10

ผมรู้แค่ว่าผมต้องการอะไร


10

ผมรู้แค่ว่าผมต้องการอะไร

 

‘see u’ ข้อความสั้นๆ ที่เขาส่งมาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อราวสิบสองชั่วโมงก่อน

ข้อความที่ก่อนหน้านี้พิมพ์นารากับชไมพรยังตีความไม่ออก ว่ามันเป็นแค่ประโยคบอกเล่าธรรมดา หรือการบอกลาตลอดกาล ตอนนี้ทั้งสองสาวได้คำตอบชัดเจนแล้ว

จริงๆ ต้องบอกว่า คำตอบ ‘มายืนอยู่ตรงหน้า’ พวกเธอแล้ว

“คุณเป็นใคร” น้ำเสียงชวนหาเรื่องดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้สายตาสี่คู่หันไปมอง

พุฒิพงศ์จ้องคนแปลกหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและเหมือนจะพยายามยืดตัวขึ้นด้วยราวกับจะสามารถลบความจริงเรื่องความสูงที่ต่างกันได้

ธาวินมองคนตรงหน้ากลับตรงๆ อย่างไม่คิดเกรงกลัว ไม่ใช่เพราะเขาสูงและกำยำกว่า แต่มันเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้วที่ชอบเรื่องท้าทาย

“แล้วคุณล่ะครับเป็นใคร”

“ฉันเป็นสามีของนา” คำประกาศนี้ทำให้ทุกคนนิ่งงันไปตามๆ กัน

พิมพ์นาราแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน ความตกใจเปลี่ยนเป็นความโกรธจัดอย่างรวดเร็ว เธอกำลังจะก้าวเข้าไปเอาเรื่องคนพูด แต่ก็ต้องชะงักเพราะหางตาสะดุดเข้ากับร่างสูงของใครบางคน สมองของพิมพ์นาราว่างเปล่าไปชั่วขณะ ในใจเอ่อล้นไปด้วยความหวาดหวั่นจนไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังกลั้นหายใจเมื่อหันไปมองทางธาวิน

สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก มีเพียงแค่คิ้วหนาที่เลิกสูงขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

หญิงสาวรู้สึกจุกในลำคอ ไม่สามารถพูดอะไรได้ เธอโกรธพุฒิพงศ์มาก แต่ความหวาดหวั่นมันมีมากกว่า พิมพ์นาราอยากปฏิเสธ แต่ก็เอ่ยได้ไม่เต็มปากนัก เพราะถึงแม้ตอนนี้พุฒิพงศ์จะไม่ใช่สามีของเธอ แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็น

“คุณไม่ใช่สามีฉัน” พิมพ์นาราเอ่ยหลังจากเงียบอยู่นาน เธอเอ่ยอย่างเต็มเสียงด้วย ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยประกายความโกรธจัดจ้องตรงไปที่พุฒิพงศ์ “คุณเคยเป็นสามีฉันพุฒิ แค่เคย แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว”

“ผมอาจจะใช้คำผิดไปหน่อย มันเป็นความเคยชิน”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของพิมพ์นารากระตุกถี่เพราะความโกรธจัด มือทั้งสองข้างกำแน่น

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณก็ควรจะเริ่มทำตัวให้ชินได้แล้ว ว่าคุณเป็นอดีตสามีของฉัน” พิมพ์นาราจ้องหน้าเขานิ่ง ต้องใช้กำลังใจอย่างมากที่จะไม่สะบัดฝ่ามือลงบนหน้าของเขา “คุณเป็นแค่อดีตพุฒิ คุณไม่ได้อยู่ในปัจจุบันของฉัน และจะไม่มีวันอยู่ในอนาคตของฉันด้วย”

รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของพุฒิพงศ์เลือนหายไปตั้งแต่ตอนที่หญิงสาวเอ่ยประโยคที่สองแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่เอาน่านา คุณพูดเพราะโกรธที่ผมปัดโทรศัพท์คุณตกน้ำเมื่อคืนใช่ไหม”

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องโทรศัพท์พุฒิ แต่มันคือความจริง เรื่องของเรามันจบตั้งแต่วันที่เราเซ็นใบหย่ากันแล้ว ความเป็นสามีภรรยาของเรามันจบตั้งแต่วันนั้น อ้อ ไม่สิ” พิมพ์นาราเว้นจังหวะการพูดเล็กน้อยเมื่อคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงๆ ต้องบอกว่ามันจบตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว จบตั้งแต่วันที่คุณตัดสินใจพาผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปนอนบนเตียงของคุณ”

พุฒิพงศ์ชะงัก รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ระหว่างคุณกับฉัน เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป ฉันจะทำอะไรไม่เกี่ยวกับคุณ ส่วนคุณจะไปทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน”

ถ้ามีแค่พวกเขาสองคนพุฒิพงศ์คงไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่ตอนนี้ยังมีอีกสามคนที่ร่วมรับรู้เหตุการณ์นี้ด้วย พุฒิพงศ์อับอายจนแทบอยากจะตรงเข้าไปกระชากร่างคนตรงหน้ามาสั่งสอน แต่ขาเพิ่งจะขยับได้ไม่ถึงหนึ่งก้าวดี ร่างสูงของใครบางคนก็เคลื่อนเข้ามาขวางหน้าเขาเอาไว้เสียก่อน

“หลีกไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ”

“เสียใจครับ แต่ผมคงหลีกทางให้คุณไม่ได้”

“นี่มันเรื่องของฉันกับนา แกไม่เกี่ยว!” พุฒิพงศ์พูดพร้อมพยายามจะผลักคนตรงหน้าให้พ้นทาง

ไม่ใช่แค่ความสูงเท่านั้นที่ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต่างกัน แต่ยังเป็นไลฟ์สไตล์ด้วย พุฒิพงศ์เป็นหนุ่มนักธุรกิจที่ชอบนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ แต่ธาวินเป็นสปอร์ตแมน ช่วงเวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับกิจกรรมผาดโผนและการเล่นกีฬา ดังนั้นจึงเป็นไม่ได้เลยที่คนซึ่งไม่เคยแม้แต่จะยกเวตอย่างพุฒิพงศ์จะผลักธาวินให้พ้นทางได้

“ถอยไป! ไม่ใช่เรื่อง อย่าเสนอหน้ามาสอด!”

