วันเวลาทำให้เกิดความผูกพันไว้ใจ หลังเรียนจบชั้นมัธยม ชลิตาเข้าเรียนสายตรงเกี่ยวกับการโรงแรมโดย มี ‘พี่ชาย’ ให้คำแนะนำ คอยให้คำปรึกษาเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะเพื่อนใหม่นอกจากจะมีคนดีแล้ว ก็ยังมีคนไม่ดี คนที่ชอบดูถูกคนแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของเธอหายไป ด้วยวันนี้เธอมีคนที่ ‘นายน้อย’ ส่งมาคอยให้คำปรึกษา
ในขณะที่ความเป็นเพื่อนของเควินและเหมยฮัวก็พัฒนาขึ้น แม้ฝ่ายชายค่อนข้างปวดหัวกับความซน ซ่าและแสบของ ‘เหมยเหมย’ แต่ทุกประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ทำให้ทั้งสองรู้จักกันมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างเปิดใจให้กัน เบื้องหน้าทั้งสองคือคู่หมั้นที่สวีทหวาน เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ความสัมพันธ์นี้ทำให้ทั้งสองตระกูลจับมือร่วมทุนเดินหน้าธุรกิจสายโรงแรม ทำให้กลุ่มเดอะวันกรุ๊ปกลายเป็นอีกหนึ่งผู้นำธุรกิจในสายโรงแรมอันดับแรกๆ ของโลก
เมื่อทุกอย่างเป็นไปในแนวทางที่ต้องการ นิคยอมวางมือถอยออกมาดูการบริหารงานของลูกอยู่ห่างๆ ไว้ใจให้เควินดำเนินงาน โดยมีชาคริตที่ยิ่งนับวันยิ่งเทิดทูนพ่อบุญธรรมคอยเป็นหูเป็นตาให้ ชายหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจว่านิคไว้ใจตน รักตนไม่แพ้ลูกชายแท้ๆ อย่างเควิน
ส่วนพัชรินทร์ จากเรื่องที่หล่อนบุกไปพบเควินที่สุสานเปมิกาทำให้นิคไม่พอใจ แต่เพราะเห็นแก่ชาคริต นิคยอมลงให้ แถมยังเขียนเช็คให้เป็นของกำนัลก้อนใหญ่กว่าครั้งไหนๆ ที่หล่อนเคยได้รับ
‘ให้เงินฉัน? คุณจะมาไม้ไหนกับฉันเนี่ย...ฉันคิดว่าคุณจะเรียกฉันมาลงโทษที่ไปยุ่งกับลูกชายคุณซะอีก คงไม่ใช่ให้เงินแล้วให้ฉันไปจากชีวิตคุณ เหมือนที่คุณทำกับฉันตอนที่ฉันท้องหรอกนะ’
‘รับไปซะ มันเป็นเงินที่เธอสมควรได้...’
‘แล้วเรื่องที่ฉันทำล่ะ ลูกชายคุณไปฟ้องแล้วใช่มั้ย...ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะไม่โกรธฉัน ที่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องที่คุณตัดสินใจแล้ว’
‘เธอก็รู้แต่ก็ยังทำ?’ นิคเลือกที่จะไม่บอกว่าเขารู้เรื่องจากคนอื่น และไม่อยากคุยกับพัชรินทร์เรื่องนี้ ‘เอาเป็นว่ารับเงินไปซะ คิดซะว่าเป็นของปลอบใจเรื่องเหมยฮัว ฉันรู้ว่าเธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อชาคริต’
พัชรินทร์ยอมรับเช็คในที่สุด แต่หล่อนก็รู้จักนิคดีพอ รู้ว่าเงินก้อนนี้คงไม่ใช่แค่เหตุผลที่เขาบอกมา ‘คุณอยากให้ฉันทำอะไร’
‘อย่ายุ่งกับเรื่องของเควิน...’
