7

บทที่ 7


7

 

“นี่คือสุรา นี่คือเบียร์ นี่คือสาเก และอันนี้คือไวน์” จิ้นหยางชี้เครื่องดื่มตรงหน้าแต่ละขวด จากนั้นก็รวบมาผสมกันแล้วดื่ม “ข้าจะดื่มให้หมดเลย!”

“เจ้าเป็นบ้าอะไรของเจ้า เมาแต่หัววัน!” พ่อบ้านเหวินบ่นออกมาในที่สุด

“ข้ามิได้เมาเสียหน่อย ก็แค่ชิมรสเครื่องปรุง” จิ้นหยางยิ้ม ก่อนสะอึกออกมา หยิบขวดไวน์มาให้พ่อบ้านเหวินดูแล้วกล่าว “อันนี้นะขอรับ เขาเรียกว่าไวน์ หมักจากผลไม้ ประเดี๋ยวข้าจะใส่ลงไปในสตูว์เนื้อ ซึ่งจะทำให้อาหารของข้ามีรสชาติลึกล้ำขึ้น”

พูดจบก็ยกขวดไวน์ที่ทำให้อาหารมีรสชาติลึกล้ำขึ้นกระดกดื่มจนเกือบหมดขวด แล้วจึงเทที่เหลือใส่ในหม้อสตู พ่อบ้านเหวินเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเอาหัวจุ่มลงไปในสตูว์ด้วย ก็คว้าผมหางม้านั้นกระชากขึ้นมา

“งื้อ! ปล่อย!”

จิ้นหยางร้องพร้อมจับข้อมือพ่อบ้านเหวิน ทุ่มข้ามบ่าตนอย่างรวดเร็ว เสียงโครมดังขึ้น หวังรุ่ยเสวียนเปิดประตูเข้ามา พ่อบ้านเหวินชี้นิ้วสั่นๆ ไปที่จิ้นหยาง

“เจ้า...!”

คนเมาไม่สนใจ จับช้อนตักสตูเนื้อขึ้นมาชิม จากนั้นก็ผลักหม้อนั้นตกพื้นจนสาดกระจาย หวังรุ่ยเสวียนสับเท้าหลบน้ำสีคล้ำที่มีกลิ่นหอม พลางกดเสียงเอ่ย

“จิ้นหยาง”

เจ้าของชื่อสะอื้นออกมาเบาๆ เห็นไหล่นั้นสั่น เจ้านายก็เอ่ยเสียงอ่อนลง

“หยางหยาง”

จิ้นหยางหันมา พุ่งตัวใส่หวังรุ่ยเสวียน พ่อบ้านเหวินจะชักอาวุธ แต่นายของเขายกมือขึ้นห้าม เพราะคนครัวไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่เอื้อมมือมากอดเขาเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมา

“นายท่าน... ท่านงดงามถูกใจข้ายิ่งนัก คืนนี้เรามาร่วมเตียงกันเถอะ!”

พ่อบ้านเหวินสำลักและแข็งค้าง ขณะที่จิ้นหยางยื่นหน้าหมายฉกริมฝีปากของหวังรุ่ยเสวียน แต่เจ้านายของเขาขยับมือเป็นกรงเล็บ ตะปบลงบนหน้า ไม่ได้รุนแรงขนาดจะเจาะกะโหลกแตก แต่มีกำลังมากพอไม่ให้อีกฝ่ายล่วงเกินตนได้ จิ้นหยางตะกาย ทำท่าทางเหมือนว่ายน้ำ

“วิชากรงเล็บพยัคฆ์แข็งแกร่ง ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก!”

หวังรุ่ยเสวียนใช้กำลังไม่ถึงสองส่วน จิ้นหยางประกาศ “แต่ข้าไม่ยอมแพ้หรอก วันนี้จะจับท่านทำเมียให้ได้!”

คนฟังหมดความอดทน คว้าคอ หิ้วอีกฝ่ายออกมาจากครัวเหมือนหิ้วลูกแมว แล้วจับคนครัวกดลงในตุ่มน้ำ จิ้นหยางสำลักน้ำสักพัก หวังรุ่ยเสวียนก็ดึงเขาขึ้นมา

“ดีขึ้นหรือยัง”

คนที่สำลักจนหน้าแดงสะอื้นออกมา แล้วร้องถาม “ทำไมข้าจะทำไม่ได้ ชีวิตนี้ข้าถูกใจหน้าตาใครจะปล้ำทำเมียให้หมด! ไม่ขงไม่ขอมัน...!”

หวังรุ่ยเสวียนกดอีกฝ่ายลงไปในน้ำอีกครั้ง ก่อนจะดึงขึ้นมาแล้วถามย้ำ

“มีสติขึ้นมาบ้างหรือยัง”

จิ้นหยางก้มหน้า ดวงตาและจมูกแดงก่ำ หลั่งน้ำตาออกมาหยดแล้วหยดเล่า หวังรุ่ยเสวียนจึงออกคำสั่ง

“ไปนอนซะ”

คนตัวเล็กผงกศีรษะอย่างว่าง่าย เดินเข้าไปในครัว เก็บกวาดเงียบๆ ก่อนจะเดินไปอาบน้ำ แล้วทรุดตัวลงนอนบนที่นอนของตัวเอง คลุมโปงสะอื้นออกมาเบาๆ

หวังรุ่ยเสวียนตามเข้ามานอนในภายหลัง นั่งมองเพื่อนร่วมห้องสักพัก แต่ไม่ได้กล่าวอะไร

 

จิ้นหยางยืนยันกระต่ายขาเดียวกับหวังรุ่ยเสวียนและพ่อบ้านเหวินว่า ตนจำไม่ได้ว่าตอนเมาพูดอะไรออกไป ทำอะไรลงไป ซ้ำยังออกตัวเสียอีกว่า เวลาเมาแล้วเขาชอบพูดจาเหลวไหล ไม่เป็นความจริง ดังนั้นขอนายท่านและพ่อบ้านอย่าสนใจ

“แล้วทำไมเจ้าจึงเมามายเช่นนั้น” พ่อบ้านเหวินถาม

จิ้นหยางกล่าว “ก็พอดีว่าได้สุราแบบใหม่มาจากเรือสำเภา เผลอชิมรสกะจะนำมาปรุงอาหารตอนท้องว่าง ก็เลยเมาง่ายน่ะขอรับ” คนครัวยกมือขึ้นปิดหน้า “ข้าขอโทษ ข้าจะทำสตูว์เนื้อให้ใหม่ขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนลูบเส้นผมของตนแผ่วเบา “แน่ใจหรือว่าไม่มีมูลเหตุ ข้าได้ยินเจ้าร่ำไห้ทั้งคืน”

คนครัวเอานิ้วชี้จิ้มกัน “ข้าเป็นพวกเมาแล้วร้องไห้ขอรับ”

พ่อบ้านเหวินพยักหน้า “เหมือนนายท่าน... แค็กๆ” เขารีบหยุด ก่อนจะเอ่ยปากสั่งสอน “คราหน้าห้ามทำแบบนี้อีก เข้าใจหรือไม่”

“ขอรับ” จิ้นหยางยืนตัวตรง

“ครานี้ถือเป็นครั้งแรก ข้าจะยังไม่ลงโทษเจ้า แต่ถ้ามีครั้งที่สอง เจ้าต้องคุกเข่าที่ศาลบรรพชนตระกูลหวังสามชั่วยาม!”

“ขอรับ!” จิ้นหยางรับคำอย่างแข็งขัน ก่อนจะลอบปาดเหงื่อ เหลือบมองนายท่านของตนเอง

หวังรุ่ยเสวียนกล่าว

“ไปเตรียมตัว พวกเราจะไปยังจวนของอัครเสนาบดี”

จิ้นหยางก้มหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

 

อัครเสนาบดีหลีเคอฟู่ ได้ชื่อว่าเป็นกังฉินอันดับหนึ่งแห่งราชสำนัก คำกล่าวนี้มิใช่จิ้นหยางเอ่ย แต่เป็นราชครูกู้ที่เอ่ยออกมาอย่างกล้าหาญ เขากับหลีเคอฟู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานมนาน หลีเคอฟู่อาจจะผงาดมาก่อนหน้านี้ เพราะน้องสาวของเขาได้เป็นฮองเฮาตั้งแต่อายุยังน้อย และไทเฮาเองก็อยากให้เขาช่วยสนับสนุนฮ่องเต้ที่อายุน้อยจนบัลลังก์มั่นคง ไทเฮาจึงได้ให้ความสำคัญแก่ราชครูกู้ และกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอัครเสนาบดีหลีเคอฟู่

ความสัมพันธ์ของคนในราชสำนักก็เป็นเช่นนี้แหละ ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร แต่ราชครูกู้ต่อต้านเหล่าขุนนางกังฉินตั้งแต่ยังเป็นชายวัยกลางคน จนตอนนี้เขาเริ่มเป็นชายชรา ผมหงอกก่อนวัยจนเต็มศีรษะ จิ้นหยางอดนับถือคนผู้นั้นไม่ได้ และยิ่งนับถือไทเฮาที่ดึงเอาคนผู้นั้นมาเป็นกำลังหลักของตนเอง ทั้งที่เมื่อก่อนมือก็เปื้อนเลือดไม่ต่างกัน

‘ราชวงศ์เป็นพวกหลอกใช้คนเก่ง...’ จิ้นหยางครุ่นคิดในใจ หลีเคอฟู่คนนี้ก็เป็นนักฉวยโอกาส จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์แห่งราชสำนัก เขากับหลีเคอฟู่เองก็มีอดีตต่อกัน หากหวังรุ่ยเสวียนเป็นศัตรูกับอัครเสนาบดีคนนี้ จิ้นหยางก็ยินดี

หวังรุ่ยเสวียนกับพวกหลีเคอฟู่เหมือนจะไม่ถูกกัน เพราะใต้เท้าสามคนที่เป็นฝ่ายของชินอ๋องฟ้องร้องเขา เรื่องที่ทำให้บุตรชายของพวกเขาหายตัวไป จากนั้นความสัมพันธ์จึงไม่ค่อยดี แต่เพราะเหตุการณ์ฮ่องเต้ตำหนิผู้อื่นเพื่อหวังรุ่ยเสวียน ทำให้หลีเคอฟู่ต้องการสานสัมพันธ์ใหม่อีกครั้ง

ดังคำกล่าวว่าอะไรนะ

ใช่แล้ว ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวรในราชสำนัก

จิ้นหยางประคองหวังรุ่ยเสวียนเข้ามาในงานเลี้ยง ทำให้ทุกคนในงานอดหันมามองเขาเป็นตาเดียวไม่ได้ หวังรุ่ยเสวียนเดินไปคารวะอัครเสนาบดีหลีเคอฟู่พร้อมกล่าวอย่างสุภาพ

“คารวะใต้เท้าหลี คารวะฮูหยินผู้เฒ่า”

ทั้งหลีเคอฟู่และมารดาจ้องมองหวังรุ่ยเสวียนปานจะมองให้ทะลุถึงจิตใจ แต่หวังรุ่ยเสวียนผู้นี้ทำเพียงแค่ยิ้มอย่างอบอุ่นเหมือนสายลม ต่อให้เอากระบี่มาผ่าก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจเขาได้ จิ้นหยางยกกล่องของขวัญมามอบให้ นั่นคือโสมพันปีที่หายากที่สุดต้นหนึ่ง

“ใต้เท้าหวังช่างมีน้ำใจยิ่งนัก” ฮูหยินผู้เฒ่าหลีกล่าว “แหม ถ้าเป็นต้นไม้ทอง...”

