1

แค่หย่า


1

แค่หย่า

 

“หย่า!!!” เสียงโวยดังลั่น ทำเอาพิมพ์นาราที่เพิ่งจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบต้องเบี่ยงตัวออกห่าง

“พูดเบาๆ ก็ได้แม่ นานั่งอยู่แค่นี้”

คนเป็นแม่ฟังแล้วของขึ้น เอื้อมมือไปหยิกต้นแขนลูกสาวอย่างแรงจนพิมพ์นาราร้องลั่น

“โอ๊ยแม่ นาเจ็บ!”

“เจ็บสิดี” พาณีว่าลูกสาว “นี่แกยังสติดีอยู่หรือเปล่า อายุปาเข้าไปตั้งเท่าไรแล้ว ทำอะไรทำไมไม่รู้จักคิดบ้าง”

“นาคิดดีแล้วแม่”

“ยังจะเถียงอีก! ถ้าคิดดีแล้วแกจะไปหย่ากับตาพุฒิทำไม!”

“ก็เหมือนที่คนอื่นๆ เขาหย่ากันไงแม่ คนเราไปกันไม่ได้ จะฝืนอยู่กันไปทำไม” พิมพ์นาราตอบกลับเสียงเรียบ เธอคิดอยู่แล้วว่าแม่จะต้องไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่คิดจะบอกตั้งแต่แรกว่าจะทำอะไร

“ชีวิตคู่มันก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ทำไมไม่คิดจะหาทางแก้ไขก่อน ทำอะไรบุ่มบ่ามไม่รู้จักคิด ตัวเองอายุปาเข้าไปตั้งเท่าไรแล้ว”

“อายุเท่าไรมันไม่ได้เกี่ยวกันสักหน่อย แล้วก็ใช่ว่านาจะไม่อยากแก้ปัญหา แต่ในเมื่อมันแก้ไม่ได้ แล้วจะฝืนไปทำไม ต่างคนต่างไปก็ดีแล้ว”

“ฉันละอยากตีแกจริงๆ พิมพ์นารา!” พาณีตวาดลั่น “แกไม่ใช่เด็กแล้วนะ แล้วแกกับพุฒิก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งแต่งงานกัน ไม่ได้เพิ่งรักกันแค่ปีสองปี ทำไมไม่หันหน้าคุยกัน”

“ทางนั้นน่ะระริกระรี้อยากจะหย่ามากกว่านาอีก”

“เพราะเขาชวนหย่าแกก็เลยหย่างั้นสิ! คิดว่าชีวิตมันง่ายนักหรือไง ผู้หญิงน่ะไม่เหมือนผู้ชายหรอกนะ แล้วมาหย่าตอนอายุสามสิบสองเข้าไปแล้ว ต่อไปจะทำยังไง แล้วยังเรื่องลาออกอีก นี่แกคิดจะทิ้งชีวิตตัวเองแล้วใช่ไหม!”

พิมพ์นารากระแทกแก้วกาแฟลงบนโต๊ะอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ “นามาหาแม่เพราะอยากได้ที่พักใจ แต่เห็นชัดๆ เลยว่ามันไม่ใช่ แม่คิดว่านาอยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เหรอ คิดว่านาไม่เจ็บเหรอ แต่แม่จะให้นาทำยังไง สามีนาเขาไปมีผู้หญิงคนอื่น เขาต้องการหย่ากับนาเพื่อที่จะไปอยู่กับคนรักใหม่ของเขาโดยที่ไม่ถูกสายตาคนอื่นมองว่าผู้หญิงคนนั้นแย่งสามีนา พุฒิปกป้องผู้หญิงคนนั้นขนาดนี้แล้ว แม่ยังจะให้นายื้อเขาเอาไว้อีกเหรอ ตอนที่พวกเขาไปมีความสุขด้วยกัน ลูกเขยที่แสนดีของแม่เคยคิดถึงจิตใจนาบ้างไหม ส่วนเรื่องลาออกจากงาน แม่จะให้นาทนอยู่ตรงนั้น เห็นพวกเขารักกันหวานชื่นเหรอ นาไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้นหรอกนะแม่!”

เห็นลูกสาวพูดออกมาทั้งน้ำตา คนเป็นแม่อย่างพาณีก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

“ถ้าไม่หย่าแล้วยังไง แม่จะให้พวกเราอยู่กับแบบสามคนผัวเมียงั้นเหรอ”

“ฉันก็ไม่ได้บอกแบบนั้น แต่แกก็น่าจะใจเย็นกว่านี้หน่อย บางทีมันอาจจะเป็นการหลงชั่วครั้งชั่วคราว”

“พวกเขาอยู่ด้วยกันมาสองปีแล้วนะแม่!” พิมพ์นาราสวนกลับทันที หัวใจในอกซ้ายเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น

รักแท้แพ้ระยะทาง ประโยคนี้ไม่ผิดเลยสักนิด เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ พิมพ์นารายอมให้สามีเดินทางไปประจำสาขาที่ต่างประเทศ ระยะทางที่ห่างกันครึ่งโลกสามารถถูกลดทอนได้ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วงปีแรกที่พุฒิพงศ์ไปอยู่ต่างประเทศพิมพ์นาราก็พยายามหาวันหยุดเพื่อบินไปหา แต่ช่วงสองปีหลังเธอไม่ได้ไป เพราะช่วงเวลาหยุดของพวกเขาไม่ตรงกันเลย อีกทั้งไกรศรก็เลื่อนขึ้นไปรับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด ในฐานะเลขานุการของเขางานของเธอจึงมากขึ้นตามไปด้วย ใครจะไปรู้