‘หมายความว่ายังไง’ พัชรินทร์แกล้งไขสือ
‘ไม่ว่าเธอจะได้ยินอะไรมาและคิดจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเควิน ก็หยุดซะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน’
‘คุณขู่ฉันงั้นเหรอ ไหนคุณบอกว่าอยากสอนให้ลูกคุณโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ทำไมคุณตามแก้ไขปัญหาทุกอย่าง มีอะไรนิดหน่อยก็วิ่งโร่มาฟ้องพ่อ’
‘ปัญหาคือไอ้เด็กนั่นมันไม่เคยมาฟ้องฉัน’
ในน้ำเสียงมีความเจ็บปวดที่พัชรินทร์สัมผัสได้ นั่นทำให้หล่อนหงุดหงิด เพราะมันบ่งบอกว่านิคให้ความสนใจเควิน มันเหมือนกับที่นิคเคยรู้สึกอย่างนี้กับเปมิกา ผู้หญิงที่นิคบอกว่าอยากเอาชนะ เกลียดความดื้อรั้น แต่สุดท้ายหล่อนก็รู้ว่านิคไม่เลยหมดรักเปมิกา
‘ถ้าไม่ได้ฟ้อง คุณก็กล่าวหาฉันไม่ได้’
‘อย่ามาตอแหลกับฉันพัช เควินไม่ได้บอกฉันสักคำว่าเธอไปหามัน ใช้เรื่องที่เธอไม่รู้ไปข่มขู่’
‘เรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้’ พัชรินทร์รู้สึกได้ว่าถูกรู้ทันและกำลังถูกไล่ต้อน หล่อนยิ่งหน้าซีดเมื่อเห็นแววตาเอาจริงของนิคที่ย่างสามขุมเข้าหา หล่อนจึงรีบอธิบายหวังเอาตัวรอดอย่างที่เคยทำ ‘ฉันไม่ได้คิดจะข่มขู่เควินด้วยเรื่องพวกโยธินพิทักษ์...แต่เด็กนั่นกลับข่มขู่ฉัน แล้วคุณก็ยังมาข่มขู่ฉัน นี่มันเรื่องอะไรกัน’
‘ฉันไม่ได้ข่มขู่แต่กำลังเตือนเธอนะพัช’
ดูเหมือนสิ่งที่นิคพูดจะอ้อมค้อมเกินไปพัชรินทร์จึงยังไม่เข้าใจ
‘ฉันสอนให้เควินฆ่าคนได้โดยไม่คิด ต่อให้มันยังเป็นได้ไม่ถึงครึ่งสิ่งที่ฉันต้องการ แต่เจ้าเด็กนั่นก็เหมือนฉันอยู่อย่างหนึ่ง...คือเราจะไม่ลังเลที่จะเชือดคอใครสักคน เพื่อปกป้องคนที่รัก’
‘แล้วทำไมคุณยังอยู่ล่ะ ชาคริตพูดเสมอว่าเควินมักจะบอกว่าคุณคือคนที่ทำลายทุกสิ่งที่เขามี เขาเกลียดปีศาจอย่างคุณยิ่งกว่าอะไร แต่ฉันไม่เคยได้ยินข่าวซักนิดว่าเควินคิดจะเชือดคอคุณ’
พัชรินทร์ท้าทาย แต่เมื่อมองสบตานิคเธอก็รู้ตัวว่าพลาดพูดสิ่งที่ไม่สมควร
‘ถ้าเลือกที่จะเป็นนังโง่ดักดานก็เชิญ! แต่อย่าดึงชาคริตไปร่วมซวยกับแม่อย่างเธอด้วยก็แล้วกัน!’
นิคพูดตอกหน้าแล้วก็เดินออกไป วันนั้นพัชรินทร์โกรธเรื่องนี้มาก หล่อนจะเล่นงานธรรม์เมื่อตอนหลังสืบรู้ว่าคนที่รายงานนิคคือลูกพี่ลูกน้องของหล่อน แต่อีกฝ่ายก็ตอแหลใส่ว่าจำเป็น อยู่ใต้อำนาจของนิคทำอะไรนอกคำสั่งไม่ได้ แนะนำให้หล่อนอดทน รอให้ชาคริตมีอำนาจมากกว่านี้ ค่อยลงมือระหว่างนี้ก็สืบไปเงียบๆ พร้อมให้สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้าง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเห็นคนอื่นดีไปกว่าญาติ
แม้จะไม่เห็นดีด้วยแต่พัชรินทร์ก็รู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่เวลาของหล่อน ถ้าลงมืออะไรไปก็จะได้ไม่คุ้มเสีย หล่อนหยุดเคลื่อนไหวใดๆ ใช้เงินที่นิคมอบให้ แต่หล่อนจะไม่มีวันลืมชื่อ ‘โยธินพิทักษ์’ สักวันจะต้องรู้ให้ได้ว่า คำคำนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับ ‘เควิน รีฟส์’ ตามสัญญาที่ธรรม์มอบให้
‘ไม่ต้องห่วง เมื่อถึงเวลาฉันจะเป็นคนยื่นอาวุธให้ชาคริตเอง...อาวุธที่หลานชาคริตจะอยู่เหนือเควิน!’
