9

see you


9

see you

 

“เอ้า น้ำเย็น ดื่มซะเผื่อจะได้ใจเย็นลงบ้าง” ชไมพรพูดพร้อมเลื่อนแก้วน้ำเปล่าที่มีไอเย็นเกาะรอบแก้วให้เพื่อนสนิทที่นั่งซึม ตาบวมเป่ง ทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวในห้องครัวบ้านชไมพร

พิมพ์นาราขับรถมาถึงหน้าบ้านชไมพรตอนเกือบสามทุ่มหรือก็คือเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่เธอไม่ได้ลงจากรถ เพราะกลัวจะเป็นการรบกวนเพื่อนสนิท เธอยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงจากรถหรือจะขับรถกลับบ้าน เกรียงไกรสามีของชไมพรกลับบ้านมาพอดี สองสามีภรรยาจึงชวนเธอเข้าไปในบ้านก่อน

เกรียงไกรไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่บอกภรรยาว่าจะพาลูกชายเข้านอนเอง ให้เธออยู่กับเพื่อนตามสบาย

“ขอโทษที่มารบกวนแกอีกแล้ว ฉันยังไม่อยากกลับบ้านสภาพนี้ แต่ก็ไม่รู้จะไปไหนดี” พิมพ์นาราบอกหลังจากดื่มน้ำไปอึกใหญ่

“ไม่ต้องขอโทษหรอก และแกตัดสินใจถูกแล้วที่มาหาฉัน ถ้าแกไปที่อื่นสิ ฉันจะโกรธแกมากเชียวละ” ชไมพรพูดเสียงเข้มแล้วเหลือบสายตามองเพื่อน “แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น”

พิมพ์นาราเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว “ฉันไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี”

“แกอยากเล่าเรื่องไหนก่อนก็เอาเรื่องนั้นแหละ”

คนถูกถามเงียบไปอีกครั้ง พิมพ์นาราสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเอ่ย “เหตุผลที่ฉันเลื่อนตั๋วกลับไทยไม่ใช่เพราะฉันอยากจะเที่ยวที่ควีนส์ทาวน์ต่อ แต่เป็นเพราะฉันอยากอยู่กับใครบางคนต่อ”

ชไมพรยอมรับว่าสิ่งที่ได้ยินทำให้เธอตกใจเล็กน้อย ไม่ได้มากมายอะไรนัก นั่งอึ้งไปไม่ถึงสิบวินาทีก็สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้แล้ว

“เขาคือเหตุผลที่ช่วงนี้แกอารมณ์ดีทุกครั้งที่โทรศัพท์มือถือดังด้วยใช่ไหม”

พิมพ์นาราพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วจึงเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทฟัง จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรให้เล่ามากนัก เธอเจอผู้ชายคนหนึ่งตอนอยู่ที่ควีนส์ทาวน์ และตอนนี้พวกเขากำลังสานความสัมพันธ์ระยะไกลกันอยู่

ชไมพรรับฟัง ไม่แสดงความเห็นอะไร ไม่พยายามเร่งรัด ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีรอว่าเพื่อนจะพูดอะไรต่อ

“วันนี้ฉันออกไปกินมื้อค่ำกับพวกที่ทำงานเก่า แล้วก็บังเอิญเจอพุฒิกับแฟนใหม่ของเขาที่ร้านด้วย” พอพิมพ์นาราพูดถึงตรงนี้ เพื่อนสนิทเธอก็ถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึก คนเล่าก็เลยได้แต่ลอบถอนหายใจกับตัวเอง “ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ นะเปิ้ล พวกเขาไม่ได้มีผลอะไรกับฉันมากมายขนาดนั้นอีกแล้ว การปรากฏตัวของเขาไม่ได้ทำให้ฉันร้องไห้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก...”

พิมพ์นาราเล่าเหตุการณ์ที่เธอปะทะกับพุฒิพงศ์ให้เพื่อนสนิทฟัง สีหน้าของชไมพรไม่ได้ดูชอบใจเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่สีหน้ากลับบึ้งตึง โกรธจัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพิมพ์นาราเล่าจบ

“ไอ้ลูกหมา!” ชไมพรอดสบถออกมาไม่ได้ “นี่เขาคงไม่ได้เกิดเสียใจขึ้นมาภายหลังหรอกใช่ไหม”

“ฉันไม่รู้ แล้วฉันก็ไม่สนด้วย”

ชไมพรไม่พูดอะไร เธอเพียงแต่เม้มริมฝีปากแน่น มองพิมพ์นาราอย่างไม่แน่ใจนัก

“แกคงไม่ได้กำลังคิดว่าฉันจะยอมกลับไปหาเขาหรอกนะ!” พิมพ์นาราตอบกลับเสียงแข็ง “ต่อให้เขามาคุกเข่าตรงหน้าฉัน ฉันก็ไม่มีวันกลับไปหาเขาหรอก”

“เพราะตอนนี้แกมีคุณธาวินเหรอ”

แก้มของพิมพ์นาราร้อนผ่าวเล็กน้อย ก่อนเธอจะตอบ “ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทิม ฉันก็จะไม่กลับไปหาผู้ชายคนนั้นอีกอย่างแน่นอน พุฒิไม่ได้นอกใจฉันแค่สองสามเดือนนะเปิ้ล เขานอกใจฉันมาเกือบสามปี เกือบตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่อังกฤษ พอกลับไทย เขาไม่ได้คิดแม้แต่จะปิดบังฉันด้วยซ้ำ เขาพูดกับฉันตรงๆ ว่าเขาต้องการหย่า เพราะเขาพบผู้หญิงคนอื่นที่เขาต้องการจะอยู่ด้วยมากกว่าฉัน...

