6

บทที่ 6


บทที่ 6 

ทันทีที่ประตูลิฟต์ผู้บริหารเปิดออก ‘นายน้อย’ ที่เพิ่งถูกเอ่ยถึงกำลังก้าวนำคนอื่นออกมาจากลิฟต์ ติดตามมาด้วยคนสนิทสองคนสองสไตล์ หนึ่งคือ ‘ต้าฟง’ หัวหน้าบอดี้การ์ดซึ่งรู้ใจนายน้อยที่สุด เพราะถูกฝึกและโตมาด้วยกัน ต้าฟงเป็นเสมือนเงาของนายน้อย เขาเห็นทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นนาย นอกจากความเคารพที่ให้แล้วยังมีความเห็นใจและสงสารนายที่สุด เช่นเดียวกับ ‘เอรอน เจย์’ ที่แม้รู้จักนายน้อยทีหลังต้าฟง แต่ก็เป็นอีกคนที่เทิดทูนทำงานให้นายน้อย ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นนายจ้าง แต่เพราะผู้ชายคนนี้เป็นผู้มีพระคุณ ที่ดึงเขาออกมาจากนรกความจน ให้ชีวิตใหม่ เขาจึงใช้ความรู้ความสามารถที่มี ทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่รับผิดชอบงานทุกอย่างที่ไม่ใช่งานของต้าฟง 

“ห้านาทีที่นายขอหมดแล้วเอเจ รีบตอบมา ฉันมีเวลาอีกกี่ชั่วโมง” นายน้อยเร่งรัดชายหนุ่มหน้าเอเชียที่มือหนึ่งหิ้วกระเป๋าเอกสาร อีกมือถือเท็บเลตพยายามเลื่อนดูข้อมูลในนั้นแต่ไม่ค่อยสะดวกนัก “ต้องยืมมือต้าฟงช่วยนับมั้ย”

คนที่ถูกเรียกว่า ‘ต้าฟง’  ยื่นมือให้รับมุกนายน้อยแต่สีหน้ายังวางขรึมจริงจัง ในขณะที่เอรอนตีหน้ายักษ์ใส่แล้วโยนกระเป๋าเอกสารไปให้ถือแทน เพื่อสะดวกในการไล่ดูข้อมูลในเท็บเลตที่ดูเหมือนค่อนข้างจะยุ่งเหยิง 

“นายน้อยมีเวลาราวหกชั่วโมงครึ่งก่อนขึ้นเครื่อง แต่ระหว่างนี้ยังมีนัดที่ต้องไปคุยกับคู่ค้าอีก หนึ่ง สองราย...เอ๊ยสามราย ส่วนนัดอื่นๆ ก็...”

“ยกเลิกไปซะ” นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ตารางงานที่เอรอนจัดการดูยุ่งเหยิง “ขอเวลาหกชั่วโมงนั้นคืนฉันนะ” แม้เอ่ยคำว่าขอแต่แต่น้ำเสียงและการแสดงออกบ่งบอกชัดเจนว่าสั่ง “ฉันยังมีของที่จะต้องไปซื้ออีกนิดหน่อย”

“หกชั่วโมงนี่ไม่หน่อยแล้วมั้งครับ” เอรอนประชดกลายๆ แต่ก็เป็นอันตกลงตามนั้น “สรุปหนึ่งอาทิตย์ต่อจากนี้ นายน้อยงดรับงานลาพักร้อนตั้งแต่นาทีนี้”

“ตามนั้น...” บอกกับเอรอนก่อนจะหันมาทางต้าฟง “นายไปเตรียมตัวรอได้แล้ว ฉันเข้ามาเซ็นเอกสารแผ่นสองแผ่นก็จะออกไปเลย”

“ครับ” ต้าฟงโค้งศีรษะรับคำสั่ง ก่อนจะโยนกระเป๋าในมือคืนให้เจ้าของ “เอาของนายคืนไป”

“ของสำคัญนะโว้ย โยนได้ไง” เอรอนได้แต่โวยวายตามหลังอีกฝ่ายที่โบกมือให้ แล้วจึงรีบเดินตามนายน้อยซึ่งตรงไปทางห้องผู้บริหาร ก้าวไปเปิดประตูให้

“หวัดดี เควิน” คำทักทายดังสวนมาจากในห้อง ทำเอานายน้อยที่กำลังจะก้าวเข้าห้องชะงัก  “ไม่พูดทักทายพ่อหน่อยหรือไอ้ลูกชาย”

คิ้วคมเข้มนั้นขมวดทันทีในยามที่เจอเรื่องรบกวนใจ...