ตั้งแต่รู้จักกันมาเหมยฮัวสังเกตเห็นว่า ทุกครั้งที่เควินกลับจากบ้านริมน้ำจะอารมณ์ดี เขาจะมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับชลิตามาเล่าให้เธอฟัง แววตาที่เล่าเต็มไปด้วยความรักความห่วงใจ นั่นยิ่งทำให้เธออยากเจอผู้หญิงคนนี้ แต่ดูเหมือนคนพี่จะคอยกันท่า บอกผลัดไปเรื่อยว่ายังไม่พร้อม รวมถึงครั้งล่าสุดก็ยังไม่ยอมให้เธอไปบ้านริมน้ำด้วย สาวสองบุคลิกจึงวางแผนบางอย่างไว้ โดยมาตื้อถึงห้องทำงานเพื่อให้เขาอยู่กับเธอในช่วงเทศกาลส่งความสุขสิ้นปี
“นี่มันเทศกาลแห่งความสุขนะเควิน เราเป็นคู่หมั้นกัน ก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ!”
เสียงประท้วงของสาวสวยในชุดเก๋ไก๋อย่างสาวนำสมัยแผดขึ้น แต่ดูเหมือนชายหนุ่มในชุดสูทที่ทำงานอยู่บนโต๊ะยังคงทำท่าไม่สนใจ เธอจึงเดินเข้าไปหา ดึงเก้าอี้ที่เขานั่งออกมาจากงาน ก่อนจะหย่อนตัวลงไปนั่งตัก เอื้อมมือไปโอบคออีกฝ่าย ยิ้มหวานให้เมื่อเขายอมเงยหน้าขึ้นสบตา
“เรามาทำความเข้าใจกันใหม่นะที่รัก คริสต์มาสอีฟ ถึงปีใหม่คนรักต้องอยู่ด้วยกัน ปีก่อนๆ ฉันยอมให้คุณไปเมืองไทยหาน้องสาวคุณเพราะเห็นใจเข้าใจ สงสารน้องเบลล์ แต่ปีนี้คุณต้องให้เวลาฉัน เราเป็นคู่หมั้นกันแล้ว จะแต่งงานกันอีกไม่นานนี้ด้วย เราต้องใช้เวลาด้วยกันสิมันถึงจะถูก”
สิ่งที่เหมยฮัวทำในตอนนี้คนภายนอกคงมองว่าเธอกำลังอ้อนคนรัก แต่กับคนที่รู้ไส้รู้พุงกันอย่างเควิน เขารู้ว่าเธอมีบางอย่างที่อยากได้ แต่ไม่พูดออกมาตรงๆ ต้องให้เขาเป็นฝ่ายเสนอให้
“จะเอาอะไรคะคราวนี้ ลองว่ามาสิ” ถ้าเควินพูดหวานอย่างนี้แสดงว่ายอมให้แล้ว
“ไม่เอาอะไร ก็แค่อยากให้ที่รักอยู่ด้วย นะจ๊ะเควิน อยู่กับเหมยนะ เหมยเหงา ถ้าเควินไม่อยู่กับเหมย เหมยต้องเฉาตายแน่ๆ” เธอยังคงออดอ้อนซบหน้าลงกับไหล่
เควินปล่อยให้อีกฝ่ายทำอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยถาม “ผมมีประชุมกับชาคริตตอนบ่าย ถ้าไม่รีบพูดอดนะ” บอกอย่างอ่อนโยน ขณะที่อีกฝ่ายยังซบหน้านิ่งเล่นบทอ้อนคนรักต่อ “นับหนึ่ง นับสอง นับ...”
