5

บทที่ 5


 

บทที่ ๕

 

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เดินทางห่างออกไปนิดหนึ่งจากที่พักเพื่อไปวัดพระเขี้ยวแก้วตามกำหนดการที่มีการปรับเปลี่ยนนิดหน่อย วัดแห่งนี้นอกจากเป็นที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเขี้ยวแก้ว (พระทนต์) ของพระพุทธเจ้าไว้แล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับตำนานและชีวประวัติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือพระโคตมพุทธเจ้า (Gautama เจ้าชายสิทธัตถะ) ไปจนถึงพระศรีอาริยเมตรัย (Maitreya) ซึ่งฝ่ายมหายานเชื่อว่าในกัลปภพทั้งหมด มีพระพุทธเจ้าทั้งหมดห้าพระองค์ที่จะบรรลุนิพพานและคอยสอนชาวโลก โดยที่พระองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่สี่ และองค์ถัดไปคือพระพุทธเจ้าเมตรัย หรือพระศรีอริยเมตรัย นอกจากนี้ยังมีแสดงเทพเจ้าองค์อื่นๆ ในความเชื่อของจีนและญี่ปุ่น เช่น เทพจตุโลกบาล เทพเจ้าสายฟ้า เทพเจ้าลม และเจ้าแม่กวนอิมอีกด้วย

อมราขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดที่นำไปสู่ห้องโถงที่ตั้งพระบรมสารีริกธาตุเพื่อชมพระเขี้ยวแก้วที่จัดไว้อย่างสวยงามด้วยศิลปะแบบนูนต่ำ ภายในห้องกว้างเน้นสีทองสว่างและให้ความรู้สึกสงบ เธอเห็นผู้คนจำนวนหนึ่งนั่งสมาธิหลับตาอยู่ตรงจุดที่ทางวัดจัดสรรไว้ หญิงสาวซื้อพวงมาลัยตามกำลังศรัทธา แต่ขณะที่กำลังหลับตาภาพใครบางคนก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ใบหน้าที่แย้มยิ้มใจดี อมราลืมตาขึ้นทันทีเพราะไม่คิดว่าจะคิดถึงอีกฝ่ายขนาดนี้

“ถ้าหากว่าเราทั้งคู่เป็นคู่กัน ลูกขอให้คุณจุลภาคตามไปหาลูกที่สวน Garden By The Bay อีกครั้งในวันนี้ ถ้าคำขอของลูกสัมฤทธิผล ลูกจะ...” นั่นคือคำภาวนาของอมรา หลังจากที่หลับตาลงอีกครั้ง แม้จะยังไม่มั่นใจในตัวตนของอีกฝ่าย แต่หัวใจเธอกลับฝักใฝ่เฝ้าคิดถึงเขาไปแล้ว

 

ช่วงบ่ายหลังจากที่เดินกลับมาขึ้นรถไฟใต้ดินแล้ว อมราก็เดินทางไปยังสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ของสิงคโปร์ในย่านมารีนาเบย์อย่าง Garden by the Bay ตามแผนการที่วางเอาไว้รวมถึงตามคำแนะนำของจุลภาค

คำอธิษฐานจะเป็นไปได้อย่างไรกัน...

อมราหัวเราะขำตนเองในใจขณะที่เดินไปตามทางที่ทอดตัวยาว สองข้างเป็นกระจกแทรกด้วยภาพสีของดอกไม้นานาพรรณ ก่อนจะออกมาเจอที่โล่ง มีฉากหลังเป็นตึกโรงแรมมารีนาเบย์แซนส์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนมีเรือหรูลำยักษ์ใหญ่อยู่ด้านบนสุดของโรงแรมโดยมีตัวอาคารขนาดใหญ่สามหลังรองรับเอาไว้

จากจุดนั้น เดินไปอีกนิดก็พบที่จำหน่ายตั๋วสำหรับคนที่ต้องการนั่งรถเข้าไปยังโดม แม้จะขลุกขลักไปบ้างแต่เธอก็ได้นั่งรถไฟฟ้าไร้คนขับสี่ที่นั่งที่แล่นไปบนถนน ดูทันสมัยราวกับโลกในอนาคต เมื่อรถหยุดลงและประตูเปิดออก หญิงสาวลงจากรถ มองผู้คนที่อยู่รอบกายพร้อมกับเดินตามคนอื่นๆ เข้าไปในโดมขนาดใหญ่ การออกแบบอาคารที่เห็นตรงหน้านั้นเป็นโดมปรับอากาศเรือนกระจกรูปทรงเหมือนเปลือกหอยที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงสองโดม

หลังจากดูดอกไม้ต้นไม้ในโดมแรกเสร็จ อมราก็เดินต่อไปยังอีกโดมที่อยู่ไม่ไกลจากกัน

Cloud Forest ที่ข้างในทำเป็นป่าฝนเขตร้อน เพียงก้าวเท้าเข้ามาก็ต้องตกตะลึงแหงนหน้ามอง...ผาน้ำตกจำลองที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย์ปกคลุมไปด้วยพรรณไม้ต่างๆ มากมาย แถมยังมีน้ำตกตกลงมาจากข้างบนด้วย จากข้อมูลที่เสาะแสวงหามาก่อนหน้านี้ เธอจะต้องขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดก่อนแล้วค่อยๆ เดินลงมาเบื้องล่าง

หลังจากแหงนหน้ามองจนคอตั้งและประเมินสถานการณ์แล้ว หญิงสาวก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ สายตาก็คอยสอดส่ายมองหาใครบางคนเผื่อเขาคนนั้นเกิดอยากมาเที่ยวที่นี่อีกหน คำภาวนาของตนเองยังดังก้องอยู่ในหัว

หลังจากเดินไปเดินมาอยู่นานก็เกิดอาการหนาวขึ้นมาจากอากาศที่ถูกปรับไว้ให้เย็นชื้นกว่าข้างนอก บวกกับละอองน้ำที่กระเซ็นมาจากน้ำตกอีก เวลาก็ล่วงเข้าสู่ช่วงพลบค่ำแล้ว สมควรแก่เวลาที่เธอจะออกมาเดินชมสวนภายนอกโดมบ้าง อมราเปิดแผนที่มองหาสวนอาหารเล็กๆ เพื่อหาอะไรกินรองท้องรอเวลาที่การแสดงจะเริ่ม

ศูนย์อาหารที่อมราเจอนั้นอยู่ติดกับกลุ่มต้นไม้ยักษ์ Supertree Grove จำนวนสิบแปดต้นที่ตั้งตระหง่านเป็นแลนด์มาร์กของที่นี่อย่างพอดิบพอดี ระหว่างนั่งกินอาหารรสชาติแปลกๆ ที่ไม่คุ้นปากไป สายตาก็มองออกไปยังต้นไม้ประดิษฐ์ยักษ์เบื้องนอก รูปแบบของสวนนี้เป็นแบบแนวตั้ง มีความสูงประมาณยี่สิบห้าถึงห้าสิบเมตร หรือประมาณตึกสิบหกชั้น สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล การแสดง แสง สี ของกลุ่มต้นไม้ Supertree ประกอบจังหวะเพลง “Rainforest Orchestra - Australasia and Oceania” ในแต่ละวันมีเพียงสองรอบคือสิบเก้านาฬิกาสี่สิบห้านาทีและยี่สิบนาฬิกาสี่สิบห้านาที ใช้เวลาในการแสดงแต่ละรอบประมาณสิบห้านาทีเท่านั้น

 

แม้วันนี้ตารางการประชุมของเขาเต็มเอี้ยด แต่จุลภาคกลับนึกอยากจะไปที่ Garden by the Bay อีกสักครั้ง สิ่งนี้มันรบกวนใจเขาอยู่ทั้งวัน เพราะฉะนั้นทันทีที่การประชุมเสร็จสิ้นลง ชายหนุ่มก็ออกจากโรงแรม มุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟในทันที จุลภาคนึกประหลาดใจที่เวลานี้ในหัวของเขามีแต่ดวงตาคู่โตๆ ท่าทางใสซื่อแต่มีแววดื้อรั้นเอาการปรากฏมาให้เห็นเป็นพักๆ อยู่ทั้งวันจนแทบไร้สมาธิในการประชุม ชายหนุ่มปลดเนกไทและเสื้อสูทตัวนอกออกมาพาดไว้ที่แขน ในขณะที่มือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต และพับแขนเสื้อเชิ้ตสีชมพูเกือบขาวสีโปรดของเขาให้ดูลำลองและสบายตัวมากขึ้นขณะที่ยืนรอขบวนรถไฟ