พิมพ์นาราแอบเสียใจอยู่ไม่น้อย ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอีกแค่สองปีพุฒิพงศ์ก็จะกลับมาแล้วจึงไม่คิดอะไรมาก ไม่ระแคะระคายอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งวันที่พุฒิพงศ์กลับมาเมืองไทย เธอซึ่งเป็นภรรยาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากลับมา เขาไปค้างที่บ้านแม่ กว่าเธอจะรู้ก็ผ่านไปกว่าสัปดาห์แล้ว

และกว่าอีกสองเดือนเลยทีเดียวกว่าที่พิมพ์นาราจะรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ คนในบริษัทกว่าครึ่งรู้เรื่องนี้ก่อนเธอเสียอีก เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมาตรงๆ เท่านั้นเอง

พิมพ์นาราก็เหมือนผู้หญิงทั่วไป เมื่อรู้ว่าสามีมีชู้ หัวใจเธอเหมือนถูกกระชาก ทุกอย่างตรงหน้าดำมืด เธออาละวาดใส่เขา ขว้างปาข้าวของ กรีดร้องราวคนเสียสติ ร้องไห้ปานจะขาดใจ ปากได้แต่ถามประโยคเดิมๆ

เธอผิดอะไร พวกเขาทำแบบนี้กับเธอทำไม เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร

ไม่มีใครตอบคำถามเธอได้ สายตาของคนในบริษัทที่รู้เรื่องมีเพียงความเห็นอกเห็นใจ แต่ในความรู้สึกของพิมพ์นาราแล้ว ราวกับคนพวกนั้นกำลังสมเพชเธออยู่

หลังจากผ่านช่วงเวลาที่เหมือนคนบ้ามาสี่เดือน พิมพ์นาราจึงตัดสินใจว่าจะจบทุกอย่างลงเสียที

สิ่งที่ผู้เป็นแม่พูดไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยคิด เชื่อเถอะว่าเธอน่ะคิดมาไม่รู้กี่รอบแล้ว เธอคบหากับพุฒิพงศ์มาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมปลาย เขาเป็นรักแรกของเธอ เป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตเธอ ครึ่งชีวิตที่ผ่านมา เขาอยู่ในทุกส่วนของความทรงจำ เกือบจะเป็นทั้งชีวิตของเธอเลยด้วยซ้ำ

ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าเธอเจ็บปวดแค่ไหน ถึงตอนนี้หัวใจเธอก็ยังคงแหลกสลายอยู่ข้างใน เธอไม่ได้แสดงมันออกมา ไม่โวยวาย ไม่วิ่งโร่ไปฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ใช่เพราะเธอหยิ่งยโสมาจากไหน แต่เป็นเพราะหัวใจเธอเจ็บปวดเกินไป แค่พาตัวเองผ่านไปให้ได้ในแต่ละวันพิมพ์นาราก็เหนื่อยมากพอแล้ว

ยื้อคนที่หมดรักแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ทั้งตัวทั้งใจของพุฒิพงศ์ไม่ได้อยู่ที่เธออีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่อยู่คือกระดาษแผ่นหนึ่งที่บ่งบอกสถานะของสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

“ตาพุฒินะตาพุฒิ แม่ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”

พิมพ์นาราฟังประโยคนี้แล้วไม่พูดอะไร เพียงแค่นั่งนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลต่อไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น

การหย่าของเธอกับพุฒิพงศ์ไม่มีความยุ่งยากเลยสักนิด ทรัพย์สินหลังแต่งงานอะไรก็ตามที่เธอชี้ว่าจะเอา เขาล้วนยกให้เธอหมด บ้านที่เป็นเรือนหอพิมพ์นารายกให้เขาไป เธอไม่ต้องการอยู่ในที่ที่มีเขาอยู่ในความทรงจำ เธอเลือกคอนโดมิเนียมสองห้องกับรถยนต์คันที่ขับอยู่ ส่วนเงิน พิมพ์นาราไม่เรียกร้องจากเขาแม้แต่บาทเดียว

โชคอย่างเดียวที่เธอมีคงเป็นเรื่องที่เธอกับพุฒิพงศ์ยังไม่มีลูกด้วยกัน พวกเขาแต่งงานกันหลังจากที่พิมพ์นาราเรียนจบ ตอนนั้นเธอเพิ่งอายุแค่ยี่สิบสอง ยังอยากใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง อยากเที่ยว จึงตัดสินใจว่าจะรอกันไปก่อน หลังจากนั้นเมื่อเธอตัดสินใจว่าพร้อมแล้ว พุฒิพงศ์ก็ต้องไปทำงานที่สาขาต่างประเทศ

คิดถึงตรงนี้แล้วมุมปากของพิมพ์นาราก็อดกระตุกไม่ได้ เธอเองไม่ใช่เหรอที่บอกให้เขาไป เธอเองนี่ละที่บอกให้เขาเลือกความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ใครจะไปคิดว่าเขาจะทรยศความไว้ใจของเธอได้อย่างเจ็บแสบขนาดนี้

พุฒิพงศ์ทำอย่างที่เธอบอกเขาจริงๆ เขาเลือกความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและการคบหากับลูกสาวเจ้าของบริษัทก็ถือเป็นหนทางก้าวหน้าที่ดีทางหนึ่งเหมือนกัน

“ผู้หญิงสมัยนี้ก็จริงๆ เลย ไม่ได้สนใจเลยว่าคนเขามีเมียมีลูกอยู่แล้วหรือเปล่า”

“เรื่องนี้โทษผู้หญิงฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะแม่ ผู้หญิงให้ท่า ถ้าผู้ชายไม่มีใจจะเล่นด้วย ต่อให้แก้ผ้าตรงหน้า เขาก็ไม่หวั่นไหว”