“อยากได้ปาร์ตี้เจ๋งๆ” เมื่อพูดความจริง นิสัยจริงก็ออกมา แม้สามปีที่ผ่านมาเหมยฮัวจะไว้ผมยาวแล้ว ดูอย่างไรก็เป็นผู้หญิงสวย แต่เธอก็ยังคงเป็นเหมยเหมยที่เควินรู้จักเมื่อสามปีก่อน สาวทอมที่เมาแล้วอ้วกใส่อกเขา
“ไม่ต้องห่วง ผมสั่งเอเจกับต้าฟงจัดการให้แล้ว คุณอยากได้อะไร อยากไปไหนก็สั่งสองคนนั่นละกัน ผมต้องไปร่วมวันเกิดน้องสาวผม แล้วที่สำคัญผมต้องไปทำเค้กให้เธอ”
“ก็แค่เค้กจะเอาแบบไหน เหมยรู้จักร้านดีๆ สั่งให้พิเศษ ก้อนใหญ่ๆ หลายๆ ชั้นเหมือนงานแต่งงานก็ได้”
“ไม่ได้ น้องเบลล์กินเค้กทั่วไปไม่ได้ เธอแพ้แป้งสาลี แล้วก็โปรตีนนมวัว ช็อกโกแลต และอีกหลายอย่าง ต้องผมทำเท่านั้นถึงจะมั่นใจว่าปลอดภัย”
“โห แพ้เยอะขนาดนี้ จะใช้ชีวิตอยู่ยังไง เมืองไทยก็ไม่ได้มีร้านอาหารที่ระวังเกี่ยวกับอาการคนแพ้มากเหมือนเมืองนอกนะ ต่อให้มีก็ต้องเป็นร้านชั้นนำ แพงๆ หรูหรา”
“ใช่ น้องเบลล์กินอาหารที่ปรุงนอกบ้านแทบไม่ได้”
“เป็นเหตุผลให้คุณต้องเรียนทำอาหารใช่มะ” เควินพยักหน้า สีหน้าจริงจังนั้นทำให้เหมยฮัวยอมลงให้ “โอเค ไม่อยู่กับฉันก็ได้ แต่ต้องเล่าเรื่องของน้องเบลล์ให้ฟังอย่างละเอียดนะ บอกด้วยว่าเป็นใครอะไรยังไง...ไม่งั้นก็ไม่ยอม ไม่งั้นจะตามไปด้วย”
เมื่อเควินมองเห็นความวุ่นวายที่เหมยฮัวจะสร้างถ้าไปถึงบ้านริมน้ำ เขาจึงไม่มีทางเลือก ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ เกิดขึ้นให้ฟัง ตั้งแต่เริ่มต้นวันที่เขาหนีออกจากบ้านแล้วไปที่ร้านเบเกอรี่เก่าของแม่ที่ชื่อ ‘บ้านนาฬิกาทราย’ แต่บ้านถูกรื้อและกลายเป็นคอนโดหรูมีร้านค้าขึ้นมากมาย ไม่เหลือเค้าที่เดิม เขาไม่มีที่ไปจึงนั่งอยู่ตรงนั้น กระทั่ง ‘ชลิตา’ สังเกตเห็น เข้ามาคุยด้วย
“นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมได้ไปอยู่ที่บ้านโยธินพิทักษ์ ผมบอกพวกเขาแค่ว่าชื่อเคย์ แล้วก็ไม่ยอมเล่าอะไรอีก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ แถมให้ผมอยู่ด้วย ให้ความรักความอบอุ่นในสิ่งที่ผมไม่เคยได้รับตั้งแต่แม่ประสบอุบัติเหตุ...”
กวินเล่าเรื่องราวของครอบครัวโยธินพิทักษ์ เรื่องราวของพ่อเชาว์ แม่นิด และชรินทร์ ซึ่งคนหลังวัยเดียวกับเขาและเป็นคนที่รักน้องสาวอย่างชลิตามาก ตั้งใจจะเป็นเชฟ เปิดร้านอาหารสำหรับคนแพ้อาหาร
“คนในบ้านนั้นดีกับผมมากและผมรู้ว่าทุกคนในบ้านรักและเป็นห่วงน้องเบลล์ พวกเขาบอกผมว่าเธอคือหัวใจของบ้าน ถ้าผมอยากตอบแทนก็ให้ผมช่วยดูแลน้องเบลล์ รักน้องเบลล์เหมือนที่พวกเขารัก ผมให้สัญญา...สัญญาว่าจะดูแลน้องเบลล์ให้เหมือนน้องสาวของผม”
เหมยฮัวเห็นว่าเควินเล่าเรื่องราวของพวกโยธินพิทักษ์ด้วยความรัก ความคิดถึง สัมผัสได้ถึงความสุขที่สะท้อนผ่านแววตา แต่ในความสุขนั้นเธอก็สัมผัสได้ว่ามีความเศร้าบางอย่างสะท้อนออกมาด้วย แสดงว่าจะต้องมีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นหลังจากนั้น
“ทั้งที่ให้สัญญา แต่ผมกลับทำไม่ได้...”