“แกคงไม่ได้ลืมสี่เดือนที่ฉันทำตัวเหมือนคนบ้าใช่ไหม ทำแม้กระทั่งการคุกเข่าลงไปขอร้องอ้อนวอนให้เขาอยู่กับฉัน แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิม ฉันตัดสินใจย้ายออกมา ฉันมีความคิดโง่ๆ ที่ว่าการแยกกันอยู่อาจจะทำให้เขาคิดถึงฉัน โดยที่ฉันไม่ได้คิดเลยสักนิดว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่ฉันเสียใจก็คือฉันเสียเวลาตั้งแปดเดือนเพียงเพื่อจะตัดสินใจตัดผู้ชายห่วยๆ คนหนึ่งออกจากชีวิต”

แน่นอนว่าเรื่องนี้ชไมพรเองก็รู้ดี เพราะเธอรับรู้มาตลอดและเคยร่วมอยู่ในหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ก็เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้เกลียดขี้หน้าอดีตสามีของเพื่อนสนิทแทบจะเข้าไส้

“เชื่อฉันเถอะเปิ้ล ฉันจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องกลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีกครั้งแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นเขาทำอะไร แกถึงร้องไห้ขนาดนี้”

“เรามีปากเสียงกัน ฉันไม่อยากคุยกับเขา เพราะฉันรู้สึกว่าเขาทำตัวไร้เหตุผลมาก ฉันพยายามจะเดินหนีมา แต่ไม่รู้พุฒิเกิดบ้าอะไรขึ้นมา จู่ๆ เขาก็จะเข้ามาแย่งโทรศัพท์มือถือไปจากมือฉัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันตั้งตัวไม่ทันจริงๆ กว่าจะรู้ตัว โทรศัพท์ก็หลุดจากมือฉันไปแล้ว พุฒิปัดมันตกน้ำ”

“นิสัยเสียจริงๆ แต่แกไม่ต้องกลัวนะนา ฉันรู้จักร้านซ่อมมือถือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพาแกไป”

“โทรศัพท์ฉันหล่นในแม่น้ำเจ้าพระยา”

ชไมพรที่กำลังจะปลอบเพื่อนสนิทอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น ก่อนเธอจะกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงคอไป

“แกใจเย็นๆ ก่อนนะนา คือ...ถึงเราจะกู้โทรศัพท์แกคืนมาไม่ได้ แต่เราไปขอซิมการ์ดใหม่เบอร์เดิมได้นะ ถึงข้อมูลที่สนทนากันก่อนหน้านี้จะหายไป แต่ข้อมูลบัญชีผู้ใช้สามารถกู้คืนมาได้ทั้งหมดเลยนะ ทั้งเฟซบุ๊ก ทั้งไลน์ พรุ่งนี้ฉันจะพาแกไปขอซิมการ์ดอันใหม่ แล้วแกก็จะติดต่อเขาได้เหมือนเดิม”

“ฉันไม่มีทั้งเฟซบุ๊กทั้งไลน์ของเขาหรอก ฉันมีแค่เบอร์เขาที่บันทึกอยู่ในโทรศัพท์เครื่องนั้นเท่านั้น”

“หา? ไม่มีทั้งเฟซ ทั้งไลน์เลยเหรอ”

“เรามีเวลาไม่มากตอนที่ต้องแยกกันที่สนามบินซิดนีย์ เขาต้องแยกออกไปทางผู้โดยสารขาเข้า ส่วนฉันต้องแยกไปทางผู้โดยสารที่ต้องไปต่อเครื่อง และตอนนั้นฉันก็เป็นห่วงแม่จนคิดอะไรไม่ออก ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับฉันก็คือถ้าฉันยังต้องการจะติดต่อกับเขาอยู่ก็ส่งข้อความหาเขาเมื่อฉันถึงเมืองไทย แต่ถ้าไม่ ก็ให้ลบเบอร์เขาไปซะ”

เรื่องที่เหลือไม่จำเป็นต้องเล่าต่อ ชไมพรพอจะเดาเหตุการณ์ต่อจากนั้นได้

“ตั้งแต่ฉันกลับมาเมืองไทย เราก็ติดต่อกันด้วยการส่งข้อความตลอด” ครั้งนี้น้ำเสียงของพิมพ์นาราสั่นอย่างชัดเจน น้ำเอ่อคลอในดวงตาทั้งสองข้างอีกครั้ง “ตอนที่ฉันทะเลาะกับพุฒิ เขาส่งข้อความมาสามครั้ง แต่ฉันยังไม่ทันได้ตอบกลับไป ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีเปิ้ล ถ้าเขาคิดว่าฉันไม่สนใจเขาแล้วละ”

พูดจบหญิงสาวก็ก้มฟุบหน้าลงกับแขนตัวเอง

“ฉันว่าแกใจเย็นๆ ก่อนนะนา อย่าเพิ่งคิดในทางที่แย่สิ”

“ฉันจำเบอร์เขาไม่ได้เปิ้ล ฉันไม่เคยดูเลยด้วยซ้ำ”

นี่ก็อีกอย่างที่ชไมพรไม่เถียง เพราะแม้แต่เธอเองถ้าให้บอกหมายเลขโทรศัพท์ของสามีก็ยังต้องขอเวลานึกครู่ใหญ่เลยทีเดียว แถมเธอก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะตัวเลขจะถูกต้องหรือเปล่า อาจจะกดผิดสองสามครั้งก่อนถึงจะต่อสายถึงสามีเธอได้