จิ้นหยางคิ้วกระตุก ต้นไม้ทองนั้นเป็นของที่หวังรุ่ยเสวียนมอบให้ใต้เท้าเฉินไป อย่างที่เขาคิดค่าของของขวัญส่งผลถึงฐานะของเจ้าของจริงๆ

หวังรุ่ยเสวียนกล่าว “ต้นไม้ทองนั้นเป็นของที่ข้าสั่งให้ช่างออกแบบและทำมาอย่างดีจริงๆ แต่พอเป็นฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ข้ากลับคิดว่าของที่สร้างใหม่หรือจะมีคู่ควรเท่าของเก่าที่ทรงคุณค่า เปรียบฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นถึงพระมารดาขององค์ฮองเฮา...” ใต้เท้าหวังก้มกระซิบบอก “นอกจากโสม ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่เปิดดูของอย่างอื่นในกล่องหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว บอกให้สาวใช้มาช่วยเปิดดูของในกล่อง แท้จริงแล้วกล่องนั้นมีสองชั้น ชั้นแรกคือโสมพันปี อีกชั้นหนึ่งนั้นคือพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ทำจากทองคำแท้ ประดับด้วยอัญมณี ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเช่นนี้ก็จุ๊ปากด้วยความถูกใจ

“ใต้เท้าหวังช่างเลือกจริงๆ”

หวังรุ่ยเสวียนยิ้ม ก่อนไอออกมาเบาๆ เห็นชัดว่าเขายังอ่อนแอ แต่ก็ไม่ละเลยการมาร่วมงานนี้ หลีเคอฟู่เห็นเช่นนั้นก็รีบเชิญเขาไปนั่ง อาหารบนโต๊ะนั้นเลิศหรูอลังการ ดุจข่มงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของใครบางคน

หลายคนลอบมองเสนาบดีกรมพิธีการคีบอาหารเข้าปาก พอกินไปคำหนึ่ง เขาก็คีบใส่ในถ้วยแล้วหันไปป้อนคนติดตามของตนหน้าตาเฉย ก่อนกล่าว

“อาหารนี้ไม่เลว เจ้าลองกินแล้วบอกมาซิว่าจะทำให้ข้าได้เช่นนี้หรือไม่”

จิ้นหยางคิ้วกระตุก ‘ไม่เลวอันใด การใช้ไฟยังไม่เหมาะสม ทำให้หนังกรอบก็จริง แต่เนื้อหยาบไปสักหน่อย เห็นได้ว่าพ่อครัวไร้ความสามารถ นายท่านโปรดอย่าใช้ข้าเป็นหนังหน้าไฟจะได้หรือไม่’

“ใต้เท้าหวัง ให้บ่าวรับใช้กินอาหารของเจ้านาย ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมกระมัง” ใต้เท้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา

หวังรุ่ยเสวียนกล่าว “หยางหยางเป็นคนปรุงรสอาหารให้ข้าเสมอ ข้าเห็นว่าอาหารบนโต๊ะนี้ดีกว่าอาหารที่ใต้เท้าเฉินจัดเตรียมเสียอีก เลยอยากจะรู้ว่าเขาจะแกะสูตรแล้วทำได้หรือไม่”

ประโยคที่ว่า ‘ดีกว่าอาหารที่ใต้เท้าเฉินจัดเตรียมเสียอีก’ ทำให้ใต้เท้าหลีเจ้าของงานถึงกับยิ้มหน้าบาน

จิ้นหยางรู้จักหลบหลีกจึงกล่าว “นายท่านล้อเล่นแล้ว ข้าเป็นเพียงพ่อครัวไร้สังกัด จะทำอาหารเทียบชั้นพ่อครัวของท่านอัครเสนาบดีได้อย่างไรขอรับ”

“เจ้าอย่าได้ถ่อมตัวไป ตอนแข่งทำอาหาร ชินอ๋องชื่นชมฝีมือของเจ้า ข้ายังจำได้” ใต้เท้าอีกคนเอ่ยพลางลูบเคราตัวเอง “แต่ถ้าเทียบเมื่อก่อนกับตอนนี้ เจ้าช่างแตกต่างเหลือเกิน”

“จิ้นหยางปลอมตัวมาโดยตลอด จนเข้ามาอยู่ในจวนของข้าถึงเปิดเผยตัวเพื่อแสดงความจริงใจ รูปโฉมเขาน่ารักน่าพิศ ซ้ำไม่มีฝีมืออื่นติดตัว หากไม่ทำเช่นนั้นคงถูกลากเข้าหอนายโลม ข้าก็พอจะเข้าใจ” หวังรุ่ยเสวียนหรี่ตามองคนข้างกาย สายตานั้นเหมือน ‘รักใคร่เอ็นดู’ จนคนถูกมองก้มหน้าแสร้งทำขวยเขิน แต่แอบอยากถีบให้ใต้เท้าคนงามตกเก้าอี้

‘จะบอกว่าพ่อตาของเจ้าส่งข้ามาล่อลวงเจ้าใช่หรือไม่ พูด!’

ยุคนี้การเล่นรักกับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามเป็นรสนิยมของชนชั้นสูงที่เข้าใจได้ หวังรุ่ยเสวียนเองก็ไปมาหาสู่เจียวซิ่งแห่งหอคณิกา แต่เมื่ออยู่บ้านก็มีแต่ซุนหงซิ่วที่ไม่ยอมให้เขาแตะต้อง เขาจะต้องตาต้องใจเด็กหนุ่มหน้าตาอ่อนหวานน่ารักเหมือนหยกขาวอย่างจิ้นหยางก็ไม่แปลก

“ดูท่าใต้เท้าหวังจะพึงพอใจเขามาก” ใต้เท้าคนหนึ่งอดเอ่ยไม่ได้

“เขาเป็นคนที่พ่อตาของข้าส่งมา ข้าย่อมวางใจอยู่แล้ว” หวังรุ่ยเสวียนยิ้มบาง ท่าทางไม่มีเลศนัย แต่จิ้นหยางอยากจะตบให้หัวทิ่ม

‘โยนขี้ให้กันชัดๆ!’

ทุกคนต่างขบคิดในใจไม่ได้ว่าใต้เท้าซุนใช้แผนการหาคนงามมาซื้อใจหวังรุ่ยเสวียน หลีเคอฟู่ลอบครุ่นคิดว่าจะสังหารเสนาบดีกรมพิธีการคนนี้ดีหรือไม่ พักนี้ฮองเฮากับฮ่องเต้ไม่ค่อยลงรอยกันบ่อยครั้ง และน้ำคำของหวังรุ่ยเสวียนเองก็มีน้ำหนักในใจของฮ่องเต้มากขึ้นทุกวัน หากคนผู้นี้สนับสนุนเสียนเฟย จะต้องเป็นภัยในวันหน้า สู้กำจัดภัยร้ายในตอนนี้เลยไม่ดีกว่าหรือ

อัครเสนาบดีหลีมิใช่คนโง่งมลุ่มหลงในอำนาจที่หลานสาวประทานอย่างเสนาบดีเฉิน เขาเป็นผู้มีความคิดลึกซึ้งผู้หนึ่ง

จิ้นหยางลอบมองคนรู้จักที่มองหวังรุ่ยเสวียนอย่างครุ่นคิด การกำจัดคนโปรดของฮ่องเต้นั้นคือสิ่งที่คนผู้นี้ชอบกระทำ ในครานั้นเป็นอีกฝ่ายที่หาหลักฐานความผิดซิ่นเมิ่งกั๋วกงมาให้ราชครูกู้ตรวจสอบ รับความดีความชอบขึ้นสู่ตำแหน่งอัครเสนาบดี

“ท่านอัครเสนาบดี ได้ข่าวว่าบุตรสาวของท่านในตอนนี้อายุสิบสี่หนาวแล้ว นางร่ายระบำได้งดงามยิ่งนัก ถ้าอย่างไร...” ขุนนางจอมประจบคนหนึ่งที่ร่ำสุราไปมากกล่าวขึ้นมา

อัครเสนาบดีหลีหัวเราะออกมาก่อนกล่าว “ใช่แล้ว ข้าเองก็ตั้งใจว่าจะให้นางมายกน้ำชาคารวะทุกท่านพอดี”

หวังรุ่ยเสวียนขยับยิ้ม จิ้นหยางลอบหัวเราะในใจ

‘หางจิ้งจอกโผล่แล้ว!’

เด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งเดินออกมา คารวะน้ำชาใต้เท้าแต่ละคน พอหยุดที่หวังรุ่ยเสวียน คล้ายว่านางจะอ้อยอิ่งเล็กน้อย พอสบตากับเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุด นางก็คลี่ยิ้มเขินอาย

หลีเคอฟู่ถามอย่างกระตือรือร้น “ใต้เท้าหวังคิดอย่างไร”

เจตนาชัดเจนจนไม่อาจจะชัดเจนกว่านี้ได้อีก

ในจวนของเสนาบดีกรมพิธีการมีภรรยามากชู้คนหนึ่ง หวังรุ่ยเสวียนจะต้องเบื่อระอา หากมีอนุภรรยาแสนงามคนใหม่ เขาจะไม่หลงใหลได้อย่างไร

จิ้นหยางลอบหัวเราะเยาะในใจ ‘ตาเฒ่าพวกนี้คิดได้แต่แผนสาวงามซื้อใจคนกระนั้นหรือ’

หวังรุ่ยเสวียนยิ้ม “พักนี้ข้ามีวาสนากับโฉมงามเสียจริง วันก่อนไปยังจวนของใต้เท้าเฉิน เขาก็แนะนำหลานสาวให้ข้า”

คนที่อยู่ตรงนั้นมุมปากขยับเล็กน้อย หวังรุ่ยเสวียนจึงกล่าวต่ออย่างเป็นธรรมชาติ

“สตรีคนนั้นหน้าตางดงามยิ่งนัก ซ้ำยังละม้ายคล้ายเสียนเฟยมากอีกต่างหาก ดูจากท่าทางแล้ว ใต้เท้าเฉินจะต้องส่งนางเข้าวังหลวงอย่างแน่นอน”

คนฟังฟังแล้วตกตะลึงไม่หยุด แค่เสียนเฟยคนเดียวก็ทำเอาฮองเฮาต้องตกที่นั่งลำบากแล้ว แต่นี่ยังจะส่งสาวแรกรุ่นเข้าวังหลวงอีกคนหนึ่งหรือ

เสียนเฟยครองความโปรดปรานอันดับหนึ่งในวังหลวงมาแสนนาน ฮองเฮาตกที่นั่งลำบาก ดังนั้นหลีเคอฟู่เลยคิดอยากยกบุตรสาวของตนให้หวังรุ่ยเสวียน เพื่อสร้างฐานอำนาจให้น้องสาว หากเทียบขุนนางกับพระสนมคนโปรด พวกเขายังต้องให้หน้าเหล่าสนมพวกนั้น...