เหมยฮัวสัมผัสได้ว่าสิ่งที่เควินกำลังจะเล่าคงเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องนี้
“ในคืนวันคริตส์มาส พวกเรามีงานเลี้ยงเล็กๆ เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบเจ็ดขวบให้น้องเบลล์...น้องเบลล์สนุกทั้งวันจนกระทั่งหลับไป ผมอุ้มน้องขึ้นไปห้อง พ่อเชาว์ แม่นิด เก็บถ้วยชามไปล้าง ระหว่างที่รอชรินทร์ออกไปส่งวาสินี เพื่อนนักเรียนที่เขาชวนมางานวันเกิด ระหว่างทางฝนตก เป็นฝนหลงฤดูที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย เหมือนฝนกำลังร้องไห้ให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านหลังจากนั้น...”
เควินหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเพื่อเล่าให้เหมยฮัวฟัง ว่าเขาจดจำภาพของคนบ้านโยธินพิทักษ์ได้ไม่เคยลืม ทุกคนหวาดกลัวขวัญเสียเมื่อถูกปืนจ่อหัว นั่นเป็นเหตุผลให้เขายอมคุกเข่าต่อหน้าพ่อที่เขาเกลียด ขอโทษและสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก ขอแค่ปล่อยพวกโยธินพิทักษ์ไป แต่ผู้ชายคนนั้นกลับยิ้มเยาะคล้ายสนุกที่ได้เห็นกวินอ้อนวอน เพราะกลัวว่าจะเป็นต้นเหตุให้คนเหล่านี้ต้องตาย
“ผมพร้อมจะยอมทำทุกอย่าง จะไม่หนีไปไหนอีก ผู้ชายคนนั้นยิ้มแล้วยัดปืนใส่มือผม พร้อมยื่นข้อเสนออย่างเลือดเย็นว่าจะปล่อยหนึ่งคน ถ้าผมยอมฆ่าอีกสามคนที่เหลือ”
เสียงพูดสุดท้ายกลืนหายไป เหมยฮัวรู้สึกขนลุกซู่ เมื่อเควินยังไม่ยอมเล่าอะไรต่อเธอจึงเป็นฝ่ายถามออกมาอย่างร้อนใจ “คุณไม่ได้ทำใช่มั้ย คุณไม่ได้ฆ่าครอบครัวของน้องเบลล์ตามที่พ่อคุณสั่งใช่มั้ย”
เหมยฮัวเฝ้ารอคำตอบ แต่อาการก้มหน้าขบกรามแน่นนั้นได้ตอบสิ่งที่เธอสงสัยไปแล้ว
“เควิน...ทำไม...ทำไมคุณกล้า...ตอนนั้นคุณแค่สิบห้าเองนะ คุณฆ่าสามศพเลยเหรอ ทำไม!”
“เพราะผมเป็นปีศาจไง...เพราะเลือดในตัวผมมีเลือดของนิค ผมถึงทำได้ ผมก็คงเลวไม่ต่างจากนิค ทั้งที่ตอนนั้นกลัวจับใจ กดดันจนแทบลืมหายใจ ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นดู ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลั่นไกตอนไหน ไม่ได้ยินเสียงปืนด้วยซ้ำ ผมได้ยินแต่เสียงฟ้าร้อง ที่แข่งกับเสียงกรีดร้องของน้องเบลล์ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนก็...”