“ใจเย็นๆ ก่อนนะนา ทุกอย่างมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่แกคิดก็ได้” ชไมพรพยายามปลอบเพื่อนสนิท ขณะที่สมองก็พยายามหาทางช่วยไปด้วย “เอาอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความแน่ใจ ตอนนี้เราโทร. ไปถามคอลเซนเตอร์ก่อนดีกว่า ว่าเราต้องใช้อะไรบ้างในการไปขอซิมการ์ดใหม่เบอร์เดิม แล้วค่อยถามเขาเรื่องข้อความเป็นไง”

พิมพ์นาราเงยหน้าขึ้นพร้อมแพขนตาที่เปียกเป็นกระจุก

“โทร. หาคอลเซนเตอร์เดี๋ยวนี้เลย” ชไมพรพูดแล้วรีบลุกไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองมา หาเบอร์คอลเซนเตอร์ของเครือข่ายผู้ให้บริการเบอร์โทรศัพท์ของพิมพ์นาราแล้วแจ้งสิ่งที่ต้องการ หลังจากการคุยและย้ำถามข้อมูลถึงสามรอบเพื่อให้คนเป็นเพื่อนสบายใจ ชไมพรจึงกดวางสาย

การขอซิมการ์ดใหม่เบอร์เดิมไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แค่มีบัตรประชาชนก็ใช้ได้แล้ว ส่วนเรื่องสำคัญที่สองสาวอยากรู้ก็ได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า เบอร์โทร. ที่ถูกบันทึกไว้ในซิมการ์ดไม่สามารถกู้คืนได้ นอกจากพิมพ์นาราจะใช้แอปพลิเคชันบางตัวที่ให้บันทึกรายชื่อผู้ติดต่อเอาไว้ ซึ่งเรื่องนี้เจ้าของโทรศัพท์มือถือเองก็ไม่แน่ใจว่าทำเอาไว้หรือไม่ ส่วนข้อความที่ส่งออกและอ่านแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถกู้คืนได้ สำหรับข้อความที่ส่งมาหลังจากเครื่องดับไปแล้วจะปรากฏให้เห็นหลังจากพิมพ์นาราใส่ซิมการ์ดและเปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง

ถ้าเขาส่งมา

ความคิดนี้ทำให้พิมพ์นาราอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ ก่อนโทรศัพท์มือถือหลุดจากมือ เธอยังไม่ได้ตอบกลับข้อความของเขาเลย หญิงสาวสารภาพอย่างไม่อายว่าเธอกลัวเขาจะไม่ส่งข้อความกลับมา

ชไมพรเองก็พอจะเดาได้จากสีหน้าอมทุกข์ของเพื่อนสนิท “อย่าเพิ่งคิดมากสิ พรุ่งนี้เราจะไปทำเรื่องขอซิมการ์ดใหม่ของแกทันทีที่ห้างเปิด”

พิมพ์นาราเงยหน้ามองเพื่อนสนิทอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ เธอรู้ดี ถึงตอนนี้จะดึงดันไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากรอจนถึงพรุ่งนี้เท่านั้น

“เปิ้ล” เสียงเรียกของเกรียงไกรทำให้สองสาวหันไปมองสามีของชไมพรที่เดินเข้ามาหาทั้งคู่ “นาโอเคไหม คืนนี้จะค้างที่นี่หรือเปล่า”

“ขอบคุณค่ะพี่แมน แต่นาคงไม่รบกวนขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“ไม่ได้รบกวนเลย พรุ่งนี้วันเสาร์ด้วย ตาภัทรก็บ่นๆ อยู่เรื่องอยากเจอน้านาคนสวยด้วย”

พิมพ์นาราอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงเด็กชายณภัทรวัยห้าขวบ “ฝากบอกน้องภัทรว่านาจะแวะมาหาพรุ่งนี้นะคะ แต่คืนนี้นาค้างไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่เพราะนาเกรงใจอย่างเดียวนะคะ แต่นาเป็นห่วงแม่ด้วย นาต้องขอโทษด้วยนะคะที่นามารบกวนพี่กับเปิ้ลบ่อยๆ”

“ไม่เห็นต้องคิดมากเลย”

“เห็นไหมฉันบอกแล้วว่าสามีฉันไม่ได้คิดมาก มีแกคนเดียวนั่นแหละที่คิดเยอะ” ชไมพรรีบเอ่ยสนับสนุนสามีทันที

“แล้วนี่จะขับรถกลับเองไหวหรือเปล่า พี่ขับไปส่งให้ดีกว่าไหม”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ” พิมพ์นารารีบตอบกลับทันที พร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ “แค่นี้นาก็เกรงใจพี่แมนกับเปิ้ลจะแย่แล้ว”

ทั้งสามเดินมาจนถึงหน้าประตูรั้ว พิมพ์นาราเตรียมจะบอกลาแล้วด้วยซ้ำเมื่อชไมพรตัดสินใจลองกล่อมเพื่อนอีกครั้ง

“ให้พี่แมนขับไปส่งนั่นแหละนา ฉันจะได้หายห่วงด้วย”

“บ้านแกกับฉันไม่ได้ไกลกันมากสักหน่อย ดึกขนาดนี้ขับรถแค่ยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว”

“แต่...”