“เฮ้อ แล้วนี่จะทำยังไงต่อ”

“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร นาว่าจะหยุดพักสักเดือน แล้วค่อยเริ่มหางาน”

พาณีมองลูกสาวคนเดียว อยากจะเอ่ยปลอบแต่ก็พูดไม่ออก ในความคิดคนเป็นแม่ อย่างไรเสียการหย่าก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก

“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ นาเชื่อว่านาหางานได้ คุณไกรศรเขาเขียนจดหมายรับรองนาให้อย่างดีเลย”

“เรื่องงานใหม่น่ะฉันไม่ห่วงหรอก”

พิมพ์นาราหันไปมองแม่ทันที

“ผู้หญิงที่ผ่านการหย่ามา ยังไงมันก็ดูไม่ดีอยู่ดี”

พิมพ์นาราเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าแล้วลุกขึ้นยืน

“ผู้ชายผ่านการหย่าแล้วอยากเริ่มต้นใหม่ ทุกคนยังมองว่าเป็นเรื่องปกติ แล้วผู้หญิงที่ผ่านการหย่ามันจะเป็นเรื่องที่ดูไม่ดีได้ยังไง สำหรับคู่อื่นนาไม่สนหรอกว่าพวกเขาจะเป็นยังไง แต่สำหรับนา การหย่าที่เกิดขึ้นนาไม่ผิด คนที่ต้องรู้สึกผิดควรเป็นคนพวกนั้น ไม่ใช่นา!”

“แต่ผู้ชายเขาไม่มองแบบนั้นน่ะสิ”

“หึ ก็แค่ความคิดเห็นแก่ตัว ผู้ชายคาดหวังว่าผู้หญิงที่ตัวเองแต่งงานด้วยต้องบริสุทธิ์ แต่ตัวเองผ่านมากี่คนแล้วเคยนับบ้างหรือเปล่า ผู้ชายที่คิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ แม่ยังอยากจะให้มาดูแลลูกสาวแม่เหรอ”

พาณีหน้างอทันที

“นารู้ว่าแม่เป็นห่วงนา อยากให้นาได้มีคนดูแล แต่ถ้าแค่เรื่องนี้ผู้ชายคนนั้นยังเห็นเป็นเรื่องใหญ่ นาก็ไม่คิดว่าจะใช้ชีวิตกับเขาได้หรอกนะคะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานหลายครั้ง นาเองก็เหมือนกัน ถ้าเลือกได้นาก็อยากมีสามีแค่

คนเดียว แต่น่าเสียดายที่นาเลือกไม่ได้ ถ้าผู้ชายคนนั้นรักนาจริง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการหย่า เขาคงไม่มานั่งคิดมากหรอกค่ะ” พูดจบพิมพ์นาราก็ขอตัวกลับขึ้นห้องตัวเอง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงก็เดินกลับลงมาอีกครั้ง เธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้วบอกผู้เป็นแม่ว่าจะออกไปกินข้าวที่บ้านชไมพร

พาณีได้แต่มองตามลูกสาวแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจ

ถึงคำพูดของพิมพ์นาราจะมีเหตุผล แต่จะให้คนเป็นแม่นั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ได้ คนเป็นแม่จะหวังอะไรมากไปกว่าการที่รู้ว่าลูกสาวคนเดียวมีคนดูแลหลังจากที่แม่อย่างเธอไม่อยู่แล้ว

 

เพียงแค่เริ่มต้นสัปดาห์แรก พิมพ์นาราก็ได้รับรู้ว่าการเป็นคนว่างงานไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ไม่ใช่เพราะเธอยังเจ็บปวดเสียใจกับความรักนับสิบปีที่กลายเป็นเมฆหมอก แต่เป็นเพราะเธอไม่ชินกับการใช้ชีวิตในฐานะคนว่างงานเอาเสียเลย ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี พิมพ์นาราก็สมัครเข้าทำงานบริษัทเดียวกับพุฒิพงศ์ เพราะหน้าที่การงานของเขาสำคัญและกำลังเติบโตได้ดี พิมพ์นาราจึงปล่อยให้เขาทุ่มเทกับเรื่องงานอย่างเต็มที่ ทำให้ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เธอแทบไม่เคยได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย ชีวิตเหมือนถูกผูกติดอยู่กับบริษัทและตารางงานของพุฒิพงศ์ไปเสียหมด

ตอนนี้เมื่อไม่ต้องไปทำงานแล้ว พิมพ์นารากลับพบว่า การอยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไรนี่เป็นเรื่องที่ยากมาก

เธอยังคงตื่นนอนเวลาเดิม ถึงจะอยากนอนตื่นสายแค่ไหน แต่เมื่อถึงเวลาที่เคยตื่น ก็คล้ายกับมีบางอย่างมาสะกิดให้ตื่น กลางวันนอกจากอ่านหนังสือแล้วก็ดูรายการโทรทัศน์ ตอนค่ำก็นั่งดูหนังดูละครหลังข่าว ซึ่งทำให้พิมพ์นาราถึงกับตระหนกมาก เพราะดารากว่าครึ่งในละคร เธอไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเลยด้วยซ้ำ

เวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าชวนให้ปวดหัว และพิมพ์นาราคงจะเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ถ้าไม่ได้เริ่มทำอะไรสักอย่าง

สิ่งแรกที่พิมพ์นาราทำก็คือการไปออกกำลังกาย จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อลดน้ำหนัก เพราะน้ำหนักของเธอไม่ได้เกินกว่ามาตรฐานที่ทางการแพทย์ระบุเอาไว้อยู่แล้ว หญิงสาวค่อนข้างภูมิใจกับการเผาผลาญแคลอรีของร่างกายตัวเองด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้แม้จะไม่เคยได้ออกกำลังกายเลย แต่น้ำหนักเธอก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก

การตัดสินใจไปออกกำลังกายก็เพียงเพราะมันเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยวันละสองชั่วโมง เมื่อบวกกับการขับรถไปกลับด้วยเวลาก็ผ่านไปครึ่งวันอย่างรวดเร็ว ฟิตเนสที่พิมพ์นาราไปใช้บริการตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า หลังออกกำลังกายเสร็จเธอก็ผ่อนคลายด้วยการเดินตากแอร์เล่นอยู่ในห้าง ที่มาผ่านพิมพ์นาราใช้ชีวิตเหมือนคนที่มีสามีแล้วทั่วๆ ไป เงินเดือนที่ได้หลังหักจากส่วนที่ให้แม่ของเธอแล้ว เธอก็จะพยายามประหยัดให้ได้มากที่สุด แม้ว่าพุฒิพงศ์จะไม่เคยเรียกร้องกับเธอในเรื่องนี้ แต่หญิงสาวก็ยังคงสะสมเงินส่วนหนึ่งแยกบัญชีเอาไว้ต่างหาก

จำนวนเงินในบัญชีที่สะสมมาสิบปีก็มีไม่น้อยหรอกนะถ้าไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป อยู่เฉยๆ ทั้งปีโดยไม่ทำงานเงินก็ยังเหลือ

ก่อนหน้านี้เวลาที่พิมพ์นารามาห้างสรรพสินค้า สิ่งแรกที่เธอมักจะนึกถึงก็คือเธอจะซื้ออะไรให้พุฒิพงศ์ดี แต่ตอนนี้เธอกำลังสนุกกับการเลือกซื้อของให้ตัวเอง

การเป็นโสดตอนอายุสามสิบสองก็ใช่ว่าจะแย่อะไรนักหรอกนะ พิมพ์นาราคิดอย่างอารมณ์ดี ขณะที่มือหมุนพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าจอดเทียบด้านหน้ารั้วบ้านเพื่อนสนิท หญิงสาวเข้าเกียร์จอด หมุนกุญแจดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูลงจากรถ จากนั้นเดินไปด้านหลังรถ เปิดกระโปรงท้าย รวบถุงพลาสติก ถุงกระดาษหลายใบออกมาก่อนจะปิดฝากระโปรงท้ายรถ

เจ้าของบ้านรู้อยู่แล้วว่าจะมีแขก พอได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้านก็รีบเดินออกมาดูทันที และชไมพรต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเต็มสองตา

“โอ้โห นี่ใครกันล่ะเนี่ย!”

พิมพ์นารายิ้มกว้าง เอียงหน้าเล็กน้อยอย่างมีจริต ก่อนจะเอ่ยถาม “เป็นไง”

“เริดย่ะ” ชไมพรต้องยอมชมเพื่อนสนิท เพราะพิมพ์นาราตรงหน้าเธอเริดมากจริงๆ

ชไมพรรู้อยู่แล้วว่าวันนี้อีกฝ่ายไปทำอะไรมาบ้าง ตอนแรกที่รู้ว่าพิมพ์นาราจะไปเข้าคอร์สเรียนการแต่งหน้าตามที่เพื่อนในฟิตเนสเอ่ยชวน ชไมพรก็แค่แปลกใจนิดๆ แต่พอมาเห็นผลงานหลังแต่งหน้าของพิมพ์นาราเข้าจริงๆ เธอยอมรับเลยว่ามันออกมาดีมาก

“แต่จะดีกว่านี้ไหม ถ้าแกเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เข้ากับหน้าด้วย”

ใบหน้าหวานที่แต่งแต้มเครื่องสำอางจนสวยเด่นนั้นดูไม่เข้ากับชุดกางเกงตัวหลวมกับเสื้อแขนกุดแบบเรียบเอาเสียเลย

“ค่อยเป็นค่อยไปสิ” พิมพ์นาราพูดขณะทั้งสองชวนกันเดินเข้าไปในบ้าน

หลังจากว่างงาน บ้านชไมพรเป็นอีกสถานที่ที่พิมพ์นาราใช้เพื่อฆ่าเวลามากที่สุด ซึ่งหญิงสาวเองก็รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน เพราะเธอเริ่มคบหากับพุฒิพงศ์มาตั้งแต่สมัยเรียน มีเขาคอยดูแลอยู่เกือบตลอด ดังนั้นพิมพ์นาราจึงมีเพื่อนค่อนข้างน้อยมาก กับชไมพรนั้นพวกเธอรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยประถม ก่อนเธอคบหากับพุฒิพงศ์หลายปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่างหายกันไปเป็นช่วงๆ จนกระทั่งทั้งสองบังเอิญเจอกันในร้านอาหารเมื่อสามปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่พุฒิพงศ์ไปอยู่ต่างประเทศพอดี ทั้งสองจึงกลับมาสนิทกันอีกครั้ง

และที่พิมพ์นาราอดรู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ ไม่ได้ ก็เพราะเหมือนกับว่าทั้งสองกลับมาสนิทกันตอนช่วงที่เธอกำลังเริ่มมีปัญหาพอดี ชไมพรจึงเป็นเหมือนที่ระบายสำหรับเธอ

“แล้วนี่แกซื้อของอะไรมาเยอะแยะ”

“เห็นอะไรน่าซื้อก็ซื้อ เอ้านี่ ฉันซื้อของเล่นมาฝากน้องภัทรด้วย”

“ซื้อมาอีกแล้ว” ชไมพรว่าทันที “แกจะซื้อของเล่นมาฝากลูกชายฉันทุกครั้งที่มาบ้านฉันไม่ได้นะพิมพ์นารา”