“คุณนี่เลวจริงๆ นะครับ”

คำพูดของธาวินไม่ได้ทำให้พุฒิพงศ์เท่านั้นที่ชะงักงัน สามคนข้างหลังเองก็พากันตกอกตกใจใหญ่

แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือคนพูดเองก็ดูจะตกใจอยู่เหมือนกัน คิ้วของธาวินขมวดเข้าหากัน ท่าทางเหมือนคนไม่มั่นใจ

“เอ ผมใช้คำถูกหรือเปล่า คือผมตั้งใจจะบอกว่าแย่ หมายถึงทำตัวไม่ดี” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะหันกลับไปหาคนร่างเล็กด้านหลังแล้วพูดกับพิมพ์นาราเป็นภาษาอังกฤษ “ประโยคนี้ภาษาไทยควรพูดว่ายังไงนะ”

พิมพ์นาราเห็นความเจ้าเล่ห์ในดวงตาของเขา เธอรีบกระแอมเพื่อกลบเสียงหัวเราะของตัวเองแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณนี่แย่จริงๆ”

“ขอบคุณครับ” ธาวินพูดพร้อมขยิบตาให้ ก่อนจะหันกลับมาทางพุฒิพงศ์ที่ตอนนี้ยืนกัดฟันกรอด “ผมต้องขอโทษจริงๆ นะครับ ถึงผมจะเป็นคนไทยแต่กำเนิด แต่ผมเติบโตที่ออสเตรเลียก็เลยใช้ภาษาไทยไม่คล่องเท่าไร ผมไม่ได้ตั้งใจว่าคุณเลวหรอกนะ แค่จะบอกว่าการกระทำของคุณมันแย่มาก”

พุฒิพงศ์จ้องมองคนพูดอย่างไม่แน่ใจนัก การออกเสียงภาษาไทยบางคำของคนคนนี้แปร่งหูอยู่หน่อยจริง ทั้งสำเนียงการใช้ภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วเป็นธรรมชาตินั้นก็ทำให้ต้องสับสน แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังหงุดหงิดมากอยู่ดี เพราะความรู้สึกส่วนหนึ่งมันตงิดๆ ว่าตัวเองเพิ่งถูกอีกฝ่ายหลอกด่าไป

“สิ่งที่ผมทำจะแย่หรือไม่แย่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างคุณ” พุฒิพงศ์ไม่ได้แค่พูด แต่ยังพยายามทำท่าข่มขู่อีกฝ่ายด้วย

“ผมถึงบอกไงว่าคุณนี่แย่จริงๆ สำหรับคนที่ฟังภาษาไทยได้ชัดเจนอย่างคุณ ไม่น่าจะไม่เข้าใจสิ่งที่นาพูดไม่ใช่เหรอครับ” ธาวินสวนกลับทันที “นาพูดชัดเจนทีเดียวนะครับว่าคุณเป็นแค่อดีตของเธอเท่านั้น อดีตแปลว่าผ่านไปแล้ว ถ้าในภาษาอังกฤษก็สามารถหมายความถึงสิ่งที่จบไปแล้วได้เหมือนกัน ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ”

ถ้าก่อนหน้านี้คำพูดของพิมพ์นาราทำให้พุฒิพงศ์สะอึกไปได้รอบหนึ่งแล้ว การย้ำของผู้ชายตรงหน้าก็ทำให้เขาจุกจนเกือบพูดอะไรไม่ออก

“ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับคุณอยู่ดี เพราะคุณไม่ได้อยู่แม้กระทั่งในอดีตของนา”

“ครับ ผมไม่ได้อยู่ในอดีตของนา” ธาวินยอมรับอย่างเห็นด้วย “เพราะผมคือปัจจุบัน และแน่นอนว่าเป็นอนาคตของเธอด้วย”

เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น มันเบามาก แต่ธาวินได้ยินอย่างชัดเจน เขาเอื้อมมือไปด้านหลัง รอเพียงอึดใจก็รู้สึกถึงความเนียนนุ่มในอุ้งมือ ซึ่งมันเรียกให้มุมปากของเขายกเป็นรอยยิ้มได้อย่างดี

แรงบีบเบาๆ จากมือหนาของเขาทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของพิมพ์นาราร้อนผ่าว หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น และต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะทำให้ตัวเองยืนอยู่ที่เดิม ทั้งๆ ที่ความจริงหัวใจโหยหาแผ่นหลังกว้างอบอุ่นของคนตรงหน้า

“แกหมายความว่ายังไง” พุฒิพงศ์พูดขึ้นอีกครั้งหลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง

“อ้าว ตอนนี้กลายเป็นว่าคุณฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องแล้วเหรอครับ แต่ไม่เป็นไร ผมยินดีจะพูดให้คุณฟัง จะอีกกี่ครั้งก็ได้ ผมคือปัจจุบันและอนาคตของพิมพ์นารา”

พุฒิพงศ์ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเพราะความโกรธจัด “ฉันไม่เชื่อ แกโกหก!”