 

อมราแหงนมองไปยังแสงสีที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ มันสวยจนเธอไม่รู้จะบรรยายออกมาแบบไหนดี แม้มันจะเป็นความงามที่ถูกเสกสรรปั้นแต่งขึ้นโดยมนุษย์ แต่มันก็สวยงามตระการตาชวนตะลึง ระหว่างนั้นหญิงสาวจึงไม่พลาดที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพความสวยงามเอาไว้อวดเหล่าเพื่อนสาว พร้อมกับอัดวิดีโอเอาไว้กันพลาดจนแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือหมดโดยไม่รู้ตัว

“อ้าว! แบตหมดเฉยเลย” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง แต่จะว่าไปวันนี้เธอก็ใช้โทรศัพท์หนักหน่วงมาทั้งวัน ทั้งหาเส้นทาง ทั้งบันทึกภาพ เอาเป็นว่าตั้งแต่ซื้อโทรศัพท์มา สองสามวันนี้โทรศัพท์เครื่องนี้ถูกใช้งานได้คุ้มค่าสมราคาที่ได้จ่ายไปเป็นที่สุด

สิบห้านาทีกับการแสดงแสงสีที่สวยงามจนอมราต้องร้องออกมาด้วยความเสียดายเมื่อการแสดงจบลง นาทีนั้นหญิงสาวตัดสินใจทันทีว่าเธอจะนั่งดูการแสดงอีกรอบแม้ว่าจะต้องรออีกเกือบหนึ่งชั่วโมงก็ตามที เพราะมันคุ้มค่ากับเวลาทุกวินาทีที่เสียไป

 

นาฬิกาข้อมือถูกพลิกขึ้นมาดูอีกหน จุลภาคมาทันการแสดงรอบสุดท้ายแต่ไม่รู้ว่าอมราอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร. หาหญิงสาว เขาภาวนาขอให้อีกฝ่ายมายังสถานที่แห่งนี้ตามคำแนะนำของเขาและยังคงไม่ไปไหน แต่กลับไร้สัญญาณตอบรับจากปลายสาย เพราะเหตุนี้ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจระหว่างเดินดุ่มไปเรื่อยหวังเพียงแค่ได้พบเธอคนนั้น...

การแสดงจบลงอีกครั้งและมันก็คุ้มค่าสมการรอคอย อมราลุกขึ้นเช่นเดียวกับคนอื่นที่นั่งชมการแสดงแสงสีอยู่ด้วยกัน และพากันเดินไปยังทางออกเพื่อไปสถานีรถไฟใต้ดินต่อไป

คำภาวนาของเธอไม่เป็นผล อมราเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ...ดูสิ ขนาดขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปขนาดนั้นยังไม่เป็นผลเลย สงสัยว่าบุญเก่าเธอคงไม่มีเป็นแน่แท้...

ผู้คนบางตาลงเรื่อยๆ ในขณะที่จุลภาคยังคงมองหาหญิงสาวตัวเล็กนัยน์ตาเป็นประกายคนนั้น เกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายหรือเปล่า

หรือว่าวันนี้เธอไม่มาท่องเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้

หรือเธอจะกลับไปแล้วตั้งแต่การแสดงรอบแรก

ชายหนุ่มถอดใจ เดินกลับไปตามทางที่ผู้คนพากันเดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดินท่ามกลางผู้คนกลุ่มสุดท้าย ชายหนุ่มหันไปมองเบื้องหลังตนเองอีกหนด้วยความรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ ในใจ

เขาอยากเจออมรา...นั่นคือสิ่งที่จุลภาคยอมรับกับตนเองระหว่างที่เดินตามแผ่นหลังของผู้คนไป...

ทั้งๆ ที่มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมายในทริปนี้ แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกเข็ดหลาบแต่อย่างไร อมราถอนใจ พรุ่งนี้เธอก็จะเดินทางกลับแล้ว ในขณะที่เริ่มสนุกและเริ่มคุ้นชินกับการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ยังมีอีกมากมายหลายที่ที่เธอยังไม่ได้ไป...หญิงสาวมองไปรอบๆ ตัวด้วยความเสียดาย เสียดายไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง และเสียดายอย่างที่สุดเมื่อคำภาวนาของตนไม่เป็นผล หญิงสาวก้มหน้ามองรองเท้าของตนนิ่ง โดยไม่เห็นว่าเบื้องหลังมีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก้าวเดินผ่านหลังของตนเองไป...

