9

บทที่ 9


 

บทที่ 9 

เควินในคราบของ ‘เชฟกวิน’ ขับรถสปอร์ตหรูหราสีดำไปที่สุสานริมน้ำเพื่อเคารพหลุมศพมารดา โดยมีต้าฟงและลูกน้องตามอยู่ห่างๆ จึงทันสังเกตเห็นว่ามีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งตามติดผู้เป็นนายไปตั้งแต่ออกมาจากถนนเข้าซอยบ้านริมน้ำ คนซ้อนพกกล้องถ่ายรูป มองผ่านๆ เหมือนคนใช้ถนนทั่วไป แต่พวกเขาพลาดที่ได้ข้อมูลมาเพียงว่าเควินมาที่นี่มีเพียงลูกน้องคนสนิทติดตามแค่คนเดียว

ต้าฟงจับตาดูกระทั่งผู้เป็นนายเลี้ยวรถเข้าไปบริเวณที่จอดรถหน้าสุสาน รถจักรยานยนต์ที่แอบติดตามจอดมองห่างๆ คนซ้อนท้ายที่มีกล้องถ่ายรูปทำทีเป็นช่างภาพเดินถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ไปทั่ว แต่เป้าหมายจริงคือทั้งเก็บภาพชายหนุ่มเป้าหมายที่เพิ่งลงจากรถสปอร์ตพร้อมช่อดอกลิลลี่ช่อใหญ่แล้วเดินตรงไปยังสุสาน ด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้รีบเร่ง ทั้งที่รู้แล้วว่ามีคนแอบสะกดรอย  นั่นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามีคนทำหน้าที่นี้แทน ซึ่งเวลากำลังโทรศัพท์เข้ามารายงานและขอคำสั่งให้ลงมือ

“...ฉันเห็นแล้ว” กวินมีความเป็นมืออาชีพพอ เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยังคงเดินไปข้างหน้า “ไม่เห็นนายต้องแปลกใจ ทุกครั้งที่ไปไหน ก็จะมีคนของนิคคอยตามหลังอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“แต่ครั้งนี้นายบอกว่าจะไม่ให้ใครสะกดรอยนายน้อยนะครับ อาจารย์เทียนบอกกับผมเอง” ต้าฟงยังคงไม่ละสายตาจากคนสะกดรอย ซึ่งดูเหมือนฝ่ายนั้นจะยังไม่รู้ตัวว่าเหยื่อไหวตัวทันแล้ว “หรือจะเป็นคนของพวกซินเยียร์ พวกนั้นมีอิทธิพลไม่น้อย อาจรู้ว่านายน้อยเดินทางเข้าประเทศช่วงนี้”

“สังเกตเห็นพวกมันตั้งแต่เมื่อไหร่” กวินถามถึงคนที่กำลังแกล้งถ่ายรูปนกรูปดอกไม้กลบเกลื่อน 

“คนของเราสังเกตเห็นตั้งแต่ออกจากบ้านริมน้ำ...ทำไมเหรอครับ” 

“งั้นคงไม่ใช่พวกซินเยียร์”

“นายน้อยมั่นใจได้ยังไงครับ”

“เมื่อวานไม่เห็นพวกนี้สะกดรอย แสดงว่าไม่ได้ติดตามมาตั้งแต่สนามบิน มันต้องรู้เรื่องบ้านริมน้ำอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกซินเยียร์จะรู้เรื่องนี้” กวินมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นความลับที่ไม่มีใครกล้าแตะ แม้แต่นิคเองก็แค่รับรู้แต่ไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยว

“ถ้าไม่ใช่พวกซินเยียร์ แล้วจะเป็นใคร”  ต้าฟงยังนึกไม่ออก ผิดกับกวินซึ่งมีชื่อคนกลุ่มหนึ่งในหัวแล้ว

“อาจเป็นคนของพัชรินทร์ ชาคริตได้ยินเรื่องพวกโยธินพิทักษ์อาจให้แม่ลองสืบเรื่องนี้ พัชรินทร์รู้จักคนของนิค มีความเป็นไปได้สูงที่จะเค้นเอาเรื่องบ้านริมน้ำได้เร็วกว่าใครเพื่อน”

“ก็เป็นไปได้ ถึงคุณชาคริตจะดูไม่มีพิษภัยกับนายน้อย แต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเขาจะไม่อยากรู้ความลับที่ทำให้นายน้อยยอมนายใหญ่...แล้วนั่นจะเป็นปัญหา เอาไงต่อดีครับ จัดการเลยมั้ย เค้นคอมาถามให้แน่ใจ”

“รอให้ฉันไหว้แม่เสร็จ นายจะทำอะไรก็ทำ”

“ครับ” ต้าฟงรับคำสั่งก่อนวางสาย และติดต่อสั่งการลูกน้องให้เตรียมพร้อม ในขณะที่กวินยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปที่หลุมศพมารดา แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพัชรินทร์อยู่ที่นั่นก่อนแล้ว หล่อนมาที่นี่พร้อมลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ซึ่งวางอยู่หน้าป้ายหลุมศพ

“หวัดดีเควิน...” 

 

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้ากวินอยู่ในวัยสี่สิบกว่า แต่ยังดูสาวสะพรั่ง หล่อนดูแก่กว่าเปมิกาที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยไม่มาก ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทที่ไปเรียนต่างประเทศด้วยกัน คอยช่วยเหลือกันและกัน เปมิกาไม่ค่อยมีเพื่อนนักเพราะเป็นเด็กกำพร้ามีแค่พัชรินทร์ที่คบด้วย นั่นคือสิ่งที่กวินรู้จากคำบอกเล่าของพัชรินทร์ เป็นเพียงคำบอกเล่าที่ไม่มีอะไรมายืนยันนอกจากรูปถ่ายที่ผู้หญิงสองคนถ่ายด้วยกันอย่างสนิทสนมและมีนิคอยู่ในรูปนั้นด้วย นิคที่เวลานั้นโอบกอดแม่ของเขาเหมือนรักมาก นิคที่อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนทำหน้าที่บาเทนเดอร์ในร้านกาแฟเดียวกับที่แม่ของเขาไปทำงานพิเศษ 

“แต่งตัวอย่างนี้ดูแปลกตาไปเลยนะ ถ้าไม่เจอกันตรงนี้ แม่คงดูไม่ออกว่านี่คือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนิค ที่จะมาสืบทอดเดอะวันกรุ๊ป ที่ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นนักธุรกิจจากสายมาเฟียใหญ่”

ชายหนุ่มยกมือไหว้ ผู้มากวัยกว่าที่รับไหว้พลางคลี่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เมื่อตอนเป็นเด็กกวินเคยหลงเชื่อรอยยิ้มนี้ แต่เมื่อโตขึ้นเขาได้เรียนรู้ ผู้หญิงตรงหน้าใจดีด้วยเพราะนิค ไม่ได้เข้ามาหาเพราะเห็นว่าเขาเป็นลูกของแม่ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของหล่อน

“เคยได้ยินชาคริตเล่าว่า เควินชอบปลอมตัวเป็นนักศึกษาออกไปทำงานตามร้านอาหารเวลาอยู่ที่เมืองนอก เพิ่งรู้ว่ามาเมืองไทยจะปรับลุคเป็นหนุ่มไอดอลเกาหลีแบบนี้” พัชรินทร์ยังคงเหมือนเดิม หล่อนไม่สนใจว่าคู่สนทนาจะพูดหรือไม่พูดอะไรด้วย ขอแค่หล่อนได้พูดในสิ่งที่ต้องการก็พอแล้ว “แต่แม่ว่าแบบนี้ดูดีนะ คงลองปรับรูปลักษณ์ไว้มัดใจสาวสินะ”

คำพูดนั้นแฝงความนัย แต่กวินก็ไม่ได้ใส่ใจ “ผมไม่คิดว่าจะเจอคุณพัชที่นี่”

“ทำไมละจ๊ะ เธอก็น่าจะรู้ว่าแม่มาไหว้เปรมบ่อยจะตาย เรียกว่าบ่อยกว่าลูกอย่างเธอด้วยซ้ำ แต่แม่ก็ไม่ได้ตำหนิเธอนะเควิน เพราะเธออยู่ต่างประเทศ แม่ถึงได้ทำหน้าที่มาคุยกับเปรมแทน มาเล่าเรื่องเธอให้เปรมฟังบ่อยๆ”

กวินไม่เถียงเรื่องนี้ “ผมรู้ครับ แต่ชาคริตเคยบอกว่า คุณพัชไม่ชอบตื่นเช้า”

นั่นเป็นอีกหนึ่งการช่างสังเกตและจดจำของเควิน เหมือนเขาจะดูเหมือนไม่สนใจอะไร แต่เขากลับใส่ใจรายละเอียด พัชรินทร์เองก็รู้ หล่อนรู้ดีว่าเควินไม่ใช่คนโง่ ถ้าจะโง่ก็โง่เรื่องเดียวที่ไม่ยอมญาติดีกับนิค

“ถ้าไม่ใช่ธุระจำเป็น แม่ก็คงไม่ตื่นมาหรอกจ้ะ ตื่นไม่ไหวจริงๆ”  พัชรินทร์แทนตัวเองว่าแม่ทุกคำเวลาคุยกับเควิน ทั้งที่เวลาคุยกับชาคริตน้อยครั้งที่หล่อนจะแทนตัวอ่อนหวานอย่างนี้ “ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แม่ลำบากใจมาก แต่แม่จำเป็นต้องมารบกวนเควิน...”

“คุณพัชมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ”  กวินพูดแทรกขึ้น “มีอะไรให้ผมช่วยก็พูดมาได้เลย”

“จริงๆ แล้ว วันสองวันนี้แม่ตั้งใจมาเคารพหลุมศพยายเปรมอยู่แล้ว พอดีมีเรื่องไม่สบายใจ แล้วได้ยินว่าเควินมาเมืองไทยเมื่อวาน เลยไม่นอนทั้งคืนมาเพื่อดักรอพบ...”

“ผมยังมีธุระต้องไปทำ เข้าเรื่องดีกว่าครับ ไม่งั้นก็คงต้องคุยกันวันหลัง” 

“ต้องคุยวันนี้...แม่จะมาคุยเรื่องเหมยฮัว หยาง”  เควินเลิกคิ้ว ไม่แน่ใจว่าพัชรินทร์จะมาไม้ไหน “แม่จะมาขอร้องเควินในฐานะแม่...แม่ของชาคริต แม่รู้ว่าที่ทำอย่างนี้มันดูเห็นแก่ตัว แต่แม่ทนไม่ได้จริงๆ ที่เห็นชาคริตเศร้า แล้วเควินเองก็คงยังไม่ได้ปักใจชอบอะไรคุณหนูหยางนัก”

“ชาคริตให้คุณพัชมาพูดกับผม?” กวินเข้าใจเหตุผลการมาของคนตรงหน้าทันที แต่ยังไม่เข้าใจที่มา

“เปล่า แม่รู้เรื่องนี้จากเทียนคง แม่รู้ว่าชาคริตชอบคุณหนูหยาง แต่ไม่กล้าบอกนิคว่าชอบคุณหนูหยาง เควินก็น่าจะรู้ว่าพี่ชายเป็นคนแบบไหน เขายอมทำทุกอย่างที่นิคต้องการ อยากให้นิคพอใจ ยอมแม้กระทั่งตัดใจจากผู้หญิงที่ชอบ...”

“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับผม บอกแล้วผมจะช่วยอะไรได้ คุณพัชก็รู้ว่าไม่มีใครขัดใจผู้ชายคนนั้นได้”

พัชรินทร์ตอบไม่ได้ เพราะความจริงแล้ว ทันทีที่ชาคริตเผลอพูดเรื่องนี้  หล่อนถึงกรี๊ดใส่หน้าลูก ด่าว่าโง่ดักดาน ไม่มีหัวคิด บอกให้ไปคุยกับนิคเรื่องนี้ แต่ชาคริตปฏิเสธ หล่อนจะคุยกับนิคเองแต่ติดต่อไม่ได้ ความจริงคือทั้งชาคริตและเทียนคงไม่ให้หล่อนคุยกับนิค  หล่อนจึงหาทางออกโดยการมาคุยกับเควินแทน

“ถ้าจะว่าไปแล้ว ให้ชาคริตเดินไปบอกเรื่องนี้กับนิคเอง ดูจะง่ายกว่าให้ผมเป็นคนพูด แล้วก่อนหน้านี้นิคก็ถามชาคริตไปแล้ว เป็นตัวเขาที่ปฏิเสธ และเอาเข้าจริงๆ ผมว่าชาคริตก็ไม่ได้เหมาะกับเหมยฮัวไปมากกว่าผม”

“เพราะเขาไม่ใช่ลูกของนิคสินะ” น้ำเสียงพัชรินทร์ห้วนขึ้น “เธอก็เห็นอย่างนั้นใช่มั้ยเควิน ทุกคนคิดแล้วว่าชาคริตไม่เหมาะสมกับเหมยฮัว เพราะเขาก็แค่ลูกบุญธรรม...”

“แต่เป็นลูกบุญธรรมที่นิครักมากกว่าลูกแท้ๆ อย่างผม เพราะงั้นผมว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้สักนิด ทุกคนรู้ว่ายังไงนิคก็ให้ความสำคัญกับชาคริตมากกว่าผมอยู่แล้ว แต่ที่ชาคริตไม่เหมาะกับเหมยฮัว เพราะเขาไม่มีความกล้า หรือพูดอย่างไม่อ้อมค้อมคือขี้ขลาด แค่บอกออกมาว่าชอบยังไม่กล้า...ผู้ชายแบบนี้น่ะเหรอครับที่จะเอาชนะใจเหมยฮัวได้”

“นั่นเพราะชาคริตเจียมตัว และเสียสละสิ่งดีๆ ให้น้องชายที่เขารักต่างหาก”

กวินไม่แย้ง เขามองสบตาพัชรินทร์ราวจะอ่านใจหล่อน “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ให้ชาคริตเดินไปบอกนิค แล้วผมจะหลีกทางให้...และจะช่วยทุกอย่างที่ทำได้”

“ชาคริตไม่มีทางทำอย่างนั้น เขาไม่มีทางแย้งสิ่งที่นิคเลือกให้”

“ผมเองก็ไม่เคยได้เลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการได้เหมือนกัน”

“แต่เธอเป็นลูก เขาจะกล้าทำอะไรเธอ แค่เธอมีความกล้า กล้าพูดกับนิคเรื่องนี้ แข็งข้อ...”

“ผมทำไม่ได้ ต้องขอโทษด้วย...ผมไม่มีสิทธิตัดสินใจเรื่องนี้...”  

พัชรินทร์เค้นเสียงหัวเราะ มองหน้าชายหนุ่ม “ตลอดมา ฉันเชื่อว่าเธอเหมือนเปมิกา เป็นคนที่ไม่กลัวนิค เป็นคนเดียวกล้าขัดใจนิค”

“คุณพัชคงเข้าใจผิดครั้งใหญ่ ผมไม่ได้ใจเด็ดเหมือนแม่...”

“ไม่เลย เธอเหมือนแม่ เธอไม่ได้กลัวนิค แต่เพราะนิครู้จุดอ่อนของเธอ...ใช่มั้ย...อะไรคือจุดอ่อนนั้นเควิน บอกฉันสิ ฉันจะช่วย...” พัชรินทร์โยนหินถามทาง และได้คำตอบเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเควิน แม้มันจะเป็นเพียงแค่แวบเดียว แต่เพื่อความแน่นอนหล่อนจึงต้องเสี่ยง พูดเข้าประเด็นที่ได้ยินมาจากชาคริตก่อนหน้านี้ “เกี่ยวอะไรกับพวกโยธินพิทักษ์ใช่มั้ย”

กวินรู้สึกเหมือนตัวชาไปชั่วขณะ เขารู้สึกตกใจ ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มพึงพอใจของพัชรินทร์ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าพลาดจะต้องแก้ไข และคนพวกนี้ มีทางเดียวที่จะหยุดได้ คือทำให้พวกนี้กลัว เหมือนที่เคยกลัวนิคจนยอมหยุดทุกอย่าง

“ชาคริตสินะที่บอกคุณ...พวกที่สะกดรอยผมก็คือคนของคุณสินะ”

ท่าทางที่เปลี่ยนไปของเควินทำให้พัชรินทร์ต้องเปลี่ยนท่าที ต่อให้หล่อนไม่ชอบผู้ชายคนนี้ แต่ยังไม่กล้าประกาศตัวเป็นศัตรูตรงๆ เพราะมันจะได้ไม่คุ้มเสีย

“เปล่านะ ชาคริตไม่ได้บอกอะไรเลย แม่แค่เคยได้ยินนิคคุยกับเทียนคงเมื่อหลายปีก่อน แม่ถามนิคไปตรงๆ เขาพูดว่าเพราะพวกโยธินพิทักษ์ เธอก็น่าจะรู้ว่านิคคุยกับแม่ทุกเรื่องอยู่แล้ว คิดจริงๆ เหรอว่านิคจะมีความลับกับแม่ เรารู้จักกันมานาน ก่อนที่นิคจะไปตกหลุมรักเปมิกาด้วยซ้ำ ไม่เชื่อก็ลองถามนิคดู...”

พัชรินทร์เสี่ยงลองใจเควิน เพราะรู้ดีกว่าถ้าเลือกได้ผู้ชายคนนี้จะพยายามไม่ยุ่งกับนิค

“ถ้ารู้ทุกอย่างจริง ก็อย่ายุ่งกับเรื่องนี้” บอกเสียงแข็ง ไม่ต่อรอง แล้วผู้หญิงมารยาก็พร้อมจะตีหน้าเสแสร้งเป็นยอมให้ แต่กวินก็ไม่คิดจะดูละครนี้ต่อไปจึงเน้นย้ำสิ่งที่เขาต้องการ “หยุดสิ่งที่คุณจะทำซะ”

“เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนของเธอจริงๆ สินะเควิน” พัชรินทร์ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว มั่นใจแล้วว่าจุดของของเควินที่อยู่ในกำมือของนิคคืออะไร “มันคือจุดก่อนที่ทำให้เธอต้องทำตามคำสั่งนิค” 

“ใช่” กวินไม่ปฏิเสธ “คุณรู้แล้วก็อย่ายุ่งกับเรื่องนี้จะดีกว่า อย่าคิดเอาเรื่องนี้มาขู่ผม เพราะคุณไม่ใช่นิค”

“ไหนนิคชอบพูดว่าลูกชายคนเดียว ขู่ไม่เป็น...” พัชรินทร์ยังทำใจดีสู้เสือ

“ผมยอมนิคก็เพราะเรื่องนี้ ผมมีชีวิตอยู่ก็เพราะเรื่องนี้ มันคือหัวใจที่ทำให้ผมยังหายใจอยู่” แววตาของกวินเหี้ยมขึ้นอย่างที่พัชรินทร์ไม่เคยเจอ “ถ้าคุณเป็นต้นเหตุให้หัวใจนี้ของผมมีรอยแผล ผมอาจจะตายได้ แต่ก่อนจะตาย ผมสาบานได้เลยว่าจะให้คุณและโคตรของคุณได้ชดใช้อย่างสาสม!”