“จริงๆ มันก็ค่อนข้างพิสูจน์ได้ยากอยู่นะ” ธาวินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่เกิดอยู่ ส่วนอนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เอาเป็นว่าตัวผมเป็นส่วนหนึ่งในปัจจุบันของนาแน่ๆ ไม่เหมือนอดีตที่จบไปแล้วอย่างคุณ”

“แก!”

ธาวินใช้มือเพียงข้างเดียวยันอกอีกฝ่ายเอาไว้ ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะหยุดพุฒิพงศ์ได้แล้ว

“กลับไปเถอะครับ ผู้หญิงเขาก็พูดชัดเจนแล้ว อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายจะดีกว่า”

พุฒิพงศ์ขึงตาใส่ธาวิน แต่เขาสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ จึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายใหม่

“นา คุณจะปล่อยให้เพื่อนคุณมาพูดจากับผมแบบนี้เหรอ”

“คุณกลับไปเถอะพุฒิ และอย่ามาที่นี่อีก”

พุฒิพงศ์กัดฟันกรอด สายตาเลื่อนกลับมาจ้องธาวินอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนไปมองเกรียงไกรกับชไมพรที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาไม่ใช่คนโง่ ต่อให้เขาผ่านผู้ชายคนนี้ไปได้ก็ยังมีสองคนนั้นอีกอยู่ดี ถึงจะหงุดหงิดที่ต้องเสียหน้า แต่พุฒิพงศ์ก็จำต้องตัดสินใจถอย

คนพาลปัดมือธาวินจากตัวเขาอย่างแรงและไร้มารยาท แต่ธาวินไม่ได้ให้ค่าอะไรมากนัก สีหน้าเขายังไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย

“ก็ได้นา วันนี้ผมจะกลับไปก่อน แต่ผมจะไม่ยอมจบแบบนี้แน่ เรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน” พุฒิพงศ์ไม่รอฟังคำตอบ พูดจบก็หมุนตัวเดินกลับไปที่รถยนต์ของตัวเอง เขาหันมามองคนทั้งสี่อีกครั้งก่อนจะเปิดประตูขึ้นรถ ไม่ถึงอึดใจต่อมารถยนต์ของพุฒิพงศ์ก็กระชากตัวออกไป

ที่หน้าบ้านเหมือนตกอยู่ในความเงียบแทบจะทันที ชไมพรขยับจะเข้าไปหาเพื่อนสนิท แต่มือของสามีเอื้อมมาแตะข้อศอกหยุดเอาไว้ก่อน เกรียงไกรส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนจะจัดการจับภรรยาหมุนตัวหันหน้าเดินเข้าไปในบ้าน

สองคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่พูดอะไร พิมพ์นาราก้มหน้าจ้องมือของทั้งคู่ที่ยังคงประสานกันอยู่ ดวงตาทั้งสองข้างผ่าวร้อนอย่างที่เธอเองก็ทำอะไรไม่ได้ หยาดน้ำตาหยดแหมะลงที่ปลายเท้า เธอพยายามกลั้นเสียงสะอื้นด้วยการกัดริมฝีปากตัวเองแน่น

ธาวินอาจจะมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้านหลัง แต่เขารู้สึกได้ถึงมือน้อยในอุ้งมือที่สั่นนิดๆ

“มีตรงไหนที่เราจะสามารถคุยกันตามลำพังได้บ้างไหม”

คำถามของเขาทำให้แรงขบบนริมฝีปากเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่ความเจ็บกลับกดลึกอยู่ในใจเธอ

คนร่างสูงก้าวถอยมาด้านหลังจนทำให้พิมพ์นารารู้สึกถึงไออุ่นจากตัวเขา ก่อนเสียงกระซิบทุ้มต่ำจะดังขึ้น

“ผมอยากได้ที่ที่จะจูบคุณได้โดยไม่มีคนดู”

พิมพ์นาราเงยศีรษะขึ้นได้ครึ่งทางเธอก็พบว่าศีรษะชนแผ่นหลังของเขาแล้ว ดวงตากลมโตเบิกกว้าง มองมือตัวเองที่ยังถูกเขากุมเอาไว้ไม่ปล่อยอย่างงงงัน ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าหญิงสาวจะรับรู้สิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยินจริงๆ

“ผมคิดถึงริมฝีปากของคุณ คิดถึงเวลาที่คุณจูบตอบผมอย่างเร่าร้อน”

ริมฝีปากบางยังคงเม้มแน่น แต่ไม่ใช่เพราะกลั้นเสียงสะอื้น แต่เป็นกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างเอื้อมไปข้างหน้าหยิกกล้ามเนื้อแน่นตรงสะโพกสอบของเขา

เล็บคมของเธอไม่ได้ทำให้เจ็บอะไรเลย แค่เจ็บๆ คันๆ เท่านั้นเอง แต่เพราะธาวินไม่ทันได้ตั้งตัวจึงออกอาการสะดุ้งอย่างชัดเจน

“คนหน้าไม่อาย” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลัง

“เฮ้ อย่ากล่าวหากันสิ ถ้าผมหน้าไม่อายจริงๆ คงดึงคุณเข้ามาจูบตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้าแล้ว”

พิมพ์นาราเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ตอบอะไร เพียงแค่ดันศีรษะเบาๆ กับแผ่นหลังกว้างอบอุ่นของคนตรงหน้าเท่านั้น เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“เข้าบ้านกันเถอะค่ะ คนอื่นๆ กำลังรอกินมื้อเย็นอยู่”

ธาวินไม่ได้แย้งอะไร เขาขยับออกห่างมาเล็กน้อยแล้วหมุนตัวโดยมือยังคงกุมมือน้อยเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พิมพ์นาราเงยหน้ามองเขา ขนตาและแก้มเนียนใสของเธอมีร่องรอยของคราบน้ำตาอย่างชัดเจน

“อ๊ะ!” หญิงสาวร้องเพราะตกใจที่จู่ๆ คนร่างสูงก็เอื้อมมือมารั้งศีรษะจนหน้าเธอซบแนบลงกับอกเขา “นี่คุณ!”

