7

บทที่ 7



 

บทที่ 7 

“สมูทตี้เลิกสำรวจได้แล้ว ไม่มีขนมของแกหรอกนะ” เจ้าแมวตัวอ้วนที่ถูกทักเงยหน้าขึ้นตะกร้าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยของสดและผักสำหรับทำอาหารค่ำวันนี้ “อยากกินขนมเหรอ ไปขอจุ๋นเจี๋ยนะ ห้องโน้นเลย...”

พิมพ์พรบอกพลางชี้มือไปที่ประตูเป็นสัญญาณ เจ้าแมวอ้วนเอียงคอเหมือนไม่เข้าใจ แต่แล้วมันก็กระโดดลงจากโต๊ะ วิ่งหลุนๆ ออกไปนอกห้องอย่างที่มันเคยทำ

“อามูสตี้ ลื้อไปซงที่ไหนมา อั้วรอตั้งนาน  อารายอ้อนแบบนี้ หิวละซี่ มาๆ อั้วแกะขนมให้” 

เสียงจุ๋นเจี๋ยจากห้องนั่งเล่นดังแว่วเข้ามา หญิงวัยเกือบกลางคนอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดูในความแสนรู้ ประจวบกันเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หล่อนรีบกดรับสาย ไม่มองก็รู้ว่าคู่สายเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘นายน้อย’ ผู้ปรุงอาหารพิเศษแล้วให้คนนำมาส่งที่บ้านริมน้ำเป็นประจำ ใช้ข้ออ้างเดิมๆ โดยให้บอกชลิตาว่า คนบ้านโน้นนำมาฝากตามมารยาท ทั้งที่ความจริงแล้ว อาหารทุกกล่องที่ถูกส่งมาที่นี่  คนทำล้วนตั้งใจปรุงขึ้น เพื่อเด็กสาวคนเดียวในบ้านที่โปรดปรานขนมหวานเป็นที่สุด แต่เพราะอาการแพ้อาหารทำให้ต้องเลือกทาน ทว่าบ่อยครั้งที่ยังพลาดเจอสิ่งที่แพ้ ทำให้เธอแก้ปัญหาโดยการไม่ทานสิ่งที่ไม่ได้ปรุงขึ้นเองในบ้าน ยอมอดดีกว่าทำให้คนรอบตัวเดือดร้อน   

“สวัสดีค่ะ” ผู้มากวัยกว่าทักทายสดใสอย่างเคย

“หวัดดีพิมพ์ วันนี้น้องเบลล์เป็นไงบ้าง” คำถามเดิมๆ ที่ไม่ได้ดูแตกต่างจากทุกครั้ง แต่พิมพ์พรกลับสัมผัสได้ว่าวันนี้คู่สายดูเหนื่อย น้ำเสียงพูดไร้พลังอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นความห่วงใยที่ชายหนุ่มมีให้ชลิตากลับไม่เคยเปลี่ยน “ได้ข่าวว่าเมื่อคืนที่นั่นฝนตกหนักเหรอ”

“ค่ะ ฟ้าร้องทั้งคืน” พิมพ์พรรู้ว่าทำไมนายน้อยใส่ใจเรื่องฟ้าฝนของที่นี่ นั่นเป็นเพราะรู้กันว่าสภาพอากาศจะทำให้ชลิตามีอาการเครียด นอนไม่หลับ หรือถ้าหลับก็จะฝันเห็นครอบครัวถูกฆ่า รวมถึงภาพความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อ ภาพที่พิมพ์พรพยายามให้ชลิตาเชื่อว่ามันเป็นเพียงฝันร้ายน่ากลัว หาใช่ความจริง

“งั้นเมื่อคืนน้องเบลล์คงแทบไม่ได้นอนเลยสินะ วันนี้ไปเรียนไหวมั้ย” บ่อยครั้งที่ชลิตาเครียด นอนไม่หลับ ไมเกรนขึ้นจนบางครั้งต้องหยุดเรียน นั่นทำให้เควินเป็นห่วง และคอยติดตามข่าวสภาพอากาศที่บ้านริมน้ำแทบทุกครั้ง

“ทีแรกพิมพ์ก็กังวลเหมือนกันค่ะ แต่น้องเบลล์กลับไม่เป็นไรมาก ตื่นสายนิดหน่อยค่ะ  คงเพราะเพิ่งหลับสนิทตอนใกล้รุ่งสาง วันนี้ไปเรียนได้ตามปกติค่ะ”

“เก่งขึ้นมากเลยนะ ระยะหลังถ้าอยู่ในบ้านแทบไม่เป็นไรเลย”

“ค่ะ ตั้งแต่มีสมูทตี้น้องเบลล์ดีขึ้นมาก แทบไม่ฝันร้ายเลย”

“สัตว์บำบัดสินะ คงต้องยกความดีความชอบให้สมูทตี้”

“ค่ะ น้องเบลล์ก็พูดเสมอว่าเธอดีขึ้นเพราะมีสมูทตี้ สัญญากับมันว่าจะดูแลให้ดี บอกกับพิมพ์ว่าจะเลี้ยงมันให้อ้วนเหมือนเจ้าคริสต์มาสของนายน้อยด้วยนะคะ ถึงขนาดเอารูปคริสต์มาสไปแปะไว้ที่ห้องนอน ชี้รูปให้สมูทตี้ดู พูดกับมันว่าต้องอ้วนและสวยให้ได้เหมือนคริสต์มาส อาบน้ำ แปรงขนให้ ดูแลกันดีมากๆ เลยค่ะ”

“งั้นคงไม่ต้องหาคนช่วยดูแลแล้วล่ะ เก่งขนาดนี้”

คำพูดลอยๆ นั้นทำให้พิมพ์พรไม่เข้าใจ เควินจึงต้องอธิบายเพิ่ม

“เมื่อก่อนน้องเบลล์อยากเลี้ยงแมวมาก แต่แม่นิดไม่ให้เลี้ยง เพราะบอกว่าน้องเบลล์ยังเด็กดูแลแมวไม่ไหว เธอก็รบเร้าขอให้คนนั้นคนนี้ออกปากว่าจะช่วยเลี้ยง ทั้งพ่อเชาว์ ชรินทร์ แล้วก็ฉัน เพื่อให้แม่นิดอนุญาต”

“น้องเบลล์ก็บอกเหมือนกันค่ะว่าอยากเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยง”

“เกือบจะได้เลี้ยงแล้วล่ะ ถ้าไม่เกิดเรื่องซะก่อน...”