“คุณมาที่นี่ทำไม” เควินไม่เคยเรียกคนตรงหน้าว่าพ่อสักครั้ง อย่างน้อยก็นับตั้งแต่วันที่เขาได้เห็นว่าพ่อที่เขาฝันถึงมาโดยตลอด ไม่ใช่คนที่จะสอนสิ่งดีๆ ให้ลูก พ่อรู้จักแต่สอนให้เขาเรียนรู้การทำร้ายคน เพื่อปกป้องอาณาจักรของตัวเอง เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย พ่อสอนให้เขาแข็งแกร่ง แต่สำหรับเขาพ่อคือคนอ่อนแอที่สุด

“ฉันรู้ว่าแกเกลียดขี้หน้าฉัน ฉันก็เลยมาให้แกเห็นซะหน่อย มันเป็นความสุขของฉัน แกไม่รู้รึไง” ผู้เป็นพ่อพูดอย่างนี้เสมอ ไม่เคยถนอมน้ำใจ และนั่นทำให้เทียนคงได้แต่ส่ายหน้า และถอนหายใจ มองนายน้อยอย่างอ้อนวอนขออย่าให้ถือสาหาความกับคนปากร้ายตรงหน้า

“ก็สมใจคุณแล้วนี่” เควินตอบน้ำเสียงราบเรียบออกแนวเย็นชาเสียด้วยซ้ำ นั่นทำให้เทียนคงสบายใจได้บ้าง แต่กลับสร้างความผิดหวังให้นิคไม่น้อย “ถ้าหมดธุระแล้วก็เชิญกลับไปได้ ผมจะทำงาน”

“ใครบอกว่าฉันหมดธุระ...จริงๆ แล้วฉันมาที่นี่เพื่อจะมาบอกข่าวดีของฉันกับแก แต่ข่าวนี้คงเป็นข่าวร้ายของแกละนะ”

สิ่งที่นิคพูดดูจะดึงความสนใจของเควินได้ไม่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ประเภทที่จะขู่คนพร่ำเพรื่อ

“แกจำพวกซินเยียร์ที่ฉันเคยสั่งให้แกไปฆ่าล้างครัวพวกมันได้มั้ย”

เควินจำทุกคนที่เขาเคยทำร้ายตามคำสั่งผู้ชายคนนี้ได้ “ป่านนี้พวกเขาคงไปมีความสุขที่ไหนสักที่แล้วที่หลุดพ้นผู้ชายอย่างคุณไปได้”

“งั้นเหรอ” นิคยิ้มหยัน แววตาดูแคลนความโง่เขลาของลูกชาย “หนีไปนรกน่ะสิไม่ว่า”

“คุณหมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่าแกโหดที่ไม่ฆ่าพวกซินเยียร์ แกเอาทุกอย่างมาจากพวกนั้น เพื่อแลกกับชีวิตพวกมันใช่มั้ย แกบอกว่านั่นคือทางออกเดียว พวกนั้นเชื่อแก ยกทุกอย่างให้ฉันโดยที่ตัวเองแทบไม่เหลืออะไร เพื่อแลกกับชีวิตใหม่ แกคงภูมิใจที่รักษาสี่ชีวิตได้?”