พวกเขายังยืนอยู่หน้าบ้านเธอนะ! ถึงจะไม่มีเพื่อนบ้านมาเห็น แต่เธอก็มั่นใจว่าคนในบ้านจะต้องกำลังจ้องมองทั้งคู่อยู่แน่ๆ ป่านนี้แม่เธออาจจะช็อกตาค้างไปแล้วก็ได้

“คุณ!”

“ผมไม่ได้พกผ้าเช็ดหน้ามา” ธาวินเอ่ยเสียงเรียบ “ใช้เสื้อผมเช็ดคราบน้ำตาไปก่อนก็แล้วกัน”

พิมพ์นาราชะงักงัน มือที่พยายามดันอกกว้างก่อนหน้านี้หยุดนิ่งตรงตำแหน่งหัวใจเขา สัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ช้าแต่มั่นคงที่ฝ่ามือ ไอร้อนจากตัวเขา กลิ่นโคโลญที่คุ้นเคยทำให้หัวใจเธอค่อยๆ สงบลงจนกระทั่งมันเต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับหัวใจของเขา

“คุณอยากกอดผมละสิ” เสียงทุ้มต่ำปนขบขันดังขึ้นข้างหู

ความมั่นใจในน้ำเสียงของคนพูด ใครมาได้ยินก็ต้องหมั่นไส้กันทั้งนั้น พิมพ์นาราเองก็นึกหมั่นไส้ไม่น้อยเหมือนกัน เพียงแต่เธอเถียงสิ่งที่เขาพูดไม่ได้

เขามีสิทธิ์ที่จะมั่นใจ เพราะตอนนี้เธออยากกอดเขามากจริงๆ

“ปล่อยได้แล้วคุณ” หญิงสาวเตือนเมื่อคนร่างสูงยืนกอดเธอไม่ยอมปล่อย

“ไม่อยากปล่อยเลย เฮ้อ” ธาวินแสร้งทำเป็นบ่นพึมพำ แต่ก็ยอมคลายอ้อมแขนจากคนร่างบางโดยไม่อิดออด ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าหวาน แล้วใช้มืออีกข้างเช็ดคราบหยาดน้ำตาให้อย่างเบามือ

“เข้าบ้านกันเถอะค่ะ”

“อื้ม” ธาวินตอบรับแล้วปล่อยให้หญิงสาวจูงมือเดินเข้าไปด้านใน

 

พิมพ์นาราเงยหน้าที่พราวไปด้วยหยาดน้ำหลังจากล้างหน้า ดวงตากลมโตจ้องมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงา ขอบตาทั้งสองข้างแดงเรื่ออยู่หน่อยๆ เพราะไม่ได้ร้องไห้หนักมาก เปลือกตาทั้งสองข้างจึงไม่มีอาการบวม แต่สิ่งที่เห็นก็ย้ำเตือนความจำว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา

มือที่ยันกับขอบอ่างล้างหน้าเกร็งแน่น ขณะที่ริมฝีปากเม้มจนแทบจะเป็นเส้นตรง

ดวงตาของพิมพ์นาราเต็มไปด้วยความโกรธเคืองอย่างชัดเจนก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนหัวใจถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น

ก่อนหน้านี้พิมพ์นาราบอกตัวเองว่าการเป็นผู้หญิงที่ผ่านการหย่าไม่ได้ส่งผลอะไรกับชีวิตเธอ แต่ตอนนี้เห็นชัดเลยว่าเธอคิดผิด ตอนนี้เธออยากเป็นแค่ผู้หญิงที่เพิ่งเลิกกับแฟน

แต่ความจริงก็คือความจริง

ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้วเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดหยาดน้ำบนหน้า เสร็จก็จัดการพาดผึ่งเอาไว้ที่ราวแขวนแล้วเดินออกจากห้อง

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เธอคือผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้างมาแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือยอมรับมัน

พิมพ์นาราเดินลงบันไดมายังไม่ถึงครึ่งทางก็ต้องชะงัก เพราะร่างสูงของใครบางคนที่เดินสวนขึ้นบันไดมา ธาวิน หยุดที่ชานพักบันได สายตามองตรงมาที่เธอ

หัวใจของคนถูกมองเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วครู่ ถึงจะทำใจมาแล้ว แต่การเผชิญหน้าแบบนี้มันก็ออกจะเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า

“คุณหายขึ้นมานาน ทุกคนเป็นห่วง ผมก็เลยอาสาขึ้นมาตาม”

“ขอโทษที่ทำให้คอย” เธอตอบกลับไปด้วยเสียงค่อนข้างเบา แล้วบังคับให้ตัวเองก้าวเท้าต่อไป

แต่จังหวะที่หญิงสาวกำลังจะเดินผ่านเขาที่ชานพักบันไดนั้นเอง ข้อมือน้อยของเธอก็ถูกรั้งเอาไว้ พิมพ์นารากำลังจะหันไปถามว่าเขาต้องการอะไร แต่คำถามรวมถึงลมหายใจของเธอถูกริมฝีปากร้อนแรงของเขากลืนกินไปพร้อมกัน ดวงตากลมโตเบิกกว้างเพราะความตกใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เปลือกตาบางจะหลับลง แขนทั้งสองข้างยกขึ้นเกี่ยวคล้องลำคอแกร่งเอาไว้ ส้นเท้าเปิดยกพร้อมกับร่างที่เอนเข้าหาเสนอตัวเองสู่อ้อมแขนที่โอบรัด ศีรษะเอียงไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้เขาจูบเธอได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น