คำพูดที่กลั่นออกมาอย่างลำบากนั้นเหมยฮัวสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายน่ากลัว แต่มันยังไม่ได้ครึ่งกับความจริงที่เควินเห็นและรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในขณะนี้
“เป็นไปได้มั้ยว่าอาจไม่ใช่คุณที่ลั่นไกปืน” เหมยฮัวอยากเชื่ออย่างนั้น “คุณเด็กเกินไปที่จะทำอย่างนั้น คุณกลัว คุณหลับตา อาจจะเป็นพ่อคุณ หรือคนอื่นที่ยิง”
“มันไม่สำคัญหรอกเหมยฮัว...สุดท้ายแล้วทุกคนก็ตาย...ถ้าไม่เจอผม น้องเบลล์ก็ไม่ต้องสูญเสียครอบครัว ไม่ต้องเป็นเด็กกำพร้า ไม่ต้องเจ็บปวดเสียใจ รับความจริงไม่ได้จนช็อค ตื่นมาอีกทีก็จำเรื่องราวในคืนนั้นไม่ได้”
เหมยฮัวอึ้งกับสิ่งที่รู้ เธอสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เควินต้องแบกรับ รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ห่วงใยความรู้สึกของชลิตา มันเป็นความทุกข์จากการรู้สึกผิด ผู้ชายคนนี้อ่อนโยนและดีเหลือเกิน คนที่ชั่วร้ายจริงๆ คือนิคต่างหาก เพียงแค่อยากได้ลูกคืนถึงกับฆ่าทุกคนอย่างเลือดเย็น ณ เวลานี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะสงสารใครดีระหว่างเควินและชลิตา ทั้งสองดูน่าสงสารทั้งคู่
จากนั้นเควินเล่าเรื่องราวหลังส่วนที่เหลือให้เหมยฮัวฟังอย่างละเอียด เรื่องที่เขาส่งพิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ยไปรับอุปถัมภ์ชลิตา การสร้างบ้านนาฬิกาทราย สร้างตัวตนของกวินเข้าไปเพื่ออยู่ใกล้ ให้ชลิตารับรู้แค่ว่ามี ‘นายน้อย’ เป็นผู้มีพระคุณ คอยส่งเสียให้เรียน ซึ่งชลิตาก็ตั้งใจจะทดแทนบุญคุณโดยเรียนสายโรงแรม
“ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี...” เหมยฮัวพ่นลมหายใจ รู้สึกหนักใจแทนเควิน “ชีวิตคุณรันทดมากเลย คุณทนแบกรับมันได้ยังไง”
“เพราะผมคิดว่าผมกำลังปกป้องรอยยิ้มของน้องเบลล์ ผมกำลังชดเชยสิ่งที่ผมเอาไปจากเธอ ผมอยากเห็นเธอมีความสุข ยิ้มได้เหมือนวันที่เธอยังมีพ่อแม่และก็ชรินทร์”
“คุณเลยให้พิมพ์พร จุ๋นเจี๋ยไปสร้างครอบครัวให้น้องเบลล์ ผ่านผู้มีพระคุณใจดี แสนจะลึกลับ ที่น้องเบลล์รู้จักแค่ชื่อนายน้อย?”
สีหน้าที่จริงจังของเหมยฮัว ทำให้เควินรู้สึกต้องคิดให้ดีก่อนจะตอบ เธอมองเหมือนเขากำลังทำผิดบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าตลอดมาเขาคิดว่าเลือกทำในสิ่งที่ดีต่อชลิตาที่สุดแล้ว พิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ยสามารถดูแลน้องสาวของเขาได้ เรื่องของ ‘นายน้อย’ ก็อยู่ไกลเกินว่าที่ชลิตาจะเอื้อมถึง
“คุณคิดว่าผมทำผิดเหรอ” เควินเลือกที่จะตั้งคำถามขึ้นแทนการต้องตอบ “ถ้าคุณคิดว่าผมทำผิดก็บอกผมได้นะเหมยฮัว”
“ถ้าแค่นั้นไม่ผิดหรอก ที่ผิดก็คือการที่คุณพาตัวเองไปเป็นพี่ชายข้างบ้านของน้องเบลล์ต่างหาก ฉันว่าสถานะที่คุณอยู่ คุณควรห่างน้องเบลล์ให้มาก เพราะต่อให้เรื่องนี้มีแค่คนของพ่อคุณที่รู้ความลับในวันนั้น ถึงแม้น้องเบลล์จะจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้ แต่ความลับไม่มีในโลกหรอกนะ คุณนอนหลับได้ยังไง ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าวันหนึ่งน้องเบลล์รู้ความลับ เธอจะรู้สึกยังไง”
เหมยฮัวรู้ว่าหลุดปากพูดสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเควินก็ตอนเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาคมคู่นั้นไม่ได้สะท้อนความตกใจ ไม่ได้แสดงความโกรธ แต่ทำไมมันทำให้เธอรู้สึกใจหาย สัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังเจ็บปวด เหมือนเธอได้พูดสิ่งที่ทำลายความหวังเดียวที่เหลืออยู่ของเพื่อนไป
“ขอโทษ...” เธอบอกแผ่วเบา พลางลุกขึ้นไปนั่งลงข้างๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก้มหน้าลงซุกมือตัวเอง ยังคงไม่พูดอะไรออกมา “เควิน...ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ...”