“ของเล่นนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้แพงอะไรเลย”

“ฉันไม่ได้บอกว่าแพงหรือไม่แพง แต่มันจะทำให้เสียระบบการปกครอง”

“กลัวลูกชายมาหลงรักฉันเหรอ” พิมพ์นาราสวนกลับพร้อมหัวเราะคิกคักชอบใจ “ไม่เป็นไรๆ น้องภัทรคนเดียวฉันเลี้ยงได้สบาย”

“เอาไปเลี้ยงเลยดีไหมล่ะ” ชไมพรว่าแล้วแอบส่งค้อนให้เล็กน้อย เพราะตอนนี้ลูกชายคนเดียวของเธอทั้งรักทั้งหลงพิมพ์นารามาก ทั้งเอาใจทั้งตามใจ ไหนจะซื้อของเล่นของกินมาฝากอยู่เรื่อยๆ อีก

“ยกให้จริงหรือเปล่า อย่ามาขอคืนทีหลังนะ”

สองสาวหยอกล้อกันไปมาขณะช่วยกันแกะขนมที่พิมพ์นาราซื้อมาจัดใส่จาน แล้วจึงพากันเดินไปที่สวนเล็กๆ ด้านหลังบ้าน

“วันนี้จะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันหรือเปล่า”

“อยู่ไม่ได้ วันนี้ฉันต้องไปกินข้าวเย็นกับแม่ เห็นว่านัดเพื่อนไว้ เลยขอให้ฉันขับรถให้”

ชไมพรเหลือบสายตามองเพื่อนเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงค่อย “แล้ว...ทางโน้นยังโทร. มาอีกไหม”

ทางโน้นที่ชไมพรถามถึงก็คือทางบ้านของพุฒิพงศ์ คุณอานพกับคุณจันทร์ พ่อกับแม่ของพุฒิพงศ์ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจหย่าของทั้งคู่ คุณจันทร์พยายามโทร. มาหาเธอเพื่อให้ตัดสินใจใหม่และรับรองว่าลูกชายจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก หญิงสาวพอจะเดาได้ว่าทำไมทั้งสองคนถึงไม่ชอบว่าที่ลูกสะใภ้คนใหม่อย่างไอรดา

ผู้หญิงหัวสมัยใหม่หัวนอกอย่างไอรดา แถมผู้หญิงคนนี้ยังใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นสิบปี เรื่องสัมมาคารวะอย่างไทยๆ ถูกลืมเลือนไปหมดแล้ว เข้าหาผู้ใหญ่ก็เพียงแค่ส่งยิ้มทักทายแบบนั้น คุณจันทร์ซึ่งติดจะหัวโบราณอยู่หน่อยๆ จะชอบก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว

พิมพ์นาราเคารพทั้งสองเหมือนพ่อแม่แท้ๆ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว

“พวกท่านสองคนไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่องหรอก”

คุณจันทร์โทร. มาหาเธอสามครั้ง พิมพ์นาราปฏิเสธทั้งสามครั้ง อีกฝ่ายก็จำต้องทำใจ ได้แต่บอกว่าขอโทษแทนลูกชายไม่รักดีของตัวเอง

“เฮ้อ จบได้ก็ดี”

“ฉันให้สัญญาเอาไว้ ว่าถ้าฉันทำใจได้เมื่อไรจะไปกราบขอโทษพวกท่านที่บ้าน”

“ยังจะไปอีกเหรอแก”

“เรื่องระหว่างฉันกับพุฒิก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกท่านอยู่แล้ว ทั้งสองคนเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ”

ชไมพรฟังแล้วก็ได้แต่อวยพรเพื่อนสนิทอยู่ในใจ เธอห่วงพิมพ์นารามาตลอด ก่อนหน้าที่จะหย่า มีช่วงหนึ่งที่พิมพ์นาราเหมือนคนพร้อมจะเสียสติ แต่มาตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าเพื่อนสนิทเธอใช้ชีวิตลั้นลาสนุกสนานได้ทุกวัน แต่...คนที่ภายนอกชอบทำเหมือนไม่มีอะไรนี่ละ น่ากังวลที่สุด!

“เรื่องนั้นถึงเวลาค่อยว่ากัน ตอนนี้มาคุยเรื่องแกดีกว่า ตอนแกบอกจะไปฟิตเนสฉันไม่ตกใจเท่าไร แต่นี่ถึงขั้นไปเข้าคอร์สเรียนแต่งหน้าเชียวนะ”

“คนที่เล่นฟิตเนสด้วยกันเขาชวน แกก็รู้ว่าคนว่างงานอย่างฉันมีเวลาเหลือเฟือ แล้วก็แค่ลองทำอะไรใหม่ๆ ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ อกหักรักคุดตุ๊ดเมินแล้วต้องทำตัวเหมือนโลกทั้งใบถึงกาลอวสานมันล้าสมัยไปแล้วนะคุณเพื่อน! ชีวิตไม่ได้จบแค่เพราะฉันบังเอิญมีสามีห่วยๆ หนึ่งคนนี่”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แกทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ”

หลังจากนั้นเรื่องที่สองสาวคุยกันก็เปลี่ยนไปหลายหัวข้อ ทั้งมีสาระ ไม่มีสาระ แอบนินทาดาราในวงการบันเทิงไปด้วยจิบชาไปด้วย เวลาช่วงนี้เหมือนจะผ่านไปเร็วมาก ไม่ทันไรโทรศัพท์มือถือของพิมพ์นาราก็ส่งเสียงร้อง หน้าจอปรากฏคำว่า ‘แม่’ เด่นชัด