พัชรินทร์นิ่งไปเหมือนถูกสาป หล่อนเพิ่งได้เห็นวันนี้ว่าเควินเหมือนนิคมากตอนที่โกรธ ทั้งที่อยากสวนกลับไปแรงๆ แต่ก็ไม่กล้า รู้ดีว่าถ้าทำอย่างนั้น นอกจากไม่ได้อะไรก็มีแต่เสีย เพราะต่อให้พยายามบอกชาคริตว่านิคให้ความสำคัญกับลูกชายของหล่อนมากกว่าเควิน แต่สุดท้ายความจริงก็ยังเป็นความจริง นิคยังคงคิดว่าสายเลือดนั้นสำคัญกว่าอื่นใด เขาจึงพยายามบังคับให้เควินเดินตามทางที่ตนเลือกให้ เพื่อหวังว่าสักวันเควินจะมาสืบทอดอำนาจและเจตนารมณ์ของตระกูล

 “อย่าทำหน้าตาน่ากลัวอย่างนั้นสิจ๊ะเควิน” พัชรินทร์เปลี่ยนท่าที “เธอก็เหมือนลูกของแม่คนหนึ่ง แม่กับเปรมเป็นเพื่อนรักกัน เธอคงยังไม่รู้ว่าตอนที่เปรมหนีออกมาจากชีวิตนิค แม่นี่แหล่ะที่คอยห้ามไม่ให้นิคทำเรื่องร้ายๆ เธอก็น่าจะรู้ว่านิคถ้าได้ลองเกลียดใครแล้ว ไม่มีทางปล่อยคนๆ นั้นไป เธอเองก็ได้พิสูจน์แล้วนี่”

กวินมองผู้หญิงที่เดินมาลูบแขนเขาอย่างสงวนท่าที

“แม่ก็แค่แม่คนหนึ่งที่พยายามปกป้องลูก แม่ขอโทษที่เมื่อกี้พูดไม่ดีออกไป แต่แม่อยากให้เธอรู้ว่าทั้งหมดก็เพราะแม่ห่วงชาคริต ชาคริตรักเหมยฮัว แต่เพราะคิดว่าตัวเองต่ำต้อยจึงไม่กล้าอาจเอื้อม...ได้โปรดเถอะนะเควิน อย่าแย่งเหมยฮัวไปจากชาคริตเลย แม่ไม่ได้ตั้งใจจะยกเรื่องสำคัญของเควินมาเป็นข้อต่อรอง แม่แค่ไม่มีทางเลือก แม่ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ เข้าใจแม่เธอนะเควิน”

กวินมองสบตาพัชรินทร์ เห็นสายตาของมารดาที่แบกหน้ามาขอร้องเขาแทนลูก ทั้งที่เป็นคนเย่อหยิ่งแต่ก็ยอมกัดฟันทำ ทั้งหมดก็เพื่อลูก  กวินอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าแม่เปมิกาของเขายังอยู่ แม่อาจทำอย่างที่พัชรินทร์ทำ แม่คงยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา เพราะแม้แต่ชีวิตแม่ก็ไม่เสียดายเพื่อให้เขาปลอดภัย

“ชาคริตเกิดมาอาภัพ แม่บอกเขาไม่ได้ว่าพ่อเขาเป็นใคร จำต้องโกหกว่าเป็นลูกของนิค สุดท้ายรู้ความจริงว่าไม่ใช่ ก็ผิดหวัง แต่เขาก็รักนิคไปแล้ว...แม่เองที่ผิด ผิดตั้งแต่แรก” 

การที่ชาคริตมีแม่คอยห่วงใย คือเรื่องเดียวที่กวินนึกอิจฉาและเขาจะใจอ่อนมองข้ามเรื่องร้ายๆ ที่พัชรินทร์ทุกครั้งเมื่อคิดว่าหล่อนก็แค่ทำเพื่อลูก แล้วแม่เปมิกาก็คงทำอย่งนั้นเพื่อปกป้องเขา แต่เรื่องนี้เขาช่วยไม่ได้

“คุณรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน เอาเวลาไปคุยกับนิคดีกว่ามาเสียเวลากับผม”

“แสดงว่าเธอหายโกรธแม่แล้วใช่มั้ยจ๊ะ  ถ้าชาคริตกล้าพูดกับนิค เธอยังจะช่วยพี่ชายใช่มั้ยจ๊ะเควิน” พัชรินทร์นิ่งรอคำตอบ กระทั่งเควินพยักหน้า “เธอจะไม่เสียใจแน่นะ ไม่รู้สึกเสียดายคุณหนูหยางแน่นะ”

“ผมยังไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเหมยฮัว”

“ไม่ใช่สเป็คสินะ ว่าแต่คนที่เธอชอบจะเป็นคนยังไงนะ บอกแม่ได้มั้ย”

คำถามของพัชรินทร์ทำให้กวินนึกถึงหน้าชลิตา ตอนที่เขาอุ้มเธอลงจากต้นมะม่วงเมื่อเช้า

“ว่าไงจ๊ะ” พัชรินทร์เร่งรัดคำตอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป  “เหมยฮัวออกจะสวยและน่ารัก เพียบพร้อมทุกอย่างยังไม่ใช่อีกเหรอ ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างนี้ยังไม่ดีพอ”

กวินรู้สึกว่าพัชรินทร์มีท่าทางแปลกๆ หลังตั้งคำถาม หล่อนเบี่ยงกระเป๋าถือมาใกล้ๆ เขา ท่าทางมีพิรุธ

“เหมยฮัวไม่ดีพอใช่มั้ย”

“ไม่ใช่เหมยฮัวไม่ดีพอสำหรับผมหรอกครับ  ที่ผมทำเหมือนไม่ได้สนใจเหมยฮัวตอนแรก เพราะผมคิดว่าชาคริตน่าจะชอบเธอ ผมไม่อยากแย่งผู้หญิงกับพี่ชายตัวเอง แต่ในเมื่อชาคริตบอกต่อหน้านิคว่าไม่ได้ชอบเหมยฮัว ผมเองก็มีสิทธิ แล้วจะยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติมาก ถ้าได้ผู้หญิงอย่างเหมยฮัว หยางมาเป็นคู่ชีวิต”

พัชรินทร์ดูตกใจและผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับ รู้สึกเหมือนโดนตบหน้า หล่อนจ้องหน้าเควินอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเป็นฝ่ายหลบสายตา แล้วขอตัวกลับ ดูเหมือนหล่อนจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ก็พยายามข่มอารมณ์ขัดใจไว้ แล้วมาระเบิดออกตอนกลับขึ้นรถ

“ไอ้ตัวแสบ!” โยนกระเป๋าถือลงอย่างแรง ก่อนจะล้วงเอาเทปบันทึกเสียงออกมาแล้วยกเลิกการบันทึก “รู้สินะว่าฉันบันทึกเทป! แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะยอมให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆ คิดว่าขู่แล้วฉันจะกลัวเหรอ!”

หล่อนมองกลับไปที่สุสานก่อนจะออกรถ พร้อมต่อโทรศัพท์หาใครบางคนด้วยแววตามุ่งมั่นไม่ยอมแพ้

“ฮัลโหล...พี่ธรรม์...ฉันตกลงตามที่พี่ขอ แต่ฉันต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับไอ้เควิน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับพวกโยธินพิทักษ์...ได้...แต่อย่าใช้ช้านักล่ะ เพราะบอกไว้เลยว่าฉันทนไอ้เควินต่อไปไม่ไหวแล้ว!”

 

เมื่อแยกกับพัชรินทร์ กวินเข้าไปในรถตู้ที่ต้าฟงจับคนที่สะกดรอยไว้เรียบร้อย เมื่อโดนปืนจ่อหัว มันยอมตอบทุกคำถาม จึงได้รู้ว่ามันถูกจ้างให้มาถ่ายรูปของกวินครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเมื่อราวปีกว่า ครั้งนั้นไม่ได้อะไรนอกจากรูปที่สุสานเพราะเป้าหมายมีบอดี้การ์ดติดตามมาก แล้วเมื่อวานคนจ้างเจ้าเดิมก็ติดต่อมาใหม่ ให้สะกดรอยเป้าหมายเดิม ทีแรกมันว่าจะไม่รับเพราะกลัวถูกจับได้ แต่ผู้จ้าบอกว่าคราวนี้ทางสะดวกเพราะเป้าหมายมีบอดี้การ์ดติดตามแค่คนเดียว ซึ่งเขาเข้าใจไปเองว่าอยู่ในรถด้วยกัน จึงไม่ทันระวังหลังจนจับได้

‘เขาจะเป็นฝ่ายโทร.เข้ามา นัดให้ไปเจอ ผมสาบานได้ว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้จ้างวานเลย ผมก็เป็นแค่นักข่าวกระจอกๆ คนหนึ่ง สิ่งที่ผมรู้ก็บอกคุณไปแล้ว อย่าฆ่าผมเลยนะครับ ผมยังมีลูกมีเมียต้องเลี้ยงดู สมสัญญา ผมสาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก อย่าฆ่าผมเลย อย่าทำอะไรผมเลย’ 