เอรอนมองสบตาเทียนคง ทั้งสองภาวนาให้นายน้อยอดทนนิ่งให้ถึงที่สุด

“แกคงคิดว่าพวกนั้นสำนึกบุญคุณแก ป่านนี้คงไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาตามประสาครอบครัวอบอุ่นสินะ แกคิดจริงๆ เหรอว่าคนที่ไม่มีเงิน ไม่มีบารมีแล้ว จะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้”

“คนอย่างคุณไม่มีวันเข้าใจคำว่าชีวิตมีค่ากว่าทรัพย์สินใดๆ” สุดท้ายเควินก็อดไม่ได้ที่จะโต้ตอบ “คนที่บูชาแค่วัตถุอย่างคุณ คงไม่มีวันเข้าใจหรอก”

“งั้นเหรอ” ยิ้มหยันความคิดไม่เข้าท่าของลูกชาย “แต่ดูเหมือนนายและนางซินเยียร์จะไม่คิดเหมือนแก เมื่อไม่กี่เดือนก่อน สองคนนั้นยิงตัวตายหนีความเมตตาที่แกให้ไปแล้ว ตอนนี้ยังเหลือลูกสาวกับลูกชาย ฉันได้ข่าวมาว่าสองคนนี้แค้นแกมาก คิดว่าคงไม่วางมือง่ายๆ คนของฉันเพิ่งได้ยินมาว่าสองคนนั่นบินไปขอความช่วยเหลือกับญาติฝ่ายแม่ที่เมืองไทย ดูเหมือนจะเป็นนักการเมืองใหญ่ พวกนั้นเข้ามาสืบเรื่องของฉัน แกมองเห็นความยุ่งยากอะไรมั้ยเควิน เห็นสิ่งที่ฉันพยายามเตือนแกมั้ย”

นิคเดินเข้าหาลูกชายที่ยังคงยืนนิ่ง ไม่โต้ตอบ นั่นยิ่งเป็นการเพิ่มโทสะให้คนใจร้อนอย่างเขา ที่แสดงออกโดยการปัดของที่อยู่บนโต๊ะทิ้ง แล้วหันมาตวาดใส่ลูกชาย  

“ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ย ความเมตตาไม่ได้ทำให้ยืนอยู่ตรงนี้ได้ แกต้องฆ่าล้างโคตรพวกมัน นั่นต่างหากที่จะยุติทุกอย่างได้!”

บรรยากาศในห้องเงียบไปหลังคำตวาด ทุกคนจ้องมองปฏิกิริยาของเควินซึ่งยังคงไม่วางตาจากบิดา ราวกับจะตอกย้ำว่าเขายังยืนกรานความเชื่อเดิม 

“ไม่ใช่เพราะความเมตตาของแกหรอกเหรอ ที่ทำให้แกต้องยอมทำทุกอย่างที่ฉันสั่ง” นั่นคือความจริงที่เควินเจ็บปวด และมันอาจจะจริงอย่างที่นิคพูดไว้ ถึงจะรู้อย่างนั้น แต่เขาก็เป็นคนอย่างนั้นไม่ได้  “แกจะทำตัวอ่อนแอไปถึงเมื่อไหร่เควิน ความอ่อนแอไม่ได้ทำให้แกอยู่รอด บนเส้นทางสายนี้! ถ้าแกยังเป็นอย่างนี้สักวันแกจะต้องตายเหมือนหมาข้างถนน!”

ดวงตากร้าวกระด้างจ้องมองลูกชายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ หากมีมีดยาวในมือเควินเชื่อนักว่าผู้ชายคนนี้คงฟันใส่เขาเหมือนที่เคยทำมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน เหตุผลเพียงแค่เขาไม่ยอมใช้ดาบเล่มนั้นทำร้ายคนอื่น ผู้ชายที่เขาควรจะเรียกว่าพ่อคนนี้กลับตวัดดาบนั้นใส่ตัวเขา ดีที่เทียนคงเข้ามาดึงตัวเขาออกไปได้ทัน ไม่อย่างนั้นคอคงขาดไปแล้ว แต่กระนั้นปลายดาบก็ยังตัดผ่านเนื้อต้นแขนขวาลึกจนถึงกระดูก เลือดไหลอาบ แต่ผู้ชายคนนั้นไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เป็นเทียนคงที่พาเขาส่งโรงพยาบาล คอยดูแล ในขณะที่คนที่สร้างรอยแผล ไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงมัน 