พิมพ์พรเข้าใจดีว่า ‘เรื่อง’ ที่ถูกเอ่ยถึงเป็นที่มาของนรกในใจเควิน มันเหมือนแผลที่ยังรักษาไม่หาย แล้วทุกครั้งที่นึกถึงอดีตนี้ มันก็ไม่ต่างกับการทำให้แผลนั้นกลัดหนองขึ้นอีกครั้ง

“อ้อ พิมพ์ลืมเล่าค่ะ วันก่อนเราทำบาบีคิวกันนอกบ้าน ระหว่างติดไฟเตาถ่าน น้องเบลล์แกล้งสมูทตี้ด้วยค่ะ เธอเอามือเปื้อนถ่านทาหน้าสมูทตี้ดำเมี่ยมเลย ทำเสร็จก็เรียกให้พิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยดู ถามว่าหน้าเหมือนคริสต์มาสรึยัง  น้องเบลล์ของนายน้อยน่ะ เห็นดูเรียบร้อยๆ แต่ก็ซนนะคะ” 

พิมพ์พรรู้ว่าการเล่าเรื่องน่ารักๆ ที่เกี่ยวกับชลิตาจะช่วยปัดเป่าความเศร้า ความเหนื่อยให้กับนายน้อยได้ทุกครั้ง เพราะมันเหมือนมีมนต์ขลังที่ช่วยเยียวยา ครั้งนี้ก็คงเช่นเดียวกัน

“แล้วพิมพ์ว่าเหมือนมั้ย”

“คล้ายค่ะ ถ้าจะให้เหมือนต้องให้สมูทตี้อ้วนกว่านี้อีกหน่อย ขนสมูทตี้ฟูแต่ไม่พองเท่าคริสต์มาส แถมยังตัวเล็กกว่าด้วยค่ะ”

“สมูทตี้น่าจะเป็นลูกผสมแมวไทยกับเปอร์เซีย ขนคงฟูเท่าคริสต์มาสที่เป็นแมวแร็กดอลล์ยาก แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ  ถ้าน้องเบลล์ยังขุนให้อ้วน แปรงขนให้ฟูอย่างที่พิมพ์เล่า ไม่นานอาจจะพองเท่าเจ้าคริสต์มาส เพราะเปอร์เซียก็ขนเยอะอยู่แล้ว ซื้ออาหารบำรุงหน่อยจะได้สวยๆ ไว้ฉันซื้อไปให้”

“ดีค่ะ พิมพ์ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ส่วนน้องเบลล์ก็เกรงใจค่ะ จะซื้ออะไรให้สมูทตี้ก็จะเจียดค่าขนมของตัวเองซื้อให้ค่ะ พิมพ์ให้เงินไปก็เอามาคืนตลอด”

“ยังขี้เกรงใจเหมือนเดิมนะ แต่ไม่เป็นไร กลับบ้านครั้งนี้ฉันมีของฝากให้สมูทตี้กับน้องเบลล์เพียบเลย ชิ้นล่าสุดเป็นของที่เหมาะกับน้องเบลล์และสมูทตี้เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ก่อนขึ้นเครื่องเลย ใช้เวลาเลือกตั้งนาน โดนเอเจบ่นจนหูชา”

“คุณเอรอนคงลำบากแย่” 

“พิมพ์...คนที่ลำบากคือฉัน” น้ำเสียงนั้นทอดยาวฟังดูน่าสงสารปนน่าเอ็นดู “เจ้านั่นลำบากตรงไหน ทำตัวน่ารำคาญจะตาย ทั้งพูดมาก ทั้งขี่บ่น พิมพ์ก็รู้”

“ค่ะ” พิมพ์พรขำเพราะชินกับสถานการณ์เหล่านั้นพอสมควร “นายน้อยคงใช้เวลามากสินะคะในการเลือกของฝากครั้งนี้”

“อยากให้เวลามากกว่านี้ด้วยซ้ำ...อ้อ มีของจุ๋นเจี๋ยกับพิมพ์ด้วยนะ ใส่ใจเลือกเหมือนกัน” 

“งั้นเหรอคะ” 

“พิมพ์ไม่เชื่อเหรอ”

“ค่ะ เชื่อสิคะ  พิมพ์ดีใจนะคะ ที่นายน้อยคิดถึงพวกเรา ถ้าน้องเบลล์รู้ว่านายน้อยทำเพื่อเธอขนาดนี้คงดีใจ ถึงจะเกิดมาอาภัพแต่เธอยังโชคดีที่ได้เจอนายน้อย”

ผู้มากวัยรู้ตัวกว่าพลั้งปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรก็ตอนอีกฝ่ายเงียบไป... 

“ไม่จริงหรอกพิมพ์... ถ้าในวันนั้นน้องเบลล์ไม่เดินมาหาฉัน ไม่ยื่นมือให้ฉัน เธอคงไม่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ไม่ต้องมีสภาพอย่างทุกวันนี้ ป่านนี้เธอคงเป็นเด็กสาวที่อยู่ท่ามกลางครอบครัวอบอุ่น มีพ่อ แม่ พี่ชายที่แสนดี คอยดูแลเธอ ไม่ต้องกลายเป็นคนที่กลัวเสียงดัง หรือเสียงฟ้าร้อง ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก”

พิมพ์พรพูดไม่ออก ได้แต่โทษตัวเองที่ปากไว ไม่ระวัง

“ฉันเป็นคนเอาทุกอย่างไปจากเธอ...ฉันอยากชดใช้ให้ ชดเชยสิ่งที่น้องเบลล์ต้องเสียไป ทั้งที่ฉันก็รู้ว่ามันไม่มีทางชดเชยได้หมด แต่ฉันก็ทำได้เพียงเท่านี้พิมพ์ ทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ ฉันอยากทำได้มากกว่านี้ แต่ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไง...”