กวินและต้าฟงเชื่อสิ่งที่มันพูดจึงยอมปล่อยไป ทันทีที่ถูกผลักลงจากรถ มันก็ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง ส่วนอีกคนที่เป็นคนขับรถก็เป็นแค่ ‘วินรับจ้าง’ ที่ไม่รู้อะไรเลย

“สรุปก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร” ต้าฟงพูดกับนายเมื่อหันกลับมา “เอาไงต่อดีครับ ผมว่าเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยไว้ก็ดี”

กวินเหมือนไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่ต้าฟงบอก เพราะคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หานิค คนที่เขาไม่อยากคุยด้วยที่สุด

“หวัดดีไอ้ลูกชาย ไปเมืองไทยไม่ทันไรก็คิดถึงพ่อแล้วเหรอ ยังน่ารักเหมือนเดิมนะ”

“ตอนนี้ผมอยู่ที่สุสานแม่” ชายหนุ่มไม่ได้สนใจคำทักทายชวนหงุดหงิดของอีกฝ่าย

“แกเอาดอกลิลลี่สีขาวไปไหว้แม่แทนฉันด้วยใช่มั้ย แม่แกชอบดอกลิลลี่สีขาวมาก เวลาแม่แกโกรธฉันมักจะใช้ดอกลิลลี่...” 

“มีคนสะกดรอยผม” กวินพูดแทรกขึ้น เขาไม่อยากฟังเรื่องของแม่จากปากผู้ชายคนนี้ คนที่ชอบพูดว่ารักแม่ แต่เป็นคนที่ทำร้ายจิตใจแม่ 

“แล้วยังไง” นิคเพิ่งจะยอมคุยเรื่องเดียวกับลูกชาย แต่ก็ยังกวนประสาทด้วยคำพูดประชดอย่างที่เคยทำ  “แกก็เลยโทร.มาฟ้องพ่อ? จะให้พ่อจัดการยังไงลูกรัก บอกมาสิ พ่อพร้อมจะจัดให้อยู่แล้ว นานๆ ลูกชายคนเดียวจะวิ่งมาฟ้อง”

“มันเปิดปากว่าคนของคุณส่งมันมา!”

เสียงนิคนิ่งไปอย่างประหลาดใจหลังคำพูดของกวิน “ไอ้ธรรม์น่ะเหรอมันจะกล้าทำในสิ่งที่ฉันไม่ได้สั่ง แกอย่ามาหาเรื่องฉันดีกว่าเควิน”

“มั่นใจจริงนะว่าลูกน้องจะไม่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง” กวินได้ในสิ่งที่ต้องการ เขารู้จักชื่อที่นิคหลุดออกมา “เจ้านั่นไม่ได้เอ่ยชื่อคนจ้างวาน มันเป็นแค่นักข่าวตกอับที่รับงานทุกอย่างขอให้มีคนจ้าง แต่ต้าฟงก็เค้นจนมันหลุดข้อมูลที่เชื่อมโยงกับคนของโรงแรมศิริภูวดล...”

ต้าฟงรู้ว่านายน้อยกำลังลักไก่ นายใหญ่เผลอหลุดชื่อคนของตนออกมา ทำให้รู้แล้วว่าที่เมืองไทยนายใหญ่มีใครคอยเป็นหูเป็นตาให้ แล้วดูเหมือนต้าฟงก็รู้จักผู้ชายคนนี้ ซึ่งทำธุรกิจโรงแรมหวังอยากร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทในเครือเดอะวัน จึงยอมทำงานให้ตระกูลรีฟส์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนอกกฎหมายก็ไม่เคยเกี่ยง

“ฉันไม่ได้สั่งให้ใครไปสะกดรอยแก เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะทำอย่างนั้น”

“งั้นก็แปลว่าพวกนั้นทำงานนอกเหนือคำสั่งคุณ”

“ก็แล้วแต่แกจะคิด เอาเป็นว่าแกต้องการอะไรที่มาบอกเรื่องนี้กับฉัน”

“ผมได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว” กวินกดวางสายพร้อมรอยยิ้มหยันที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม 

“นายน้อยไม่น่าไปยั่วโมโหนายใหญ่อย่างนั้นนะครับ” ต้าฟงปรามไม่จริงจังนักเพราะอย่างไรก็คงไม่ทันแล้ว “เมื่อครู่นายน้อยพูดถึงคุณธรรม์ ลูกพี่ลูกน้องของคุณพัชรินทร์ เป็นไปได้มั้ยครับว่า ถ้านี่ไม่ใช่คำสั่งจากนายใหญ่ คุณธรรม์ก็คงทำงานให้กับคุณพัชรินทร์”

“คนอย่างนายธรรม์ไม่เคยทำอะไรฟรีๆ โดยไม่มีผลประโยชน์”

“งั้นแสดงว่าที่นายน้อยโทร.ก็เพื่อจะให้นายใหญ่จัดการพวกนี้ไม่ให้มายุ่งกับนายน้อย”

กวินพยักหน้า “ถึงตอนนี้พัชรินทร์และชาคริตจะรู้แค่ชื่อโยธินพิทักษ์ก็จริง แต่ถ้าฉันไม่ทำอะไร พวกนั้นจะต้องสืบเสาะต่อไปแน่ ฉันไม่อยากให้พวกนั้นมายุ่งกับคนบ้านริมน้ำ โดยเฉพาะน้องเบลล์”

“แต่นายใหญ่ต้องรู้ว่านายน้อยต้องการอย่างนั้น”

กวินเห็นด้วยกับเรื่องนี้ “แต่นิคเกลียดพวกนกสองหัว ต่อให้ไม่ถึงกับฆ่า แต่ก็คงไม่มองผ่านไปเฉยๆแน่”

“ก็จริงครับ ถ้านายใหญ่มีคำสั่งว่าห้ามยุ่ง พวกนั้นคงไม่กล้า” ต้าฟงสนับสนุนสิ่งที่นายน้อยทำ จบไปหนึ่งงาน แต่ยังมีอีกหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือทำให้พวกที่สนับสนุนซินเยียร์วางมือ “อีกชั่วโมงครึ่งจะถึงเวลานัดหมายกับท่านรองนายก ระหว่างนี้ผมแนะนำว่านายน้อยควรโทรศัพท์หาคุณหนูหยางก่อน บอกว่านายน้อยมาถึงเมืองไทยแล้ว”

“นายบอกฉันเองว่าเธอรู้อยู่แล้วนี่”

“แต่เป็นมารยาทที่นายน้อยจะต้องโทร.หาเธอ ถ้าเป็นไปได้ แวะไปเจอได้ก็ยิ่งดี...เป็นไปไม่ได้สินะครับ งั้นก็โทร.ไปรายงานตัวหน่อย ผมบันทึกเบอร์โทร.ไว้ที่เครื่องนายน้อยแล้วครับ...นี่ครับ”

รายละเอียดเบอร์โทรศัพท์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เป็นรูปของผู้หญิงสาวแสนสวย เธอยิ้มให้กล้องอย่างมีเสน่ห์ กวินมองสบตาคนในรูปแน่นิ่งราวสิ่งที่กำลังจะทำต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมากในการตัดสินใจ...

 

ณ เวลาไล่เลี่ยกันที่ลานจอดรถ ของตึกสูงในลาสเวกัส นิคให้เทียนคงติดต่อหาธรรม์ทันทีหลังจากถูกลูกชายโทรศัพท์มาหยาม ถามความจริงรู้ว่าธรรม์ส่งคนติดตามเควินจริง เพราะเป็นคำสั่งของพัชรินทร์ หล่อนมาหาเขาเมื่อราวปีก่อน ให้ส่งคนไปติดตามเควิน เพราะอยากรู้ว่าเวลามาเมืองไทยเควินไปที่ไหนบ้าง

“แต่นายใหญ่ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้บอกเรื่องความลับของนายน้อยกับพัชรินทร์หรือใคร ผมบอกเธอไปแค่ว่านายน้อยมาทำบุญให้คุณเปมิกา ไปตามบ้านเด็กกำพร้าบ้าง พักผ่อนบ้าง...เธอเชื่อ...กระทั่งเมื่อวันก่อน เธอให้ผมสืบหาประวัติของพวกโยธินพิทักษ์ ผมถามว่าได้ชื่อนี้มาจากไหน เธอไม่ยอมบอก ผมบอกว่าถ้าไม่บอกจะไม่สืบให้ เธอบอกจะให้คนอื่นทำ ผมเลยต้องรับปาก ส่งคนไป แต่ไม่คิดจะให้ข้อมูลลับกับพัชรินทร์เลยนะครับ”

“แล้วเมื่อไหร่แกถึงคิดจะบอกฉัน”

“ขอโทษครับ ผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ คิดว่าจะจัดการกับพัชรินทร์ได้จึงไม่ทันได้เรียนนายใหญ่ ต้องขอโทษจริงๆ ครับ”

นิคเชื่อว่าธรรม์ไม่มีทางเห็นญาติพี่น้องสำคัญมากไปกว่าผลประโยชน์ ที่ยอมทำตามคำสั่งพัชรินทร์ก็เพราะเชื่อว่าหล่อนเป็นคนใกล้ชิดเขา รวมถึงเป็นแม่ของชาคริต ลูกบุญธรรมที่เขายกย่องให้เป็นคนสนิท มีอำนาจตัดสินใจเรื่องสำคัญ

“นายใหญ่จะให้ผมทำอย่างไรก็สั่งมาได้เลยครับ”

“เอาคนของแกออกไปให้ไกลจากเควิน อย่าให้มันกลับมาหยามฉันได้อีก ว่ามีลูกน้องสะเออะทำอะไรข้ามหัวฉัน!”

