสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย “คุณแน่ใจแล้วเหรอ”
“นาแวะไปเซ็นเอกสารที่ฝ่ายบุคคลก่อนจะขึ้นมาที่นี่แล้วค่ะ”
คำตอบนี้ชัดเจนมากพอแล้วสำหรับคนถาม ถึงจะทำงานเป็นเจ้านายลูกน้องกันมานาน แต่สำหรับปัญหาที่พิมพ์นารากำลังเผชิญก็ไม่ใช่จะแก้ไขหรือให้กำลังใจกันอย่างโจ่งแจ้งได้มากนัก
“เพื่อนนารออยู่ในรถ ถ้าอย่างไรนาขอตัวก่อนนะคะ”
“ถึงจะไม่ได้ทำงานด้วยกันแล้ว แต่ผมก็หวังว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันได้นะ”
พิมพ์นารายิ้มให้อีกฝ่าย เธอไม่พูดอะไรอีก แต่เดินกลับออกไปท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนทั้งแผนก ทันทีที่คล้อยหลัง พนักงานหลายคนก็เริ่มจับกลุ่มกันทันทีทำให้ไกรศรต้องกระแอมเตือนไปหนึ่งรอบ ทุกคนหันกลับมาสนใจงานตัวเองอีกครั้ง แต่ก็เพียงไม่นาน เพราะแต่ละคนคันปากยิบกันทั้งนั้น
ที่ลานจอดรถ ชไมพรที่นั่งลุ้นจนตัวบิดมาร่วมสิบนาทีได้ผ่อนลมหายใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเดินออกจากประตูด้านหน้ามา เธอรีบก้าวลงจากรถ เดินเข้าไปหาเพื่อน แย่งถุงกระดาษใบเล็กที่แทบไม่มีน้ำหนักอะไรเลยมาถือเอาไว้เอง แล้วจึงพากันเดินกลับไปที่รถ
“คิดหรือยังว่าเที่ยงนี้จะกินอะไร”
“ฉันมีไอเดียดีๆ” ชไมพรตอบกลับด้วยท่าทางกระตือรือร้น “ตำถาดร้านหน้าหอไหมแก”
พิมพ์นาราหลุดหัวเราะออกมาทันที ร้านหน้าหอที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่ทั้งสองจบมาด้วยกัน “นี่แกตั้งใจจะขับรถชั่วโมงครึ่งไปกินตำถาดเลยเหรอ”
“รักจะเป็นชะนีสายเขมือบ ต้องไม่หวั่นไหวกับแค่เรื่องระยะทาง!”
“ตามใจ แกเป็นคนขับ ถ้าแกขยันจะฝ่ารถติดไปกิน ฉันจะไปทำอะไรได้!”
“โอเค ตกลงตามนี้ ขึ้นรถเลย ให้ด่วน!” ชไมพรเร่งแล้วมุดเข้าไปนั่งประจำที่นั่งคนขับอย่างรวดเร็ว
พิมพ์นาราส่ายศีรษะเบาๆ แล้วยกมือขึ้นจะเปิดประตูรถ ตอนนั้นเองเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น
“นา”
ร่างบางชะงักทันที พิมพ์นาราลอบกัดริมฝีปากด้านในเล็กน้อยก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับ ‘อดีตสามี’
ชไมพรที่นั่งอยู่ในรถก็ได้แต่ยกสองมือกำพวงมาลัยแน่น เธออยากจะเปิดประตูออกไปแล้วด่าผู้ชายหน้าไม่อายคนนี้สักยกสองยกเพื่อความสะใจ แต่ก็ต้องห้ามใจตัวเองเอาไว้ เธอจัดการกดปุ่มลดกระจกด้านของพิมพ์นาราลงแล้วเอ่ยเรียก
“นาขึ้นรถเหอะ”
“ผมขอเวลาแค่สองนาที”
พิมพ์นารามองคนตรงหน้าอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ย “เชิญ”
คิ้วหนาของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน ก่อนเขาจะยื่นซองจดหมายสีขาวซองหนึ่งให้
หญิงสาวปรายตามอง “อะไร”
ชายหนุ่มมีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย “ตามกฎของบริษัท คุณลาออกกะทันหันโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทำให้คุณไม่ได้รับเงินเดือนของเดือนนี้”
“แล้วยังไง” พิมพ์นาราถามกลับเสียงเย็นชา เรื่องนี้เธอรู้อยู่แล้ว ฝ่ายบุคคลเองก็บอกกับเธออย่างชัดเจนแล้วเมื่อวานนี้เมื่อเธอเดินเข้าไปบอกว่าเธอต้องการลาออกและต้องการให้มีผลทันที มันเป็นกฎของบริษัท พนักงานทุกคนรู้เรื่องนี้ดี พิมพ์นาราเองก็ไม่คิดมาก เพราะตอนนี้ก็เพิ่งผ่านต้นเดือนมาแค่ไม่กี่วัน ไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องเงินชดเชยอะไร อีกอย่างการลาออกของเธอก็ทำให้บริษัทต้องวุ่นวายอยู่แล้ว ถึงจะไม่มาก แต่ก็เชื่อว่าต้องมีผลอย่างแน่นอน ไกรศรคงจะต้องหงุดหงิดกับเลขานุการคนใหม่ไปอีกสักพักกว่าทั้งสองจะทำงานเข้ากันได้