“พิมพ์รู้ค่ะ...พิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยรู้ เราทั้งคู่จึงพยายามจะเป็นพ่อแม่ให้น้องเบลล์ เติมเต็มส่วนที่หายให้เธอ”

“ฉันเป็นหนี้บุญคุณพิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยมาก”

“อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ พิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยเต็มใจ แล้วนายน้อยก็ดูแลพวกเราอย่างดี ถ้าไม่มีนายน้อยพวกเราคงลำบาก ที่พิมพ์จะพูดคือ เราเป็นพ่อแม่ให้น้องเบลล์ได้ แต่พี่ชาย นายน้อยคงต้องเป็นให้น้องเบลล์เองนะคะ”

“ฉันก็อยากเป็น อยากทำอย่างนั้นนะพิมพ์ แต่...”

“พิมพ์รู้ว่านายน้อยกลัวการเข้ามาใกล้น้องเบลล์ รู้ว่านายน้อยมีเหตุผลที่ไม่กล้า เหตุผลนั้นอาจจะดูสมควร แต่พิมพ์ก็ยังอยากยืนยันคำเดิมว่า ถ้าน้องเบลล์มีนายน้อยอยู่ใกล้ มันจะเป็นผลดีกับน้องเบลล์มากกว่าผลเสียอย่างแน่นอน”

“ฉันไม่มั่นใจ แต่ทำไมพิมพ์มั่นใจอย่างนั้นล่ะ”

“เพราะน้องเบลล์จะมีคนที่รักและหวังดีกับเธออยู่ใกล้ๆ คอยให้คำปรึกษาให้คำแนะนำ พิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยเรียนมาน้อย รู้อะไรก็แค่งูๆ ปลาๆ อย่างเรื่องเรียนน้องเบลล์ก็คงไม่รู้จะไปปรึกษาใคร  ถึงได้ดีใจเมื่อรู้ว่าคนข้างบ้านมีความรู้พอจะให้คำปรึกษา เธอถึงได้เฝ้ารอวันที่จะได้คุยกับคุณเคย์”

“พิมพ์รู้ใช่มั้ยว่าฉันคือหนึ่งในปีศาจร้ายที่อยู่ในฝันของน้องเบลล์” 

“แต่เป็นปีศาจที่พยายามจะปกป้องน้องเบลล์นะคะ  แล้วตอนนี้นายน้อยคือผู้มีพระคุณของน้องเบลล์ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย นายน้อยเฝ้าตามดูแลปกป้อง ครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามหาสิ่งดีๆ ให้ นั่นต่างหากที่สำคัญ ชีวิตคนเรานั้นสั้นนิดเดียวนะคะ สิบกว่าปีที่พิมพ์เห็นนายน้อยแอบเฝ้าตามดูแลน้องเบลล์ พิมพ์มั่นใจว่าในโลกนี้ไม่มีใครจะรักและหวังดีกับน้องเบลล์เท่ากับนายน้อยอีกแล้ว  ยกโทษให้ตัวเองเถอะนะคะ นายน้อยลงโทษตัวเองมานานพอแล้ว ความสุขของนายน้อยคือการได้เห็นรอยยิ้มของน้องเบลล์ แต่ทำไมไม่มาดูด้วยตาตัวเองล่ะคะ มาดูให้เห็นว่าวันนี้น้องเบลล์ยิ้มได้แล้ว รอยยิ้มที่เกิดขึ้นเพราะมีนายน้อยคอยประคองชีวิตให้ กลับมาเถอะค่ะ มาดูแลน้องสาวของนายน้อยตัวด้วยนายน้อยเอง”

“ฉันทำได้จริงๆ เหรอพิมพ์” นั่นคือคำถามที่คาใจตลอดมา คำถามที่ไม่กล้าแม้แต่จะถามตัวเอง วันนี้ความประหวั่นใจทำให้พูดออกมา “ฉันไปอยู่ใกล้ๆ น้องเบลล์ได้จริงเหรอ ฉันจะไม่กลายเป็นคนที่ทำร้ายน้องเบลล์จริงเหรอ ถ้าวันหนึ่งน้องเบลล์จำอดีตได้...”

“จะไม่มีวันนั้นหรอกค่ะ นั่นจะเป็นความลับไปตลอดกาล  ตอนนี้น้องเบลล์เชื่อสนิทใจว่าครอบครัวตายไปเพราะเหตุไฟไหม้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสุสานของครอบครัวอยู่ที่ไหน พิมพ์เคยลองใจโดยแนะนำให้ไปหาญาติ หาข้อมูลจากโรงเรียนเก่าเผื่อมีคนจำเธอได้ ให้เธอลองตามเรื่องนี้ แต่เธอปฏิเสธ บอกว่าจำพวกเขาไม่ได้แล้ว และตลอดหลายปีไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเธอซักครั้ง เธอคงไม่มีตัวตนสำหรับพวกเขา ขออยู่กับปัจจุบันดีกว่า เธอมีล็อกเกตนาฬิกาเป็นตัวแทนของครอบครัวก็พอแล้ว”

“นั่นเพราะน้องเบลล์ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เลยค่ะ ทีแรกพิมพ์คิดว่าน้องเบลล์คงพูดเพราะน้อยใจชะตาตัวเอง หรือแค่ไม่อยากให้พิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยเป็นห่วง แต่เท่าที่สังเกต ระยะหลังน้องเบลล์คิดอย่างนั้นจริงนะคะ เธอรู้สึกว่าเราคือครอบครัวของเธอ ที่มีตัวตนอยู่จริง”

“ครอบครัวที่มีอยู่จริง...”

“น้องเบลล์พร้อมจะเริ่มต้นกับครอบครัวใหม่นานแล้ว คราวนี้ก็เหลือแค่นายน้อยแล้วนะคะ เมื่อไหร่นายน้อยจะพร้อม...พร้อมที่จะลืมอดีต แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ มาเป็นพี่ชายให้น้องสาวของนายน้อย อย่างที่ตั้งใจคะ”

เควินนิ่งไปอย่างใช้ความคิด นี่อาจเป็นโอกาส  เมื่อชลิตาจำอดีตไม่ได้ เขาก็สามารถกลับมาดูแลเธอใกล้ๆ ในฐานะของพี่ชายได้ ถ้าเขาทำในสิ่งที่นิคเสนอ แต่งงานกับเหมยฮัว เขาก็ซื้อความปลอดภัยให้ชลิตาได้ ไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวแล้วไม่ใช่หรือ...