“ครับ ต้องขออภัยนายใหญ่อีกครั้ง...แล้วเรื่องพัชรินทร์ล่ะครับ ตอนนี้เธอเริ่มล้ำเส้นกับนายน้อยแล้ว ปล่อยไว้คงไม่ดี จะให้ผมจัดการเลยมั้ยครับ”

“ไม่ต้อง เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง”

ธรรม์รู้สึกเสียวสันหลังกับน้ำเสียงที่นายใหญ่ใช้...

 

หลังวางสายจากธรรม์ นิคยังคงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ “อยู่ดีไม่ว่าดีจริงๆ นะพัชรินทร์”

เทียนคงเดินตามมาอย่างเงียบๆ  แต่ก็พอเดาเรื่องราวได้ว่าเกิดอะไรขึ้น “ผมจะไปจัดการกับคุณพัชรินทร์ให้นะครับนาย เป็นความรับผิดชอบของผม”

“แกว่าพัชรินทร์ควรโดนอะไร” น้ำเสียงถามแฝงความหมายลองใจผ่านแววตา

“เธอควรหยุดเรื่องนี้...” สุดท้ายเทียนคงก็ไม่ได้อยากให้นายใหญ่ทำอะไรรุนแรง “เธอไม่มีสิทธิไปวุ่นวายกับนายน้อย เธอถึงขั้นสั่งให้นายธรรม์ตามนายน้อยอย่างนี้มันล้ำเส้น ผมจะสั่งให้เธอหยุด”

นิคมองเทียนคง เห็นความร้อนใจ กังวลและโกรธคละกันไป “แกคิดว่าสิ่งที่พัชทำมีแค่นั้นเหรอ”

“คุณพัชทำอะไรอีกครับ” เทียนคงจับความได้เท่านั้นจริงๆ นายใหญ่ยังไม่เล่าอะไรมาก

“พัชไปดักรอเจอเควินที่สุสานเปมิกา มีการต่อว่า ชักสีหน้าใส่ จะข่มขู่เควินเรื่องพวกโยธินพิทักษ์”

“อะไรนะครับ นายน้อยบอกนายใหญ่เมื่อครู่เหรอครับ”

“ไอ้ธรรม์บอกฉัน น่าแปลกใจที่เควินไม่พูดถึงพัชรินทร์สักคำ แล้วฉันก็เพิ่งเสียค่าโง่ให้เควินมันไป” ดูเหมือนการเสียรู้ครั้งนี้จะทำให้นิคอารมณ์ดี “หลุดชื่อไอ้ธรรม์ แถมยังต้องจัดการเคลียร์ปัญหาให้มัน แต่สุดท้ายมันก็ยังใจอ่อนกับพัชรินทร์ คงคิดว่าฉันจะทำอะไร แต่เรื่องนี้มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก พัชทำตัวไม่น่ารักเลย”

รอยยิ้มของนิคที่ปรากฏอยู่นั้นมีความน่ากลัวโดยเฉพาะในสายตาของชาคริตที่ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนแล้วจึงทันได้ยินบทสนทนาบางส่วน แม้ไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่เขารู้ว่าเกี่ยวข้องกับมารดา

“คุณแม่ก่อเรื่องอะไรครับคุณพ่อ...คุณแม่ไปทำอะไรให้เควินไม่พอใจเหรอครับ” ชาคริตร้อนใจพูดแซงขึ้นก่อนนิคจะตอบ “หรือเป็นเรื่องคุณหนูหยาง ผมขอโทษแทนคุณแม่ด้วย เพราะผมคุณแม่ถึงรู้เรื่องคุณหนูหยางกับเควิน แต่ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่ไม่อยากให้คุณแม่ทำอะไรที่ไม่เหมาะสม คุณแม่ชอบคุณหนูหยางน่ะครับ ผมเองก็ลำบากใจ”

นิคมีแววตาอ่อนลงเวลามองชาคริต นั่นคือสิ่งที่เทียนคงเห็นตลอดมา แววตาอย่างนี้จะไม่ปรากฏถ้าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเควิน “ฉันจะถามแกเป็นครั้งสุดท้าย แกคิดยังไงกับเหมยฮัวชาคริต บอกความรู้สึกของแกออกมาได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะขัดใจฉัน ฉันจะรับฟัง”

ชาคริตนิ่งไปมองสบตานิคที่ตั้งคำถามอย่างไม่อ้อมค้อม

“ถ้าแกชอบเหมยฮัวจริงอย่างที่เควินว่า หรือแม้แต่แกอยากทำให้แม่สมหวัง ฉันก็จะให้เควินถอนตัว ส่งแกไปดองกับเจ้าสัวหยางแทน เพราะยังไงแกก็ลูกชายของฉันอีกคน”

ชาคริตละสายตาจากนิคมองสบตาเทียนคงที่พยักหน้าให้เหมือนจะช่วยเพิ่มความกล้า แววตาคู่นั้นบอกให้ชายหนุ่มพูดความรู้สึกจริงๆ ออกมา  ใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าชาคริตจะเงยหน้าขึ้นสบตานิค บอกสิ่งที่เขาตัดสินใจ

“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเหมยฮัวจริงๆ ครับ ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพ่อตัดสินใจทุกอย่าง เควินเหมาะสมกับเหมยฮัวมากกว่าผม คุณหนูหยางไม่มีทางชอบคนอย่างผม แต่ถ้าเป็นเควินก็ไม่แน่ครับ”

“ก็ดีที่แกเห็นตรงกับฉัน” นิคก้าวเข้าไปตบไหล่ลูกชายบุญธรรม สีหน้าแววตาภูมิใจ มันคือสิ่งที่ทำให้ชาคริตเชื่อมั่นว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง “ฉันจะไปฮ่องกง ฝากแกดูแลทางนี้ด้วย”

“ครับคุณพ่อ ไม่ต้องห่วง ผมจะทำให้เต็มที่”

“แกทำได้อยู่แล้วฉันไม่ห่วง แต่ถ้าเป็นเควินล่ะก็ไม่แน่” นิคมักใช้คำพูดเปรียบเทียบนี้เสมอ มันทำให้ชาคริตภูมิใจ ผิดกับเทียนคงที่รู้สึกเป็นกังวลทุกครั้ง “อ้อ แกโทร.บอกให้พัชรินทร์ไปพบฉันที่ฮ่องกงด้วยนะ เร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี”

ชาคริตตกใจ อ้าปากจะถาม แต่นิคยิ้มรู้ทันความคิดนั้น “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้จะทำอะไรแม่ของแกหรอก...ฉันเห็นว่าพัชคงผิดหวังกับสิ่งที่ฉันทำไม่น้อย ก็เลยอยากจะมีอะไรปลอบใจนิดหน่อย”

ได้ยินอย่างนั้นชาคริตก็ยิ้มกว้าง “คุณแม่คงดีใจ ผมจะรีบบอกคุณแม่นะครับ”

นิคยิ้มยกมือตบไหล่ลูกบุญธรรมอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถ ชาคริตรีบเดินตามแววตาเป็นประกายมีความสุข ในขณะที่เทียนคงที่อยู่เบื้องหลังกลับมีความกังวล เขารู้ว่านายใหญ่กำลังวางแผนบางอย่าง แต่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะทำอะไรกันแน่...

 

เสียงเรียกเข้าของปลายสายดังขึ้นบนห้องของคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ห้องที่มีวิวที่มองเห็นแสงอาทิตย์เช้า ซากปาร์ตี้สนุกสุดเหวี่ยง ผู้หญิงสามคนนอนหมดสภาพบนเตียง คนหนึ่งผมสีทองสไตล์ฝรั่งจ๋า เห็นหุ่น ‘สะบึ้ม’ เพราะสวมแค่ชุดชั้นใน อีกคนซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมไม่สวมเสื้อผ้าสักชิ้น นอนกอดสาวผมซอยสั้นใบหน้าหมวยไร้เครื่องสำอางแต่งแต้ม แต่ดูชวนมอง ทั้งสามยังคงหลับสนิท กระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ข้างเตียงดังขึ้น สาวผมซอยรู้สึกตัวก่อน รีบตะกายออกมาจากผ้าห่มคลำหาต้นเสียงเรียกเข้า

“ฮัลโหล...ใครนะคะ” กดรับสายทั้งที่ตายังหลับ กระทั่งได้ยินชื่อของคู่สายได้เต็มหูทำเอาสะดุ้งตื่นเต็มตา “เควิน!?...ว่าไง...ไม่ได้รบกวนอะไร ตื่นแล้ว ตื่นนานแล้ว...”