“คุณนายแม่โทร. ตาม”

ประโยคนี้พูดแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะพิมพ์นารารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ถูกตามกลับบ้านมากกว่าผู้หญิงอายุสามสิบสองที่เพิ่งหย่าสามีมาหมาดๆ

ทั้งสองคนไม่ต้องล่ำลากันนานนัก โบกมือสองสามที พิมพ์นาราก็เปิดประตูขึ้นรถ เสียบกุญแจบิดเพื่อติดเครื่องยนต์ รถญี่ปุ่นรุ่นนิยมก็วิ่งตามถนนภายในหมู่บ้าน ก่อนจะออกสู่ถนนใหญ่

ถ้าพิมพ์นารารู้ล่วงหน้าก่อนสักนิดว่ามีอะไรรอเธออยู่ละก็ หญิงสาวจะไม่มีวันก้าวเท้าออกจากบ้านชไมพรอย่างแน่นอน แต่เพราะเธอไม่รู้ ผลก็คือตลอดมื้อค่ำ พิมพ์นาราได้แต่นับหนึ่งถึงร้อยในใจ พยายามปั้นหน้าอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเธออยากจะลุกขึ้นแล้วกรีดร้องใส่หน้าทุกคน โดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่ข้างกาย

รสชาติอาหารของร้านชื่อดังไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของพิมพ์นาราดีขึ้นเลยสักนิด ถ้าไม่ติดว่าเธอต้องเป็นคนขับรถกลับบ้านละก็ เธอจะไม่เกรงใจฝ่ายตรงข้าม สั่งไวน์ราคาแพงที่สุดในร้านมาดื่มสักสามขวดไปเลย

เหตุการณ์นี้ถ้าเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว พิมพ์นาราก็ยังพอจะมองข้ามมันไปได้ คิดเสียว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เธอพยายามทำใจบอกกับตัวเองแบบนั้น แต่มันก็ยังมีครั้งที่สอง รอบนี้พิมพ์นาราไม่ทนปั้นหน้าอีกแล้ว หญิงสาวนั่งหน้าบึ้งตึงตลอดหนึ่งชั่วโมงที่กินอาหารด้วยกัน พอกลับมาถึงบ้านเธอก็พูดกับแม่ทันที บอกให้รู้ว่าเธอไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีก

แต่เหตุการณ์ครั้งที่สามก็ยังเกิดขึ้นอีกจนได้ และพิมพ์นาราก็เลือกที่จะไม่ทน วันนี้พาณีชวนเธอออกไปซื้อของและบังเอิญเจอเพื่อนที่มาซื้อของกับลูกชายซึ่งเป็นพ่อม่ายลูกติดอายุสี่ขวบที่ภรรยาเสียชีวิตไปได้สองปีแล้ว

 

ปึก! เสียงกระแทกปิดประตูรถดังกว่าปกติ เพราะเจ้าของรถเดือดดาลใกล้จะระเบิดเต็มที

ตลอดทางจากห้างสรรพสินค้าจนถึงบ้าน พิมพ์นาราไม่พูดกับผู้เป็นแม่เลยแม้แต่คำเดียว

“นา เดี๋ยวก่อนยายนา!”

“นายังไม่อยากคุยกับแม่ตอนนี้” หญิงสาวบอกโดยไม่หันกลับมามองด้านหลัง พอเปิดประตูบ้านได้ก็ก้าวพรวดๆ ตรงดิ่งที่ไปที่บันไดบ้านทันที

“พิมพ์นารา!”

“นาขอร้องนะแม่ ตอนนี้นาไม่มีอารมณ์จะคุยกับแม่จริงๆ”

“เพราะแกไม่มีอารมณ์ก็เลยต้องทำตัวเสียมารยาทอย่างนั้นใช่ไหม”

เท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดอีกขั้นชะงัก พิมพ์นาราหยุดนิ่งหลังจากเพิ่งขึ้นบันไดมาได้แค่ห้าขั้นเท่านั้น หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึก กำลังจะขยับเท้าอีกรอบเมื่อแม่ของเธอพูดอีกประโยค

“แกต้องทำตัวแบบนี้ด้วยหรือไง แล้วอย่างนี้ฉันจะมองหน้าคุณฉายกับลูกชายเขาได้ยังไง”

“นาก็ยังรักษาหน้าคุณฉายของแม่ด้วยการยกมือไหว้ไม่ใช่เหรอคะ”

“พิมพ์นารา!”

“แล้วแม่ต้องการให้นาทำยังไง” พิมพ์นาราหมุนตัวกลับมาถามผู้เป็นแม่ “แม่อยากให้นารู้สึกยินดีกับสิ่งที่แม่ทำลงไปงั้นเหรอ”

“อย่างน้อยแกก็น่าจะรักษาหน้าฉันบ้าง ไม่ใช่ทำตัวไร้มารยาท ไม่พูดไม่จาก็สะบัดหน้าเดินมาแบบนั้น แกอายุสามสิบสองแล้วนะ ไม่ใช่สามขวบ”

“นายอมรับว่านาทำไม่ถูก แล้วแม่ล่ะคะ เที่ยวหลอกนาไปเจอคนโน้นคนนี้แบบนี้มันถูกแล้วหรือไง”

พาณีกระแอมเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ “เรื่องครั้งก่อนฉันยอมรับว่าบอกข้อมูลแกไม่หมด แต่ครั้งนี้มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”

พิมพ์นาราหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก พยายามระงับปรอทอารมณ์ที่กำลังจะแตะถึงจุดเดือด “นาขอร้องนะแม่ อย่าทำแบบนี้อีก นาไม่ชอบ”

“แล้วแกจะปล่อยชีวิตแกไปแบบนี้น่ะเหรอ!” พาณีอดไม่ไหวหลุดปากออกไปอย่างไม่ตั้งใจ

“ถ้าเป็นเรื่องงาน แม่ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้นาเริ่มมองหาบริษัทเอาไว้บ้างแล้ว” พิมพ์นาราตอบกลับ ก่อนจะสำทับอีกประโยคเสียงเย็น “ส่วนเรื่องอื่น แม่ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง”

“จะไม่ให้ฉันห่วงได้ยังไง ฉันมองหาผู้ชายดีๆ ให้แกก็ทำพังหมด!”