วูบหนึ่งหลีเคอฟู่คิดเปลี่ยนใจส่งบุตรสาวเข้าวังหลวงไปต่อกรกับเสียนเฟยกับหลาน ทว่าพอมองบุตรสาวของตนก็ต้องอุทาน ความงามของนางไม่อาจเทียบเสียนเฟยได้ แล้วจะเทียบสตรีคนนั้นได้หรือ

ครั้นเห็นท่าทางหลีเคอฟู่ จิ้นหยางก็ยิ้มแล้วกล่าว

“นายท่านอย่ากินอาหารมากนะขอรับ วันนี้ท่านรับปากจะไปกินอาหารกับแม่นางเจียว...”

“เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลแล้ว อาหารของท่านอัครเสนาบดีเป็นของดี หากข้าไม่ยอมกินคงจะเป็นคนโง่เสียแล้ว” หวังรุ่ยเสวียนเอ็ดอย่างไม่จริงจัง

จิ้นหยางทำหน้าเจ็บปวด ก้มหน้าบอก “แต่นายท่าน แม่นางเจียวเพิ่งจะถูกฮูหยินส่งสารด่าทอมา นาง...”

หวังรุ่ยเสวียนยกมือขึ้นตีปากแดงเรื่อนั้นเบาๆ “ต่อหน้าคนอื่น เอาเรื่องในบ้านมาพูดได้อย่างไร เห็นทีว่าข้าจะโปรดปรานเจ้ามากไปแล้วกระมัง”

“จิ้นหยางขอโทษ” บ่าวรับใช้ทำหน้าตาน่าสงสารปานจะหลั่งน้ำตา

พอเอ่ยถึงภรรยาตนเอง หวังรุ่ยเสวียนก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เขาวางตะเกียบแล้วเช็ดปาก หลีเคอฟู่คว้าจับอะไรได้จึงรีบกล่าว

“ฮูหยินของใต้เท้าหวังขี้หึงมากหรือ”

หวังรุ่ยเสวียนได้ยินแบบนั้นก็ลอบหันไปถลึงตาดุใส่จิ้นหยางอีกรอบ ก่อนจะหันมายิ้มพร้อมเอ่ย “ขายหน้าแล้ว สตรีที่ไหนจะไม่ขี้หึงบ้างขอรับ ต่อให้เป็นพี่น้องคลานตามกันมา มีสายเลือดเดียวกัน แต่ถ้าต้องมาเป็นภรรยาของสามีคนเดียวกัน ก็บาดหมางจนสังหารกันได้ เรื่องนี้คือเรื่องปกติ”

ทุกคนคิดว่าเขาต้องเอ่ยเช่นนั้น เพื่อปกปิดปัญหาในบ้านของตนเป็นธรรมดา หลีเคอฟู่กล่าวขึ้น

“ใต้เท้าหวังยังหนุ่มยังแน่น หน้าที่การงานนับว่าดีกว่าใครหลายคน เหตุใดจะโปรดปรานสตรีหลายๆ คนไม่ได้”

“ข้าเบื่อจะทะเลาะกับฮูหยินขอรับ พวกท่านก็เห็นว่าร่างกายของข้าอ่อนแอ รับการทะเลาะกันของสตรีสองนางไม่ไหวหรอก เมื่อก่อนฮูหยินยังถือตัว แต่พักหลังทำท่าจะไปหาเรื่องเจียวซิ่งที่หอเหมยเฉียงเสียให้ได้ เฮ้อ สตรีสองนางทะเลาะ ข้าเห็นแล้วก็ไม่อยากมองหน้าใครเลยสักคนเดียว”

หวังรุ่ยเสวียนบ่นเบาๆ ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ก่อนจะทำเป็นรู้ตัว ใบหน้าจึงแดงเรื่อขึ้น

“ขออภัย ข้าพลั้งปากไปแล้ว พวกท่านช่วยเก็บเป็นความลับได้หรือไม่”

“บ้านใดจะไม่มีปัญหาบ้าง ใต้เท้าหวังคิดมากไปแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งกล่าว คนอื่นๆ ก็ช่วยเสริม

“ใต้เท้าหวังอย่าคิดมาก สตรีทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา พอพวกนางเหนื่อยก็เลิกรากันไปเอง เรามากินอาหารให้อร่อยดีกว่า”

“ถูกต้อง” หวังรุ่ยเสวียนหันไปกุมมือจิ้นหยาง “ยังดีที่มีเขาอยู่ ข้าเลยพอจะกินอาหารได้อร่อยอยู่บ้าง”

เมื่อเห็นสายตาที่ส่งมาให้ จิ้นหยางก็คลี่ยิ้มเขินอาย หลายคนเลยขบคิดกันไปต่างๆ นานา

หลีเคอฟู่ขบคิดมากที่สุด ใช่แล้ว ดูอย่างตระกูลหวังก็พอจะเดาได้ หากเขาไปเกลี้ยกล่อมน้องสาวให้ยอมรับหลานสาวของเสียนเฟยเข้าวัง ดูแลให้ดี สตรีนางนั้นอาจจะทำลายความโปรดปรานของเสียนเฟย และเมื่อสตรีสองนางทะเลาะกัน ฮ่องเต้ก็คงจะไม่โปรดปรานทั้งคู่ ฮองเฮาก็แค่นั่งบนภูดูเสือกัดกัน สถานการณ์เหมือนจะเป็นอันตราย แต่ถ้ามองให้ดี ฝั่งเขาต่างหากที่จะได้เปรียบ

หากทำให้เสียนเฟยทะเลาะกับลุงแท้ๆ ของตนได้ นางก็จะไร้ที่พึ่งในราชสำนัก ดูซิว่าจะยังผยองได้อีกหรือไม่

จิ้นหยางเห็นสีหน้าของหลีเคอฟู่ ก็ยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ หวังรุ่ยเสวียนกล่าวได้ถูกต้อง อาหารที่จวนอัครเสนาบดีรสดีจริงๆ

 

หวังรุ่ยเสวียนหยิบทองคำให้เขาโดยไม่เอ่ยอะไร จิ้นหยางคว้าทองก้อนแล้วประสานมือกล่าว

“ขอบคุณนายท่าน”

วันนี้จิ้นหยางทำงานดี หวังรุ่ยเสวียนเลยมีรางวัล เขาเร่งเก็บทองคำเข้าไปในอกเสื้อ เกรงว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ เมื่อคิดว่าภายหน้าตนอาจจะต้องใช้เงินเยอะ จึงกล่าวอย่างประจบ

“นายท่าน ท่านอยากจะให้ข้าทำอะไรอีก สั่งมาได้เลยนะขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนตอบ “ข้าอยากให้เจ้าไปบอกคนของเรือนมู่ตาน ต่อจากนี้ไปไม่ต้องใช้คนออกไปซื้อของสดมาทำอาหารแล้ว แม้แต่อยากจะซื้ออะไรก็ให้ผ่านเจ้า ให้เจ้าออกไปซื้อด้วยตัวเอง”

จิ้นหยางยิ้มค้าง “แล้วคุณหนูซุนจะไม่...” ...ไม่โมโหหรือที่สามีทำเหมือนจำกัดสิทธิ์ตนเช่นนี้

“บอกนางว่าใกล้ได้เวลาสอบรับขุนนางใหม่แล้ว ข้าไม่ต้องการให้นางออกไปข้างนอกสักพัก นางจะเข้าใจเอง” หวังรุ่ยเสวียนตอบ

ผิดคาดที่ซุนหงซิ่วเข้าใจ บ่นนิดหน่อย แต่ก็รับปากว่าจะยอมอยู่ในจวนของตนอย่างมีความสุข จิ้นหยางมาครุ่นคิดดู หน้าที่การจัดสอบรับราชการเป็นหน้าที่หลักของหวังรุ่ยเสวียน จะต้องมีขุนนางหลายคนตบเท้ามาฝากฝังคนของตน มาขอใช้เส้นสายของเขา และหากซุนหงซิ่วออกไปเดินเตร่นอกจวนในตอนนี้ อาจจะถูกบิดาบีบบังคับให้ทำอะไรก็ได้ นางเลยพอใจจะอยู่ในจวนมากกว่า ซ้ำยังรู้แกว วันไหนใต้เท้าซุนมา ซุนหงซิ่วจะให้สาวใช้มาบอกหวังรุ่ยเสวียนว่านางป่วยหนัก ไม่ต้องให้ใครเข้าเยี่ยม

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หวังรุ่ยเสวียนก็เปิดจวนต้อนรับผู้อื่นเป็นอย่างดี ส่วนจิ้นหยางนั้นถูกอัปเปหิออกไปซื้อวัตถุดิบมาทำของคาวหวานเอาไว้รับแขก ซึ่งคนครัวก็ไม่แปลกใจ เรื่องที่เป็นความลับในการฉ้อฉล (ขีดทิ้ง) ทางราชการ นายท่านของเขาสมควรจะใช้งานคนที่สนิทที่สุดอย่างพ่อบ้านเหวิน แทนที่คนครัวอันไร้ที่มาที่ไป แต่ฉลาดเฉลียว มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ และรูปงามที่สุดในปฐพีอย่างจิ้นหยาง

เอาเป็นว่าคนครัวเข้าใจเรื่องพวกนี้ จึงยอมไปซื้อของทำอาหารสำหรับคนทั้งจวนแต่โดยดี เพราะว่าคนรอกินอาหารเยอะ ดังนั้นค่ากินของทั้งจวนจึงอยู่ในมือของจิ้นหยาง สำหรับค่าอาหารของเรือนสือซว่าน จิ้นหยางไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะดึงเอาออกมาจากมิติของตนอยู่แล้ว ส่วนเรือนมู่ตานก็ไปซื้อเพิ่มมานิดหน่อย ดังนั้นค่าอาหารส่วนมากนี้ เขาเลยหักเข้ากระเป๋าของตน ได้เงินมาเยอะพอสมควร

หวังรุ่ยเสวียนโกงกินราชสำนัก ส่วนเขาก็โกงกินเจ้านายของตนต่อ หุๆ

จิ้นหยางถือตะกร้าใส่เกี๊ยวทอดไปยังจวนของเมี่ยวหลัน เขาชะโงกหน้าเข้าไปมอง เมื่อเห็นว่าไม่มีเด็กวิ่งเล่นเหมือนอย่างเคย คนครัวก็ขมวดคิ้ว ในตอนนั้นมีใครบางคนคว้าบ่าเขาเอาไว้

“หาเจอจนได้”

เสียงคุ้นเคยดังขึ้น จิ้นหยางหันไปมอง เห็นเมี่ยวหลันกำลังแย้มรอยยิ้มให้เขา เด็กๆ ที่อยู่ด้านหลังนางกล่าว

“ในที่สุดท่านแม่ก็ได้เจอพี่ชายสักที”

“จับได้แล้ว! จับได้แล้ว!”