“รับนี่ไปเถอะ”
พิมพ์นาราเลิกคิ้วสูง ก่อนจะเอื้อมมือไปรับซองจดหมายสีขาวมาและเปิดออก
“เช็คเงินสดสองแสน” ชายหนุ่มเอ่ยเมื่อเห็นพิมพ์นาราดึงของข้างในออกมา “ถือเป็นค่าชดเชย”
ตัวเลขบนเช็คไม่ได้ทำให้พิมพ์นารารู้สึกอะไรมากนัก แต่ชื่อผู้ออกเช็คต่างหากที่ทำให้เธอต้องเม้มริมฝีปากแน่น หลังจากนั้นเธอเก็บมันเก็บใส่ซองแล้วส่งคืนให้
“เอาคืนไป ฉันไม่ต้องการ”
“ไม่เอาน่านา อย่าทำแบบนี้เลย คุณลาออกกะทันหัน อย่าว่าแต่เงินเดือนเลย ค่าชดเชยคุณก็ไม่ได้นะ”
“คุณไอรดาก็เลยจัดการเรื่องนี้ให้?”
“คุณไอซ์เขาหวังดี เงินนี่อาจจะไม่เยอะ แต่น่าจะช่วยคุณได้ระหว่างที่คุณต้องหางานใหม่”
พิมพ์นาราจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร ชายหนุ่มก็ย้ำให้เธอรับเอาไว้แล้วเดินกลับเข้าประตูบริษัทไป ทิ้งให้เธอได้แต่ยืนเหมือนคนโง่อยู่กลางแดดร้อนจัดยามเที่ยงวัน
เห็นคนนอกรถไม่ขยับ ชไมพรก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เธอตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พิมพ์นาราเริ่มขยับ
“นา ไอ้นา!” ชไมพรตะโกนเรียกอย่างตกใจจากด้านหลังเมื่อเห็นเพื่อนสนิทซอยเท้ากระแทกส้นสูงฉับๆ เดินกลับเข้าไปในบริษัท ท่าทางราวกับนางพญาที่พร้อมจะสาดเพลิงใส่ทุกคน
ชไมพรตั้งท่าจะวิ่งตามออกไป แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ดับเครื่องรถยนต์จึงรีบมุดกลับเข้ามาจัดการบิดกุญแจ ดับเครื่อง ปิดประตู วิ่งออกไปแล้วหลายก้าวก่อนจะหันกลับมากดรีโมตเพื่อล็อกประตูรถ
ตาย ตาย! องค์แม่ลงขนาดนี้ คงได้มีเละกันบ้างแน่ๆ!
หลังจากพุฒิพงศ์ให้ของแก่ ‘อดีตภรรยา’ ไปแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดอะไรอีก สิ่งที่เขาสนใจก็คือตอนนี้จัดการเคลียร์ปัญหาต่างๆ ได้อย่างเรียบร้อย กลับสู่สถานะหนุ่มโสด สามารถคบหากับไอรดาอย่างเปิดเผยได้เสียที ความจริงเขาไม่เห็นด้วยกับไอรดาเท่าไรนัก ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันเสียงแข็ง เขาจะทำอย่างไรได้
แต่ถ้าเขารู้สักนิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากยื่นซองนั้นไปให้ ต่อให้ต้องขัดใจไอรดา พุฒิพงศ์ก็คงไม่ลังเลที่จะทำ
“คุณพุฒิ” เสียงไอรดาดังขึ้นแทบจะทันทีที่เขาผ่านประตูเข้ามา รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าหวานสวย
วันนี้เป็นวันที่ไอรดามีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย หญิงสาวเดินตรงปรี่เข้ามาหาชายหนุ่มทันที ความจริงเธออยากจะดึงเขามาจูบเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของให้รู้แล้วรู้รอดไป ผู้หญิงหน้าไหนจะได้ไม่อวดดีเข้ามายุ่งกับของของเธอ แต่ในฐานะลูกสาวคนเดียวของเจ้าของบริษัท ไอรดาจำเป็นที่จะต้องสงวนท่าทีเอาไว้สักหน่อย
“เจอตัวพอดี คุณพุฒิจำแฮรี่ได้ไหมคะ เจ้าของร้านอาหารที่ลอนดอนน่ะค่ะ ตอนนี้เขามาเปิดร้านอาหารที่ไทยแล้วนะคะ แอรอนส่งข้อความมาชวนมาไอซ์กับคุณไปร่วมฉลองงานเปิดร้านด้วย”
ไม่มีแอรอนที่ไหนหรอกชายหนุ่มรู้ดี การฉลองที่ไอรดาพูดถึงก็คือฉลองเรื่องที่เขาเป็นหนุ่มโสดอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนมื้อกลางวัน พวกเขาคงต้องไป ‘กิน’ ที่คอนโดมิเนียมของพุฒิพงศ์ซึ่งอยู่ห่างจากบริษัทสิบห้านาที
“แฮรี่กับคุณสนิทกันมาก ถ้าไม่ไป แฮรี่คงงอนคุณแน่”
พุฒิพงศ์อ้าปากกำลังจะตอบ แต่จังหวะนั้นเองที่พิมพ์นาราพูดแทรกขึ้น
“ก่อนพวกคุณจะไปฉลอง ฉันขอเวลาสักสองสามนาทีได้ไหมคะ!”