จุลภาคเองก็ไม่เห็นหญิงสาว ชายหนุ่มเดินผ่านไปเนื่องจากมีคนยืนบังร่างเล็กของอมราเอาไว้จนเกือบมิด เขาเดินเลยไปยืนอยู่อีกช่องประตูเพื่อขึ้นรถไฟ เพราะคิดว่าคงคลาดกับหญิงสาวแน่ๆ แล้ว จึงไม่ได้มองหาอีกฝ่ายอีกต่อไป

รถไฟใต้ดินเคลื่อนเข้ามาจอดยังชานชาลา ทันทีที่ประตูรถไฟเปิดออกผู้คนก็พากันกรูเข้าไปภายในขบวนรถไฟ เช่นเดียวกับอมราที่เดินก้มหน้าท่าทางหงอยๆ เข้าไปภายในตัวรถ ก่อนจะเลี่ยงหลบไปยืนอิงติดกับประตูอีกฝั่ง มองเหม่อใจลอยออกไป โดยไม่เห็นว่าอีกโบกีหนึ่งมีใครบางคนยืนทำหน้านิ่ง ท่าทางเหงาๆ เช่นเดียวกับเธอ

 

ประตูห้องถูกเปิดออก ก่อนผู้ที่เปิดประตูเข้ามาจะโยนกระเป๋าผ้านำเข้าไปก่อนแบบไม่กลัวว่าข้าวของในนั้นจะแตกหักเสียหายแต่อย่างใด จากนั้นเจ้าของจึงเดินตามเข้าไปในห้องด้วยท่าทางซังกะตาย

“เหนื่อย...” อมราร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะโผไปนอนคว่ำหน้าอยู่บนที่นอน เดินทางออกจากสิงคโปร์น่ะไม่เท่าไร แต่มาเหนื่อยใจตอนที่ย่างเท้าเหยียบสนามบินดอนเมือง สงสัยปีนี้ดวงเธอจะตกเอามากๆ เพราะเครื่องที่นั่งมานั้นลงพร้อมกับทัวร์ของเพื่อนบ้านแดนมังกร คิวการตรวจคนเข้าเมืองเลยยาวเป็นพิเศษ แถมผู้มาเยือนก็ดูวุ่นวาย ทั้งแทรก ทั้งเบียด กว่าจะหลุดออกมาได้ก็กินเวลาไปชั่วโมงกว่า แถมยังต้องมาต่อคิวรอรถแท็กซี่อีก การเดินทางหนนี้เรียกได้ว่าจะเป็นความทรงจำที่ตราตรึงยากจะลืมเลือนของอมราเลยทีเดียว

“นี่แม่หน่อย ไปไหนมาไหนจะบอกป้าแกสักนิดไม่ได้เลยหรือไงยะ”

พุดกรองผู้มีศักดิ์เป็นป้าของอมราเดินมายืนอยู่กลางบานประตูที่เปิดอ้าอยู่ มองหลานสาวคนเล็กผู้เป็นลูกของน้องสาวด้วยสายตาระอาแกมเอ็นดู

“หนูก็บอกป้าแล้วไงคะว่าจะไปเที่ยวหลายวัน”

“ใช่ แต่เราไม่ได้บอกป้าว่าเราจะไปสิงคโปร์”

อมราเงยหน้าขึ้นมาจากที่นอน แล้วหันไปมองผู้เป็นป้า “ป้าพุดรู้ได้ไงคะ”

“ป้าคงไม่รู้หรอก หากว่าไม่โทร. ไปหายายไหม”

อมราซบหน้าลงไปกับที่นอนอีกหน “หนูก็น่าจะเดาได้ ว่ายายไหมไม่เคยปิดอะไรใครได้”

“ป้ารู้ว่าเราน่ะโตแล้ว แต่การบอกกล่าวว่าจะไปไหนเป็นสิ่งที่ควรทำ เผื่อเกิดอะไรขึ้นป้าจะได้ตามหาเราถูก”

“หนูก็กลับมาแล้วนี่ไงคะ ปลอดภัยดีทุกอย่างด้วย”