“ผมเห็นแก่ตัวใช่มั้ย ผมพยายามบอกตัวเองว่าทำเพื่อน้องเบลล์ แต่สุดท้ายเพราะอยากเข้าไปดูแล เข้าไปอยู่ใกล้ๆ อยากได้ยินเสียงเธอ ทำให้ผมเห็นแก่ตัว พาตัวเองเข้าไปใกล้ ทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจมากที่สุดจะเป็นน้องเบลล์”
เหมยฮัวมีคำตอบของตัวเอง แต่เธอก็พูดไม่ออก เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อน “แต่เรื่องนี้จะเป็นความลับตลอดไปนี่ พ่อของคุณรับปาก ฉันเชื่อว่าเขาจะปกป้องคำสัญญานั้น คุณก็คงไม่พูด ป่านนี้แล้ว น้องเบลล์ก็คงจำเรื่องในวันนั้นไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีใครรู้จักครอบครัวโยธินพิทักษ์อีกแล้ว นอกจากคนของพ่อคุณ?”
คำพูดนั้นทำให้เควินนิ่งไป เหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ ในวันนั้นตอนที่เขากำลังถูกคนของนิคพาขึ้นรถ เขามองย้อนกลับไปในบ้านเห็นใครคนหนึ่งซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ข้างหน้าต่างอย่างตื่นกลัว แสดงว่าเธอน่าจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร คนของนิคก็เจอเธอเข้า...
“มีอะไรเหรอ” เอ่ยถามเมื่อเห็นเควินนิ่งไป
“คุณจำได้มั้ยที่ผมเล่าว่า ชรินทร์ออกไปส่งเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามาในบ้านแล้วถูกฆ่า”
เหมยฮัวพยักหน้า “ชื่อวา...วาสินี? เธอเป็นอีกคนที่ถูกฆ่าเหรอ”
เควินส่ายหน้า “ผมไม่แน่ใจ แต่ตอนนั้นนอกจากข่าวคนในบ้านโยธินพิทักษ์ถูกฆ่าตายแล้ว ก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงหายตัวไป”
เควินเคยเห็นเธอใส่ชุดนักเรียนครั้งหนึ่ง เป็นโรงเรียนเอกชน คนละโรงเรียนกับชรินทร์ที่เรียนโรงเรียนรัฐบาล เขาจำได้แค่ชื่อที่ปักอยู่หน้าอกเสื้อว่า ‘วาสินี’ จำนามสกุลและอักษรย่อโรงเรียนได้เลือนราง ด้วยวัยและความสามารถขณะนั้นทำให้เขาสืบอะไรไม่ได้เลย พอนึกได้ตอนนี้ก็ดูยิ่งไม่ได้ช่วยอะไร
“ผมมั่นใจว่าเธอชื่อวาสินี นามสกุลค่อนข้างยาว...ชรินทร์เรียกเธอว่าวา รู้จักกันที่โรงเรียนติวสักที่ ผมรู้เกี่ยวกับเธอแค่นั้น แต่ก็พยายามสืบหาเธอและก็ถามนิคว่าเขาทำอะไรกับเด็กคนนั้น”
“พ่อคุณว่าไง”
“นิคบอกแค่ว่า ทำในสิ่งที่สมควรทำ...ซึ่งเดาได้ว่าเธอไม่น่าจะรอด”
“ก็ไม่แปลก ถ้าปล่อยให้รอดสิแปลก” เหมยฮัวพูดไม่อ้อมค้อม “เป็นโชคร้ายของเธอ แต่ก็โชคดีของคุณนะ ตอนนี้คุณก็แค่ทำตามใจพ่อคุณ ทำในสิ่งที่เขาต้องการ คุณก็จะได้อยู่กับน้องเบลล์ของคุณ แล้วฉันก็จะช่วยคุณอย่างเต็มที่ จะเป็นคู่หมั้น ภรรยา ช่วยคุณทำให้เดอะวันกรุ๊ปยิ่งใหญ่เท่าที่พ่อของคุณต้องการ ขออย่างเดียว”