เสียงร้องหลงทำเอาสองสาวที่นอนอยู่ข้างๆ รู้สึกตัว ทันเห็นสาวผมซอยสั้นพยายามตะกายลงจากเตียงขณะที่มืออีกข้างก็ยกโทรศัพท์แนบหู เดินออกไปคุยโทรศัพท์อยู่นอกระเบียง

“ดีใจที่คุณโทร.มา เห็น ‘แด๊ด’ บอกเหมือนกัน...ค่ะ...โอเค...ไม่เป็นไร ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

ดูเหมือนสาวๆ ในห้องจะไม่ได้แปลกใจกับท่าทางเปลี่ยนไปของสาวทอม เพราะรู้ดีกว่า ‘เหมยฮัว หยาง’ เป็นเลสเบี้ยนที่แต่งหญิงเมื่ออยู่ต่อหน้าสังคม แต่ก็มีอีกหนึ่งตัวตนเป็นทอมกระเป๋าหนัก ชอบหิ้วสาวไม่ซ้ำหน้ามาปาร์ตี้ที่คอนโด หรือไม่ก็บ้านตากอากาศที่กระจายอยู่หลายที่ทั้งในไทยและต่างประเทศ 

“โอเคค่ะ...” ดูเหมือนบทสนทนาทางโทรศัพท์ใกล้จบลง เหมยฮัวจึงย้อนกลับเข้ามาในห้อง “วันมะรืนเจอกันที่บ้านค่ะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปเมื่อสายถูกตัด

“เหมยเหมยทำหน้าอย่างนั้นแสดงว่าโดนแด๊ดจับคู่ให้อีกแล้วล่ะสิ คราวนี้เป็นใครคะ” สาวผมทองถามเชิงเย้าแหย่ สาวอีกคนพยักหน้าสนับสนุนรอฟังคำตอบด้วย

“เควิน...” เหมยฮัวอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเดียว เผยให้เห็นขายาวเรียว เธอมีทุกส่วนที่ผู้หญิงทั้งโลกอิจฉา ทั้งทรวดทรงองค์เอวอรชรอ้อนแอ้นน่ากอดชวนให้หนุ่มๆ หลงใหลอยากครอบครอง เพราะนอกจากความสวยแล้ว เธอยังทำงานเก่ง แถมเป็นลูกสาวคนเดียวของเศรษฐีฮ่องกง แต่น้อยคนนักจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงตัวตนหนึ่งของเธอ อีกตัวคนหนึ่งคือเธอจะแต่งตัวเป็นทอมหน้าใสไล่จีบหญิง ควงมากินที่คอนโด ปาร์ตี้สนุกสนาน ไม่ยอมคบหนุ่มที่ไหน โดยให้เหตุผลกับบิดาว่ายังไม่เจอใครที่ถูกใจ

“เควิน รีฟส์”

“ฟังดูคุ้นๆ นะ” สาวคนหนึ่งทำหน้าคิด “อ้อ ฉันรู้จักตระกูลรีฟส์ เจ้าของกาสิโนและโรงแรมในเครือมิราเคิล โอเอซีส แกรนด์...แล้วก็ลูกชายเจ้าของโรงแรมที่ชื่อชาคริตก็มาตามจีบยู แต่ยูไม่สนใช่มั้ย ทั้งที่เขาน่ะรวยไม่รู้เรื่องเลย แถมมีอิทธิพลด้วย เป็นเจ้าพ่อเท่จะตาย”

เหมยฮัวยักไหล่เพื่อบอกว่าเธอไม่ได้สนใจ อีกคนจึงพูดบ้าง  “แย่จัง ฉันไม่เคยเห็นชาคริต แต่เคยเห็นเจ้าของเดอะวันกรุ๊ปนะ หล่อมาก เป็นคนอายุเกือบห้าสิบที่ดูดีมากๆ ลูกชายก็น่าจะหล่อไม่แพ้กันนะ”

“ชาคริตดูดี ดูเซ็กซี่ เฟอร์เฟคเลยแหล่ะ” คนที่เคยเจอบอกอย่างหลงใหล

“ชาคริตว่าดูดีแล้วใช่มะ” เหมยฮัวถามสาวที่เคยเจอพ่อหนุ่มที่ถูกเอ่ยถึง “เควินดูดีกว่านั้นอีก เด็กกว่า พูดน้อยกว่า ดูมีสมองกว่า ถ้าไอจะหาผู้ชายสักคนมาแต่งงานไว้บังหน้า คนอย่างเควินนี่แหล่ะน่าสนใจที่สุด”

“งั้นยูก็จะโอเคกับเควิน?” หนึ่งในสองสาวถาม อีกคนก็สงสัยเช่นกัน

“โน!” ปฏิเสธทันที ทำเอาสองสาวงง รอฟังคำอธิบาย “ตอนแรกเควินก็น่าสนใจ ดูเป็นตัวของตัวเอง ไม่คอยเอาแต่ฟังคำสั่งพ่อเหมือนชาคริต แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ต่างกันแล้วล่ะ”

“ทำไมล่ะ” สองสาวถามพร้อมกันอีก

“เพราะการที่เขาโทร.มาหาไอเมื่อกี้ แสดงว่าเขากำลังทำตามคำสั่งพ่อ เขาไม่ได้เข้ามาจีบเพราะชอบไอ และคงคิดล่ะสิว่าจีบผู้หญิงอย่างเหมยฮัว ไม่ใช่งานยาก”

“งั้นทำไมยูไม่ปฏิเสธเขาไปล่ะ” สาวผมทองถามเพราะเมื่อครู่เหมือนเหมยฮัวจะนัดหมายอะไรบางอย่างกับเควิน  เหมยฮัวยิ้มเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มอย่างนี้ทำให้สองสาวตาโต ก่อนจะตะโกนพร้อมกัน “น่าสนุกเนอะ!”

“เดี๋ยวเราได้เจอกันแน่ พ่อเควิน....” เหมยฮัวหัวเราะเป็นนางมารร้ายที่เจอเรื่องสนุก ก่อนจะหันกลับมาที่สองสาว “ว่าแต่พร้อมจะไปปาร์ตี้กันต่อรึยังจ๊ะสาวๆ ถ้าพร้อมกะไปอาบน้ำแต่งตัวกันได้เลย!”

 

ในขณะที่ไกลออกไป บนรถตู้ที่กำลังมุ่งหน้าสู่จุดนัดหมาย กวินนั่งอยู่ในรถตู้โดยมีต้าฟงอยู่ด้วย ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันเรื่องของคนที่จะไปพบ อยู่ๆ กวินก็จามออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ แล้วรู้สึกว่าตาขวาจะกระตุกเล็กๆ จนต้องยกมือแตะ รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรพิกล

“มีอะไรรึเปล่าครับ” ต้าฟงทันสังเกตเห็นท่าทางสีหน้าของผู้เป็นนายที่ดูเครียดๆ กว่าเรื่องที่คุย

“รู้สึกเสียวสันหลังยังไงไม่รู้...ตาขวาก็กระตุกด้วย”

“นั่นมันลางร้ายไม่ใช่เหรอครับ” ต้าฟงบอกไม่จริงจัง แต่ผู้เป็นนายถึงกับหน้าซีด “ผมว่าถ้าหนักก็เป็นเรื่องของคุณหนูเบลล์ เบาอาจเป็นเรื่องของคุณหนูหยาง เมื่อกี้คุณพัชก็มาเจิมๆ ให้แล้วนี่นะ”

กวินเครียดจริงในตอนแรก แต่เมื่อเห็นอาการแอบขำของต้าฟงก็รีบตีหน้าขรึม แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น บอดี้การ์ดหนุ่มรีบกดรับแล้วหันหน้าไปอีกทางหนีเอาดื้อๆ “ว่าไงเอเจ...ก็มีปัญหานิดหน่อย แต่เคลียร์ได้แล้วล่ะ นายน้อยเหรอ ก็โอเค แต่ช่วงนี้ฉันว่านายน้อยมีดวงจะเครียดเรื่องผู้หญิงนะ...”

กวินได้แต่พึมพำอย่างขัดใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนี ทำเหมือนไม่สนใจแต่ในส่วนลึกก็รู้สึกกังวล เพราะจะว่าไปไม่ว่าจะเรื่องเหมยฮัวหรือชลิตาสำหรับเขาก็ดูจะเป็นปัญหาหนักพอกัน เพราะถ้าเรื่องทางหนึ่งไม่ผ่าน อีกทางก็ย่อมมีปัญหาเช่นเดียวกัน...