“ทำตามใจที่นายน้อยต้องการเถอะนะคะ คิดซะว่าพิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยขอ”

หลังคำอ้อนวอนนั้น เวลาผ่านไปเกือบอึดใจ พิมพ์พรก็ได้คำตอบที่เฝ้ารอ    

“ฉันจะลองดู กลับไปคราวนี้ ฉันจะออกไปเจอน้องเบลล์ จะไม่หลบหน้าอีกแล้ว ฉันจะได้มีตัวตนจริงๆ ในสายตาของน้องเบลล์”

“พิมพ์ดีใจนะคะ ที่นายน้อยตัดสินใจเรื่องน้องเบลล์ในครั้งนี้...” พิมพ์พรมีเรื่องจะคุยต่อ แต่เสียงเปิดประตูหน้าบ้านบ่งบอกว่า คนที่กำลังถูกพูดถึงเพิ่งกลับมาจากโรงเรียน “น้องเบลล์กลับมาพอดีเลยค่ะ นายน้อยจะเปิดตัวตอนนี้เลยมั้ยคะ ในฐานะคุณเคย์”

“เอ่อ ไม่...ยัง...ก่อนดีกว่า...” เอาเข้าจริงก็ยังไม่กล้า พิมพ์พรขำ “ขอเวลาเตรียมใจอีกนิด”

“ค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะนายน้อย ไม่ใช่แล้วสิ...ต่อจากนี้พิมพ์คงต้องเรียกคุณเคย์ให้ชินปากจะได้ไม่หลุด”

“ขอบใจนะพิมพ์ ขอบใจที่ให้ความกล้ากับฉัน”

“พิมพ์ยินดีค่ะ ว่าแต่มาคราวนี้คุณต้าฟงกับคุณเอรอนมาด้วยมั้ยคะ”

“แล้วพิมพ์คิดว่าไงล่ะ” คำตอบแสดงอารมณ์เซ็งๆ  ทำให้ป้าพิมพ์ขำพอเดาคำตอบได้ “ต้าฟงตามติดเป็นเงา ตามหลังต้อยๆ  ส่วนเอเจบอกจะตามมา หลังเคลียร์งานเสร็จ  ฉันพยายามจะหางานให้เจ้านั่นทำ จะได้ไม่ต้องตามมา แค่ต้าฟงคนเดียว ฉันก็ปวดหัวจะแย่” 

“โถ อย่าโกรธเลยค่ะ ทั้งสองเป็นห่วงนายน้อยนี่คะ”

“ห่วงเกินไปมั้ย ให้หายใจบ้างเถอะ เห็นหน้ากันทุกวันเบื่อจะแย่”

“กี่ปีแล้วนะคะที่อยู่ด้วยกันมา” พิมพ์พรรู้ว่าถึงจะบ่น แต่นายน้อยก็เข้าใจความหวังดีจึงได้ยอมทั้งที่ไม่ชอบ “อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะ ทั้งคุณต้าฟงและคุณเอรอนคงเห็นนายน้อยเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง น้องชายที่พวกเขายอมใช้ทั้งชีวิตปกป้อง...”

“คงอย่างนั้น...” 

 

พิมพ์พรล่ำลาก่อนกดวางสาย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องสะดุ้งเล็กๆ เมื่อมีดวงตากลมแป๋วมองอยู่ข้างหลัง เพราะเมื่อครู่เหมือนเพิ่งได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน ไม่คิดว่าเผลอครู่เดียวเด็กสาวก็มายืนอยู่หน้าประตูครัว

“มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก” เอ่ยถามพยายามซ่อนพิรุธ “ปกติหนูต้องแวะทักทายจุ๋นเจี๋ย เล่นกับสมูทตี้ก่อนไม่ใช่เหรอ”

“เบลล์หิวน้ำค่ะ เลยมานี่ก่อน” ตอบพลางเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบกระบอกน้ำมาเทใส่แก้ว “ว่าแต่เมื่อกี้นายน้อยโทร.มาเหรอคะ”

“เปล่า คุณเคย์น่ะลูก เขาโทร.มาขอบคุณที่ช่วยเป็นธุระดูคนงานมาทำความสะอาดบ้านให้” พิมพ์พรเริ่มชินกับการหาเหตุผลมาอ้างกับเด็กสาว “เลยรู้ว่าตอนนี้เขากำลังรอขึ้นเครื่อง เห็นว่าพรุ่งนี้ก็น่าจะมาถึงบ้านแล้วล่ะ”

“พรุ่งนี้?” ชลิตาแทบสำลักน้ำที่เพิ่งยกดื่ม รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “พรุ่งนี้เบลล์ไม่ว่างนี่ นัดบอลลูนกับพี่ลูกโป่งไว้แล้วว่าจะไปบ้านอุปถัมภ์ กว่าจะกลับก็เย็นเลย จะได้เจอพี่ชายมั้ยเนี่ย”

“พี่เขามาอยู่หลายวันจ้ะ คราวนี้ป้าว่าน้องเบลล์คงได้เจอพี่เขาจริงๆ แล้วล่ะ” 

“ก็หวังอย่างนั้นค่ะ”

“ว่าแต่พรุ่งนี้จะไปกันกี่โมงจ๊ะ”

“แต่เช้าเลยค่ะ จะได้ตัดหญ้ารอบบ้านเสร็จก่อนมืด ไม่ได้ไปทำซะนานครูบอกว่าหญ้าขึ้นรกมากเลยค่ะ คงใช้เวลาเยอะกว่าทุกครั้ง นี่พี่ลูกโป่งจะเอาลูกน้องไปช่วยสองสามคน ตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จค่ะ” 

ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงคือสองพี่น้องซึ่งมีบ้านอยู่กลางซอย เป็นอู่ซ่อมและตกแต่งรถ ชื่อ ‘อู่พองลม’ แม้จะไม่ใช่อู่ใหญ่โต หรูหรา แต่คนละแวกนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ลูกโป่ง’ หรือดำรงเจ้าของอู่ อดีตหัวหน้าแก๊งค์เด็กแว้นวัยเบญจาเพศ เป็นคนหน้าตาดี แต่ต้องวงเล็บว่าถ้านำมาจับแต่งตัวซะใหม่  จับอาบน้ำ จัดการกับผมที่กระเซิงเป็นรังนก แล้วตัดเล็บดำๆ เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน เพราะดำรงหรือลูกโป่งมักโดนคนพูดใส่หน้าทำนองว่า เสียดายเกิดมาหล่อ ทำตัวเสียของมาก ซกมกน่าขนลุก นั่นเพราะเขาต้องทำงานในอู่ซ่อมรถจึงดูเป็นคนสกปรก โดนน้องสาวเอ็ดเรื่องล้างมือไม่สะอาดเป็นประจำ อีกทั้งยังชอบทำอะไร เฉิ่มๆ เชยๆ ตามยุคสมัยไม่ค่อยทัน หัวช้า เรียนน้อย เพราะต้องทำงานเลี้ยงน้อง เป็นพี่ชายที่หวงน้องมากจนขึ้นชื่อ

คนบ้านริมน้ำรู้จักพี่น้องคู่นี้เมื่อราวครึ่งปีก่อน ระหว่างที่ชลิตาออกไปตามหาสมูทตี้ที่ติดสาวหนีออกจากบ้าน เธอออกตามหาแล้วไปเจอพวกเด็กแว้นแซว โชคดีที่บอลลูนผ่านมาเจอเลยช่วย ตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเด็กแว้นถึงได้ยอมถอยไปง่ายๆ จนกระทั่งบอลลูนเล่าว่าพี่ชายเธอเคยเป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็กแว้น เกเรมาก่อน ถึงตอนนี้จะเลิกแล้วแต่พวกสิงห์นักบิดก็ยังให้ความเคารพและส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าที่อู่ การได้รู้จักสองพี่น้องทำให้คนบ้านริมน้ำใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะไปไหนก็มีคนรู้จักและคอยให้ความช่วยเหลือ

“เดี๋ยวป้าทำกับข้าวให้ไปทานกันดีกว่า”  พิมพ์พรยังคงใจดีดั่งเคย  “มีใครบ่นอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยคราวนี้ หรือจะเอาแหนมซี่โครงหมูทอดของโปรดลูกโป่งเหมือนเดิม”

“เอาด้วยค่ะ แล้วคราวนี้พี่ลูกโป่งเรียกร้องเมนูปลาดุกฟูเพิ่ม ขอมะม่วงเยอะๆด้วยค่ะ ส่วนบอลลูนอยากกินผัดหมี่เจสูตรจุ๋นเจี๋ยค่ะ เบลล์ก็อยากกินด้วย ไม่ได้กินนานละ”  

“ได้จ้ะ งั้นเดี๋ยวเย็นๆ ป้าไปจ่ายตลาดเองดีกว่าจะได้เลือกของสดมาทำ เดี๋ยวหนูเรียกแท็กซี่ให้ป้าด้วยนะ”

“ไม่ต้องเรียกแท็กซี่หรอกค่ะ พี่ลูกโป่งบอกว่าขันอาสาขับรถพาป้าพิมพ์ไปตลาดเองเลย บอกจะลองเครื่องรถใหม่ด้วย” ชลิตาบอกอย่างสดใส ในขณะที่ป้าพิมพ์หน้าเปลี่ยนสี  “ให้เบลล์โทร.เรียกเลยมั้ยคะ”

“ไม่ต้อง! ไปเองดีกว่าจ้ะ ไม่อยากให้ลูกโป่งคอย ป้าเกรงใจ”

ชลิตาหัวเราะอย่างรู้ทันว่าป้าพิมพ์เป็นคนที่กลัวการนั่งรถกับลูกโป่งยิ่งกว่าอะไร เพราะลูกโป่งนอกจากจะขับรถหวาดเสียวแล้วยังเป็นคนชอบแกล้งหยอกให้คนแก่ตกใจ แถมยังเป็นประเภทพูดมาก ชอบทำอะไรเสียงดังๆ เรียกร้องสายตาคนให้หันมอง เป็นคนตลกโฉ่งฉ่าง ที่แม้ดูซื่อๆ แต่ก็ทำให้คนที่ไปด้วยอายอยู่ไม่น้อย

“ป้าไปเลยดีกว่า ถ้าลูกโป่งมาบอกว่าป้ารีบนะ”

ยังไม่ทันจะสิ้นคำเสียงบีบแตรรถก็ดังลั่นที่หน้าบ้าน ตามมาด้วยเสียงตะโกนเรียก

“พิมพ์จ๋า ไอ้บ่าวมารับแล้ว พร้อมจะไปซิ่งกันได้รึยังคร้า--บ”

“ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ” ชลิตาแอบขำสีหน้าตกใจของป้าพิมพ์ ที่แม้จะไม่ชอบนั่งรถกับลูกโป่ง แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธเพราะรู้ว่าชายหนุ่มหวังดี “ไปดีมาดี อย่าลืมรัดเข็มขัดนะคะ”

เด็กสาวทำทะเล้นเล็กๆ พิมพ์พรทำหน้าดุ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มใสๆ นั้นก็เผลอยิ้มตาม อยากให้นายน้อยมาเห็นรอยยิ้มนี้ไวไว นายน้อยคงมีความสุขมาก เหมือนที่หล่อนมีในเวลานี้...

 

ณ สนามบินสุวรรณภูมิ บรรยากาศภายในอาคารผู้โดยสารดูวุ่นวาย ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาด้วยความรีบเร่ง บ้างลากกระเป๋าใบใหญ่ บ้างเข็นรถเข็นสัมภาระ ต่างไม่มีใครสนใจใครมากนัก จะมีก็แค่ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่ดูโดดเด่นด้วยรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวอมชมพู ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ชวนมอง

ดวงตาใต้แว่นสายตานั้นกวาดมองป้ายไฟรอบอาคาร  ตัวอักษรภาษาไทยที่เห็นบ่งบอกว่า นี่คือบ้านที่คิดถึง นี่คือสถานที่พักร้อนอย่างแท้จริง ไม่มีที่แห่งไหนที่อยากไปเท่าที่นี่อีกแล้ว การกลับมาครั้งนี้ เขามาในฐานะผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง  ที่ไม่ใช่เจ้าพ่อมาเฟีย ไม่ใช่คนที่ถือปืนมีลูกน้องเดินประกบหน้าหลังสร้างบารมีให้คนกลัวเกรง  ชื่อของเขาในเวลานี้คือ 'กวิน ธาดาโสภณ' ชื่อที่ไม่ได้ใช้มานาน แต่วันนี้ผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ เพราะเอรอนได้จับตัว ‘เควิน รีฟส์’ มาสลัดคราบใหม่

อดีต ราวหนึ่งอาทิตย์ก่อน...