มันเป็นจูบที่ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็จริง แต่มันกลับทำให้แขนขาของพิมพ์นาราแทบจะอ่อนแรง

ธาวินถอนจูบของเขาอย่างไม่เต็มใจนัก รสชาติหอมหวานที่โหยหาทำให้เขาแทบตัดใจจากริมฝีปากเธอไม่ได้ แต่เสียงพูดคุยที่ดังอยู่ด้านล่างก็ทำให้เขาจำต้องหักห้ามใจแล้วสั่งให้ตัวเองหยุด

ร่างสูงถอยห่างออกมาเล็กน้อย ใช้แขนแข็งแรงเพียงข้างเดียวก็สามารถประคองร่างบางเอาไว้อย่างมั่นคง มือหนาอีกข้างที่ว่างยกขึ้น บดคลึงปลายนิ้วหัวแม่มือบนริมฝีปากล่างของเธอเบาๆ

“ปากคุณแตก”

“คะ?”

“ปากคุณแตก” ธาวินย้ำอีกครั้ง คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน แล้วจัดการพลิกใบหน้าหวานไปด้านข้าง ก่อนจะพลิกกลับมาอีกครั้ง “มีแผลที่อื่นอีกไหม ผู้ชายคนนั้นทำอะไรคุณหรือเปล่า”

ต้องใช้เวลาเล็กน้อยกว่าสมองของพิมพ์นาราจะประมวลผลคำพูดของเขาได้

“ไม่ค่ะ เขาไม่ได้ทำ ฉันกัดปากตัวเอง” และเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากัดแรงจนได้แผล

คิ้วหนาของธาวินคลายออก แต่สีหน้ายังบอกชัดว่าไม่ชอบใจอยู่ดี และเป็นอีกครั้งที่พิมพ์นาราไม่มีโอกาสได้พูด เพราะคนร่างสูงโน้มใบหน้ากลับลงมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้จูบเธออย่างดุดันจนทำให้เข่าแทบทรุดเหมือนก่อนหน้า เพียงแค่เลียเบาๆ ที่แผลบนริมฝีปากเธอเท่านั้น

พิมพ์นารารู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่าง ดวงตากลมโตจ้องขึงใส่เขา ในใจก็อดที่จะเหน็บไม่ได้

เป็นแมวหรืออย่างไร ถึงต้องเลียแผล!

ธาวินถอยกลับไปอีกครั้ง ต้องใช้เวลาอีกอึดใจเลยทีเดียว

ราวกับมันยากเหลือเกินสำหรับเขาที่จะปล่อยมือจากเธอ ความคิดนี้ทำให้แก้มของพิมพ์นาราร้อนผ่าวยิ่งขึ้นกว่าเดิม ต้องลอบกัดริมฝีปากด้านในตัวเองเอาไว้เพื่อเก็บข่มความอายเอาไว้กับตัว

“คุณทิมเรียกยายนาหรือยังคะ” เสียงชไมพรดังมาจากด้านล่าง

“ผมกับนากำลังจะลงไปแล้วครับ” ธาวินตะโกนกลับไป แต่สายตาเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของพิมพ์นารา

ดวงตาคมร้อนแรงที่ทำให้คนถูกมองรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกอีกฝ่ายเปลื้องผ้าออกทีละชิ้น

ธาวินสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกระแอมเล็กน้อย “ลงไปกันเถอะ คงไม่ดีเท่าไรถ้าแม่คุณเกิดไม่ไว้ใจผมขึ้นมา แบบนี้คงจะขอจีบลูกสาวท่านยาก”

พิมพ์นาราต้องหน้าร้อนผ่าวอีกระลอก “อ้อ นี่กะวางแผนเข้าทางแม่งั้นสิ”

“จีบสาวไทยก็ต้องเอาใจแม่ ถ้าผ่านด่านแม่ได้ เรื่องสินสอดจะกลายเป็นเรื่องเล็กทันที”

“ทำไม ถ้าแม่ฉันเรียกแพง คุณจะไม่ขอเหรอ” คำถามหลุดออกจากปากไปก่อนที่พิมพ์นาราจะรู้ตัว พอรู้ว่าพูดอะไรออกไปหญิงสาวก็หน้าเจื่อนลงไปทันที “อ้อ ฉันแค่ล้อเล่นนะ อย่าคิดมากเลย รีบลงไปข้างล่างกันเถอะ”

หญิงสาวเพิ่งจะเดินผ่านเขาไปก็ต้องชะงัก เพราะลำแขนแข็งแรงที่เอื้อมมารวบที่เอวแล้วดึงตัวเธอเข้าไปแนบติดกับแผ่นอกเขา พร้อมเสียงทุ้มที่กระซิบแนบหู

“ถ้าแม่คุณยอมยกให้ เท่าไหร่ก็ต้องสู้”

หัวใจของพิมพ์นาราเต้นผิดจังหวะและยังไม่ทันจะได้ทำท่าเล่นตัว อ้อมแขนแข็งแรงก็คลายออก ปล่อยเธอเป็นอิสระ ส่วนตัวเขาเดินเฉียดไหล่เธอนำลงบันไดไปก่อนแล้ว ทิ้งให้พิมพ์นาราได้แต่ยืนอายอยู่ตรงนั้นคนเดียว

“ชอบทำให้หัวใจคนอื่นหวั่นไหวอยู่เรื่อย” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง คำพูดของเขาทำให้เธอดีใจมากก็จริง แต่ก็ยังน่าสงสัยอยู่ว่าเขาพูดจริงหรือแค่หยอกเธอเล่นเท่านั้น