“เรื่องอะไร” รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม “แต่สำหรับคุณ ขอหลายอย่างก็ได้ ผมไม่ว่า”
เหมยฮัวโล่งใจเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนดีขึ้น “ก็ดี แต่ตอนนี้เอาเรื่องนี้ก่อน คุณต้องรับปากฉันว่าจะดูพ่อของคุณให้ดี อย่าให้มาแว้งกัดฉันกับแด๊ดได้ ปกติฉันก็ไม่ค่อยไว้ใจพวกมาเฟียอยู่แล้ว ยิ่งมาได้ยินเรื่องความเหี้ยมโหดของพ่อคุณ ฉันยิ่งกลัว พ่อคุณเหมือนทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ ฉันเป็นห่วงแด๊ด”
“ผมสัญญา ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ ผมจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายคุณและก็พ่อของคุณเป็นอันขาด”
เหมยฮัวยิ้มอุ่นใจ ก่อนจะทำทะเล้นใส่ “พูดซึ้งขนาดนี้ หลงรักซะดีมั้ยเนี่ย”
คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายถึงกับหลุดยิ้ม “อย่าเลย ถ้าคุณมาตกหลุมรักผม เดี๋ยวสาวๆ จะอกหักค่อนโลก เท่านี้ผมก็ดูเป็นคนร้ายมากพอละ ไม่อยากโดนเกลียดอีกแล้ว”
“ชอบว่าตัวเองร้ายนะเควิน คุณน่ะใจดีจะตาย ฉันรู้สึกได้ อิจฉาน้องเบลล์นะ ที่มีพี่ชายอย่างคุณ เห็นอย่างนี้แล้วยิ่งอยากจะรู้จัก เมื่อไหร่จะพาไปเจอน้องเบลล์ซะที ผลัดมาหลายปีแล้วนะ”
เควินไม่ตอบเลี่ยงโดยการขยับหนี แต่เหมยฮัวก็ไม่ยอมแพ้
“ตัดสินใจละ ยกเลิกปาร์ตี้ ฉันจะไปไทย จะไปหาน้องเบลล์ จะไปกินเค้กพิเศษในงานวันเกิดน้องเบลล์ ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่า วันเกิดว่าที่ภรรยาของฉัน ตกลงตามนี้นะคุณพี่เขยที่รัก โอเคเนอะ?”
“ผมไม่โอ...” เควินพยายามจะปฏิเสธ แต่เหมยฮัวไม่ฟัง ยกโทรศัพท์ออกมากดโทร.ออก
“เอรอน ฉันจะไปไทยกับเควิน ไฟท์เดียวกันเลยนะ จัดการเรื่องตั๋วให้ด้วย...จ้ะ เควินอนุญาตแล้ว...เขาต้องยอมสิ...ใช่มะ” ถามเควินโดยยื่นโทรศัพท์ไปให้พูด “เร็วสิ เอรอนรอคำยืนยันจากคุณอยู่นะ”
“ว่าไงครับนายน้อย” เสียงเอรอนลอดออกมา
“เหมยฮัวแค่พูดเล่นน่ะ” เควินปฏิเสธ พลางกดวางสาย เหมยฮัวหน้างอใส่ “อย่าดื้อสิ ถ้าทำตัวน่ารักๆ จะพาสาวคนนั้นมาให้...”
สาวที่ถูกเอ่ยถึงคือคนในหน้าปกแมกกาซีนเล่มหนึ่งที่เหมยฮัวชมก่อนหน้านี้ว่าสวยตรงสเป็ค แถมเธอยังคงเป็นผู้หญิงที่มีรสนิยมเดียวกับ ‘เหมยเหมย’ คือรักสนุกแบบไม่ผูกมัด
“เห็นบอกว่าอยากเจอตัวจริงมานานไม่ใช่เหรอ ผมให้เอรอนติดต่อไว้แล้ว เธอก็ตกลงด้วย...”
“จริงดิ! น่ารักที่ซู๊ด เควินเพื่อนร้า--กกก”
หญิงสาวกรีดร้องเข้าไปคล้องแขน ทำตัวร่าเริงดี๋ด๋าจนอีกฝ่ายตายใจ แต่เมื่ออยู่ลับหลังสายตาเขา แววตาของเธอบ่งบอกชัดเจนว่าเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ แค่นี้แน่!
ความคิดเห็น |
---|