‘ถ้านายน้อยจะเป็นเชฟกวินเพื่อไปบ้านริมน้ำ ก็ต้องมีการเปลี่ยนรูปลักษณ์กันใหม่’

เอรอนเสนอความคิดเห็น โดยต้าฟงสนับสนุนเพราะเป็นประโยชน์สำหรับการรักษาความปลอดภัย เมื่อเควินตกลง เขาถูกพาไปยังสตูดิโอใหญ่โตหรูหราแห่งหนึ่ง  ที่นั่นทีมงานสไตลิสต์มืออาชีพรออยู่  พวกนั้นใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนนักธุรกิจมาเฟียให้กลายเป็นชายหนุ่มคนใหม่ ที่ทำเอาคนสนิทอย่างเอรอนและต้าฟงถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเจ้านายเดินออกมาจากห้องแต่งตัวครั้งแรก

‘มองอย่างนั้นหมายความว่าไง’ การมองเอรอนทำให้เป้าสายตาต้องถามอย่างนั้น เริ่มไม่มั่นใจตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้าเหล่าสไตลิสต์ที่เข้ามารุมเขาต่างยกนิ้วชื่นชมว่าหล่อเนี๊ยบ ดูดี ถึงขั้นมีการชวนเข้าวงการนายแบบกันเลยทีเดียว ‘ว่าไง ฉันดูไม่ดีเหรอ’ 

หันไปถามต้าฟงที่มีอาการเดียวกับเอรอน รอคำตอบครู่หนึ่ง แต่ลูกน้องสองคนยังไม่ว่าอะไร

‘ตอบมาตามตรง ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ’

เอรอนส่ายหน้าเนือยๆ แต่ยังไม่พูดอะไร สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดหาคำพูดเหมาะๆ มาบรรยายความรู้สึก ‘ถ้าเดินสวนกันกลางทาง ผมคงไม่รู้ว่านี่คือนายน้อยกลุ่มเดอะวันกรุ๊ป’

‘ก็ใช่ไง? นายอยากให้เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ’ เอรอนพยักหน้ารับหงึกๆ ‘ทำไมนายต้องทำหน้าเหมือนมีอะไรติดคออย่างนั้นด้วย มันดูแย่?’ 

‘ไม่ครับ ดีมากต่างหาก ไม่เสียแรงที่จ้างสไตลิสต์แพงๆ มาปรับลุคซ์ให้ใหม่’ บอกพลางเดินหมุนรอบตัวนาย มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  ‘แต่งแบบนี้ใครก็ดูไม่ออกว่านี่คือนักธุรกิจมาเฟีย...นายน้อยดูเหมือนพวก นายแบบเท่ๆ สไตล์ไอดอลเกาหลี อะไรทำนองนั้น...นายว่ามั้ยต้าฟง’

คนถูกถามพยักหน้า ‘แต่ฉันชอบแบบเดิมมากกว่า’

‘ทำไม’  ทั้งเอรอนและนายน้อยถามเป็นเสียงเดียวกัน หันไปจ้องรอคำตอบ

‘ผมไม่อยากเป็นบอดี้การ์ดไอดอล’ ต้าฟงบอกหน้าตาย ก่อนจะหันไปพูดกับเอรอน ‘นายนึกภาพฉันเดินตามนายน้อยที่แต่งตัวลุคซ์นี้ดูสิ’

เอรอนนิ่วหน้าคิดตาม ‘นายคงเหมือนพวกเป็นการ์ดซุปตาร์  ส่วนฉันก็คงเป็นทนายซูปตาร์ด้วย’

‘ใช่มั้ยล่ะ ดูไม่เวิร์คก็ตรงนี้นี่แหล่ะ’

‘นั่นน่ะสิ’ ทั้งสองเออออกันเอง ก่อนจะหันมามองคนที่ถูกเอ่ยถึงพลางส่ายหน้า ทำเอาคนถูกวิจารณ์ของขึ้นเล็กๆ อยากจะต่อว่า แต่เมื่อมองตัวเองในกระจก ก็เลือกที่จะเงียบไป พินิจตัวเองเปรียบเทียบกับอดีต  ถามตัวเองอีกครั้งว่าอยากเป็นแบบไหน ผู้ชายภาพลักษณ์อบอุ่น อ่อนโยน ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ด้วยแว่นทันสมัย ผมที่มักถูกเซตตั้งเข้าทรงเนี๊ยบ วันนี้ถูกเซตต่างไปสิ้นเชิง ทำให้หน้าดูเปลี่ยน

‘พวกนายจะว่ายังไงก็ช่าง แต่นี่คือกวิน ธาดาโสภณ...คือฉัน ถ้ายังคิดจะอยู่ด้วยกัน ก็ทำใจไว้ซะ!’

วันนั้นต้าฟงและเอรอนอาจคิดว่านายแค่พูดประชด แต่ความจริงคือเควินคิดอย่างนั้นจริงๆ  เขาเฝ้าฝันมาโดยตลอดว่าอยากเป็นผู้ชายธรรมดาคนนั้น คนที่เหมือนหายตัวไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน คนที่วันนี้เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เพื่อทำตามสัญญา นั่นคือปกป้องเด็กผู้หญิงที่เขาเคยเป็นหนี้ชีวิต คนที่เขากำลังจะเดินทางไปหา คนที่เขาอยากมีตัวตนในสายตาเธอ อยากใช้ความสามารถที่เฝ้าฝึกฝนมาทำอาหารเพื่อเธอ ทำในส่วนที่ชรินทร์ตั้งใจแต่ไม่มีโอกาสได้ทำ

 

“ไปเถอะครับ คนของเราเอารถมารอเรียบร้อยแล้ว” ต้าฟงเข้ามารายงานผู้เป็นนาย  “มีอะไรรึเปล่าครับ”

เอ่ยถามเมื่อเดินนำไปแต่ผู้เป็นนายยังคงยืนอยู่ที่เดิม แถมยังทำสีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจชัดเจน ซึ่งถึงแม้ปรับลุคซ์ใหม่แล้ว แต่แววตาเอาเรื่องที่มองเขาดูจะยังคงรักษาระดับความดุไว้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง 

“ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ย ว่าครั้งนี้ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว”

“ครับ ผมรู้ นายน้อยบอกผมเรื่องนี้ตั้งแต่ขึ้นเครื่อง”  ต้าฟงยังทำมึนไม่เข้าใจ “ผมกำชับลูกน้องเรียบร้อย รับรองว่าทุกคนจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ถ้าใครขัดคำสั่งผมจะเล่นให้หนัก”

“งั้นก็เล่นงานตัวนายด้วย! เพราะนายยังเดินตามหลังฉัน!”