“ฉันขับรถกลับบ้านเองได้จริงๆ เปิ้ล แต่พรุ่งนี้ฉันคงต้องกวนแกอีกรอบ” พิมพ์นาราไม่ได้แค่พูด แต่เธอยังทำท่าจะเดินถอยหลังออกจากบ้านด้วย

ชไมพรอยากจะค้าน แต่เห็นท่าทางดื้อดึงของเพื่อนสนิทแล้วก็ได้แต่ทำใจยอมรับ “ก็ได้ ขับรถกลับบ้านดีๆ นะ กลับถึงบ้านแล้วโทร. หาด้วยนะ”

“อื้ม รู้แล้ว ขอบใจมาก ไปก่อนนะคะพี่แมน ราตรีสวัสดิ์นะ” พิมพ์นาราบอกแล้วเปิดประตูรถเข้าประจำที่นั่งหลังพวงมาลัย

สองสามีภรรยาเจ้าของบ้านขยับหลบไปยืนชิดข้างประตูรั้วเมื่อรถยนต์ของพิมพ์นาราค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป

ชไมพรยืนมองไฟท้ายรถสีแดงแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ “พี่แมนต้องไม่เชื่อแน่ว่าวันนี้ยายนาไปเจอใครมา”

คิ้วหนาของเกรียงไกรเลิกสูงเล็กน้อย “ดูจากสีหน้าของนากับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจของเปิ้ล พี่ว่าพี่พอจะเดาได้นะ”

ชไมพรเหลือบตามองสามีเล็กน้อยแล้วก็ต้องถอนหายใจอีกรอบ

“เทียบกับสภาพก่อนหน้านี้ พี่ว่านาเขาเข้มแข็งขึ้นเยอะนะ พี่เชื่อว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก”

“เปิ้ลก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน”

เกรียงไกรไม่พูดอะไร มือหนาของเขากุมมือของชไมพรเอาไว้อย่างให้กำลังใจแล้วพาเธอกลับเข้าไปในบ้าน

 

เวลาเดียวกันที่ผับแห่งหนึ่งในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

“เป็นอะไรไป” อเล็กซ์ แคนนอน อดถามไม่ได้เมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งจ้องโทรศัพท์มือถือมาพักใหญ่

“เธอไม่ตอบข้อความฉัน”

มันเป็นคำตอบที่สั้นมาก ไม่บอกรายละเอียดอะไรเลย ทำให้อเล็กซ์หน้านิ่วไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกออก

“นายหมายถึงสาวสวยที่นายเจอที่ควีนส์ทาวน์น่ะเหรอ”

“นาไม่เคยไม่ตอบข้อความฉัน”

อเล็กซ์พลิกดูนาฬิกาข้อมือแล้วเริ่มคำนวณความต่างของเวลา “ตอนนี้ที่ไทยน่าจะราวๆ สามทุ่มกว่า เธออาจจะเพิ่งถึงบ้านแล้วกำลังอาบน้ำอยู่ก็ได้”

แต่ธาวินไม่คิดแบบนั้น พิมพ์นาราไม่เคยหายไปนานนักเมื่อพวกเขายังสนทนากันอยู่ ถ้าจะไปอาบน้ำหรือไปนอน เธอจะต้องบอกเขาเสมอ

“อย่าคิดมากน่า เดี๋ยวเธอก็คงส่งข้อความกลับมาเองนั่นแหละ ว่าแต่นี่มันสมัยไหนแล้ว พวกนายยังส่งข้อความหากันอยู่ได้ ไม่มีอีเมลหรือช่องทางสื่อสารอื่นหรือไง” เพราะไม่มีเสียงตอบจากคนเป็นเพื่อน อเล็กซ์จึงหันไปมองธาวินที่นั่งข้างๆ ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตากดบางอย่างบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมืออย่างเคร่งเครียด “นายทำอะไรอยู่”

ยังคงไม่มีคำตอบจากคนเป็นเพื่อน อเล็กซ์จึงต้องยื่นหน้าเข้ามาดูว่าธาวินทำอะไรอยู่

“นี่นายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมทิม”

“ไม่”

อเล็กซ์จ้องคนตอบตาขวาง แต่ธาวินไม่สนใจ ยังคงมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำ สุดท้ายคนจ้องก็จำต้องยอมแพ้

“นานแค่ไหน”

“ยังไม่รู้”

อเล็กซ์ฟังแล้วอยากจะพ่นวิสกี้ที่เพิ่งจะจิบใส่หน้าเพื่อนสนิท หลังจากหายสำลักแล้วชายหนุ่มก็เอ่ยอีกครั้ง “นายเป็นหนี้ฉัน”

ธาวินเอื้อมมือไปคว้าแก้ววิสกี้ของตัวเองมากระดกรวดเดียวหมด วางแก้วทับเงินค่าเครื่องดื่มสำหรับสองที่แล้วลุกจากเก้าอี้ แต่ก่อนจะเดินจากไป เขาก็ให้คำมั่นสัญญากับเพื่อนสนิท

“จดเอาไว้”

 

เพราะเป็นวันเสาร์ แถมยังเป็นเสาร์สิ้นเดือนอีก ภายในศูนย์บริการลูกค้าของเครือข่ายโทรศัพท์แทบทุกเจ้าจึงค่อนข้างแน่นขนัด แม้พิมพ์นารากับชไมพรจะมาถึงห้างสรรพสินค้าก่อนเวลาเปิด และได้คิวเป็นอันดับแรกๆ แต่ก็ยังเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมงกว่าพิมพ์นาราจะได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ที่พร้อมใช้งาน

เพราะพิมพ์นาราไม่อยากเสียเวลาไปหลายที่ เธอจึงเลือกที่จะซื้อเครื่องจากศูนย์บริการนี้เลย และเพื่อตัดปัญหาการพยายามขายของพนักงาน หญิงสาวจึงแจ้งว่าต้องการรุ่นล่าสุดของยี่ห้อที่เธอใช้ประจำ จากนั้นเจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการก็จัดการเรื่องเปิดเครื่องและซิมการ์ดอันใหม่ให้

การซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่มีขั้นตอนอยู่พอสมควร ทั้งการตรวจเช็กก่อนเซ็นรับเครื่องและตรวจสอบเอกสารต่างๆ ให้ครบถ้วน ตลอดเวลานั้นชไมพรก็ต้องคอยปลอบใจเพื่อนสนิทอยู่ตลอดให้ใจเย็นๆ เธอรู้ว่าพิมพ์นาราร้อนใจ แต่พนักงานก็บริการเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว

ตลอดคืนที่ผ่านมาจนถึงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้พิมพ์นารารู้สึกเหมือนหัวใจเธอถูกอะไรบางอย่างบีบเอาไว้ และตอนนี้เมื่อพนักงานกำลังเสียบซิมการ์ดอันใหม่เข้าไปในเครื่อง หญิงสาวก็กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว

ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!

เสียงเตือนข้อความเข้าดังรัวขึ้นแทบจะทันทีที่โทรศัพท์เครื่องใหม่ของพิมพ์นาราพร้อมใช้งาน

พิมพ์นาราทำตัวเสียมารยาทด้วยการคว้าโทรศัพท์มือถือมาจากมือพนักงานแล้วรีบเปิดดูข้อความทันที โดยมีชไมพรลุ้นตัวแทบโก่งอยู่ด้านหลัง แต่เพียงแค่ข้อความแรกที่เห็น ชไมพรก็ต้องอ้าปากค้าง สำลักลมหายใจตัวเองพร้อมกับแก้มเนียนที่ร้อนผ่าวขึ้น

คิดถึงเวลาที่คุณกอดผมเอาไว้แน่น ตอนที่ผม...

พิมพ์นารากัดริมฝีปากแน่น ดีใจจนแทบอยากจะร้องไห้ ปลายนิ้วเลื่อนไปอ่านข้อความถัดมา

คุณคงไม่ได้กำลังอายอยู่ใช่ไหม ผมชอบเวลาที่คุณอาย เพราะคุณแดงเรื่อไปทุกส่วนเลย ย้ำว่าทุกส่วน

เสียงไอเบาๆ ดังจากด้านหลังอีกรอบ พิมพ์นาราเองก็อดกระแอมเล็กน้อยไม่ได้ เธอเงยหน้าเอ่ยขอบคุณพนักงาน รวบถุงใส่กล่องอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกมา แต่ไม่ได้เดินไปไหนไกลนัก เพียงแค่หาที่ยืนพอจะหลบคนเดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้น แล้วจึงเลื่อนปลายนิ้วสไลด์อ่านข้อความที่ยังเหลืออยู่

เฮ้ คุณยังอยู่ไหม

คุณโกรธเหรอ

นา เกิดอะไรขึ้นที่รัก ตอบข้อความผมสิ

ห้าข้อความนี้ถูกส่งมาในเวลาไล่เลี่ยกันซึ่งเป็นช่วงที่เธอทะเลาะกับพุฒิพงศ์ และโทรศัพท์มือถือของเธอถูกปัดตกน้ำ ข้อความสุดท้ายส่งหลังจากช่วงนั้นสองชั่วโมง ข้อความไม่มีอะไรมาก มีแค่สองคำสั้นๆ

see u

“เป็นอะไรไป” เสียงเพื่อนถามจากด้านหลัง พิมพ์นาราจึงยื่นโทรศัพท์มือถือให้ดู ชไมพรลังเล เธอกระแอมเล็กน้อยก่อนจะอ่านข้อความ มันเป็นข้อความสั้นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านภาษามากมายอะไรนัก เป็นคำศัพท์ที่เด็กประถมก็ยังอ่านออก

แต่ในแง่การใช้งานแล้วมันเป็นสองคำที่สามารถแปลได้หลายความหมาย ตีความได้หลายอย่าง

“เขาหมายความว่ายังไง”

พิมพ์นาราตอบคำถามของเพื่อนไม่ได้ เพราะเธอเองก็อยากรู้เหมือนกัน สองคำสั้นๆ นี้หมายความว่า แล้วค่อยพบกันหรือเป็นคำพูดกึ่งบอกลา เธอเองก็เดาไม่ออก แต่นอกจากข้อความนี้แล้วก็ไม่มีข้อความไหนถูกส่งมาอีกเลย

“ลองโทร. ดูไหม”

ยังคงไม่มีคำตอบจากเจ้าของโทรศัพท์ พิมพ์นารานิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ เหมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ขณะที่ปลายนิ้วสไลด์บนหน้าจอเพื่อโทร. ออก โดยเธอไม่ทันเตรียมใจด้วยซ้ำเมื่อเสียงตอบรับอัตโนมัติดังขึ้น

“…หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ โปรดฝากข้อความเอาไว้หลังเสียงสัญญาณ...” เสียงปี๊บดังขึ้นในวินาทีถัดมา

“ติดต่อไม่ได้” พิมพ์นาราเอ่ยขึ้นในที่สุด หลังจากที่เธอพยายามโทร. หาธาวินสามครั้ง

“อย่าเพิ่งคิดมากนะนา เขาอาจจะแบตหมด หรืออยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณก็ได้ ตอนนี้ที่โน่นกี่โมงแล้วล่ะ” ชไมพรเอ่ยแล้ววุ่นวายพลิกข้อมือขึ้นเพื่อคำนวณเวลาปัจจุบันที่ซิดนีย์ “ซิดนีย์เร็วกว่าไทยสามชั่วโมงใช่ไหม ตอนนี้บ้านเราเที่ยง ที่โน่นก็คงราวๆ บ่ายสาม เขาอาจจะกำลังประชุมอยู่ก็ได้”