จิ้นหยางเห็นสายตานุ่มนวลของเมี่ยวหลันก็เสตาหลบ เมี่ยวหลันกล่าว

“เป็นคุณชายจริงๆ ด้วยที่คอยเอาเงินทองและอาหารมาแจกเด็กๆ ข้ามีนามว่าเมี่ยวหลัน นับเป็นหนี้คุณชายแล้ว”

เมื่อเห็นนางทำท่าจะคุกเข่า จิ้นหยางก็รีบคว้าบ่าเอาไว้ “อย่า! พี่สะ...” เขาหยุดตัวเองทัน สบตากับนางพลางกล่าวเสียงแหบ “พี่สาวอย่าเกรงใจเลย ข้ารับไม่ได้หรอก”

เด็กซุกซนคนหนึ่งแอบเปิดผ้าขาวที่คลุมตะกร้าของจิ้นหยาง ก่อนจะร้อง “เกี๊ยว! เกี๊ยว!”

“นี่” เมี่ยวหลันหันไปเอ็ดบรรดาลูกบุญธรรม ก่อนจะกล่าวเชิญอย่างนุ่มนวล “เชิญคุณชายเข้าไปกินข้าวสักมื้อเถิดเจ้าค่ะ”

จิ้นหยางขยับปากอยากปฏิเสธ แต่เด็กๆ กลัวว่าเขาจะรีบหนีไปเหมือนครั้งก่อนๆ เลยล้อมหน้าล้อมหลัง จับตัวแล้วลากเข้าไปในบ้าน

“ไปเถอะพี่ชาย!”

จิ้นหยางปฏิเสธไม่ออก สุดท้ายเลยมานั่งมองเมี่ยวหลันยกถ้วยชามาวางให้เขา รสชาติของชาราคาถูกขมบาดคอยิ่งนัก ยิ่งเห็นว่าบ้านหลังนี้มีสภาพแค่... พออยู่ได้ ข้าวของน้อยชิ้น มีรอยผุพังหลายที่ จิ้นหยางก็ยิ่งรู้สึกฝืดคอ

“ขออภัย ท่านให้อะไรพวกเรามากมาย แต่ข้าไม่มีของดีอะไรมาต้อนรับท่าน” เมี่ยวหลันเอ่ยแล้วก็ไอออกมา

จิ้นหยางส่ายหน้า “ฮูหยินคิดมากไปแล้ว รสของชานี้ก็เข้ากับเกี๊ยวของข้าพอดี หือ” พอหันมา เกี๊ยวทอดส่วนของเขาก็หายไปแล้ว เด็กสามคนกำลังหันหลังแอบกินอะไรบางอย่าง

เมี่ยวหลันทำท่าจะดุบรรดาลูกๆ ของนาง แต่จิ้นหยางยกมือห้าม

“ไม่เป็นไร เด็กๆ มักหิวบ่อย ข้าก็เป็นเช่นนี้” เขายิ้ม ในความทรงจำของเขา ตอนที่ถูกหยางจวินเว่ยอุ้มไปเลี้ยงในกองทัพ เขาก็กินเก่งมาก จนทหารนายกองทั้งหลายถามแม่ทัพใหญ่ว่า ทำไมต้องให้ข้าวลูกศัตรูด้วย

ศึกครานั้นเรียกว่าศึกวิหคแดง ทัพหลวงชาวต้าหลิวถูกล่อให้เข้าไปในช่องแคบจนถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีทหารชาวซงหนูปิดล้อมเอาไว้ส่วนหนึ่ง ขณะที่พวกซงหนูอีกส่วนโจมตีค่ายหลัก จับผู้เฒ่าหยางและหยางฮูหยินหรือองค์หญิงหมิงอานหมายใช้เป็นตัวประกันต่อรองกับหยางจวินเว่ย คนทั้งสองฆ่าตัวตาย ผู้หนึ่งไม่ยอมให้บุตรชายเสียเปรียบศัตรูของชาติบ้านเมือง ขณะที่อีกผู้หนึ่งไม่ยอมให้ตนถูกย่ำยี พวกซงหนูยังใช้ม้าลากร่างของสองคนนั้นมาเยาะเย้ยหยางจวินเว่ย...

แต่เดิมจิ้นหยางเป็นชาวซงหนู เหล่าทหารนายกองเห็นเขาก็อยากจะจับมาย่างกินให้สาสมกับที่พวกซงหนูทำกับตน แต่หยางจวินเว่ยอ้าแขนปกป้อง ตอนบุกทะลวงออกมา ยังกอดเด็กน้อยเอาไว้กับอก ฝ่าคมหอกอาวุธของศัตรู แม้จะตายไปคราหนึ่ง แต่เมื่อหลับตา จิ้นหยางก็ยังคงเห็นเกาทัณฑ์นับหมื่นพันที่ติดไฟพุ่งเข้าใส่เหล่าทหารต้าหลิวราวกับห่าฝน

ศึกนั้นจึงถูกเรียกว่าศึกวิหคแดง นกแดงแห่งมัจจุราชที่ทหารกล้าเกินครึ่งไม่อาจรอดชีวิต

จิ้นหยางพยายามคิดถึงหยางจวินเว่ย เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันตนจากความรู้สึกผิด

เมี่ยวหลันถามเขา “คุณชายรู้จักท่านพี่หรือเจ้าคะ”

จิ้นหยางพยักหน้ารับ “คุณชายหลิวช่วยเหลือคนมามาก เขาอาจจะจำข้าไม่ได้ แต่ข้าเคยเห็นเขาอยู่กับฮูหยิน วันนั้นเลยจำได้”

เมี่ยวหลันมองรูปโฉมของอีกฝ่าย “ท่านพี่จากไปสิบห้าปีแล้ว ครานั้นท่านคงจะยังเด็ก”

จิ้นหยางก้มหน้ายิ้ม “ข้ายังไร้เดียงสา”

เขามองฝ่ามือของตนเอง เป็นมือข้างนี้ที่ดึงดาบออกจากร่างของหลิวเหวินด้วยตนเอง ชั่ววูบหนึ่งที่จิ้นหยางคล้ายจะเห็นเลือดที่เปรอะฝ่ามือขาวราวกับหยก

“ท่านน้า!”

ลี่มี่วิ่งเข้ามา พอเห็นจิ้นหยางนางก็ชะงัก ก่อนจะรีบเอ่ยต่ออย่างร้อนรน “คือ... ท่านย่าของข้าเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่าลี่ล้มป่วยมานานแล้ว วันนี้ทั้งอาเจียนและถ่ายเหลว ลี่มี่เหลือย่าเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว จึงหวาดกลัวจนร้องไห้ เมี่ยวหลันเปิดหีบหาเงินไปจ้างหมอมือไม้สั่น จิ้นหยางจับให้นางไปดูผู้เฒ่า แล้วหายไปราวๆ หนึ่งเค่อ อุ้มหมอคนหนึ่งกลับมา ตอนที่ช่วยจัดยาให้ฮูหยินผู้เฒ่า หมอคนนั้นยังทำหน้าตาตื่นอยู่เลย

เมี่ยวหลันไม่แข็งแรง ฮูหยินผู้เฒ่าก็แก่ชรา ทั้งสองต้องกินยาเสมอ เงินทองในบ้านมีเท่าไรก็ใช้จนหมด

จิ้นหยางฟังอาการของฮูหยินผู้เฒ่าลี่ นางเป็นไข้ ปวดท้องเป็นพักๆ และอาเจียน อาการของโรคบิด เขาจึงหลบมุมไปสักพักเพื่อหยิบเอาผลไม้ชนิดหนึ่งออกมา แล้วยื่นให้ลี่มี่

“นี่อะไร” เด็กสาวถามอย่างสงสัย ผลไม้นี้นางไม่เคยเห็น

“ลูกไหน” จิ้นหยางบอก “มันช่วยเรื่องอาการของท่านย่า ถ้านางเบื่ออาหาร ก็กินเจ้าผลไม้นี้ตามให้มากๆ ช่วยได้จริงๆ นะ”

ลี่มี่หยิบลูกกลมๆ มาดม จากนั้นก็กัดหนึ่งคำ เด็กยากจนอย่างนางหรือจะเคยได้กินผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานชุ่มคอเช่นนี้ แม้ผลไม้จะมีรสดีมาก แต่นางก็อดถามไม่ได้ “ช่วยได้จริงหรือ”

“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่” จิ้นหยางยิ้มให้นาง

เด็กสาวรับมาทั้งหมด ทำท่าจะเดินไปป้อนให้ย่าของตนเอง แต่เหมือนนึกขึ้นได้เลยหันมาค้อมศีรษะ กล่าวอย่างเขินอาย

“ขอบคุณเจ้าค่ะ”

“ข้ารับไม่ไหวหรอก” จิ้นหยางบอกนาง คำขอบคุณพวกนี้เขารับไม่ไหวจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่านางทำท่าเหมือนอยากตอบแทนอะไร จิ้นหยางก็พูด “อย่าขายตัวอีก ข้าเอาอาหารมาให้พวกเจ้าได้”

ลี่มี่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้ายุ่ง “ท่านจะไปรู้อะไร”

บิดาเสียชีวิตตอนที่นางเกิดได้ไม่นาน มารดาก็ตรอมใจตายไปอีกคน นางและเมี่ยวหลันช่วยกันขายพู่กันเลี้ยงคนทั้งบ้าน จะพอเลี้ยงปากท้องได้อย่างไร ถึงในแต่ละวันจะกินอิ่ม แต่โลกนี้ทุกคนมิได้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอาหารเท่านั้น ค่ายา ค่าน้ำมัน หรือค่าหมอ ล้วนไม่สามารถเอาอาหารไปแลกได้

“เช่นนั้นข้าเอาเงินมาให้ด้วยก็ได้ แต่อย่าทำอีก” จิ้นหยางบอกเพิ่ม

“ทำไมท่านจึงดีกับเราจัง” ลี่มี่ถามอย่างสงสัย

จิ้นหยางไม่อาจจะตอบคำถามนี้ได้ จึงเสมองไปที่เมี่ยวหลันที่กำลังต้มยาให้ฮูหยินผู้เฒ่าลี่ “ทำไมนางถึงป่วย”

ลี่มี่มองตามสายตาของเขาพร้อมตอบ “สามีของนางตายพร้อมท่านพ่อของข้า นางเหม่อลอยจนถูกรถม้าของพวกขุนนางชนเข้า จึงเสียลูก และ...”