“เอเจฝากบอกนายน้อยว่าสู้ๆ นะครับ” 

“ไรสาระจังนะพวกนาย วันหนึ่งโทร.คุยกันกี่รอบ ทำตัวยังกับคู่ผัวเมีย”

“เพิ่งรู้เหรอครับ ผมกับเอเจเรารักกัน อยู่ด้วยกัน แค่ยังไม่ได้ประกาศออกสื่อเท่านั้นเอง” ต้าฟงทำทะเล้นใส่ เอาคำพูดของเอรอนมาตียวน แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ ในขณะที่นายน้อยก็ได้แต่ส่ายหน้าระอาอย่างที่เคยทำ   

 

“ดูให้พี่หน่อย” ดำรงยื่นมือที่เพิ่งล้างและใช้เสื้อยืดชุ่มเหงื่อเช็ดแบบลวกมาตรงหน้าของชลิตา “แบบนี้สะอาดรึยัง พี่ไม่อยากโดนยัยบอลลูนบ่นอีก แค่เรื่องเมื่อเช้าพี่ก็หูชาไปรอบละ”

ความจริงแล้วไม่ต้องถามเจ้าตัวก็น่าจะรู้ได้ เพราะมือของคนที่ทำงานกับคราบน้ำมันปกติก็ทั้งด้านแตกและดำเป็นทุนเดิม นี่ยังมาเปื้อนดิน ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักจากงานที่เพิ่งทำอีก

“เล็บยาวและยังดำปี๋อยู่เลย บอลลูนเจอกรี๊ดใส่แน่ๆ ค่ะ” ชลิตาตอบไปตรงๆ

“ไม่ผ่านใช่มะ” คนถามคอตกเล็กน้อย “ไม่มีกรรไกรตัดเล็บด้วยสิ นี่ใช้ปากกัดๆ ไปบ้างแล้วนะ”

พูดจบก็ทำท่าจะกัดเล็บอีกรอบ ทำเอาชลิตาต้องรีบห้าม

“อย่าทำอย่างนั้นอีกนะคะ สกปรก เดี๋ยวเบลล์ไปหามาให้ รอแป๊บนะคะ” บอกพลางเดินไปที่โต๊ะหินอ่อนใต้เงาไม้ที่ดารุณีกับพวกเด็กในอู่สามคนนั่งบ้างนอนบ้าง พักเหนื่อยระหว่างรอทานอาหารกลางวันกัน โดยมีกล่องอาหารที่ป้าพิมพ์พรเตรียมไว้ให้เมื่อเช้าวางอยู่บนโต๊ะ

“หายไปไหนมาเบลล์ มาทานข้าวกันทุกคนรออยู่” ดารุณีเอ่ยถามเมื่อชลิตาเดินมาถึง

“ไปล้างมือมาน่ะ ว่าแต่บอลลูนมีกรรไกรตัดเล็บมั้ยขอเรายืมหน่อยสิ”

“เล็บฉีกเหมือนกันเหรอ มาเค้าตัดให้” เด็กสาวก้มไปหยิบกรรไกรตัดเล็บออกมาจากกระเป๋า “เมื่อกี้เพิ่งจับเจ้าพวกนี้ตัดไป เล็บดำสกปรกไม่เปลี่ยน ถ้าอยู่บ้านนะจะเอาแอลกอฮอร์เช็ดเลย สกปรกได้ลูกพี่จริงๆ”

‘เจ้าพวกนี้’ ที่เอ่ยถึง คือพวกลูกน้องในอู่ที่วันนี้ถูกพามาช่วยงาน ส่วนลูกพี่จะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ดำรงที่แอบมองอยู่ไกลๆ รอดูท่าที ยังไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวน้องสาวดุ “มาสินิ้วไหนน่ะ”

ชลิตาส่ายหน้า “เราจะเอาไปให้พี่ลูกโป่งน่ะ”

“พี่ลูกโป่ง?” ชื่อที่เอ่ยทำให้สาวหมวยแก้มกลมหน้างอขึ้นทันที กรรไกรตัดเล็บที่เพิ่งหยิบออกมาจากกระเป๋าถูกดึงกลับ  ทำหน้าตึงเพราะยังคงโกรธพี่ชาย ไม่ยอมคุยด้วยตั้งแต่เมื่อเช้า ทำเอาสถานการณ์วันนี้ดูน่าอึดอัด

ชลิตาต้องทำหน้าที่ตัวกลาง พยายามไกล่เกลี่ยแต่ผ่านไปครึ่งวันบอลลูนก็ยังไม่ยอมคุยกับพี่ชาย  “บอลลูน ไม่เอานา หายโกรธพี่ลูกโป่งเถอะนะ พี่เขาสำนึกผิดแล้วนะ ถึงได้พยายามล้างมือให้สะอาด พยายามจะตัดเล็บ เพราะกลัวว่าจะทำให้บอลลูนโกรธไง หายโกรธเถอะนะ”

“อย่างพี่ลูกโป่งน่ะไม่ต้องใช้กรรไกรตัดเล็บหรอก ปกติใช้ปากแทะเอาไม่ใช่เหรอ”

สองพี่น้องต่อให้ทะเลาะแต่ก็รู้จักกันดี คำพูดประชดในทำเอาชลิตาเผลอยิ้ม ในขณะที่อีกคนยังหน้าตึง

“เค้าไม่หายโกรธง่ายๆ หรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ลูกโป่งชอบทำอะไรลับหลังเค้า เบลล์ไม่ต้องมาขอร้องแทนเลย เค้าไม่ยอมยกโทษให้หรอก” 

ทั้งที่ชลิตาคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ดี เธอได้รับโทรศัพท์จากป้าพิมพ์ว่า พี่ชายข้างบ้านจะทำกับข้าวเลี้ยงทุกคนในครอบครัว เธอตั้งใจว่าจะรีบทำงานให้เสร็จ กลับบ้านให้เร็วจะได้ไปช่วย แต่แล้วก็ต้องมาเจอเรื่อง แถมเป็นเรื่องหนักเมื่อสองพี่น้องอู่พองลมเกิดอาการงอนกัน เหตุเพราะบอลลูนโกรธที่พี่ชายห้ามไม่ให้คุยกับ ‘แฟน’ ที่คราวนี้ชลิตารู้ว่าชื่อเก่ง เป็นไอ้หนุ่มวัยรุ่นวัยไล่เลี่ยกับพวกเธอ บอลลูนพูดถึงเก่งมาได้พักใหญ่แล้ว แต่พี่ชายเพิ่งจะรู้จึงเป็นเรื่อง 

“อย่าทำหน้างออย่างนั้นสิ เดี๋ยวไม่สวยนะ” ชลิตายังไม่ยอมแพ้ พยายามช่วยพูด“เรื่องเล็กๆ  อภัยให้ได้ก็อภัยเถอะนะ” 

“ไม่เล็กนะเบลล์  พี่ลูกโป่งต้องไปทำอะไรสักอย่างแน่ๆ ถึงทำให้พี่เก่งหายไป ไม่ยอมรับโทรศัพท์เค้า ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ทักเอ็มเอสเอ็นไปก็เงียบ แถมบล็อกเค้าอีก...ต้องเป็นเพราะพี่ลูกโป่ง ทั้งหมดต้องเป็นฝีมือพี่ลูกโป่ง”

“ก็บอกแล้วว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ” ดำรงเดินทำหน้าจ๋อยเข้ามา พยายามซ่อนมือดำๆ ไว้ข้างหลัง  ผมที่เคยกระเซิงเป็นรังนกวันนี้เรียบแปล้เพราะเพิ่งเอาน้ำพรมเพื่อจัดทรงให้ดูเรียบร้อย แขนขาก็เพิ่งล้างและถอดเสื้อที่ใส่อยู่เช็ด คราบน้ำและรอยยับที่เห็นทำให้น้องสาวยิ่งไม่พอใจ อยากจะเอ็ดแต่ก็ต้องเก๊กทำเป็นไม่สนใจ “พี่แค่ไปดักเจอมันที่หน้าบ้าน เรียกมันออกมาคุย  คุยดีๆ ไม่มีขู่ แค่ถามว่ามันจะนัดบอลลูนไปเที่ยวไหน  มันก็พูดเองว่าจะไม่ยุ่งกับบอลลูนแล้ว พี่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยจริงๆ ไม่เชื่อถามไอ้เด็กอู่ดูสิ มันก็อยู่ด้วย”

“เด็กพี่ก็ต้องเข้าข้างพี่น่ะสิ” ดารุณียิ่งโกรธ “กล้าพูดว่าไม่ทำอะไร ที่พี่ทำน่ะเขาเรียกไปข่มขู่ สืบตามไปหาเขาที่บ้าน พาลูกน้องไปเป็นสิบเนี่ยนะไม่ได้ทำอะไร”

พอโดนเอ็ดเข้ามากๆ พี่ชายก็เริ่มจะของขึ้น ยืดอกออกมาเถียง “ก็ยังไม่ทันได้ทำอะไร แค่ไปบอกให้มันรู้ไว้คร่าวๆ ว่าถ้ามันล่วงเกินอะไรบอลลูน  มันจะต้องเจอกับอะไร ใครจะไปคิดว่ามันจะใจเสาะหนีไป ก็ช่วยไม่ได้ แสดงว่ามันคิดไม่ดี”

“ยังจะมาพูดแบบนี้อีก!” ตวาดใส่พี่ชาย ก่อนจะหน้างอหันมาทางชลิตาที่ได้แต่ยิ้มแห้งๆ “ดูสิเบลล์ ไม่ให้โกรธได้ไง ไม่ได้สำนึกซักนิด”

“เอานา...” ชลิตาปลอบอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้ “ก็จริงอยู่ว่าพี่ลูกโป่งใช้กำลังทำไม่ถูก แต่ทั้งหมดที่พี่เขาทำไป ก็เพราะเป็นห่วงบอลลูนนะ”

“ไม่ต้องมาห่วงเลย ไม่ต้องการหรอก” หันไปขึ้นเสียงใส่พี่ชาย ที่ยังไม่ทำอะไรปล่อยให้หน้าที่ไกล่เกลี่ยเป็นของชลิตา ในขณะที่เด็กอู่คนอื่นก็ได้แต่ลุ้นให้สงบศึกกันไวๆ จะได้ทานอาหารกันเสียที “เชอะ เค้าไม่เห็นจะอยากได้พี่ชายแบบนี้”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ  บอลลูนน่ะโชคดีนะ ที่มีพี่ลูกโป่ง เราน่ะยังอยากมีพี่ชายคอยดูแลอย่างบอลลูนบ้าง อย่าบอกว่าไม่ต้องการเลยนะบอลลูน การไม่เหลือพี่น้องน่ะ มันเศร้านะ”