“วันนี้เป็นวันเสาร์” พิมพ์นาราเตือนความจำให้เพื่อน

“เขาอาจจะมีประชุมด่วน”

พิมพ์นาราหันไปมองสบตาคนพูดช้าๆ

“แกอย่าเพิ่งทำหน้าห่อเหี่ยวแบบนี้สิ ใช่ว่าจะหมดหวังนี่ ตอนนี้เราติดต่อเขาไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะสาเหตุจำเป็นบางอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะติดต่อไม่ได้ตลอดไปเมื่อไรล่ะ เอาอย่างนี้ดีไหม แกส่งข้อความไปหาเขาก่อน ถ้าเขายังไม่ตอบก็ค่อยลองโทร. กลับไปใหม่อีกที”

“อื้ม” พิมพ์นารารับคำ เพราะเธอเองตอนนี้ก็คิดวิธีอื่นไม่ออกเหมือนกัน จึงก้มหน้าพิมพ์ข้อความตามที่เพื่อนสนิทแนะนำ

ชไมพรวางมือลงบนไหล่คนเป็นเพื่อนแล้วเอ่ยให้กำลังใจ “อย่าเพิ่งหมดหวังสิ เขาจะต้องตอบกลับมาแน่”

“น้านา” เสียงใสของเด็กชายณภัทรวัยห้าขวบดังขึ้น ทำให้สองสาวต้องหันไปมอง พิมพ์นารารีบนั่งลงเพื่อรับตัวเด็กชายตัวน้อยที่โถมร่างเข้ามาหา

เกรียงไกรเดินตามหลังลูกชายมาติดๆ เอ่ยดุเบาๆ ทำเอาเด็กน้อยหน้าเสีย รีบซุกหน้าลงกับไหล่ของพิมพ์นาราซึ่งเรียกเสียงปลอบประโลมหวานได้อย่างดี

“ดู! ไปหัดท่าอ้อนแบบนี้มาจากไหนเนี่ย!” ชไมพรอดที่จะเอ็ดลูกชายตัวดีไม่ได้ “รู้ด้วยนะว่าต้องอ้อนใคร”

ความน่ารักของเด็กน้อยทำให้พิมพ์นารายิ้มได้ เธอก้มลงหอมแก้มนุ่มๆ ของเด็กชายณภัทรอย่างอดมันเขี้ยวไม่ได้

เด็กชายทำท่าเอียงอายเล็กน้อยก่อนจะยื่นตุ๊กตาตัวหนึ่งให้ ซึ่งทำให้สองสาวอดตะลึงไม่น้อย เพราะพวกเธอรู้ดีว่าเกรียงไกรพาเด็กชายณภัทรไปเล่นที่โซนสำหรับเด็ก ซึ่งจะมีตู้จับตุ๊กตาอยู่ด้วยระหว่างที่รอพวกเธอจัดการธุระที่ศูนย์บริการ

“หมดไปกี่บาทเนี่ย” ชไมพรเอนตัวเข้าไปถามสามี ซึ่งเกรียงไกรก็ได้แต่ยิ้มตอบแต่ไม่บอกจำนวนเงิน

“น้องภัทรของน้านาจับตุ๊กตาได้ด้วย เก่งจังเลย”

“พ่อเป็นคนจับ แต่...แต่น้องภัทรอยากให้น้านา”

“จะให้น้าเหรอคะ จะดีเหรอ”

เด็กชายพยักหน้ารัว แก้มนุ่มแดงก่ำ

พิมพ์นาราจึงก้มลงหอมแก้มเขาอีกหนึ่งฟอดเป็นการตอบแทน “ขอบคุณนะคะน้องภัทรคนดีของน้านา”

“หัดจีบสาวตั้งแต่ห้าขวบเลยเรอะ!” ชไมพรเอ่ยเสียงสูง ผู้ใหญ่สามคนมองเด็กชายตัวน้อยแล้วก็อดที่จะพากันยิ้มไม่ได้

เพราะตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว เด็กชายณภัทรจึงบ่นหิว เมื่อมีเด็กน้อยน่ารักมาอ้อนอยู่ข้างตัว พิมพ์นาราก็ยากจะปันใจคิดเรื่องอื่น สามผู้ใหญ่กับหนึ่งเด็กน้อยจึงเคลื่อนขบวนกันไปหาร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวัน

ความกังวลใจก่อนหน้านี้ถูกรอยยิ้มไร้เดียงสาช่วยทำให้ลืมไปได้ชั่วคราว

 

เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้วเมื่อรถยนต์อเนกประสงค์เจ็ดที่นั่งคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้านหลังน้อยของพาณี เจ้าของบ้านเดินออกมาต้อนรับอย่างตื่นเต้นที่จะได้เจอเด็กชายตัวน้อย ทั้งสองสนิทคุ้นเคยกันตอนที่พิมพ์นาราหลบไปพักสมองที่นิวซีแลนด์ ชไมพรที่กลัวพาณีจะเหงาเพราะต้องอยู่คนเดียวจึงพาลูกชายตัวน้อยมานั่งเล่นที่บ้านนี้อยู่บ่อยๆ

พาณีซึ่งอยากอุ้มหลานมานานแล้ว พอเจอฤทธิ์ความน่ารักของเด็กชายณภัทรเข้าไปก็เรียกได้ว่าแทบจะหลงหัวปักหัวปำเลยทีเดียว

“เข้ามาก่อนๆ ยายทำของชอบของน้องภัทรเอาไว้เยอะเลย”