“...” คนฟังหน้าขาวซีด “ขอโทษ”

“ไม่เป็นไร ท่านอย่าไปถามนางก็พอ”

ลี่มี่ยกตะกร้าผลไม้เข้าไปหาย่าของตนเอง หั่นลูกไหนป้อนให้ท่านผู้เฒ่าเงียบๆ

จิ้นหยางยืนคว้างอยู่ตรงนั้น หรือว่า... สาเหตุที่เขาได้กลับมาบนโลกนี้อีกครั้งก็เพื่อชดใช้ความผิดของตนเอง

 

ซิ่นเมิ่งกั๋วกงคิดก่อกบฏ หลีเคอฟู่รวบรวมหลักฐานได้บางส่วน ถวายฮ่องเต้ในการประชุมลับ ราชครูกู้กำลังตรวจสอบก็มีราชโองการลับสั่งลงมา หน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์ ‘ทุกคน’ ต้องร่วมกันลอบสังหารซิ่นเมิ่งกั๋วกง นั่นคือครั้งแรกที่จิ้นหยางแสดงท่าทางไม่เห็นด้วย

“ซิ่นเมิ่งกั๋วกงคิดก่อกบฏจริงหรือ!” จิ้นหยางถามหลิวเหวินเป็นรอบที่ร้อย “พี่ใหญ่ เขาเป็นแม่ทัพยกดาบปราบปรามเหล่าซงหนูมานานนับสิบกว่าปี เหตุใดจึงคิดก่อกบฏ!”

“อาหยาง เจ้าทำงานมานาน ลืมไปแล้วหรือว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายที่สุดคือมนุษย์ ซิ่นเมิ่งกั๋วกงอาจจะหวาดเกรงการเป็นวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน จนต้องก่อกบฏก็ได้” หลิวกู้กล่าว

จิ้นหยางหยัดกายลุก กระแทกมือลงบนโต๊ะ กล่าวเสียงดัง “เขาจะคืนตราพยัคฆ์อยู่แล้ว เหตุใดจึงยังก่อกบฏ!”

“อาหยาง...” เพื่อนร่วมหน่วยหลายคนตกใจ จิ้นหยางกล่าวต่ออย่างเคร่งเครียด

“หลีเคอฟู่ไม่นับว่าเป็นตัวดีอะไร น้องสาวของเขาเป็นฮองเฮา เขาก็เหิมเกริมขึ้นทุกวัน ครานี้ซิ่นเมิ่งกั๋วกงกลับเมืองหลวง ที่เขาไปหาหลักฐานมาถวายฝ่าบาท กล่าวโทษกั๋วกงพิทักษ์แผ่นดินก็มิใช่เพราะว่าต้องการเป็นใหญ่ที่สุดในราชสำนักหรอกหรือ! เขาเกรงว่าหยางจวินเว่ยจะหนุนหลังฮ่องเต้และกดข่มอำนาจของเขาต่างหาก!”

“จิ้นหยาง นั่งลง” หลิวเหวินเอ่ยเสียงเรียบ เป็นน้ำเสียงที่ไม่ค่อยได้ยิน แต่ใช้ได้ดีกับทุกคนที่อยู่ใต้อาณัติของเขา

จิ้นหยางทรุดกายลงนั่ง หลิวเหวินจึงกล่าวต่อ

“ทุกสิ่งอยู่ในดุลพินิจของฮ่องเต้ พวกเราไม่มีสิทธิ์ตัดสิน แนวคิดของหน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์คืออะไร”

ครั้นเห็นสายตาของทุกคนมองมา จิ้นหยางก็หลุบตาลงต่ำ “ผิดถูกอยู่ที่นาย”

“ถูกต้อง ดังนั้นหลายๆ เรื่องพวกเราไม่จำเป็นต้องคิดให้มาก แค่ทำตามคำสั่งก็พอ” หลิวเหวินสรุปแล้วถอนหายใจ “ซิ่นเมิ่งกั๋วกงมีวรยุทธ์สูงส่ง และหากกล่าวโทษเขาในราชสำนักหลังเสร็จศึก เหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายจะต้องไม่พอใจและร่วมกันต่อต้านฝ่าบาทแน่ ยามนี้ฮ่องเต้ยังไม่มีอำนาจมากพอ พวกเราอาจจะอยู่ข้างนอกไม่ได้เข้าเฝ้าในท้องพระโรง แต่พวกเราล้วนเป็นขุนนาง...”

จิ้นหยางยกมือขึ้นลูบใบหน้า พอลืมตาขึ้นมา หลิวเหวินกำลังจดจ้องเขาพลางกล่าวย้ำ

“นายสั่ง ก็ต้องทำ”

ริมฝีปากของจิ้นหยางสั่นเล็กน้อย เขากล่าวตาม “นายสั่ง... ย่อมต้องทำ”

หลิวเหวินพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวต่อ “ซิ่นเมิ่งกั๋วกงจะพาครอบครัวไปยังป่าเจินเซี่ยง ไปท่องเที่ยวแบบครอบครัว หน้าที่ของพวกเราก็คือการดักซุ่มสังหารเขาในป่านั้น”

“คงไม่ง่ายนัก ซิ่นเมิ่งกั๋วกงเป็นแม่ทัพ เขาย่อมมีทหารคุ้มกันที่แข็งแกร่ง แม่ทัพนายกองหลายคนคงจะติดตามเขา” หลิวกู้ออกความเห็น

“ดังนั้นจะต้องมีคนลอบเข้าไปในจวนของซิ่นเมิ่งกั๋วกง สับเปลี่ยนอาวุธของเขา”

ลี่สูเป็นช่างฝีมือที่เก่งกาจการลอกเลียนแบบอาวุธของผู้อื่น สำหรับนักรบแล้ว อาวุธนั้นคือของล้ำค่า ชีวิตของแม่ทัพใหญ่ฝากไว้ที่คมดาบ หากสับเปลี่ยนมันได้ ชัยชนะจะหนีไปไหน

“จวนตระกูลหยางคุ้มกันแน่นหนา พวกเราไม่อาจจะสับเปลี่ยนอาวุธที่นั่นได้ และคงจะดีกว่าหากสับเปลี่ยนที่โรงเตี๊ยมพักแรม” องครักษ์ลับผู้หนึ่งออกความเห็น

“เช่นนั้นก็ต้องไปยังโรงเตี๊ยมก่อน ทำห้องอาบน้ำขนาดใหญ่...” หลิวเหวินเหลือบสายตามองคนข้างตัว “เจ้าต้องช่วยเรา”

จิ้นหยางนั่งกุมขมับ หลิวเหวินเอ่ยเสียงเครียด

“อาหยาง งานนี้ผิดพลาดคือความตาย รู้ใช่หรือไม่”

สังหารขุนนางมาหลายคน แต่นี่คือแม่ทัพใหญ่ที่มีทหารกล้าสนับสนุน จะยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้

“ข้า...” คนเป็นน้องเอ่ยเสียงแหบ “...แค่คิดว่าจะต้องใช้สตรี”

โรงเตี๊ยมใดไม่มีสตรี โรงเตี๊ยมนั้นประหลาด แต่ในหน่วยลับไม่มีสตรี สำหรับงานใหญ่ สตรีนั้นคือลางหายนะ

หลิวเหวินถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นพวกเขาก็เล่าเรื่องแผนการของตนต่อไป

 

ตกดึกคืนนั้นจิ้นหยางนอนไม่หลับ เขาปีนขึ้นไปนอนหนุนแขนตนบนหลังคาเรือนมองดาวบนฟากฟ้า ชายหนุ่มไม่ได้ทำเช่นนี้มานานแล้ว ครานี้เมื่อหวนคิดไปถึง เขาก็พอจะจดจำอดีตของตนได้เลือนราง

เด็กซงหนูสามหนาวสามารถยิงธนู ห้าหนาวสามารถควบอาชา ในความทรงจำที่ไม่ค่อยจะมี เขาวิ่งตามเหยี่ยวตัวหนึ่งไปอย่างสุดกำลัง อารามเอาแต่เงยหน้ามองท้องฟ้า กลับลืมมองเส้นทางข้างหน้า รู้ตัวอีกทีรอบกายก็มีแต่ทหารชาวต้าหลิว

สำหรับชาวต้าหลิว เด็กซงหนูแข็งแกร่งเกินไป อายุเพียงสิบห้าหนาวก็สังหารชาวต้าหลิวได้นับสิบ ไม่ควรปล่อยให้เด็กชายเติบโต แต่คนผู้นั้นกลับอุ้มเขาเอาไว้

“ไม่ต้องกลัว หากมีข้าอยู่ เจ้าจะต้องปลอดภัย”

ยามถูกปิดล้อมจนเสบียงอาหารขาดแคลน ยังคงเป็นคนผู้นั้นที่แบ่งปันอาหารในจานให้เขา

ยามทหารผู้อื่นชิงชังเงื้อดาบเข้าวิ่งไล่ ก็เป็นชายคนนั้นที่กางแขนปกป้อง

ยามกองทัพซงหนูบุกตะลุยเข้ามา ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงฉานด้วยเปลวไฟที่ติดมากับธนู ยังคงเป็นคนผู้นั้นที่กอดเขาเอาไว้กับอกและปัดป้องคมอาวุธให้

เขามีนามว่าเอ้อร์หลาง คาดเดาว่ามารดาน่าจะเป็นชาวต้าหลิวที่ถูกพวกซงหนูฉุดคร่ามา เขาจำมารดาไม่ได้ และยิ่งจดจำบิดาไม่ได้ พี่น้องก็จำไม่ได้ แต่ที่จำได้ดีกลับเป็นภาพหยางจวินเว่ยที่แผ่นหลักถูกธนูปัก แต่โอบกอดเขาเอาไว้ และบอกด้วยเสียงอ่อนโยนก่อนจะล้มพับลงจากหลังม้า

“เจ้าไม่เป็นไรแล้ว”

คนผู้นั้น... คือกบฏแน่หรือ

หลิวกู้ปีนขึ้นมาบนหลังคา ชะโงกหน้ามามองเขาแล้วพูด

“อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”

จิ้นหยางมองพี่ชายร่วมสาบาน

หลิวกู้ถามเขา “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

“เปล่า” จิ้นหยางบอกปัดไป องครักษ์ลับที่มีสิทธิ์เพียงทำตามคำสั่ง เขาจะไปคิดสิ่งใดได้

“บอกมา” หลิวกู้ส่งเสียงเครียด “ข้ารู้ว่าหากเจ้ากำลังคิดมาก จะชอบขึ้นมานั่งบนหลังคา”

จิ้นหยางเหยียดริมฝีปากใส่คนรู้ทัน เขาพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่าย กล่าวเสียงเบาหวิว “กำลังคิดว่าจะขอซินหลันแต่งงานอย่างไรดี” เขาหันหลังให้อีกฝ่ายเลยมองไม่เห็นสีหน้าของหลิวกู้ “กำลังคิดจะขอ แต่กลับได้ภารกิจยากมาทำก่อนเสียนี่”

ลอบสังหารแม่ทัพก็นับเป็นภารกิจยากจริงๆ” หลิวกู้พึมพำ “แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะปกป้องเจ้าเอง จะไม่ให้ซินหลันต้องรอเก้อหรอก”

“...”