“คราวนี้ คุณหมดธุระแล้วใช่มั้ย” เควินข่มโทสะลงได้ เอ่ยพลางเบือนหน้าหนี “งั้นก็เชิญคุณกลับไปได้แล้ว”

“อย่าเพิ่งรีบไล่ฉันนักสิ นานๆ ฉันแวะมาหาแกที ก็ต้องเอาให้คุ้มหน่อย”

เอรอนและเทียนคงเห็นชัดว่านายใหญ่พยายามยั่วให้นายน้อยของตนโกรธ ราวกับว่าความโกรธของลูกชายคืออาหารอันโอชะของผู้เป็นพ่อ

“ฉันจะมาบอกแกว่าฉันจะไปเมืองไทย” ไม่เพียงแค่เควินเท่านั้นที่ตกใจ เทียนคงก็เช่นเดียวกัน คาดการณ์ไม่ถูกว่านายใหญ่คิดจะทำอะไร  เพราะก่อนหน้านี้นายเพิ่งบอกว่าให้ชาคริตไปจัดการ “ฉันจะไปจัดการพวกซินเยียร์ให้หมด เพื่อความสบายใจ แกมีอะไรจะฝากไปถึงคนทางนั้นบ้างมั้ย...ไม่สินะ เพราะแกกำลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน”

เควินยังไม่เข้าใจว่าผู้ชายโรคจิตตรงหน้าจะมาไม้ไหนอีกจึงยังคงนิ่งเฉย

“ฉันไม่ได้หมายถึงพวกซินเยียร์หรอก พวกนั้นฉันจัดการเองได้ ฉันหมายถึงเด็กที่แกแวะไปหาทุกครั้งที่มีโอกาสนั่นต่างหาก  ยังไงเราก็ได้กลับไทยพร้อมกันแล้ว แนะนำให้ฉันรู้จักเธอหน่อยสิ”

“อย่ายุ่งกับ...” คราวนี้ได้ผลอย่างที่นิคต้องการ เพราะเควินกำลังก้าวเข้าหาเขา แววตากระด้างเอาจริง

“อย่ายุ่งกับ?...พูดมาสิ” ยื่นหน้าเข้าใกล้อย่างท้าทาย ทั้งที่รู้ทุกสิ่งที่อยู่ในใจเควิน “แกคงหมายถึงแม่หนูเบลล์  แกจะโกรธอะไร ฉันก็แค่มาถามดู ฉันรับปากกับแกแล้วไง ตราบใดที่แกยังทำงานรับใช้ฉัน ฉันก็จะไม่ทำอะไรเด็กนั่น อย่าทำหน้าตาน่ากลัวอย่างนั้นสิ เควิน ขืนแม่หนูเบลล์มาเห็นเข้าคงได้ตกใจแย่  กี่ปีแล้วนะที่แกรับเป็นพี่ชายที่แสนดีของเด็กชลิตานั่น  ตอนนี้เด็กนั่นโตเป็นสาวแล้วสิ ทำไมไม่รับมาอยู่ที่นี่ด้วยกันล่ะ ถ้าแกไม่ชอบเวกัส ก็พาไปที่รัฐอื่นก็ได้ ฉันไม่เข้าใจ ทำไมแกต้องให้เด็กนั่นต้องอยู่ไกลตาแกด้วย แกไปหาได้ปีละกี่ครั้งกันเชียว เด็กนั่นคงเหงาแย่”

เควินไม่ตอบโต้แต่มือที่ทิ้งไว้ข้างตัวกำแน่น เช่นเดียวกับอาการขบกรามจนขึ้นสัน ท่าทางนั้นดูจะสร้างความพอใจให้กับผู้เป็นบิดาไม่น้อย เจ้าพ่อกาสิโนหัวเราะลงลูกคออย่างสะใจ  