“นี่แกคงไม่ได้แอบไปเที่ยวกับผู้ชายสองต่อสองหรอกนะ”

“ถ้ามีก็ดีสิคะป้าพุด”

พุดกรองทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที “นี่แกอย่าบอกป้านะ ว่าแกไปสิงคโปร์คนเดียว”

“ใครๆ เขาก็ทำกัน” อมรางึมงำเถียงเบาๆ

“หน่อย แกไม่ใช่ผู้ชายแบบพี่ๆ นะ แกน่ะเป็นผู้หญิง และเป็นผู้หญิงที่ควรจะมีแฟนหรือคนรักได้แล้วด้วย ดูอย่างเพื่อนๆ แกซิ มีลูกกันไปหมดแล้ว”

อมราทำหน้ายุ่งทันที แต่ก็ไม่ได้ขยับจากท่าที่นอนอยู่ “หนูเอาอย่างป้าไงคะ เป็นสาวสวย โสด และรวยมาก”

พุดกรองถอนใจออกมาทันที “แกก็รู้ว่าถ้าคนรักป้าไม่ตายไปเสียก่อน ป้าก็คงมีลูกโตเท่าแกไปแล้ว”

เมื่อรู้สึกผิดที่พลั้งปากพูดออกไป อมราเลยขยับลุกขึ้นมามองมองหน้าผู้เป็นป้าด้วยความรู้สึกเสียใจ “หนูขอโทษ”

พุดกรองพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างกายหลานสาว “ป้ารักเรานะ ไม่อยากให้เราเป็นเหมือนป้าที่ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกาเอายามแก่ พี่ชายแกก็แต่งงานแต่งการกันไปหมดแล้ว เหลือแต่แกเท่านั้นที่ป้ายังห่วง”

“ป้าไม่ได้อยู่คนเดียวเสียหน่อย เรายังมีญาติอีกตั้งโขยงที่บ้านนอก”

“ที่ป้าพูดคือความรู้สึกทางใจ ป้าคงเหงาถ้าไม่มีแก”

อมราสวมกอดเอวของป้าอย่างรักใคร่ “งั้นหนูจะอยู่กับป้าไปแบบนี้ ป้าจะได้ไม่เหงา”

“ป้าพูดจริงๆ นะหน่อย แกจะตะลอนๆ ไปไหนมาไหน ทำตัวแบบผู้ชายน่ะไม่ได้ แกเป็นผู้หญิง”

“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วค่ะป้า สมัยนี้มีเงิน มีงาน ผู้ชายไม่มีก็ได้ ชิลจะตาย ไปไหนก็ไปได้ อิสระจะตายไป อีกอย่างหากแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า”

“แล้วอย่างไหนเล่าชายที่แกอยากเชย”

“แบบครูน่าน สามียายฮาร์ทไงคะ” อมราตอบไว แต่ภาพใครบางคนกลับปรากฏขึ้นให้เห็นในหัว

“แหม หวังสูง งั้นป้าคงต้องเตรียมทำใจสินะ ว่าแกคงเป็นโสดแบบป้าไปจนแก่”

“แหม...” อมราล้อเลียนเสียงของพุดกรอง “บางทีหลานสาวคนนี้อาจจะได้หนุ่มหล่อแสนดีแบบนั้นบ้างก็ได้”

มาถึงตอนนี้พุดกรองถึงกับหลุดขำ

“ป้าอวยพรขอให้แกได้ดังหวัง แต่ป้าอยากให้แกฟังเสียงหัวใจตัวเองเมื่อได้เจอหนุ่มผู้แสนดีคนนั้น ว่าใช่คนที่ใช่จริงๆ ไหม ไม่ใช่เจอใครก็คว้าดะเอาไว้ก่อน”

หญิงสาวทำสีหน้าไม่เข้าใจ จนพุดกรองต้องยกมือขึ้นไปลูบศีรษะของหลานสาวด้วยความเอ็นดู

“ก่อนจะปักใจกับใคร ฟังเสียงหัวใจ อย่าให้สิ่งที่มองเห็นมันลวงเอา เอาละ ไหนๆ แกก็กลับมาแล้วก็พักผ่อนซะ ป้าเองก็ต้องไปพัก พรุ่งนี้วันจันทร์ ป้ามีประชุมที่โรงพยาบาลแต่เช้า”