“นางเป็นสตรีที่ดี และเจ้าก็เป็นชายที่น่ายกย่อง ข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแน่”

จิ้นหยางหันไปมองอีกฝ่าย เห็นรอยยิ้มของพี่รอง ก็รู้สึกแสบตาเลยเอาแขนขึ้นปิดหน้าตัวเอง “ตอนที่พี่ใหญ่แบกพี่รองเดินทางมายังเมืองหลวง พี่กู้คิดอย่างไรหรือ”

หลิวกู้งุนงง “ทำไมจึงถามเล่า ข้าจะคิดอะไรได้ นอกจากซาบซึ้ง สาบานว่าจะตามจงรักภักดีเขาเท่านั้น เขาช่วยชีวิตข้า”

‘ท่านแม่ทัพก็ช่วยชีวิตข้า’ จิ้นหยางถามต่อ “หากพี่ใหญ่ถูกสังหาร ท่านคิดอย่างไร

“ข้าย่อมแก้แค้นให้เขาอยู่แล้ว” หลิวกู้กล่าว “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่จิ้นหยาง”

จิ้นหยางถอนหายใจ หยัดกายลุกขึ้นมานั่ง มองทิวทัศน์ตอนกลางคืน “ข้าก็แค่... คิดว่าหากข้าเกิดเป็นอะไรไป พี่กู้จะอาวรณ์ข้าบ้างหรือไม่”

“คิดอะไรของเจ้า!” หลิวกู้ตกใจ

จิ้นหยางแบมือ “ก็ข้าไม่ได้แซ่หลิวเหมือนพวกท่านนี่น่า ย่อมน้อยเนื้อต่ำใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”

“ไอ้ตัวแสบ อยู่ด้วยกันมานานเท่าไร เจ้ากลับแอบคิดมากอย่างนั้นหรือ!” หลิวกู้ขยับกายเข้าไปหาเขา พอเห็นสีหน้าของจิ้นหยาง ก็ถอดสร้อยของตัวเองแล้วโยนให้อีกฝ่าย “เอาไป!”

จิ้นหยางคว้าสร้อยเส้นนั้น พอคลายมือออกก็พบหยกเกลี้ยงเกลาหนึ่งชิ้น “อะไร”

“นี่เป็นของที่ติดตัวข้ามาตั้งแต่ก่อนที่จะพบพี่ใหญ่ เป็นของที่แม่แท้ๆ ให้ข้า ข้าไม่มีสมบัติติดตัวอะไร บัดนี้ยกให้เจ้า”

จิ้นหยางค้างแข็งก่อนจะร้อง “ของแบบนี้... ข้ารับได้อย่างไร แค่เงินค่าสินสอดยังไม่รู้ว่าจะมีปัญญาคืนหมดหรือไม่”

“หุบปาก แล้วรับไปซะ” หลิวกู้ส่งเสียงเข้ม “ท่านแม่บอกว่านั่นเป็นหยกวิเศษ คนสวมจะแคล้วคลาดปลอดภัย เพราะเจ้าเก่งกว่าข้า ดังนั้นเลยรับภารกิจที่ยากกว่าเสมอ หากเจ้าอยากใช้คืน พอเสร็จภารกิจแต่งงาน แล้วก็มีหลานให้ข้าอุ้มสักคน เร็วเข้าเล่า เดี๋ยวจะไม่ทันเล่นกับลูกของพี่ใหญ่

“หือ?” จิ้นหยางกำลังพิจารณาหยกในมือชะงัก พอหันไปมองหลิวกู้ก็ทำเหมือนหลุดปากไป พี่รองป้องปากกล่าวอย่างซุกซน

“พี่สะใภ้ตั้งครรภ์แล้ว” เขายิ้มอย่างมีความสุข “อายุครรภ์ยังไม่ครบสามเดือน ก็เลยไม่ได้บอกใคร แต่ข้าแอบเห็นท่านพี่อ่านตำราดูแลครรภ์”

จิ้นหยางตกใจ หลิวกู้พลันพยักหน้ารับ

“บอกเจ้าคนแรก เตรียมตั้งชื่อหลานด้วยเล่า”

จิ้นหยางยิ้มออกมา ผงกศีรษะโดยแรง “ได้! ข้าจะคิดชื่อให้เขาเอง!”

“อย่าคิดออกมาทำนองเดียวกับลูกของพี่ลี่เล่า” หลิวกู้ดักคอ

“มี่เอ๋อร์ก็น่ารักออก” จิ้นหยางสวมสร้อยหยกที่คอ

“แต่เจ้าคิดมาจากชื่อของกิน”

“ของกินทำให้เราอยู่รอด ข้าว่าชื่อซาลาเปาก็ดีนะ เห็นว่าท่านชอบ”

“แล้วลูกของเจ้าจะตั้งชื่อว่าข้าวต้มหรือ!”

“ว่าที่เมียของข้าขายข้าวต้ม ท่านอย่าดูถูกข้าวต้มนะ!”

“ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามตั้งชื่อหลานตามของกิน!”

 

ซิ่นเมิ่งกั๋วกงไปยังป่าเจินเซี่ยง เขานำทหารไปอย่างที่ใครหลายคนคาดการณ์ เพราะว่ามีภรรยาและลูกน้อยไปด้วยถึงสองคน พวกองครักษ์ลับปลอมตัวอยู่ในโรงเตี๊ยม รอให้เหยื่อตายใจแล้วสับเปลี่ยนอาวุธ

การสับเปลี่ยนอาวุธต้องอาศัยทักษะของคนมือไวเป็นหลัก ในหน่วยปราบพยัคฆ์นั้นมีจิ้นหยาง ลี่สู และอีกไม่กี่คน แต่ละคนล้วนปลอมเป็นคนในอาชีพต่างๆ ตอนนี้ซิ่นเมิ่งกั๋วกงแวะพักเพื่อซื้อของสำหรับนำไปใช้ในป่า นับเป็นโอกาสที่ดี

ผู้มีพระคุณของเขาอยู่ที่ร้านเครื่องประดับ อุ้มบุตรชายพร้อมชี้ให้ดูเครื่องประดับทั้งหลาย จิ้นหยางยืนไม่ไกลจากที่นั่นในคราบของคนขายถังหูลู่ จึงได้ยินเสียงสนทนาของพ่อลูกคู่นั้นชัดเจน

“เจ้าเลือกให้ท่านแม่สักคู่สิเสี่ยวสือ ท่านแม่เหมาะกับต่างหูคู่ไหน”

“ท่านแม่งดงาม สวมอะไรก็งดงาม”

“ฮ่าๆๆ ถูกต้อง”

พวกเขาเลือกกันอยู่นาน ในตอนนั้นองครักษ์ลับคู่หนึ่งกำลังทำทีว่าจะต่อราคาขายของกันไม่รู้เรื่อง ทำเสียงดังดึงความสนใจของผู้อื่น จิ้นหยางแย้มรอยยิ้ม ทำทีเป็นรับก้อนเงินจากหลิวกู้ แล้วทำมันกลิ้งไปใต้รถม้าของซิ่นเมิ่งกั๋วกง เขาก้มลงเก็บแล้วไถลตัวไปอยู่ใต้รถม้า หยิบมีดสั้นมีฟันเลื่อยขึ้นมา

การโจรกรรมนั้นต้องกระทำอย่างใจเย็น ในรถม้านั้นมีเสียงของเด็กหญิงสนทนากับมารดาเบาๆ

“ท่านแม่ พวกเราจะไปที่ไหนกันเจ้าคะ”

“ในป่า พ่อของพวกเจ้าอยากเที่ยวอะไรก็ไม่รู้”

จิ้นหยางรู้ลักษณะและขนาดของรถม้าทั้งคัน ออกแรงสักหน่อยก็ปลดไม้กระดานแผ่นหนึ่งออกมาได้ เขาเอาหมุดขนาดใหญ่ลอบแทงขึ้นไปบนพรม เห็นว่าหยางฮูหยินกับเด็กหญิงตัวน้อยกำลังสนทนากัน หลิวกู้โยนเม็ดถังหูลู่ลงมา สื่อว่าให้เร่งมือ หัวขโมยจับจ้องการเคลื่อนไหวของสองแม่ลูก ก่อนจะยื่นแขนผ่านพรม ลูกเหล็กสองลูกที่อมไว้ถูกบ้วนลงบนพื้น แล้วกลิ้งไปเป็นสัญญาณ

รถม้าคันหนึ่งตรงรี่มาจากไหนไม่รู้ เผลอเฉี่ยวรถม้าของซิ่นเมิ่งกั๋วกง ทิศทางถูกคำนวณไว้อย่างดี ฝักดาบคู่กายตกลงที่พื้น ถูกมือดีคว้าออกมาท่ามกลางเสียงอุทานของสตรีทั้งสอง

“เกิดอะไรขึ้นกัน!”

“ระวังหน่อยสิ! นี่รถม้าของท่านแม่ทัพนะ!”

จิ้นหยางเปลี่ยนมันกับดาบที่เหน็บเอวของเขา ก่อนจะโยนออกไปให้หลิวกู้ จัดการซ่อนดาบนั้นไว้ในหุ่นฟางที่ใช้เสียบถังหูลู่ ก่อนที่องครักษ์ลับจะยกกระดานขึ้นปิดและผนึกด้วยยางไม้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลิวกู้จำต้องผละจากรถม้า เมื่อซิ่นเมิ่งกั๋วกงรีบเข้ามาดูบุตรสาวกับภรรยา แม่ทัพใหญ่ร้องถาม

“พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“ไม่เจ้าค่ะ แต่อวี้เอ๋อร์หัวโขกนิดหน่อย” ผู้เป็นภรรยาตอบพร้อมจับตัวบุตรสาว “เจ็บหรือไม่ลูก”

จิ้นหยางถอนกายออกจากใต้รถม้า หลิวกู้เดินจากไปแล้ว เหลือแต่เขาที่ต้องเก็บดาบของแม่ทัพใหญ่เอาไว้ให้ดี ในตอนที่กำลังเตรียมแบกเหล่าถังหูลู่ไปขายที่อื่น หยางซือสือก็มองเขาตาใส

จิ้นหยางมองตามสายตาของเด็กน้อยก่อนจะยิ้ม “อยากได้หรือ”

หยางซือสือพยักหน้า ชี้ถังหูลู่ที่น่าจะหวานกรอบ จิ้นหยางปลดให้เขาถือเอาไว้พลางกล่าว “ไม่ดื้อกับท่านพ่อนะ”