เพราะเป็นเวลาพักเที่ยง พนักงานส่วนมากจึงลงมารวมกันอยู่ที่บริเวณชั้นล่างเพื่อเตรียมจะไปหามื้อเที่ยงกิน แค่ฉากการพบกันของพุฒิพงศ์กับไอรดาก็ดึงดูดสายตาพวกพนักงานได้กว่าครึ่งอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อมีพิมพ์นาราเข้าฉากมาอีกคน สายตาทุกคู่จึงจ้องมองมาทันที
คิ้วของพุฒิพงศ์ขมวดเข้าหากัน ขณะที่ไอรดาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
“นา” น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกกดต่ำคล้ายจะเป็นการเตือน
“ฉันขอเวลาไม่นาน คงไม่ทำให้พวกคุณเสียเวลา ‘ฉลอง’ มากนักหรอกค่ะ”
“ก็ได้ งั้นไปคุยที่ห้องทำงานผม” พุฒิพงศ์พูดพร้อมทำท่าจะเข้ามาลากตัว แต่เพียงแค่มือเขาแตะที่แขนเธอ พิมพ์นาราก็สะบัดอย่างแรง
“จริงๆ ฉันก็ไม่ได้จะคุยกับคุณหรอก” หญิงสาวตอบกลับแล้วเลื่อนสายตาไปที่ไอรดา
ไอรดาแสดงสีหน้าไม่พอใจ เธอหันไปส่งสายตาให้พุฒิพงศ์รีบจัดการเรื่องนี้
“นา...”
“ฉันเอานี่มาคืน” พิมพ์นาราพูดขัดพร้อมยื่นซองจดหมายสีขาวไปตรงหน้าไอรดา แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร
ไอรดาแสร้งทำหน้าเหลอหลา แล้วหันไปมองพุฒิพงศ์อีกครั้ง
“กรุณารับเช็คค่าชดเชยของคุณคืนไปเถอะค่ะ มันไม่จำเป็น” พิมพ์นาราพูดด้วยเสียงดังฟังชัด สองประโยคสั้นๆ แต่กลับทำให้บรรดาพนักงานพากันหูผึ่ง
“นา” พุฒิพงศ์ส่งเสียงเตือนอีกครั้งพร้อมขยับเข้ามาใกล้อีก “อยากจะพูดอะไรไปคุยกันที่ห้องผม!”
“ฉันไม่ใช่พนักงานของบริษัทนี้อีกแล้ว คุณใช้สิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน”
คำตอบที่สวนกลับมาอย่างไม่ไว้หน้าทำให้พุฒิพงศ์แปลกใจไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องชะงักก็คือความร้อนแรงในดวงตาของพิมพ์นารา มันเป็นท่าทางที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มีบางส่วนในตัวเธอตอนนี้ทำให้พุฒิพงศ์รู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่พิมพ์นาราที่เขารู้จัก
“คุณพุฒิ!” เสียงเรียกของไอรดาสามารถดึงสติของพุฒิพงศ์กลับมาได้อย่างดี
“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนา มีอะไรไม่พอใจ ไปคุณกันที่ห้องทำงานผมดีกว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาส่วนตัว ยังไงก็ไม่ควรเอามาพูดที่นี่”
“ปัญหาส่วนตัวเหรอคะ” พิมพ์นาราทวนคำเสียงหยัน “จะว่าไปมันก็ใช่นะ เรื่องนี้เป็นปัญหาส่วนตัวของฉันกับคุณไอรดา ส่วนคุณไม่เกี่ยว!”
ไอรดาเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้พนักงานที่มุงดูเหตุการณ์เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันที่ห้องทำงานของฉันก็แล้วกัน”
“อย่างที่บอกว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ เพราะฉันแค่เอาของมาคืนคุณเท่านั้น”
“ฉันให้แล้ว คุณเก็บไว้เถอะนะ” ไอรดาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด
“ฉันทำอะไรไป ฉันรู้ตัวดี เรื่องค่าชดเชยอะไรนี่ไม่จำเป็นเลย”
ไอรดาขยับเข้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาที่พอให้ได้ยินกันแค่สองคน
“อย่าถือศักดิ์ศรีมากนักเลย รับเอาไว้เถอะ ถือว่าเป็นค่าชดเชย” พูดจบไอรดาก็ถอยกลับมายืนที่เดิมพร้อมรอยยิ้มราวกับนางฟ้าบนใบหน้า “ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจนะคะ”
พิมพ์นารามองผู้หญิงตรงหน้า พลันมุมปากก็กระตุกถี่ยิบ
“ปกติเวลาที่เราต้องจ่ายค่าชดเชย มันก็ต้องมีมูลค่าเทียบเท่าหรือมากกว่าสินะคะ” พิมพ์นาราเอ่ยเสียงเรียบ และครั้งนี้เธอไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ แต่พูดต่อทันทีว่า “คุณไอรดาแย่งสามีของฉันไป ในกรณีที่เทียบเท่าคุณก็ควรจะชดเชยเป็นสามีใหม่ให้ฉันสักคน แต่คุณไอรดากลับแสดงน้ำใจด้วยการจ่ายค่าชดเชยด้วยเช็คเงินสดสองแสนบาทให้ฉัน แหม...บอกตามตรงนะคะ ตอนแรกที่เห็นตัวเลขบนเช็ค ฉันต้องก้มหน้านับศูนย์ตั้งสองรอบ!”
“พอได้แล้วนา!” พุฒิพงศ์เอ่ยเสียงเข้ม ทำท่าราวกับจะพุ่งเข้ามาบีบคอเธอถ้าหญิงสาวยังไม่หยุดพูด
พิมพ์นาราไม่สนใจอดีตสามี เธอผลักเขาออกไปให้พ้นทางแล้วพูดกับไอรดาต่อ
“ที่ฉันเอาเช็คมาคืนก็เพราะมูลค่าที่คุณไอรดาต้องการจะชดเชยให้ฉันมันมากเกินจำเป็น” พิมพ์นาราพูดพร้อมเปิดซองจดหมายออกหยิบเช็คเงินสดที่มีชื่อไอรดาเป็นผู้จ่ายเงินออกมาโบกเบาๆ “เงินสองแสนบาทนี่มันมากเกินไปค่ะ ฉันไม่กล้ารับหรอก เพราะถ้าจะให้คำนวณก็ต้องหักค่าเสื่อมจากการที่ฉันใช้งานมาตั้งสิบเจ็ดปีด้วย ของมือสองเขาไม่ขายกันแพงหรอกนะคะ คุณเองก็ทดลองใช้งานฟรีมาตั้งสามปีแล้ว จะมาคิดเล็กคิดน้อยอะไรตอนนี้คะ!”
ถึงตอนนี้พุฒิพงศ์กับไอรดาก็รักษาหน้าเอาไว้ไม่ได้แล้ว ทั้งคู่กัดฟันกรอด หน้าแดงจนแทบจะเขียว ทั้งโกรธทั้งอาย แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบโต้ พิมพ์นาราก็ทิ้งอีกสองประโยคเด็ดใส่หน้าพวกเขาแล้ว
“แต่ถือเสียว่าเพื่อฉลองการลาออกของฉัน สามีห่วยๆ คนหนึ่งฉันยกให้ฟรีไม่คิดตังค์ค่ะ” จบคำพูดประโยคนี้เช็คเงินสดมูลค่าสองแสนบาทถูกสะบัดออกจากปลายนิ้วมือของพิมพ์นาราอย่างไม่ไยดี
และเช็คเจ้ากรรมก็เหมือนจะมีชีวิต มันเลือกที่จะหล่นลงตรงปลายเท้าของไอรดาแบบพอดิบพอดี แถมหน้าเช็คยังหงายขึ้น เผยให้เห็นจำนวนที่ถูกเขียนบนเช็ค รวมถึงชื่อคนจ่ายเช็คด้วย
หญิงสาวแจกรอยยิ้มกว้างอย่างสะใจก่อนจะหมุนตัวสะบัดหน้าเดินออกจากบริษัทที่ทำงานมากว่าสิบปีด้วยมาดนางพญา ทิ้งเอาไว้เพียงใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างให้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทุกคนที่ได้เห็น
ความคิดเห็น |
---|