“ยืนทำอะไรอยู่ล่ะยายนา ทำไมไม่รีบลงมา คนอื่นเขารอกินข้าวอยู่นะ” เสียงผู้เป็นแม่ดังขึ้นและคนพูดก็กำลังยืนหน้านิ่วมองเธออยู่ที่หัวบันไดชั้นล่าง

พิมพ์นาราตัดความคิดอื่นๆ ออกจากหัว ก่อนจะรีบเดินลงบันไดไป

 

เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้วเมื่อพิมพ์นาราทำหน้าที่เจ้าของบ้านเดินออกมาส่งแขกที่หน้าประตูรั้ว เธอเดินอยู่ด้านหลังกับชไมพร ส่วนด้านหน้าสองหนุ่มกำลังคุยกันอย่างถูกคอราวกับเป็นเพื่อนสนิทกันมาเป็นสิบปี เด็กชายณภัทรตัวน้อยที่ร่าเริงเมื่อตอนเย็น ตอนนี้หลับคอพับน้ำลายยืดอยู่กับไหล่ของผู้เป็นพ่อ

ก็รู้อยู่หรอกนะว่าธาวินเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย มีอะไรบางอย่างในตัวผู้ชายคนนี้ทำให้คนอื่นอยากจะผูกมิตรด้วย ทั้งๆ ที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรก ทั้งๆ ที่พบกันในจังหวะเวลาและเหตุการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างมาก แต่เขาก็ยังสามารถทำตัวกลมกลืนกับทุกคนได้อย่างดี

“ว่าที่เพื่อนเขยคนนี้ฉันให้สิบเต็ม ยิ่งเมื่อตอนเย็นที่เขาโผล่เข้ามาแบบพระเอกสุดๆ โอ๊ย หัวใจฉันงี้สั่นเลย”

พิมพ์นาราไม่พูดอะไร แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ไม่ใช่หัวใจเพื่อนสนิทเธอคนเดียวหรอกที่สั่น

การปรากฏตัวของเขามันอยู่เหนือการคาดการณ์ใดๆ ทั้งหมดของเธอ ตอนนี้พิมพ์นารารู้แล้วว่าทำไมถึงติดต่อธาวินไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรับสายเธอ แต่เขาไม่รู้ว่าเธอโทร. หา เพราะเขากำลังอยู่บนเครื่องบินที่กำลังบินอยู่บนความสูงสามหมื่นฟุตเหนือมหาสมุทร

จากตัวบ้านถึงประตูรั้วไม่ได้ไกลอะไรนัก เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ไม่มีเวลาให้ซักถามอะไรมาก

“แล้วนี่คุณทิมจะกลับยังไงคะ ให้เปิ้ลกับพี่แมนไปส่งที่โรงแรมไหม” ชไมพรเอ่ยถาม ขณะที่สามีจัดการพาลูกชายที่หลับสนิทเข้าไปนั่งบนที่นั่งสำหรับเด็กที่ที่นั่งตอนหลังของรถยนต์

“ไม่รบกวนหรอกครับ ผมเช่ารถของโรงแรมขับมาเอง”

“มาไทยครั้งแรกก็ขับรถเองเลยเหรอคะ”

“ไทยกับออสเตรเลียขับรถชิดซ้ายเหมือนกันก็เลยไม่เป็นปัญหาเท่าไรครับ แต่ก็มีเกร็งๆ บ้างเหมือนกัน เพราะต้องคอยระวังรถมอเตอร์ไซค์ตลอด”

“ไม่ใช่แค่รถมอเตอร์ไซค์นะคะ พวกแท็กซี่ก็ต้องระวังด้วย แต่คุณก็เก่งนะคะ อุตส่าห์ขับมาถึงบ้านยายนาถูก”

“ต้องขอบคุณระบบนำทางครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหลง ขับเลยทางเข้าหมู่บ้านไปรอบหนึ่งเหมือนกัน”

ชไมพรส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เพื่อนใหม่ ตอนนี้เกรียงไกรจัดการกับลูกชายเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้ามาหยุดยืนข้างภรรยา บอกลาเจ้าของบ้านกับธาวินแล้วจึงเข้าไปนั่งประจำที่นั่งคนขับในรถ

“ขอตัวก่อนนะคะคุณทิม” ชไมพรหันไปบอกธาวินก่อนจะหันมาหาเพื่อนสนิท “ฉันกลับก่อนนะ ถ้ามีเรื่องอะไรละก็ โทร. หาฉันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขึ้นรถไปได้แล้ว สามีแกรออยู่”

“แหม รีบไล่เชียวนะ” ชไมพรพูดพร้อมทำท่าเหล่ไปทางธาวินอย่างมีความหมาย คนถูกมองไม่ว่าอะไร เพียงแค่ส่งยิ้มให้เท่านั้น

พิมพ์นาราถูกแซวจนหน้าแดงก่ำ เอื้อมมือไปตีสะโพกเพื่อนสนิทแล้วรีบไล่ขึ้นรถไปอีกรอบ ชไมพรหัวเราะชอบใจ เธอหันไปบอกลาธาวินอีกครั้งก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ เมื่อประตูปิดสนิทและเห็นว่าภรรยาคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว เกรียงไกรจึงเอื้อมมือไปขยับเกียร์ ชไมพรกดกระจกลง ส่งสายตาแซวเพื่อนสนิทเป็นการทิ้งท้าย ก่อนที่รถยนต์อเนกประสงค์คันใหญ่จะเคลื่อนตัวออกไป

พอเหลือกันแค่สองคน พิมพ์นาราก็อดรู้สึกกระดากอายนิดๆ ขึ้นมาไม่ได้ เธอเหลือบมองคนร่างสูงข้างกายเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “คืนนี้คุณพักที่ไหน”