“ไม่ดื้อ” หยางซือสือยิ้มหวานละลายใจ

ซิ่นเมิ่งกั๋วกงหันมา เห็นลูกชายกัดถังหูลู่ไปแล้วเลยทำท่าจะควักเงินจ่าย จิ้นหยางรีบห้ามเอาไว้

“ไม่เอาขอรับ บังเอิญว่าข้ารักเด็ก”

“น้องชายอย่าพูดเช่นนี้ คนค้าขาย จะไม่เอาเงินได้อย่างไร” เขาจับมือจิ้นหยางไปวางเงิน “พอหรือไม่”

จิ้นหยางคืนเขาไปบางส่วน รับมาเพียงสองเหรียญเท่านั้นแล้วกล่าว “พอแล้วขอรับ”

หยางจวินเว่ยยิ้มให้เขา ก่อนจะหันมาจูงบุตรชายขึ้นรถม้า เดินทางไปยังป่าเจินเซี่ยง จิ้นหยางทอดสายตามองตาม ก่อนจะได้ยินสัญญาณเรียกตัวองครักษ์ลับ ให้ต้องเดินกลับไปสมทบกับพรรคพวกคนอื่น

พอพบหลิวเหวิน หัวหน้าหน่วยองครักษ์ลับก็ถามเขาทันที

“ได้มาหรือไม่”

“ได้” จิ้นหยางดึงเอาดาบที่ซ่อนอยู่ในหุ่นฟางออกมา ตัวดาบของหยางจวินเว่ยประดับด้วยลวดลายของเทพสงครามและมังกรที่หน้าตาดุดันตัวหนึ่ง

หลิวเหวินทดลองชักดาบออกมา ดีดเบาๆ ที่ปลายดาบก่อนจะพยักหน้า

“ดี”

รอยยิ้มของจิ้นหยางบางลงเมื่อเห็นรอยสลักบนตัวดาบนั้น ยามนั้นเขาอยู่ท่ามกลางทหารกล้า หน้าเปลวไฟที่ลุกโชน หยางจวินเว่ยหยิบดาบของตนออกมาเช็ดเลือด

เด็กชายมักชอบอาวุธ จิ้นหยางเองก็เช่นเดียวกัน เขาห่มหนังสัตว์เดินต้วมเตี้ยมเข้าไปดูดาบนั้นใกล้ๆ แม่ทัพใหญ่มองเขาแล้วหัวเราะเบาๆ

“เอ้อร์หลาง เจ้าไม่กลัวหรือ”

เด็กน้อยส่ายหน้ายามกล่าว “ข้าชอบ” ในกองทัพแห่งนี้พี่ชายคนนี้เป็นมิตรที่สุดแล้ว เขาเลยถามซอกแซก “พี่ชายได้มันมาอย่างไรหรือ ข้าอยากจะได้บ้าง” เขาชี้ไปด้านนอก “ไปว่าเอาจากทุ่งหญ้านั่นใช่หรือไม่”

ในทุ่งหญ้ามีแต่ศพทหาร จะหาดาบดีๆ สักเล่มนั้นง่ายดายยิ่งนัก หยางจวินเว่ยส่ายหน้าขณะกล่าว

“หากเจ้าอยากเป็นนักรบ สิ่งแรกที่ต้องมีคือความเที่ยงธรรม”

จิ้นหยางเอียงคอน้อยๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง หยางจวินเว่ยขยายความ

“คืออย่าได้ลักขโมยของผู้อื่น ต่อให้คนผู้นั้นจะตายไปแล้ว แต่การหยิบฉวยของเขามาโดยที่เขาไม่อนุญาต นั่นก็ยังเป็นการขโมยอยู่ดี” หยางจวินเว่ยมองดาบของตนเอง “แต่ก่อนที่บ้านยากจน แต่ข้าอยากเรียนดาบ อยากจะสอบจอหงวนฝ่ายบู๊ ท่านแม่เอากำไลทองคำที่มีอยู่คู่เดียวในบ้านไปขาย ท่านพ่อรับจ้างแบกข้าวสารจนได้เงินมา เงินทั้งหมดนั้นคือดาบเล่มนี้”

เขาควงดาบให้เด็กชายดู “เมื่อถืออาวุธ จงสังหารแต่คนเลวทราม นั่นคือสิ่งที่ท่านพ่อสอนข้า เพื่อดาบเล่มนี้แล้ว คนที่บ้านต้องอดมื้อกินมื้อ ดังนั้นจนกว่าข้าจะตาย จะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องมันเด็ดขาด เจ้าเอง หากวันหน้าเป็นนักรบก็ต้องยึดถือคุณธรรม รู้หรือไม่”

จิ้นหยางคิดถึงบทสนทนาข้างกองไฟในตอนนั้น บัดนี้ดาบสุดรักของหยางจวินเว่ยกลับมาตกอยู่ในมือขององครักษ์ลับอย่างพวกเขา และพวกเขาก็กำลังจะเดินทางต่อไปเพื่อสังหารเจ้าของดาบ

วันนี้เขาจะสังหารแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน

ชายหนุ่มหลุบตามองดาบคู่กายของตนเอง พึมพำแผ่วเบา “ผิดถูกอยู่ที่นาย”

เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ

 

องครักษ์ลับหน่วยปราบพยัคฆ์นั้นทำงานดุจนักฆ่ามากกว่าทหาร ซุ่มดูครอบครัวของซิ่นเมิ่งกั๋วกงตั้งกระโจมพักแรมอยู่หนึ่งวันเต็ม เช้าวันต่อมา หลังจากกินอาหาร ซิ่นเมิ่งกั๋วกงก็จูงมือหยางซือสือไปตกปลาตามลำพังสองพ่อลูก ทิ้งภรรยา บุตรสาว และกองกำลังส่วนมากไว้ที่ค่าย โอกาสที่ดีขนาดนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว หลิวเหวินครุ่นคิดแล้วจึงกล่าว

“หลิวกู้กับจิ้นหยาง ตามข้าไปจัดการซิ่นเมิ่งกั๋วกง”

พวกเขาคือสามคนที่มีวรยุทธ์สูงสุดในหน่วยองครักษ์ลับ การตัดสินใจเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก นอกจากซิ่นเมิ่งกั๋วกงแล้ว คนที่เหลือคือทหารชั้นผู้น้อย

หน่วยองครักษ์ลับแยกทางกัน จิ้นหยางจับสร้อยคอของตนเอง แตะหยกที่หลิวกู้ให้เพื่อสงบใจ มีคำกล่าวว่า ‘อดีตไม่สำคัญเท่าอนาคต’ แล้วไยเขาต้องลังเลจะสูญเสียทุกอย่างเพื่อกบฏผู้หนึ่ง

ไยต้องลังเล...

“ข้าไม่อยากกินปลา!” หยางซือสือร้องโวยวายตอนที่บิดากำลังจะสอนเขาวางเบ็ดตกปลา

หยางจวินเว่ยจับบุตรชายคนเดียว กล่าวสั่งสอน “การตกปลาเป็นการฝึกความอดทนที่ดี ปลาก็มีประโยชน์กับเด็กเล็กๆ เช่นเจ้าและพี่สาว ที่สำคัญที่สุด หากเจ้าเคยออกไปนอกด่าน อยู่กลางดินกินกลางทราย ปลาสักตัวคืออาหารเลิศรสที่หาไม่ได้โดยง่าย เจ้ามีโอกาสได้กินมันควรจะมีความยินดี”

“ข้าเกลียดกลิ่นคาว” หยางซือสือยังทำหน้ามุ่ย “ข้าไม่ต้องลำบากเสียหน่อย จะเลือกกินก็ได้!”

ซิ่นเมิ่งกั๋วกงผู้ชนะศึกมาทั่วทิศรู้สึกจนใจ ในตอนนั้นเขาได้ยินเสียงอาวุธที่แทงทะลุร่างศัตรู

ทหารกล้าสองคนที่รับคำสั่งเฝ้ารอบบริเวณล้มลงแล้ว จิ้นหยางลงมืออย่างว่องไว เขาดึงคมดาบของตนออกจากร่างนั้น สายตาเย็นชาทอดมองดวงตาที่เบิกกว้าง เป็นครั้งแรกที่จิ้นหยางครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายรอดตายจากชาวซงหนู แต่กลับต้องมาตายที่บ้านเกิด...

“ใคร!” ซิ่นเมิ่งกั๋วกงดุดันในทันที เขาจับบุตรชายให้หลบอยู่ด้านหลังของตนเอง ทอดสายตามอง พอเห็นชายชุดดำสามคนที่สังหารพี่น้องร่วมรบ ดวงตาก็เปล่งประกายแดงเรื่อเหมือนเสือที่กำลังคำราม แรงกดดันจากแม่ทัพใหญ่ไม่ธรรมดา สำหรับหลิวเหวินแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับคนที่กำลังจะตาย

หลิวเหวินบอกเอาไว้แล้ว จุดอ่อนของซิ่นเมิ่งกั๋วกงคือบุตรชาย ขอเพียงจับเด็กชายเอาไว้ เขาก็ไม่สามารถทำอะไร จากนั้นค่อยสังหารเขา แล้วสังหารบุตรชาย นี่คือแผน

หลิวเหวินส่งสัญญาณมือ จิ้นหยางกับหลิวกู้ก็ขยับกายพุ่งเข้าไปล้อมซิ่นเมิ่งกั๋วกง ปิดทางหนีทั้งสิ้น หยางซือสือตกใจจนร้องไห้ออกมา

“ท่านพ่อ...!”

หยางจวินเว่ยชักอาวุธเป็นครั้งแรก เขาควงดาบเล่มนี้มาหลายปี พอดึงอาวุธออกมาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือของปลอม หลิวเหวินที่แข็งแกร่งที่สุดโจมตีใส่เขาเป็นครั้งแรก แค่กระบวนท่าเดียว ดาบในมือซิ่นเมิ่งกั๋วกงก็หักครึ่ง มันใช้เป็นอาวุธไม่ได้ แต่การต่อสู้ของแม่ทัพใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเสมอไป องครักษ์ลับสามคนโจมตีทั้งบนล่าง ศัตรูมีมากและบุตรชายก็ยังเล็ก พริบตาเดียวร่างของหยางซือสือถูกจิ้นหยางคว้าเอาไว้ คมดาบจ่อลำคอเล็กขาวผ่อง เด็กชายร้องเสียงหลง

“ท่านพ่อ...!”

ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่หยางจวินเว่ยก็เป็นปุถุชน เห็นบุตรชายตกอยู่ในอันตราย เขาย่อมลนลานเป็นธรรมดา เปิดโอกาสให้หลิวเหวินฟันเข้าที่ด้านหลัง เมื่อเห็นบิดาของตนทรุดลง หยางซือสือก็ร้องเสียงดัง

“ท่านพ่อ...!”