“ถ้าเป็นฉัน รักมากขนาดนั้น ฉันลากมาทำเมียแล้ว” นิคยังไม่หยุดยั่วโทสะลูกชาย “หรือแกไม่กล้า ฉันทำให้มั้ย”

“ผมต้องทำยังไง” เควินพูดแทรกขึ้น ก่อนที่นิคจะพร่ำสิ่งที่เขาเกลียดออกมาอีก “คุณอยากได้อะไรจากผมอีก”

“อะไรนะ” นิคเข้าใจความหมายของคำถามเมื่อครู่ แต่ก็ยังคงแกล้งยียวน “เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ”

“ผมต้องทำยังไง คุณถึงจะเลิกยุ่งกับเบลล์ซะที” วัฏจักรเดิมวนกลับมา นิคไล่ต้อนเควินเหมือนเมื่อในอดีต เอาจุดอ่อนเดิมของเขาออกมาบีบเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ “คุณอยากได้อะไรจากผมอีก...”

เทียนคงสะท้อนใจ นี่สินะสิ่งที่นายวางแผนไว้ แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่นายน้อยทำมาโดยตลอด ก็เพื่อวันนี้ วันที่จะใช้หมากที่ชื่อ ‘ชลิตา’ บังคับให้ลูกชายเดินไปตามทางที่ต้องการ

“แกเรียกร้องเองนะเควิน” นิคยิ้มสาสมใจ ในขณะที่อีกฝ่ายหันมามองแววตากร้าวและไม่ต่อรองอีกแล้ว เพราะเขารู้ดีว่ามันเปล่าประโยชน์ “แกต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ฉันเลือกให้ เพื่อต่อยอดธุรกิจของเรา  แล้วฉันจะทำเหมือนมองไม่เห็นแม่เด็กเบลล์นั่นจริงๆ อย่างที่แกต้องการ...แกจะทำยังไงกับเด็กนั่นก็เรื่องของแก ฉันจะไม่เอาเด็กนั่นมาเป็นหมากในกระดานฉันอีก”

เอรอนรู้ว่านายน้อยพยายามตามหาหนทางที่จะให้นายใหญ่เลิกยุ่งกับชลิตามานาน แล้วนี่เป็นโอกาส แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า นายน้อยของพวกเขาก็ไม่เคยคิดจะอยากทำร้ายใครอีก โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องมาแต่งงานเพราะธุรกิจ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...”  เควินถามในที่สุด

“สำคัญด้วยเหรอ เพราะสุดท้ายแกก็มีแค่ทางเลือกเดียว ถ้าแกยังอยากปกป้องคนที่แกคิดว่าแกติดหนี้ชีวิต” นิคยังคงไม่หยุดพูดเสียดแทงใจลูกชาย “หรือแกว่าไม่จริง?”

“ถ้าผมยอม นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะเอ่ยชื่อเบลล์?” นั่นหมายถึงเลิกยุ่งเกี่ยวในทุกเรื่อง “ถ้าคุณแตะต้องเบลล์อีก ผมนี่แหล่ะจะทำให้คุณสูญเสียทุกอย่างที่คุณรักเหมือนกัน!”

“หึ ขู่เป็นแล้วนี่” นิคดูพึงพอใจกับท่าทีของลูกชาย เขาชอบที่จะให้เควินเป็นอย่างนั้น “แต่ก็ยังอ่อนหัด แต่เอาเถอะแค่แกทำให้ได้สักครึ่งสิ่งที่ฉันทำกับพวกโยธินพิทักษ์ก็นับว่าแกเก่งแล้ว ใจอ่อนอย่างแกจะมีปัญญาทำอะไรได้ ตราบใดที่แกยังมีเด็กเบลล์นั่นเป็นจุดอ่อน แกไม่มีทางทำอะไรฉันได้!”