“มีไข่ลูกเขยไหมครับ”

“ไม่ได้มีแค่ไข่ลูกเขยนะ แต่มีกุ้งทอดด้วย”

“โอ้!” เด็กชายวัยห้าขวบร้องอย่างดีใจใหญ่ ทำให้ผู้ใหญ่ที่กำลังรุมล้อมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

“อย่ามัวแต่ยืนคุยกันตรงนี้เลยค่ะ เข้าไปข้างในเถอะ” พิมพ์นารารีบบอกเมื่อดูท่าว่าผู้เป็นแม่กับเด็กชายตัวน้อยจะคุยกันยาว แต่พวกเขายังไม่ทันจะได้ยกขบวนเข้าบ้าน รถยนต์ยุโรปหรูคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดต่อท้ายรถยนต์ของเกรียงไกร

ตอนแรกพิมพ์นาราก็ไม่คิดจะสนใจ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นคนที่มาหาบ้านอื่น แต่เมื่อประตูรถด้านคนขับเปิดออก หญิงสาวก็แทบอยากจะกรีดร้องเสียตรงนั้น

ชไมพรขยับเข้ามายืนข้างเพื่อนสนิททันที สีหน้าเกรียงไกรเองก็ขรึมลงไม่น้อย พาณีดึงเด็กชายณภัทรไปอยู่ข้างตัว

สายตาไม่ต้อนรับของกลุ่มคนตรงหน้าทำให้พุฒิพงศ์อดหงุดหงิดไม่ได้ แต่เขาก็พยายามปั้นหน้าสงบเอาไว้ ไม่แสดงความไม่พอใจออกไปให้อีกฝ่ายเห็น

“คุณมาที่นี่อีกทำไมพุฒิ” พิมพ์นาราเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ

พุฒิพงศ์ไม่พูดอะไร แต่ยื่นถุงกระดาษในมือไปให้หญิงสาว

พิมพ์นาราปรายตามองที่ถุงกระดาษซึ่งมีโลโก้โทรศัพท์ยี่ห้อดังติดอยู่ ก่อนจะเลื่อนสายตากลับขึ้นมามองชายหนุ่มอีกครั้ง คิ้วเรียวเลิกสูงนิดๆ ไม่มีแม้แต่คำพูดเดียวหลุดจากปาก คล้ายว่าเธอเบื่อหน่ายเกินกว่าจะเอ่ยถาม

“อย่ามองเหมือนผมมาหาเรื่องคุณได้ไหมนา ผมแค่อยากจะชดใช้เรื่องโทรศัพท์มือถือที่ผมปัดของคุณตกน้ำไปเมื่อคืนก็เท่านั้น”

“ฉันก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่จำเป็น”

“ไม่เอาน่านา คุณคงไม่คิดว่าผมตั้งใจทำโทรศัพท์มือถือคุณตกน้ำหรอกใช่ไหม”

“ฉันจะคิดอะไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณไม่ใช่เหรอ”

“คุณมีสิทธิ์ที่จะโกรธ มันเป็นเรื่องเข้าใจได้”

“จริงๆ นะพุฒิ ฉันจะโกรธหรือไม่โกรธมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยสักนิด อย่าลืมสิ ตอนนี้เราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ลาก่อนนะคะ” พิมพ์นาราพูดจบก็เตรียมจะหมุนตัวเดินเข้าบ้าน แต่เธอต้องชะงักเพราะข้อมือข้างหนึ่งถูกยึดเอาไว้

เกรียงไกรขยับเข้ามายืนข้างพิมพ์นาราทันที

“ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหมนา”

“ฉันไม่คิดว่าเรามีอะไรจะต้องคุยกัน” พิมพ์นาราตอบเสียงเยือกเย็นและพยายามกระตุกข้อมือให้หลุดจากการจับยึดของอีกฝ่าย แต่เธอทำไม่ได้เพราะเขาไม่ยอมปล่อยมือ ตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ของพิมพ์นาราก็ดังเตือนสายเรียกเขา

มันเป็นเสี้ยววินาทีที่เหมือนจะวุ่นวาย พุฒิพงศ์ยึดข้อมือข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ ขณะที่พิมพ์นาราใช้มืออีกข้างล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อรับสาย เกรียงไกรก็ขยับไปด้านหน้าและเตือนให้พุฒิพงศ์ปล่อยมือของพิมพ์นารา

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ คุณอยู่บ้านเลขที่เท่าไหร่” เสียงทุ้มดังมาตามสาย มันเป็นเสียงทุ้มที่ชวนให้คุ้นหูอย่างประหลาด แต่พิมพ์นาราก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายไม่ชัดนัก เพราะพุฒิพงศ์คอยแต่จะดึงมือเธออยู่เรื่อย

“นี่!” หญิงสาวหันไปตวาดใส่คนที่พยายามจะดึงข้อมือเธอ และตอนนี้เกรียงไกรก็เข้ามายึดข้อมือเธอเอาไว้อีกคนแล้ว

“สี่? สี่เหรอ สี่อะไร”

“ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่” พิมพ์นาราร้องเสียงหลงแล้วรีบบอกบ้านเลขที่ให้คนปลายสายรู้

“เกิดอะไรขึ้น มีอะไรหรือเปล่า”

“ขอโทษนะคะ ตอนนี้ฉันไม่สะดวกคุย” หญิงสาวพูดรัวเร็วก่อนจะกดวางสาย เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าแล้วหันกลับมาขึงตาใส่พุฒิพงศ์ “ปล่อยฉันนะพุฒิ!”