ซิ่นเมิ่งกั๋วกงยังไม่สิ้นชีพ แต่ถูกหลิวกู้ลงดาบแทงซ้ำ เขากลิ้งตัวหลบคว้าท่อนไม้ได้ก็ใช้เป็นอาวุธ เขาฉลาดพอจะรู้ว่าศัตรูจะยังไม่สังหารบุตรชายแน่ แต่จะจับเป็นตัวประกัน ดังนั้นจึงยังสู้สุดใจ

ผ้าบนแผ่นหลังขาดเป็นสองส่วน รอยสักหนึ่งปรากฏขึ้น

‘เพื่อแผ่นดิน เพื่อฮ่องเต้ เพื่อมวลประชา’

มือที่จับเด็กชายที่ทั้งร้องไห้ กัด เตะ และถีบสั่นเทา

ครานั้นผู้เฒ่าหยางถูกจับเป็นตัวประกัน เขาปลิดชีพตัวเองเพื่อไม่ให้ทัพต้าหลิวเสียเปรียบซงหนู คำพูดสุดท้ายของชายชราคือขอบุตรชายอย่ายอมแพ้ พวกมันเหยียบย่ำศพของท่านผู้เฒ่า จนป่านนี้ยังไม่พบศพของท่านและลูกสะใภ้

หยางจวินเว่ยมีวรยุทธ์สูงส่ง ครานั้นเขาถูกปิดล้อม ตัวคนเดียวสามารถหนีรอดได้ แต่ตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนเขาบอกจะไม่ยอมทิ้งทหารกล้า

เมื่อตอนนั้นเขายึดเมืองหน้าด่านกลับมาจากศัตรู กรีดเลือดสาบาน หากเขามีชีวิตอยู่ ชาวซงหนูจะไม่ได้แตะประชาชนต้าหลิวแม้เพียงคนเดียว

คนผู้นั้น... คือบุรุษที่ทำเพื่อแผ่นดิน

แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น... คือแผ่นหลังที่แบกรับความปลอดภัยของชาวต้าหลิวเอาไว้นับสิบปี

 

“จิ้นหยาง จากนี้เจ้าเป็นองครักษ์ลับ คำสั่งของฮ่องเต้ ถือเป็นสูงสุด”

“จิ้นหยาง เจ้าจงจำเอาไว้ ผิดถูกอยู่ที่นาย แม้ต้องตายก็ต้องทำงานให้สำเร็จ!”

“นายสั่งก็ต้องทำ”

“นายสั่ง...ต้องทำตาม”

 

ซิ่นเมิ่งกั๋วกงถูกฟันบาดเจ็บจนล้มลง หลิวกู้กำลังจะลงดาบครั้งสุดท้าย หยางซือสือร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง

“...ท่านพ่อข้าเป็นคนดี! อย่าทำท่านพ่อ! อย่าทำท่านพ่อ...!”

ไม่ไหวแล้ว!

จิ้นหยางคว้าดาบของตนแทงผ่านไหล่ของหยางจวินเว่ยไปที่หน้าท้องของหลิวกู้ ทุกคนตกตะลึง เขารีบคว้าตัวหยางจวินเว่ยพุ่งทะยานเข้าไปในป่า

“หนี!”

หยางจวินเว่ยไม่เข้าใจ แต่ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงนั้น เขาก็รู้สึกคุ้นเคยประหลาด แม่ทัพใหญ่ไม่มีเวลาครุ่นคิด วิ่งตามชายชุดดำที่ช่วยชีวิตไป

หลิวกู้ล้มลง กุมหน้าท้องที่เต็มไปด้วยเลือด หลิวเหวินตกใจ ห่วงน้องชายที่เขาเลี้ยงดูมาแต่เล็กจนทำอะไรไม่ถูก

“จิ้นหยาง...”

เจ้าของชื่อไม่เหลือหนทางแล้ว เขาลากหยางจวินเว่ยไปทางอื่น แม่ทัพใหญ่หยุดลงที่แถบป่ารกทึบ จิ้นหยางหยุดลง ดึงหน้ากากออกพร้อมเอ่ย

“พี่ชาย... ท่านต้องหนีแล้ว”

“เจ้า...” หยางจวินเว่ยทำหน้าไม่เข้าใจ

“นี่คือบัญชาของฝ่าบาท ข้าเป็นองครักษ์ลับ ท่านต้องรีบหนีก่อนที่...” จิ้นหยางรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาจึงจนปัญญา เขาทรุดตัวลง ยื่นหยางซือสือให้บิดาของเด็กน้อย “ข้าขอโทษ”

เขาทรยศแล้ว

ทรยศต่อทั้งหน่วยองครักษ์ลับ ทรยศต่อพี่น้องร่วมสาบาน และทรยศต่อหน้าที่ของตนเอง

เขาแทงหลิวกู้... แทงคนที่กล่าวอย่างหนักแน่นว่าจะปกป้องเขาเอาไว้

จิ้นหยางมองฝ่ามือของตนเอง มันสั่นเกินจะควบคุม

“เช่นนั้นหรือ มีจริงๆ ด้วยสินะ หน่วยลับที่ขึ้นตรงต่อฝ่าบาทเท่านั้น...”

หยางจวินเว่ยเอ่ยอย่างอ่อนแรง จิ้นหยางเงยหน้ามองเขา เห็นอีกฝ่ายยิ้มอ่อนโยนออกมาอย่างวันวาน

“เอ้อร์หลาง เจ้าได้ดีถึงเพียงนี้ ข้าดีใจจริงๆ”

จิ้นหยางสะอึก ครู่ต่อมาเขาจึงทำหน้าจริงจัง หยัดกายลุกแล้วหันหน้าเข้าไปในป่า กล่าวเสียงสั่น

“ท่านแม่ทัพไปเถอะ ข้าเป็นคนทรยศแล้ว สมควรรับโทษของคนทรยศ...”

จิ้นหยางก้มมองดาบในมือของตนเอง น้ำตาของเขาหยดลงกระทบเหล็กอันคมกริบที่เย็นเฉียบ

“...ต่อให้ต้องฆ่าพี่น้องร่วมสาบาน ต่อให้ต้องทรยศต่อเจ้านาย แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่เสียใจที่ช่วยเหลือท่านกับคุณชาย ท่านรีบไป... ก่อนที่พวกของข้าจะมาเถอะ!”

คนทรยศต้องตาย

แต่ชีวิตนี้ของจิ้นหยางเป็นหยางจวินเว่ยที่มอบให้ เขาไม่เสียดายหากจะใช้คืน

ก็แค่เด็กชายชาวซงหนูที่จับพลัดจับผลูมามีที่ยืนบนแผ่นดินต้าหลิวคนหนึ่งเท่านั้น

ก็แค่ชีวิตหนึ่งที่ใช้คืนผู้มีพระคุณเท่านั้น

จิ้นหยางได้ใช้ชีวิตจนถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรติดค้าง!

หยางจวินเว่ยวางมือบนบ่าของอีกคน จิ้นหยางสบสายตากับเขา ตอนนั้นแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินยัดบุตรชายใส่มือของเขาพร้อมคุกเข่าลง

“ท่านกั๋วกง...!”

จิ้นหยางตกใจจนวางทุกอย่างลงบนพื้น เขาคนนี้ไม่เคยคุกเข่าต่อชาวซงหนู แม้จะต้องการศพของบิดาคืน แต่บัดนี้กลับคุกเข่าให้เด็กคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยชีวิต

“เอ้อร์หลาง... ไม่สิ จิ้นหยาง ข้าฝากลูกชายของข้าด้วย เจ้าพาเขาหนีไปให้ไกล ไปชายแดน ที่นั่นยังมีพวกของข้าอยู่บ้าง ขอเจ้าทิ้งข้าเอาไว้แล้วพาเขาหนีไปเถิด!”

“พี่ชายพูดอะไรเช่นนั้น! ท่านต่างหากที่...!”

“ข้าอยู่แต่ชายแดน ไม่รู้ที่ทางในเมืองหลวง! ฝ่าบาทต้องการหัวของข้า หนีอย่างไรก็ต้องตาย!” ซิ่นเมิ่งกั๋วกงพิทักษ์แผ่นดินกล่าวอย่างเด็ดขาด ดวงตาคล้ายมีไอน้ำปกคลุม “แต่เจ้าเติบโตยังเมืองหลวง รู้ลู่ทางมากกว่าข้า จิ้นหยาง... ขอเพียงเด็กคนนี้ปลอดภัย ชาติหน้าข้าขอเป็นวัวเป็นม้ารับใช้เจ้าชั่วชีวิต!”

หยางจวินเว่ยโขกศีรษะสามครั้งเสียงดัง จิ้นหยางสูดลมหายใจลึก ขณะที่หยางซือสือพุ่งตัวเข้าไปกอดบิดาเอาไว้

“ท่านพ่อ...” เด็กชายร้องไห้จนหน้าแดงก่ำ

หยางจวินเว่ยกอดเขาแนบแน่น ก่อนจะจับบุตรชายยื่นให้จิ้นหยาง สายตาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ “ได้โปรด”

จิ้นหยางกัดริมฝีปากจนเลือดออก คุกเข่าลงโขกศีรษะพร้อมกล่าว

“นายท่านโปรดวางใจ แม้ดวงวิญญาณของข้าจะต้องกลายเป็นผงธุลี จะยอมพลีให้นายท่านเพียงผู้เดียว! ต่อให้จิ้นหยางต้องตกนรกหมกไหม้เพราะผิดคำสาบาน! ข้าก็จะปกป้องคุณชายน้อยด้วยชีวิตของข้า!”

หยางจวินเว่ยเผยรอยยิ้มตื้นตัน ขณะที่จิ้นหยางคว้าตัวเด็กชายขึ้นมาอุ้ม หยางซือสือร้องลั่น

“ไม่นะ! ท่านพ่อ! พาพ่อของข้าไปด้วย! พาท่านพ่อไปด้วย!”

“ข้าว่าข้าได้ยินเสียงเด็กแล้ว!”

จิ้นหยางสะท้าน หน่วยองครักษ์ลับตามมาถึงแล้ว

หยางจวินเว่ยกลับหยัดกายลุกขึ้น ผลักหลังเขาแล้วพูด

“ไป! อย่าหันกลับมา!”

คนถูกออกคำสั่งกัดริมฝีปากของตนจนเลือดไหล เขาขึงดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำก่อนจะออกวิ่งไปสุดกำลัง เสียงฝีเท้าองครักษ์ลับดังเข้ามาใกล้ หยางซือสือกรีดร้องอยู่ในวงแขน

“ท่านพ่อ...!”

“หยุดนะจิ้นหยาง!”

นั่นคือเสียงหลิวเหวิน จากนั้นคือเสียงของหยางจวินเว่ยคำรามดังก้องป่า

“เข้ามาเลย…!”

ซิ่นเมิ่งกั๋วกงหยางจวินเว่ยคิดก่อกบฏ ถูกหน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์สังหารในป่าเจินเซี่ยง แต่หยางซือสือ... บุตรชายคนเดียวของเขาหนีไปได้ ในหน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์มีคนทรยศคนแรกในประวัติศาสตร์แห่งต้าหลิว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น