“นาไม่เคยขอร้องให้แม่ทำสักหน่อย”

“ที่ฉันทำไปก็เพราะหวังดีกับแกทั้งนั้น แกหย่าตอนอายุสามสิบสอง คิดบ้างไหมว่ามันเลวร้ายแค่ไหน”

“แม่ นาแค่หย่าสามี ไม่ได้เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงสักหน่อย!” พิมพ์นาราตอบกลับอย่างเหนื่อยหน่าย “เราพูดเรื่องนี้กันมาหลายครั้งแล้วนะแม่ นายังไม่อยากแต่งงานใหม่ ไม่อยากคบใครทั้งนั้น แม่ไม่จำเป็นต้องไปหาพ่อม่ายเมียหนี เมียตายที่ไหนมาแนะนำให้นาทั้งนั้น นาไม่ต้องการ นารู้ว่าแม่ลำบากเลี้ยงนามาคนเดียว แม่อยากให้นามีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม แต่ในเมื่อเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็ต้องทำใจ นาอาจจะไม่ได้เก่งพอจะเป็นผู้นำใคร ไม่ได้มีหน้าที่การงานดีเลิศเหมือนพุฒิ แต่นาก็เชื่อว่านาหาเลี้ยงตัวเองได้ แก่ไปไม่เป็นภาระสังคมแน่นอน นาขอบอกให้รู้เอาไว้เลยนะ ยิ่งแม่ทำแบบนี้ นาก็จะยิ่งต่อต้าน เพราะฉะนั้นเลิกทำเถอะนะ”

“ฉันไม่อยากให้แกปิดกั้นตัวเอง ทำไมแกไม่ลองใจกว้างสักนิด เปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ดูบ้างสิ ถึงจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่น่าจะตัดรอนนี่ แล้วก็ใช่ว่าฉันไม่เลือกเสียเมื่อไร ถ้าเห็นว่านิสัยเข้ากับแกไม่ได้ ฉันก็ไม่พามาให้แกรู้จักหรอก”

พิมพ์นารากลอกตามองเพดาน แสดงสีหน้าเซ็งจัดอย่างไม่คิดจะปิดบัง

“นาร้อน นาอยากอาบน้ำ ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวตัดบทเอาดื้อๆ โดยไม่สนว่าผู้เป็นแม่จะพอใจหรือไม่ พูดจบก็หมุนตัวก้าวตึงๆ ขึ้นบันไดไปชั้นสองทันที

พาณีได้แต่ทำท่าฮึดฮัดมองลูกสาวคนเดียวอย่างขัดใจ

 

“แม่แกนี่สุดๆ ไปเลย” เสียงชไมพรดังมาตามสายเมื่อพิมพ์นาราเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

คนเล่าล้มตัวหงายท้องบนที่นอน สายตาเหม่อมองเพดานสีขาว สีหน้ายุ่งเหยิงเพราะอารมณ์หลากหลายที่ปนเปกันไปหมด

“ฉันก็แค่หย่าสามีห่วยๆ คนหนึ่งเท่านั้น แต่แม่กลับทำเหมือนฉันเป็นโรคติดต่อร้ายแรง” พิมพ์นาราอดที่จะบ่นไม่ได้ “แล้วดูสิ ฉันเพิ่งจะหย่าได้ไม่ถึงเดือน แม่ก็เที่ยวไปหาคนโน้นคนนี้มายัดเยียดให้ฉันแล้ว ฉันไม่ได้แสดงท่าทางเหมือนจะเป็นจะตาย แต่ก็ใช่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไรเลย”

คนปลายสายฟังแล้วก็ได้แต่เงียบ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี

“เฮ้อ ถ้าทำได้ ฉันอยากหนีไปให้ไกลๆ ไปที่ที่ไม่มีใครรู้จัก”

“แกอยากไปจริงเหรอ” ครั้งนี้ชไมพรถามกลับมาทันที

“อื้ม ไปไหนก็ได้ที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้าเป็นไปได้นะ อยากไปนอกประเทศเลย”

“ถ้าแกอยากไปจริงๆ ฉันช่วยแกได้นะ”

เปลือกตาของพิมพ์นาราเปิดลืมขึ้นทันที “แกมีไอเดียดีๆ เหรอ”

“ญาติสามีฉันเขาเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นิวซีแลนด์ วันก่อนเห็นพี่แมนบอกว่าทางโน้นกำลังขาดคน เพราะเด็กไทยที่ทำงานพิเศษจะกลับบ้าน แต่ก็แค่เดือนเดียว เด็กมันทำงานดี พูดคุยกันเอาไว้ว่าพอเด็กมันกลับไปก็จะให้ทำงานต่อ แต่ช่วงหนึ่งเดือนนี้จะไม่หาคนมาช่วยก็ไม่ได้ เขาก็เลยลองโทร. มาถามพวกญาติๆ ที่เมืองไทยว่าใครอยากไปบ้าง เด็กๆ น่ะอยากไปกันจะแย่ แต่ก็ติดว่าช่วงนี้ดันไม่ใช่ช่วงปิดเทอม ถ้าแกสนใจ ฉันจะลองคุยกับพี่แมนให้”