อมราพยักหน้ารับ

พุดกรองเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลทหารเรือชื่อดังแถวๆ ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน มียศใหญ่โตเป็นถึงนาวาเอกหญิง มีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้ากองการพยาบาล ดูแลพยาบาลน้อยใหญ่ในโรงพยาบาลแห่งนั้น

ส่วนเธอนั้นเก่งไม่ได้ครึ่งของป้าเธอเลยสักนิด แต่เพราะความที่ถนัดทำขนม ทำกับข้าวกับปลา จึงเลือกเรียนคหกรรมศาสตร์แทน หวังเพียงว่าจบออกมาอาจมีกิจการเล็กๆ เป็นของตนเองอยู่แถวๆ บ้านเกิด และเหมือนปีนั้นโชคจะเข้าข้างเธอเมื่อกองทัพบกเปิดสอบบรรจุให้บุคคลพลเรือนเข้ารับราชการในตำแหน่งนายทหารกํากับการเลี้ยงดูตอนส่งกําลังสายพลาธิการฯ อมราซึ่งตามเพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกันไปสอบเกิดถูกบุญหล่นใส่ดังโครมเบ้อเริ่มเพราะสอบบรรจุติดตัดหน้าเพื่อนๆ ที่ไปสอบพร้อมกันได้แบบงงๆ ได้ทำงานในส่วนของหน่วยพลาธิการ กองบัญชาการกองทัพบก แถวๆ ถนนราชดำเนินนอก สร้างความภูมิอกภูมิใจให้แก่ญาติพี่น้องรวมถึงป้าของเธอนัก

หญิงสาวขยับลุกจากที่นอน นึกขยาดว่าหากพุดกรองได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่สิงคโปร์มีหวังเธอคงถูกบ่นหูชา ถูกกักบริเวณ บ่นยาวไปจนป้าของเธอเกษียณเลยก็เป็นได้ เงียบไว้คงเป็นการดีที่สุด

 

“กลับมาถึงนานแล้วหรือลูก”

ดรุณีกล่าวทักบุตรชายที่เดินเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นที่นางนั่งพักผ่อนเอนกายอยู่

“เพิ่งมาถึงครับ เลยมากราบคุณแม่ก่อน” จุลภาคเดินเข้าไปนั่งข้างๆ มารดาที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่

“ไปประชุมเรียบร้อยดีใช่ไหมลูก”

“ครับ ฉุกละหุกหน่อยในตอนแรก แต่วันกลับก็เรียบร้อยดีครับ”

“แล้วพรุ่งนี้ต้องไปทำงานหรือเปล่าตาเล็ก หรือเขาให้พักก่อน”

“ต้องไปครับ คุณแม่ถามทำไมหรือครับ”

“พอดีพรุ่งนี้แม่มีสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อน แล้วเพื่อนแม่จะพาลูกหลานสาวๆ มาด้วย แม่อยากให้เล็กไปกับแม่ด้วย” ดรุณีแย้มยิ้มให้บุตรชาย

“แม่ครับ...” จุลภาคเอ่ยเรียกมารดาอย่างอ่อนใจ กี่หนแล้วที่มารดาพยายามจะจับคู่ มองหาคู่ครองให้เขา

“แม่รู้ๆ” ดรุณีรีบบอกเมื่อเห็นสายตาของบุตรชาย “แม่ก็แค่ห่วง ลูกของแม่อายุจะสี่สิบเข้าไปแล้ว แม่อยากเป็นคุณย่ากับเขาบ้าง”

“คุณแม่ก็มียายจิ๊บอยู่แล้วทั้งคน” จุลภาคกล่าวถึงปกฉัตร ลูกสาวคนเดียวของจิดาภาผู้เป็นพี่สาว

“มันเหมือนกันที่ไหนเล่าตาเล็ก ยายจิ๊บนั่นมันหลานยาย แม่อยากได้หลานย่า”

“ผมยังไม่เจอใครที่ทำให้รู้สึกอยากอยู่ด้วยกันทุกวัน”

“แล้วตอนนี้เล็กมองใครไว้บ้างหรือเปล่าล่ะลูก พามาให้แม่รู้จักหน่อยสิ”

มาถึงตอนนี้จุลภาคก็ได้แต่ถอนใจ แต่ภาพใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้เขายิ้มออกมานิดๆ ได้