“ผมต้องไปส่งนายน้อยที่บ้านริมน้ำ ดูว่าทุกอย่างเรียบร้อย แล้วพวกผมจะหายตัวไป ถ้านายน้อยไม่เรียกจะไม่เข้าใกล้เด็ดขาด พอใจมั้ยครับ”

สีหน้าและแววตาที่มองมาบ่งบอกว่าไม่ได้พอใจสักนิด

“ขอร้องนะครับ อาจารย์เทียนสั่งมา ผมไม่ทำตามไม่ได้” ต้าฟงรู้ว่าถ้ายกชื่อของเทียนคงมาอ้าง ผู้เป็นนายจะอ่อนลง แล้วคราวนี้ก็จริง นายน้อยยอมเดินตามเขาไปที่รถอย่างเสียไม่ได้

“อ้อ...เอรอนส่งข้อมูลอัพเดทเรื่องคุณหนูหยางมาแล้วนะครับ ช่วงนี้เธออยู่ที่เมืองไทย  ตอนนี้เธอรู้แล้วว่านายน้อยอยู่ที่เมืองไทย”

“รู้ได้ยังไง?”

“นายใหญ่คงบอกเจ้าสัวหยางน่ะครับ  แล้วเจ้าสัวหยางคงอยากได้นายน้อยเป็นเขยไวๆ เลยจัดการเป็นพ่อสื่อให้ นัดเดทคุณหนูหยางให้นายน้อยในอีกสามวันข้างหน้า”

“ห๊า...”

“นายน้อยต้องไปเป็นคู่ควงคุณหนูหยางในงานแต่งงานลูกค้าคนสำคัญของเจ้าสัวหยาง”

“ทำไมฉันต้องไป”

“นายใหญ่สั่งมาครับ นี่การ์ดเชิญ...” การ์ดสีแดงถูกยื่นออกมา โดยที่คนจะรับยังคงตั้งตัวไม่ทัน “อย่าปฏิเสธเลยครับ นี่เป็นโอกาส  ทำให้นายใหญ่อารมณ์ดีไว้จะเป็นประโยชน์กับนายน้อยนะครับ นึกถึงคุณหนูเบลล์ไว้ให้มากๆ...ไม่รับผมเก็บการ์ดเชิญไว้ให้ละกัน แต่เรื่องโทร.ไปคอนเฟิร์มกับคุณหนูหยางนายน้อยต้องทำเองนะครับ เบอร์โทร.ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว...โอเคนะครับ?”

การนิ่งคือการตอบรับที่ต้าฟงเคยชิน เขาทำเพียงยกไหล่เบาๆ แล้วก็เป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุย

“ส่วนเรื่องนักการเมืองที่ช่วยพี่น้องซินเยียร์ ได้ข้อมูลเบื้องต้นมาว่านายวิชัยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ ภาพลักษณ์เป็นนักการเมืองมือสะอาด ตอนนี้ทางนั้นยังไม่เคลื่อนไหวหรือประกาศตัวจะเป็นศัตรูกับเรา นอกจากตามสืบเรื่องของมิราเคิลฯ เหมือนพยายามจะเจาะหาวิธีเล่นงานพวกเราอยู่”

“พวกนั้นจะไม่ได้อะไร นอกจากทำเรื่องขวางหูขวางตานิค พาตัวเองและครอบครัวไปหาที่ตายโดยไม่รู้ตัว ฉันต้องหยุดพวกเขา”

ต้าฟงพยักหน้าเห็นดีด้วย “ตอนนี้ผมสั่งให้คนของเราสืบเรื่องคนรอบตัวของรัฐมนตรีวิชัย ตัวท่านดูมือสะอาด แต่หลังบ้านท่านมีกลิ่นตุๆ โชยมาเหมือนกันครับ ถ้าได้อะไรคืบหน้าผมจะรีบรายงาน”

เควินพยักหน้า “แล้วซินเยียร์สองพี่น้องนั่นล่ะ ตอนนี้เป็นไงบ้าง ใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน”

“อยู่ที่บ้านรัฐมนตรีวิชัยนั่นแหล่ะครับ คนพี่ปรับปรุงตัวดีขึ้นเข้าไปช่วยงานเป็นทีมงานติดตามรัฐมนตรี ส่วนคนน้องก็เข้าเรียนต่อได้ตามปกติแล้วครับ  หลังจากพักไปสองปี”

“สองปี...งั้นคงเรียนรุ่นเดียวกับน้องเบลล์” เควินจำรายละเอียดของครอบครัวนี้ได้แม่นไม่เปลี่ยน “หวังว่าคงไม่มีเหตุบังเอิญมาเซอร์ไพร์สพวกเราหรอกนะ”

“โลกคงไม่กลมอย่างนั้นหรอกครับ แล้วเด็กคนนั้นไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกับคุณหนูเบลล์”

“นั่นสินะ...” ต่อให้พูดอย่างนั้น แต่ความกังวลก็สะท้อนผ่านสีหน้า

“ผมว่านายน้อยยังไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกครับ ที่นายน้อยต้องคิดให้มากตอนนี้คือเรื่องของคุณหนูหยางมากกว่า ต่อให้เจ้าสัวหยางจะช่วย ก็ยังวางใจไม่ได้  ผมดูข้อมูลที่เอเจส่งมาให้อย่างละเอียดแล้ว การเอาชนะใจเธอคงไม่ง่าย เธอไม่เคยมีข่าวว่าคบกับผู้ชายคนไหน ทั้งที่มีคนมากมายหมายปอง ไม่แม้แต่จะมีข่าวออกเดทกับใครที่ไหน ว่ากันว่าเธอเป็นผู้หญิงหัวโบราณ ค่อนข้างหวงเนื้อหวงตัว ห่วงความเป็นส่วนตัวด้วย”