“เบลล์” ดารุณีตามไม่ทันอาการแกล้งเศร้าของชลิตาเพราะความที่มองโลกในแง่ดี บวกกับหัวช้าทำให้มองไม่ออกว่าชลิตาแกล้งทำเป็นเศร้าให้เพื่อนปลอบแล้วจะได้ยอมยกโทษให้พี่ชาย “อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิ ก็บอกแล้วไงว่า พี่ชายเค้าก็เหมือนพี่ชายเบลล์...โอเค เค้าไม่โกรธพี่ลูกโป่งแล้วก็ได้ ยกโทษให้” พูดกับเพื่อนก่อนจะหันมาทางพี่ชาย “ทั้งหมดเพราะเบลล์นะ...แล้วก็ขอบคุณที่คอยระวังหลังให้บอลลูน จริงๆ แล้วบอลลูนก็รู้หรอกว่าพี่เก่งไม่ได้จริงจังกับบอลลูน”

ชลิตาแอบซ่อนยิ้มเมื่ออยู่ลับหลังดารุณี ในขณะที่ดำรงหันมายิ้มขอบคุณ ชื่นชมในความเฉลียวแกมร้ายเล็กๆ ของเพื่อนน้องสาว รู้สึกคลายกังวลที่น้องสาวมีเพื่อนดีๆ และฉลาดอย่างชลิตา เพราะเขารู้ดีว่าดารุณีนั้นหัวอ่อน คิดน้อย ถ้าคบเพื่อนไม่ดี อาจเสียคนได้ง่ายๆ

“ดีกันแล้ว กินข้าวได้ยาง” ดำรงเสียงสดใสขึ้น “เดี๋ยวบ่ายพี่ต้องออกไปส่งรถให้ลูกค้านะ ถ้าออกช้ากลับมารับพวกเราช้าไม่รู้ด้วยนะ”

“นั่นสิ รีบทานกันเถอะวันนี้เบลล์ต้องรีบกลับด้วยนะ สายไม่ได้”

“จ้า รู้หรอกว่ามีนัดกับหนุ่มหล่อ” ดารุณีเย้าเพราะอยู่ด้วยตอนพิมพ์พรโทรศัพท์เข้ามาบอกข่าว 

“หนุ่มที่ไหน...” ดำรงหันควบมามองน้องสาว ซึ่งรู้ว่าพี่ชายชอบชลิตาจึงแกล้งเย้า

“หนุ่มข้างบ้าน ที่เบลล์อยากเจอมานาน วันนี้เขาจะเปิดบ้านเลี้ยงคนบ้านริมน้ำทุกคนเลย บอลลูนได้ยินเบลล์พูดถึงบ่อยๆ บอกว่าอยากเจอมานาน เป็นหนุ่มในฝัน แล้วการเจอกันครั้งแรกเมื่อเช้าก็สุดประทับใจ พี่เขามาอุ้มเบลล์ลงจากต้นมะม่วง โรแมนติกสุดๆ”

“จริงเหรอน้องเบลล์” ดำรงพาซื่อเชื่อสนิท หน้าซีดตามประสาคนที่ไม่เก่งเรื่องโกหก “แฟนเบลล์เหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ” ชลิตารีบปฏิเสธ ก่อนจะหันมาที่เพื่อน “พูดอย่างนั้นได้ยังไงบอลลูน ที่เล่าไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ”

“หน้าซีดเลยนะพี่ลูกโป่ง กลัวเบลล์ไปปิ๊งหนุ่มคนอื่นล่ะสิ”

“บ้า พูดอะไรบ้าๆ อย่างนั้น เรายังเด็กกันพี่ว่าบอลลูนหมกมุ่นเรื่องแฟนมากไปแล้วนะ หัดเอาอย่างเบลล์เป็นตัวอย่างบ้างสิ เด็กก็ควรทำตัวเป็นเด็ก”

“เด็กที่ไหน สิบหกแล้วนะ เป็นสาวน้อยต่างหากล่ะ สมัยนี้เขามีแฟนตั้งแต่หกขวบแล้ว”

“แน่ะ ยังจะมาเถียง”

พี่น้องทำท่าจะเปิดศึกอีกรอบ ชลิตาจึงรีบห้ามทับ “อย่าไปยั่วโมโหพี่ลูกโป่งเลย” ปรามเพื่อน ก่อนจะหันมาทางดำรง “บอลลูนเย้าพี่ลูกโป่งเล่นน่ะค่ะ ก็แค่คนข้างบ้าน เขาจะเลี้ยงขอบคุณที่ป้าพิมพ์ช่วยดูแลบ้านให้น่ะ แล้วเบลล์สนใจพี่เขา เพราะพี่เขาเป็นเชฟและก็ทำงานโรงแรม”

“อ้อ น้องเบลล์จะได้หาข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนสินะ” ดำรงโล่งอกก่อนจะหันมาทางน้องสาว “เราก็หัดเอาอย่างเบลล์บ้าง บอกจะเรียนการโรงแรมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“ก็สนใจอยู่หรอกค่ะ แต่ไม่อยากแย่งผู้ชายคนเดียวกับเพื่อน”

“แนะยังไม่เลิก...” พี่ชายทำเสียงเอ็ด แล้วก็เถียงกันอีกพักหนึ่งจนเด็กที่รอทานข้าวต้องประท้วง จึงได้พักยก ทุกคนช่วยกันเอาอาหารออกมาจากปิ่นโตที่พิมพ์พรเตรียมไว้ให้

“เอาล่ะ ทานกันได้เลยจ้ะ” ชลิตาอนุญาต เมื่อราดน้ำจิ้มลงที่จานใส่ปลาดุกฟูเรียบร้อย ทุกคนรีบหยิบช้อน รวมถึงดำรง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตักอาหารเข้าปากก็ต้องสะดุ้งโหยงกับเสียงตวาดดังของน้องสาว

“ทำไมเล็บพี่ลูกโป่งดำขนาดนั้นน่ะ....ไม่ได้เลยนะ สกปรก ยี้ มาตัดก่อนเลย เชื้อโรคทั้งนั้น”

“พี่กินก่อนได้มั้ย ยังไงก็ใช้ช้อน ไม่ได้ใช้มือหยิบซะหน่อย”

“ไม่ได้ มาตัดเล็บก่อน แล้วไปล้างมืออีกรอบ...สกปรกที่สุด!”

ชลิตาและทุกคนหัวเราะเมื่อน้องสาวจัดการลากพี่ชายไปที่ก๊อกน้ำ เพราะเห็นเรื่องทำนองนี้จนชินตา ต่อให้สองพี่น้องทะเลาะกันทุกวัน แต่ก็รู้ว่าพวกเขารักกัน ดูแลกัน เพราะมีกันแค่สองคน...

“ห้ามใช้เสื้อเช็ดนะ เสื้อก็สกปรกพอกัน”

“แล้วจะให้เอาอะไรเช็ดล่ะ”

“ที่กระเป๋าบอลลูนมีผ้าเช็ดหน้า...ไปเช็ด แล้วค่อยกิน”

“อะไรนักหนาเนี่ย พี่รีบนะ เดี๋ยวไปส่งรถลูกค้าไม่ทันนัดหรอก”

“นั่นสิบอลลูน ให้พี่ลูกโป่งทานข้าวเถอะ วันนี้เบลล์สายไม่ได้นะ ป้าพิมพ์กำชับด้วยว่าพี่ชายไม่ชอบคนไม่ตรงเวลา...โดยเฉพาะเวลาอาหาร...”  

พยักหน้ารับคำเพื่อนแต่เมื่อหันมาทางพี่ชายก็ทำเสียงดุ “ยังจะมามองหน้าไปกินสิคะ รีบเข้า!” ทำตาโตใส่แต่เมื่อลับหลังพี่ชายก็หันมายักคิ้วหัวเราะกับชลิตาอย่างสดใส

มิตรภาพอย่างนี้สำหรับชลิตาแล้ว มันคงไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าเธอไม่ได้มาอยู่บ้านริมน้ำ ได้เจอป้าพิมพ์ ลุงจุ๋นเจี๋ย ได้อยู่อย่างสบายทั้งหมดเพราะความเมตตาจาก ‘นายน้อย’ ที่เธอไม่เคยเห็นหน้า ได้ยินเพียงคำบอกเล่า เธออยากเจอท่านสักครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าคงเป็นไปไม่ได้ เธอกับท่านเหมือนอยู่กันคนละโลก

ทางเดียวที่จะเธอจะทดแทนบุญคุณท่านได้คือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจของท่านในอนาคต แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจมัน โชคดีที่มีพี่ชายข้างบ้าน หวังเหลือเกินว่า ‘พี่ชาย’ คนใหม่คนนี้จะทำให้เธอได้เข้าใกล้ ‘นายน้อย’ มากขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี แต่กระนั้นเมื่อคืนก่อนนอนเธอก็อธิษฐานขอพรกับรูปครอบครัวไปไม่น้อย 

‘พ่อคะ แม่คะ พี่ชรินทร์ ขอให้พี่ชายรู้เรื่องนายน้อยด้วยเถิด ขอให้พี่ชายเป็นเพื่อนกับนายน้อย ขอให้พี่ชายมาอยู่ข้างบ้านริมน้ำเพราะซื้อที่ต่อจากนายน้อยจริงๆ อย่างที่เบลล์คิด เบลล์จะได้ขอข้อมูลของนายน้อยจากพี่ชายได้...เอาใจช่วยเบลล์ด้วยนะคะ’


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น