“เอาเป็นว่าถ้าผมเจอคนที่ใช่ ผมจะพามาหาคุณแม่ทันทีดีไหมครับ”

“ดี แต่ไวๆ หน่อยนะ แม่เองก็แก่มากแล้ว” ดรุณีถอนใจ ไม่ว่าจะหว่านล้อมอย่างไรจุลภาคก็ยังคงเป็นจุลภาค ลูกชายคนเล็กที่พูดน้อย เก็บงำความรู้สึก ไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนหรืออารมณ์ให้ใครได้รู้ว่าคิดอะไร หรือพฤติกรรมแบบนี้ของจุลภาคอาจจะเป็นเพราะนางเองที่ดูแลบุตรชายได้ไม่ดีพอหลังจากที่สามีเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน ทิ้งเด็กชายที่ยังเล็กเติบโตขึ้นมาเพียงลำพังกับพี่เลี้ยงและบุตรสาวอีกสองคนที่โตกว่าหลายปี ส่วนตัวนางเองก็ต้องไปดูแลกิจการงานต่างๆ ที่สามีเหลือทิ้งเอาไว้ให้

“เอาเถอะๆ มาเหนื่อยๆ ไปพักเสีย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าอีก”

ยิ่งมองตามไปก็ยิ่งหวั่นใจกับลักษณะท่าทางของลูกชาย เมื่อก่อนนี้นางก็ไม่ได้สังเกตสังกาอะไร จนกระทั่งลูกสาวคนโตพูดขึ้นว่าน้องชายไม่มีลักษณะของความเป็นชายเลยสักนิด หากไม่นับรูปร่างลักษณะภายนอกของชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่ พฤติกรรมดูไปดูมาออกจะนิ่งเงียบ เรียบร้อยกว่าผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ ทำเอานางเริ่มมองลูกชายเปลี่ยนไปทันทีในช่วงห้าหกปีหลังนี้

 

จุลภาคถอนใจขณะที่เดินเงียบๆ กลับไปยังบ้านหลังเล็กของตนเองที่สร้างขึ้นตรงพื้นที่ด้านหลังสุดของอาณาเขตบ้านอันกว้างขวาง เขารู้ว่ามารดากังวลเรื่องอะไร แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ท่านสบายใจ

แม้จะรู้ว่าอายุเพิ่มขึ้นทุกปี แต่เขาพอใจต่อการอยู่คนเดียวอย่างตอนนี้ ไม่มีภาระอะไรก็สบายตัวดี มีเวลาอยู่กับตัวเอง ดูแลตัวเอง มีเวลาที่จะทุ่มให้งานที่ทำอย่างเต็มที่ เพราะแบบนี้เขาจึงก้าวหน้าไวกว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน นึกอยากไปไหนก็ไปได้อย่างสบาย ยิ่งช่วงหลังหันมาชื่นชอบหรือจะเรียกว่าเป็นความหลงใหลการออกกำลังกายจนถึงขั้นลงทุนกับเพื่อนรุ่นน้องทำฟิตเนสเซ็นเตอร์ก็ยิ่งไม่มีเวลาให้ใคร หลังเลิกงานก็ตรงไปดูแลกิจการของตนเองทันที ไม่ได้ออกไปทำคลินิกหรือพาร์ตไทม์ที่โรงพยาบาลเอกชนอย่างที่แพทย์คนอื่นๆ เขาทำกัน

 ดูเหมือนคนอื่นจะไม่ได้คิดไปในทางเดียวกับเขา เขาแปลกหรือที่ไม่ชอบความเรื่องมากและจริตจะก้านของผู้หญิง ไหนจะเรื่องของอารมณ์งี่เง่า เอาแต่ใจ ไร้ซึ่งน้ำอดน้ำทน ขี้หึง ยิ่งสาวๆ ที่ชอบทำหูตาแพรวพราว จีบปากจีบคอยิ่งดูก็ยิ่งน่ารำคาญ หลังจากที่เคยลองพยายามคบหาอยู่หลายหน สุดท้ายก็ต้องถอดใจถอยห่างออกมา หรือไม่ก็รอให้อีกฝ่ายทนไม่ไหวลาจากเขาไปเอง การทำแบบนั้นกลับทำให้เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับพฤติกรรมของตัวเขาหนักข้อขึ้นทุกครั้ง จนเกิดความเอือมระอาและปล่อยวางในที่สุด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น