คำยอกย้อนนั้นเป็นความจริง แค่เห็นแววตาข่มขู่ของนิคในเวลานี้เควินก็ได้แต่กำมือแน่น

“แต่ก็อย่างที่บอก ฉันเป็นคนรักษาสัญญา ฉันให้เวลาแกตัดสินใจอีกหน่อย กลับไปถามความเห็นของแม่หนูเบลล์แกก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาให้คำตอบฉัน”

“คุณจะทำยังไงกับพวกซินเยียร์”

“แน่ใจนะว่าแกอยากรู้คำตอบ”

“ปล่อยพวกเขาไป” เควินบอก

“แกขอข้อแลกเปลี่ยนเพิ่ม?” นิคมองสบตาอ่านใจลูกชาย “ก็ได้ ฉันให้แกอย่างที่ขอ  แต่เรื่องที่ฉันจะให้แกทำก็ต้องยากขึ้นด้วย”

คำพูดของนิคหยุดลงชั่วครู่เพราะเขามองออกไปที่นอกประตู เห็นชาคริตยืนอยู่ จึงส่งสัญญาณให้เข้ามา นิคดูไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ ผิดกับเควิน เขารู้สึกกังวล เพราะเมื่อครู่บทสนทนามีการเอ่ยถึงชลิตารวมถึงตระกูลโยธินพิทักษ์

“รอก่อน ฉันทำธุระกับน้องชายแกแป๊บหนึ่งก่อน” นิคบอกชาคริต แล้วจึงหันกลับมาที่เควินอีกครั้ง เพื่อบอกสิ่งที่คุยค้างต่อ “เงื่อนไขของฉันคือ แกจะทำยังไงก็ได้ให้เหมยฮัว หยางยอมแต่งงานกับแก”

ดูเหมือนทุกคนในห้องจะรู้จักผู้หญิงที่ถูกเอ่ยชื่อ โดยเฉพาะกับเควิน เขาหันหน้าไปทางพี่ชายบุญธรรมที่มีสีหน้าตกใจ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาที่นิค

“ทีแรกฉันแค่จะให้แกยอมแต่ง ส่วนเรื่องจัดการให้เหมยฮัวตกลง ฉันจะทำเอง พอแกขอเงื่อนไขเพิ่ม ฉันเลยให้แกแสดงฝีมือจีบเหมยฮัวเองดีกว่า” นิคพร่ำพูดโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ในห้อง โดยเฉพาะชาคริตที่เวลานี้มีสีหน้าตกใจแต่ก็พยายามซ่อนไว้ แต่คนที่สังเกตก็มองเห็น 

“คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่าชาคริตชอบเหมยฮัว...” คำพูดนั้นบ่งบอกว่าเควินที่เหมือนไม่ได้ใส่ใจใคร กลับรู้สิ่งที่พี่ชายคิดโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องบอก “คุณไม่เคยสนใจ ไม่เคยสังเกตเลยหรือไงว่าทุกครั้งที่คุณให้ไปฮ่องกง ชาคริตจะดีใจ ทุกครั้งที่กลับมาจะพูดถึงคุณหนูหยาง”

 “แกชอบเหมยฮัวเหรอชาคริต” นิคถามไม่อ้อมค้อม ซึ่งทำเอาคนจะตอบอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง “ว่าไงแกชอบเหมยฮัวอย่างที่เควินมันบอกจริงเหรอ”

ทุกสายตารอคอยคำตอบจากชาคริต ซึ่งยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง เหมือนพยายามไตร่ตรองหาคำตอบ

“เปล่าครับ...ผมไม่อาจเอื้อมหรอกครับ แล้วอีกอย่าง คุณหนูหยางก็ไม่มีทางจะชอบผม แต่ถ้าเป็นนายน้อยตระกูลรีฟส์ก็ไม่แน่หรอกครับ ทั้งสองคนคู่ควรกันเหมือนกิ่งทองใบหยก ถ้าดองกันได้ก็น่ายินดี”

ทุกคนในห้องรู้ว่านั่นเป็นคำตอบที่ชาคริตพูดเพื่อให้นิคพอใจแต่มันไม่ใช่คำตอบที่จริง