ธาวินบอกชื่อโรงแรมให้หญิงสาวรู้ มันเป็นโรงแรมชื่อดังระดับห้าดาวที่อยู่ห่างจากบ้านเธอราวสิบนาทีด้วยการขับรถ เรื่องราคาคงไม่ต้องพูดถึง แต่หลังจากเห็นบ้านพักตากอากาศของเขามาแล้ว พิมพ์นาราก็เชื่อว่าเขาจะต้องมีความสามารถในการจ่ายค่าห้องพักได้อย่างสบาย

“คุณจะขับรถกลับเองได้แน่ใช่ไหม”

“ทำไม ถ้าผมบอกว่าไม่ได้ คุณจะขับไปส่งเหรอ”

“เปล่า ฉันจะเรียกแท็กซี่ให้”

“ใจร้ายจัง” ธาวินบ่น แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก

พิมพ์นารามองคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “คุณขับเองได้แน่หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ฉันจะขับรถไปส่ง”

“ไม่เป็นไรหรอก ผมขับเองได้ รถของโรงแรมทำประกันชั้นหนึ่งเอาไว้อยู่แล้ว”

“ยังจะมาทำเป็นพูดเล่นอีก”

“ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมอ่านมาแล้ว มันอยู่ในเอกสารการเช่า” ธาวินตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะรีบพูดต่อเมื่อคนร่างเล็กขึงตาใส่ “ผมขับรถกลับได้จริงๆ นา อีกอย่างโรงแรมก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ขับรถแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว ขามาผมยังขับมาได้แล้วทำไมจะขับกลับไม่ได้”

“ขับรถตอนกลางวันกับกลางคืนมันเหมือนกันที่ไหนล่ะ แล้วคุณก็ไม่รู้ทางด้วย คืนนี้คุณทิ้งรถไว้หน้าบ้านฉันนี่แหละ เดี๋ยวฉันขับรถไปส่ง แล้วพรุ่งนี้เช้าฉันจะขับรถคันนี้ไปให้ที่โรงแรม”

“แบบนั้นมันไม่ดีจริงๆ นะนา”

“ไม่ดีตรงไหน”

“ถ้าคุณขับรถไปส่ง ผมคงตัดใจปล่อยตัวคุณกลับมาไม่ได้”

สิ่งที่เขาพูดควรจะทำให้พิมพ์นารารู้สึกเขินอายและดีใจจนแทบตัวลอย แต่ผลที่ได้จริงๆ กลับเป็นความตกใจและกลัดกลุ้ม แก้มเนียนไม่ได้แดงก่ำ หัวใจเธอไม่ได้พองโตคับอก ไม่ได้เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เพราะถูกคำพูดกำกวมของเขาทำให้หวั่นไหว ตรงกันข้ามมันกลับเต้นช้าเสียจนน่ากลัว ความหวาดหวั่นสับสนแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านดวงตาและใบหน้า

“นา มีอะไรหรือเปล่า”

พิมพ์นาราเงียบไปนานทีเดียว ธาวินต้องถามย้ำถึงสองครั้งก่อนที่เธอจะยอมพูดกับเขา

“เมื่อตอนเย็น คุณได้ยินแล้วใช่ไหม ฉันเป็นผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้างมาก่อน”

คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ธาวินตามไม่ทันว่าทำไมจู่ๆ หญิงสาวถึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ชายหนุ่มก็ตอบรับกลับไป “ครับ”

พิมพ์นารารอให้เขาพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เขาไม่พูดอะไร แถมเขายังมองเธออย่างงงงันด้วย

“คุณเข้าใจไหม ฉันเคยผ่านการแต่งงาน เคยผ่านการหย่าร้างมานะ”

ครั้งนี้ธาวินนิ่งคิดอยู่ครู่ ก่อนจะเอ่ย แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอ “คุณคงไม่ได้คิดว่าผมจะรังเกียจหรือนึกเสียใจเพียงเพราะผมพบว่าคุณเคยผ่านการหย่ามาก่อนหรอกนะ”

“มันก็น่าคิดไม่ใช่เหรอ”

ชายหนุ่มอึ้งไปอีกครั้งแล้วผ่อนลมหายใจยาว

“อย่าบอกนะว่าที่คุณหน้านิ่วคิ้วขมวดและเอาแต่หลบสายตาผมเกือบตลอดมื้อเย็นเป็นเพราะกังวลเรื่องนี้” ธาวินถามและรู้สึกไม่พอใจเมื่อหญิงสาวก้มหน้าหลบสายตาเขา มือหนาจับยึดที่ปลายคางของเธอ บังคับให้เธอต้องเงยหน้ามาสบตาเขา “อย่าหลบตาผม! คุณคิดว่าการที่ผมรู้เรื่องนี้จะทำให้รังเกียจคุณงั้นเหรอ ผมในสายตาคุณเป็นผู้ชายแบบนั้นเหรอพิมพ์นารา”

“ก็...ไม่ถึงขั้นรังเกียจ แต่ก็อาจจะ...ทำให้คุณคิด...เปลี่ยนใจ”

“ผมเคยบอกอย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีความสำคัญอะไรกับผมเลย”

พิมพ์นาราเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “เรื่อง...ความบริสุทธิ์ของฉันมันเป็นคนละเรื่องกับการที่ฉันผ่านการแต่งงานมาแล้วนะ”

“มันต่างกันตรงไหนล่ะ”

“ก็...” หญิงสาวพยายามหาคำพูดมาอธิบาย แต่กลับกลายเป็นว่าเธอเองที่เป็นฝ่ายต้องงงงันและต้องถามตัวเองในใจว่า มันต่างกันตรงไหน