“ผมต้องการคุยกับคุณ เป็นการส่วนตัว” เขาย้ำอย่างดื้อดึง

“แต่นาไม่อยากไปกับคุณนะ” เกรียงไกรเอ่ยเตือนเสียงเข้ม เขาเตี้ยกว่าพุฒิพงศ์เล็กน้อยดังนั้นอีกฝ่ายจึงพยายามทำท่าข่มเขา แต่เกรียงไกรก็พร้อมที่จะมีเรื่องเหมือนกัน

“เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างผมกับนา คนนอกอย่างคุณไม่มีสิทธิ์ยุ่ง! อย่าทำตัวจุ้นจ้านเหมือนภรรยาคุณนักเลย”

“ผมไม่จุ้นจ้านไม่ได้หรอกครับ นาเป็นเพื่อนของครอบครัวผม” เกรียงไกรสวนกลับทันที ก่อนจะเสริมอีกประโยค “ตรงนี้ถ้าจะพูดว่าใครเป็นคนนอก ผมก็คือว่าคนคนนั้นก็คือคุณ”

“แก!” พุฒิพงศ์คำรามอย่างโกรธจัด เขาปล่อยมือจากแขนของพิมพ์นาราเปลี่ยนมาเป็นขยุ้มคอเสื้อของเกรียงไกรแทน โดยที่ยังไม่มีใครทันตั้งตัว หมัดของพุฒิพงศ์ก็กระแทกเข้าที่แก้มของเกรียงไกรแล้ว

การกระทำของเขาทำให้สองสาวร้องเสียงหลง ชไมพรรีบเข้าไปหาสามี ขณะที่พิมพ์นาราได้แต่ยืนอึ้งอย่างทำอะไรไม่ถูก โชคดีที่พาณีพาเด็กชายณภัทรหลบเข้าบ้านไปก่อนแล้วจึงไม่ได้เห็นเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น

“คุณทำบ้าอะไรของคุณ!” พิมพ์นาราแว้ดใส่พุฒิพงศ์ทันที “จู่ๆ ก็มาทำตัวเป็นหมาบ้าหน้าบ้านฉันแบบนี้!”

“คุณก็เห็นไม่ใช่เหรอนา ผมไม่ได้เป็นคนเริ่ม สามีเพื่อนคุณต่างหากที่หาเรื่องผมก่อน”

“ฉันยังไม่เห็นพี่แมนเขาหาเรื่องคุณตรงไหนเลย คุณนั่นแหละคือคนที่มาหาเรื่องพวกเราถึงที่นี่”

“ผมไม่ได้มาหาเรื่องนะ ผมแค่อยากชดใช้เรื่องโทรศัพท์มือถือให้คุณเท่านั้น”

“แต่ฉันไม่ต้องการ!” พิมพ์นาราตะโกนเสียงดังลั่น โดนไม่สนว่าเสียงของเธอจะเรียกความสนใจจากเพื่อนบ้าน ตอนนี้เธอโกรธมาก โกรธจนมือทั้งสองข้างสั่นไปหมดแล้ว “กลับไปซะคุณพุฒิพงศ์ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ากลับมา ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ ไม่มีใครในบ้านนี้ต้อนรับคุณ!”

สิ่งที่ได้ยินทำให้พุฒิพงศ์โกรธจัด เขากำลังจะพุ่งเข้าไปรวบตัวพิมพ์นารา แต่เขาขยับได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็ต้องชะงัก เพราะมือของใครบางคนที่เอื้อมมาเหนี่ยวไหล่เขาเอาไว้จนเขาไม่สามารถขยับตัวได้

“หาเรื่องผู้หญิงแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองเขา

พุฒิพงศ์ เกรียงไกร และชไมพรมองผู้มาใหม่อย่างงงๆ ขณะที่ดวงตาของพิมพ์นาราเบิกกว้าง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

“แกเป็นใคร!”

ชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคมเข้มไม่ตอบ สายตาเขาจ้องมองตรงไปที่พิมพ์นารา ริมฝีปากคลี่ยิ้มนิดๆ แล้วเขายังขยิบตาให้เธอทีหนึ่งด้วย

พิมพ์นาราเหมือนจะได้สติขึ้นมาเล็กน้อย แก้มเนียนแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะความโกรธก่อนหน้านี้ หรือเพราะจังหวะหัวใจที่สูบฉีดเลือดเร็วแรงอยู่ในอก

“คุณ...มาได้ยังไง...”

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างซึ่งเหน็บเอาไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังแล้วเอามาโชว์ให้ดู

มันคือโปสต์การ์ดหนึ่งใบ

“ใบที่คุณเขียนที่อยู่ผิด ผมพบมันในกระเป๋ากางเกงตอนถึงบ้าน โชคดีจริงๆ ที่ผมยังไม่ได้ทิ้งไป แต่เลขที่บ้านมันไม่ชัด ผมก็เลยวนหาอยู่ตั้งนาน”

“โทรศัพท์เมื่อกี้?”

“ใช่ ผมเอง ทำไมคุณถึงทำหน้าตกใจขนาดนั้น?”

“คุณ...ที่นี่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย” พิมพ์นาราพูดไม่เป็นประโยค แต่คนร่างสูงเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการถามอย่างชัดเจน

แต่คิ้วหนายังอดเลิกสูงนิดๆ ไม่ได้ “คุณไม่ได้ข้อความล่าสุดของผมเหรอ”

“see you” พิมพ์นาราทวนข้อความของเขาออกมาอย่างรวดเร็ว

ธาวินยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม ก่อนเขาจะเอ่ยอีกครั้ง “ใช่เลย และตอนนี้ผมก็พบคุณแล้ว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น