“เห็นมะ แค่นี้ก็หมดปัญหา...” นิคเบือนหน้ากลับมาที่ลูกชาย “ปัญหาเหลือแค่ แกจะทำยังไงให้เหมยฮัวตกหลุมรักแก เพราะต่อให้ฉันออกปากขอลูกสาวจากเจ้าสัวหยางไว้ แต่สุดท้ายถ้าเหมยฮัวปฏิเสธ ทุกอย่างเป็นอันจบ เพราะเจ้าสัวหยางเคยให้คำสัญญากับภรรยาที่เสียไปว่าจะไม่บังคับลูกสาวคนเดียวให้แต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก ซึ่งบอกตรงๆ ฉันค่อนข้างหงุดหงิดกับเรื่องนี้ แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเจ้าสัว”

“คุณหนูหยางเป็นคนโชคดีที่มีพ่อประเสริฐและเป็นคนดีมาก”

“อาจใช่ เจ้าสัวหยางเป็นคนดี ผิดกับฉัน” นิคยิ้มรับคำดูแคลนที่ลูกชายว่ากระทบ “เพราะฉะนั้น แกจำใส่กะโหลกไว้ให้ดีเควิน ถ้าแกทำไม่สำเร็จ จะต้องมีคนรับผิดชอบและมีคนต้องโชคร้าย แล้วแกก็น่าจะรู้ว่าคนคนนั้นที่ฉันเลือกไว้แล้วเป็นใคร”

นั่นคือคำขู่สุดท้ายก่อนที่นิคจะเดินออกไปจากห้องพร้อมเทียนคง โดยมีชาคริตรีบตามออกไป ทิ้งเควินไว้กับความโกรธที่อัดอั้นในอก เอรอนเองก็ได้แต่ยืนนิ่ง คิดว่าจะต้องพูดอะไรออกไป แต่ยังไม่ทันจะได้ทำ เขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อนายน้อยเลือกที่จะระบายความโกรธโดยซัดเปรี้ยงเข้าที่โต๊ะเต็มแรง

“โธ่โว้ย!”

นั่นคือคำสบถที่ต้าฟงซึ่งเพิ่งเปิดประตูเข้ามาทันได้ยิน เขาเบือนหน้าสบตาเอรอน ต่างรู้สึกสงสารนายน้อย แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร นอกจากยืนอยู่ข้างๆ อย่างที่เคยทำ รอให้นายน้อยที่กำลังท้อแท้สิ้นหวัง เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เพราะพวกเขาเชื่อเสมอว่านายน้อยของพวกเขาไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่อย่างนั้น นายน้อยคงยอมแพ้ไปนานแล้ว

“ฉันต้องการรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเหมยฮัว หยาง จัดการให้ด้วย” เควินบอกเอรอนเมื่อพาตัวเองออกมาจากความโกรธได้ในที่สุด 

“ครับ” ทนายหนุ่มตอบรับแววตามีกังวล ครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่คาใจ “นายน้อยคิดจะแต่งงานเพื่อธุรกิจจริงเหรอครับ”

“ทั้งที่พยายามเลี่ยงเรื่องนี้มาโดยตลอด ผมไม่คิดว่านายน้อยจะยอม” ต้าฟงเองก็ตกใจ

คำถามของลูกน้องยิ่งทำให้เควินนึกสมเพชตัวเอง สุดท้ายเขาก็คงเป็นคนอ่อนแออย่างที่ผู้ชายคนนั้นบอก ผู้ชายที่เขาจะไม่มีวันเรียกว่าพ่อ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ทางสายเลือดขาดลง เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงสามารถหยิบปืนมาระเบิดสมองผู้ชายที่เขาเกลียดนั้นได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากอย่างที่ผู้ชายคนนั้นท้าทาย

“คนอย่างฉัน มีทางเลือกไม่มากนักหรอกนะ ถ้าต้องเลือกระหว่างน้องเบลล์กับผู้หญิงคนอื่น พวกนายก็น่าจะรู้ว่าฉันจะเลือกใคร...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น