“หาคำตอบไม่ได้ใช่ไหม”

ดวงตากลมโตเลื่อนกลับมามองสบตาเขา

“อธิบายไม่ได้ เพราะคุณเองก็ไม่รู้ว่ามันแตกต่างกันตรงไหนใช่ไหม” คำพูดของเขาไม่ใช่คำถาม “เอาละ ผมสารภาพว่ามันมีผลกับผมอยู่บ้าง ทันทีที่รู้ว่าคุณมีอดีตสามี สิ่งที่ผมสนใจก็คือคุณหย่าหรือยังตอนที่เราอยู่ด้วยกันที่ควีนส์ทาวน์”

“ฉันหย่าก่อนหน้านั้นแล้ว” พิมพ์นาราตอบกลับไปทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอาการสับสน

“ดี” คำตอบของเขาสั้น ชัดเจน

และไม่มีอะไรมากกว่านั้น

“ดี? แค่นี้เหรอ” หญิงสาวถามอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

ธาวินทำหน้านิ่วเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “จริงๆ ก็มีอีกอย่างที่ผมอยากรู้ แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับการตัดสินใจของผมหรอกนะ ก็แค่อยากรู้เฉยๆ”

“อะไรล่ะที่คุณอยากรู้”

“การหย่าของคุณเป็นผลจากข้อบังคับทางกฎหมาย หรือว่าพวกคุณตกลงกันได้”

“คะ?”

“ผมก็ไม่มีความรู้เรื่องขั้นตอนของการหย่าร้างในไทยด้วยสิ” คนร่างสูงพึมพำ สีหน้าจริงจังเคร่งเครียด “จะอธิบายยังไงดีนะ คุณกับอดีตสามีตกลงกันได้หรือว่าต้องใช้ทนายสู้กันในศาล”

“เราตกลงกันได้ จริงๆ ต้องบอกว่าเขาแทบจะยอมทุกอย่างเพื่อให้ฉันเซ็นใบหย่า เพราะเขาอยากจะจดทะเบียนสมรสกับแฟนใหม่ของเขา รู้ไหม พอมาคิดตอนนี้ฉันยังอดเสียดายไม่หายที่ไม่ทำให้พุฒิหมดตัวก่อนจะยอมเซ็นใบหย่า แต่ตอนนั้นฉันแค่รีบๆ ตัดผู้ชายคนนี้ออกไปจากชีวิตเท่านั้น ก็เลยไม่ได้คิดอะไร พอตกลงเรื่องทรัพย์สินที่หามาร่วมกันได้ วันรุ่งขึ้นฉันก็นัดเขาไปหย่า ฉันไม่ได้บอกแม่ด้วยซ้ำว่าจะทำอะไร แม่โกรธมากที่ฉันทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง”

เสียงหัวเราะทุ้มลึกดังขึ้นทันทีที่เธอพูดจบ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พิมพ์นาราไม่คิดว่าจะได้รับ

“คุณหัวเราะอะไร”

“คุณทำให้ผมคิดถึงผู้หญิงบางคนที่ซื้อแพ็กเกจกระโดดร่มแล้วเกิดเปลี่ยนใจตอนประตูเครื่องบินเปิด”

ครั้งนี้ฝ่ายที่อึ้งคือพิมพ์นารา หญิงสาวกะพริบตาปริบติดกันสามครั้ง ก่อนใบหน้าหวานจะแดงก่ำเพราะทั้งโกรธทั้งอาย

“คุณต้องเอาเรื่องนี้มาพูดตอนนี้ด้วยหรือไง ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่ว่าไอ้ความสูงหนึ่งหมื่นห้าพันฟุตมันจะน่ากลัวขนาดนั้น คนเพิ่งจะเคยกระโดดครั้งแรกจะกลัวบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่!”

ธาวินไม่ตอบอะไร เขาเพียงแค่หัวเราะชอบใจเท่านั้น พิมพ์นาราที่ตั้งใจจะค้อนเขา สุดท้ายก็ยังอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ ความรู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินถ่วงอยู่ในใจก่อนหน้านี้ค่อยๆ หายไปพร้อมเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเขา

“ผมต้องกลับแล้ว” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น ทำให้รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าหวาน “อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้น มันทำให้ผมห้ามใจไม่ให้อุ้มคุณขึ้นรถแล้วพากลับไปโรงแรมลำบากขึ้นนะ”

พิมพ์นาราเบนสายตาหลบและต้องกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นเพื่อไม่ให้หลุดคำตอบน่าอายออกไป

อย่าเอาแต่พูดให้ใจสั่นอย่างเดียวได้ไหม ทำเลยสิ...

“ผมคงจะไม่มาอยู่ที่นี่ ถ้าคุณไม่มีความสำคัญอะไรกับผมเลย”

พิมพ์นาราเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ประกายในดวงตากลมโตสั่นไหวชัดเจน ในขณะที่ดวงตาคมกลับนิ่งสงบจริงจัง “เมื่อตอนเย็นผมพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมจะเป็นปัจจุบันและอนาคตของคุณ”

“คุณไม่ได้พูดเพราะ...”

“ไม่นา ผมไม่ได้พูดประชดอดีตสามีคุณ” เขาตอบก่อนที่เธอจะถามจบด้วยซ้ำ

“แต่ แต่เราเพิ่งจะพบกันไม่นาน”

“เวลาไม่สำคัญหรอก ผมรู้แค่ว่าผมต้องการอะไร”

พิมพ์นาราจ้องมองเขานิ่งนาน ก่อนจะเอ่ยถาม “อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการคะทิม”

มุมปากของธาวินยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะให้คำตอบ “คุณ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น