“เท่าที่ฉันเจอ ก็ดูเธอปกติดีนี่” เควินเคยเจอเหมยฮัวบ้างสองสามครั้งตามงาน ทักทายกันตามมารยาท เธอเป็นผู้หญิงที่สวยสง่า มาดแบบนางพญา ตามงานต่างๆ เธอจะตกเป็นเป้าสายตาของแขก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อยากอยู่ใกล้เธอ จะเป็นชาคริตเสียมากกว่าที่เข้าไปพูดคุยจนสนิทสนม ล่าสุดถึงขั้นชวนมาเป็นแขกในงานวันเกิดพัชรินทร์ ท่าทางสนิทสนม นั่นทำให้เขาคิดว่าพี่ชายบุญธรรมกำลังพูดคุยคบหากับเหมยฮัว

“ฉันดูไม่ผิด ชาคริตรู้สึกดีๆ กับเหมยฮัว กำลังพยายามสานสัมพันธ์” เควินมั่นใจสิ่งที่ตัวเองเห็น “แต่ปฏิเสธเพราะนั่นคือสิ่งที่นิคอยากได้ยิน”

“นายน้อยน่าจะชินได้แล้วนะครับ ก็รู้อยู่ว่าคุณชาคริตพร้อมจะทำทุกอย่างให้นายใหญ่พอใจ แถมยังออกตัวว่าจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้นายน้อยด้วยนี่ครับ คราวนี้ก็อยู่ที่นายน้อยแล้วล่ะว่าจะเอายังไง หรือต้องรอให้คุณหนูเบลล์อนุญาตก่อน” 

คนถูกถามหันมองควับกลับมามองเพราะถูกจี้ใจดำ แล้วนั่นทำให้เขาเห็น คู่รักทอมดี้กำลังโผเข้ากอดกันกลม ก่อนจะผละออกแล้วจุ๊บปากกันโดยไม่สนใจสายตาชาวบ้าน สาวดี้หุ่นนางแบบแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดดูแพงด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนม ในขณะที่สาวมาดทอมแต่งตัวสไตล์ผู้ชายสำอาง แต่ดูเอวบางร่างน้อย ตัดผมซอยสั้น ท่าทางกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว จากภาพที่เห็นประเมินได้ว่าสาวทอมคงมารับคู่รักดี้ที่เพิ่งลงเครื่องมา

“เหมยฮัว?” นั่นคือสิ่งที่เควินหลุดปากเมื่อเห็นหน้าสาวทอม

“ครับ?” ต้าฟงหันมาถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบจึงหันมองตามสายตาผู้เป็นนาย ตรงจุดนั้นมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก บ้างโผกอดกัน บ้างเดินไปมา เขาไม่แน่ใจผู้เป็นนายกำลังมองดูอะไร “เมื่อกี้นายว่าอะไรนะครับ ผมได้ยินนายเรียกชื่อคุณหนูหยาง?”

“นายว่านั่นใช่เหมยฮัวมั้ย” ต้าฟงหันมองตาม “ผู้หญิงสองคนที่ยืนกอดกันอยู่นั่นน่ะ”

“คุณหนูหยาง? ไม่ใช่มั้งครับนาย เธอไม่ได้ดูเปรี้ยวขนาดนั้น”

“ฉันไม่ได้หมายถึงผู้หญิงชุดแดง...อีกคนน่ะ”

“ทอม?” ต้าฟงหันมาถามย้ำ เมื่อผู้เป็นนายพยักหน้า “เป็นไปไม่ได้!? แล้วไกลขนาดนี้นายแน่ใจได้ยังไงครับ”

“ฉันเห็นตั้งแต่เธอเดินผ่านหน้าไปเมื่อกี้”

“งั้นนายรอตรงนี้สักครู่นะครับ” เพื่อความแน่ใจต้าฟงจะเข้าไปดูให้แน่ใจ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คู่ทอมดี้ก็เดินออกจากจุดนั้น ไปที่ทางออก

“ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับ” ความที่รีบจะตามให้ทัน ทำให้ไปชนผู้หญิงคนหนึ่งจนข้าวของที่เธอถือมาตกพื้น “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ...”

กว่าจะช่วยเก็บของขึ้นมาได้ เงยหน้ามาอีกทีก็ไม่เห็นหลังคู่รักทอมดี้นั่นแล้ว 

เควินเองก็มองไม่ทัน นึกเสียดาย คลาดกันจนได้ “หรืออาจจะแค่คนหน้าเหมือน”

“แต่นายน้อยเป็นคนที่ค่อนข้างจำหน้าคนได้แม่นนะครับ” ต้าฟงมั่นใจเรื่องนี้

“คนทอมนั่นไม่ได้แต่งหน้า ฉันเองก็ไม่เคยเห็นเหมยฮัวตอนไร้เครื่องสำอาง แต่ดูคล้ายมาก”

“เป็นไปได้มั้ยครับว่าอาจจะเป็นญาติ คุณหนูหยางมีแม่เป็นคนไทยด้วย”

“ก็เป็นไปได้ หรือไม่อาจจะไม่เกี่ยวอะไรกันเลย ฉันอาจจะคิดเรื่องเหมยฮัวมากเกินไป เห็นใครหน้าคล้ายหน่อยก็คิดว่าเป็นเธอ” 

“แต่มันแย่ก็ตรงดันไปเห็นทอมเป็นคุณหนูหยางนี่สิ ผมว่ามันเหมือนลางร้ายยังไงไม่รู้...”

เควินนิ่วหน้าคิดไม่ต่างกับต้าฟง แต่ก็รู้ว่าป่วยการที่จะไปคิดถึงเรื่องนี้ เพราะเขามีเรื่องอื่นให้ต้องคิดให้ต้องกังวลมากกว่า ยิ่งเมื่อรถเคลื่อนออกไปจากสนามบิน มุ่งหน้าสู่บ้านริมน้ำ ใจเขาก็จดจ่ออยู่แต่กับเรื่องของ ‘ชลิตา’ ครั้นจะโทรศัพท์ไปหาพิมพ์พรก็เช้าเกินไป ได้แต่บอกตัวเองให้ใจเย็น...

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น