พิมพ์นาราดีดตัวลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนทันที

เพราะเธอคบหากับพุฒิพงศ์มาตั้งแต่มัธยมปลาย ทำให้แทบไม่เคยไปไหนหรือทำอะไรด้วยตัวคนเดียวมาก่อนเลย แม้จะได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง แต่ก็เพราะพุฒิพงศ์เป็นคนพาไป

“วีซาท่องเที่ยวอยู่ที่นั่นได้สามเดือน เสร็จจากช่วยงานที่ร้าน แกก็เที่ยวต่อได้เลย ที่โน่นขับรถพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา ถนนหนทางดี ขับรถง่าย ที่ต้องระวังหน่อยก็พวกป้ายจราจร ป้ายจำกัดความเร็ว เพราะที่โน่นเขาเคร่งกว่าเราเยอะ เรื่องรายละเอียดเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้มาดูกันก่อนว่าแกสนใจหรือเปล่า”

“มันก็น่าสนอยู่นะ” พิมพ์นาราตอบกลับพลางกัดริมฝีปากล่างของตัวเองไปด้วย

ใจหนึ่งก็สนใจ แต่อีกใจก็แอบกังวลนิดๆ ถึงจะรู้ว่ามีคนไทยคอยดูแลที่โน่น แต่มันก็ไม่เหมือนคนสนิทคุ้นเคยกันนี่นา

“แกยังไม่ต้องรีบตอบฉันตอนนี้ก็ได้ ลองเอาไปคิดสักคืนก่อน”

“อื้ม ขอบใจนะแก”

“เออๆ อย่าคิดมากเลย” เพื่อนสนิทปลอบใจกันสองสามประโยค ก่อนหัวข้อจะถูกเปลี่ยนไปอีกหลายเรื่อง จนกระทั่งเสียงเรียกลูกชายของชไมพรดังลอดเข้ามาในสาย ทั้งสองจำต้องพักเรื่องที่คุยเอาไว้แค่นี้

หลังจากวางสายจากเพื่อนสนิทแล้ว พิมพ์นาราก็กลับมาคิดถึงเรื่องที่ทั้งสองคุยกันก่อนหน้านี้

ไปต่างประเทศคนเดียวอย่างนั้นหรือ ความรู้สึกของพิมพ์นาราแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งตื่นเต้นจนเกือบจะตอบรับข้อเสนอของชไมพรไปแล้ว แต่อีกส่วนก็ยังอดกังวลไม่ได้ ที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำอะไรหรือไปไหนคนเดียวจริงๆ เลยสักครั้ง

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ก่อนประตูห้องของพิมพ์นาราจะถูกเปิดออก พาณีเดินเข้ามาในห้องลูกสาวด้วยสีหน้านิ่งๆ แล้วยื่นส่งโทรศัพท์มือถือมาให้

“อะไรคะ ถ้าแม่จะให้นาโทร. ไปขอโทษคุณฉายของแม่ละก็ นาไม่โทร. หรอกนะ แม่เป็นคนก่อเรื่อง แม่ก็ต้องรับผิดชอบเอง”

พาณีตวัดสายตามองค้อนลูกสาว ใบหน้าบึ้งตึงขึ้นเล็กน้อย

“เรื่องนั้นฉันไม่กล้ารบกวนแกหรอก!”

มาทะเลาะกันแบบนี้พิมพ์นาราเองก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อยเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้เธออ่อนข้อให้ผู้เป็นแม่ไม่ได้จริงๆ

“เรื่องคุณฉายน่ะช่างมันเถอะ แต่แกช่วยดูเรื่องนี้หน่อยละกัน” พาณีพูดแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือในมือไปตรงหน้าลูกสาวอีกรอบ

พิมพ์นารามองอยู่อึดใจก่อนจะยอมเอื้อมมือไปรับมา พอกดปุ่มให้หน้าจอทำงานเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ทำให้แววตาของหญิงสาวเย็นชาขึ้นทันที แต่เพราะเธอกำลังก้มหน้าอยู่ คนเป็นแม่จึงไม่เห็น

“แกเลื่อนไปสิ ยังมีอีกสามรูป”

หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย ยิ่งเลื่อน น้ำหนักในใจก็ยิ่งเทเอียงไปด้านหนึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

“แม่ให้นาดูรูปพวกนี้ทำไมคะ”

“อ้าว ก็ให้แกดูไงว่าแกชอบคนไหน ถ้าแกถูกใจคนไหนบอกมาเลยนะ ฉันจะได้จัดการนัดหมายให้!”

“...”

“แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องฐานะนะ ทุกคนในรูปล้วนเป็นคนที่เพื่อนสนิทฉันช่วยกันแนะนำมาทั้งนั้น แกสนใจคนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า นี่ๆ อย่างคนนี้นะ เป็นเจ้าของร้านประดับยนต์ ถึงจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็เป็นกิจการของตัวเองนะ ส่วนคนนี้เป็นทนายความของบริษัทกฎหมายใหญ่เชียวละ แล้วก็...”

นอกจากประโยคแรกแล้ว คำพูดของผู้เป็นแม่ก็เพียงแค่ผ่านเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา พิมพ์นาราไม่คิดจะเก็บข้อมูลเหล่านี้มาใส่ใจ

สิ่งที่อยู่ในใจของเธอตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

หลังจากแม่ออกจากห้องไปแล้ว เธอจะต้องส่งข้อความหาชไมพร บอกเพื่อนสนิทว่าเธอยินดีรับข้อตกลงและจะเดินทางทันทีที่จัดการเรื่องวีซาเรียบร้อย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น