3

ยี่สิบ พระราชพินัยกรรมของแท้และของปลอม


ยี่สิบ

พระราชพินัยกรรมของแท้และของปลอม

 

กลางเรือนหลังตำหนักคุนหนิง เจินจงฮ่องเต้บัดนี้พระพักตร์ซูบเซียว ขอบสองพระเนตรโหลลึกประดุจซากศพรอลงโลง

เมื่อมองพระสวามีที่แววพระเนตรว่างเปล่า ริมพระโอษฐ์ไร้สีเลือด หลิวเอ๋อร์ก็น้ำตาหลั่งริน กำมือไว้แน่น ปวดร้าวหัวใจจนยากจะสูดลมหายใจ

แพทย์หลวง ขันที และนางกำนัลที่อยู่ด้านข้างต่างก้มหน้ายืนนิ่ง ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด พระเนตรหรี่ปรือ หลิวเอ๋อร์เอามือปิดปาก ไม่กล้าร่ำไห้ออกมา

ผ่านไปครู่ใหญ่ นางถึงผ่อนคลายอารมณ์ สะอื้นสองครา ประชิดไปข้างพระกรรณก่อนเรียกเสียงเบา “ฝ่าบาท... ฝ่าบาท...”

เหมือนทรงได้ยินเสียงเรียกของนาง เจินจงฮ่องเต้ค่อยๆ ปรือพระเนตรขึ้น กลอกพระเนตรอย่างไร้เรี่ยวแรง ทอดพระเนตรหลิวเอ๋อร์ ตรัสเสียงแผ่ว “เรื่องหลังจากนี้... เราจัดการเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างล้วนไหว้วานเจ้าแล้ว... เอ๋อร์เหนียง...”

หลิวเอ๋อร์ร่ำไห้จนดวงตาบวมปูด “ฝ่าบาท...”

พระเนตรฉายแววอาวรณ์ แต่ทรงตระหนักดีว่าเหลือเวลาไม่นานแล้ว ดังนั้นจึงทรงรวบรวมพละกำลังตรัสขาดหายเป็นช่วงๆ “ช่วยเรา... ดูแลรัชทายาท ช่วยเรา... ปกปัก... แผ่นดินต้าซ่ง! ลำ...ลำบากเจ้าแล้ว”

หลิวเอ๋อร์ออกแรงพยักหน้า กลืนสะอื้นสะกดกลั้นน้ำตา แต่ยังคงร่วงพรูราวกับฝนพรำ

อาจเป็นเพราะแสงสะท้อน ตรัสเรื่องที่จะรับสั่งเสร็จสิ้น มิทราบว่าพระพละกำลังมาแต่ที่ใด ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้นอย่างเชื่องช้าทาบแก้มหลิวเอ๋อร์แผ่วเบา ทางหนึ่งทรงปาดน้ำตาให้นาง อีกทางทอดพระเนตรนางด้วยอารมณ์ลึกล้ำ “เราอยาก... เฒ่าชรา... ไปพร้อมเจ้ายิ่ง...”

เพิ่งสิ้นสุรเสียง พระหัตถ์ก็ค่อยๆ ตกลง สวรรคตกะทันหัน

“ฝ่าบาท... ฝ่าบาท...” หลิวเอ๋อร์ปล่อยโฮเสียงดังลั่น

แพทย์หลวง ขันที และนางกำนัลต่างคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง

หลิวเอ๋อร์ร่ำไห้ เบื้องหน้าสายตาพลันมืดวูบ สิ้นสมประดีสลบไป

เห็นเส้นผมนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว ในชั่วไม่กี่ลมหายใจ ผมดำขลับทั้งศีรษะกลายเป็นสีเงินยวง

เสี่ยวหวน นางกำนัลได้ยินเสียงฮองเฮาร่ำไห้ก่อนไร้สรรพสำเนียงฉับพลัน จึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง เห็นพระนางผมขาวโพลนทั้งพระเศียร จึงร้องอุทานอย่างตกใจ “เหนียงเหนียง! เหนียงเหนียง!”

แพทย์หลวงหลายท่านที่เพิ่งคุกเข่าลงรีบเงยหน้าขึ้น เห็นฮองเฮาสลบไป ไม่ทันคิดว่าผิดธรรมเนียมประเพณี รีบปรี่ขึ้นหน้า

คนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็ส่งเสียงฮือฮา ต่างเร่งร้อนลุกขึ้น กรูล้อมหลิวฮองเฮา

ตอนนี้เองตำหนักบรรทมพลันเงียบกริบ ทุกคนล้วนไม่ขยับเขยื้อน ไม่เพียงท่าร่างไม่เคลื่อนไหว กระทั่งเสียงยังชะงักกึก

พวกเขาถึงกับถูกสกัดจุดพร้อมกัน

นี่คือการสกัดจุดกลางอากาศ มิใช่ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ไม่อาจกระทำได้

บุรุษชุดดำสวมหน้ากากกึ่งเทพกึ่งภูตผีแฉลบเข้ามา... เป็นโต๋วหมู่เทียนจุน!

เมื่อเข้ามาก็กวาดตามองเจินจงฮ่องเต้แวบหนึ่งด้วยแววตาเฉยเมย จากนั้นก็ก้มหน้ามองหลิวเอ๋อร์ ยื่นมือบิดแก้มหลิวเอ๋อร์ให้ปากนางอ้าออก อีกมือยัดยาเม็ดลงไป แล้วกดที่ลำคอนาง เสียงดังอึกหนึ่ง เม็ดยาก็ลงสู่ช่องท้อง

จากนั้นสองมือก็หนุนยันหลิวเอ๋อร์ให้นอนราบกับพื้น ควบคุมนิ้วดั่งวายุ สกัดแปดเส้นปราณพิเศษบนร่างหลิวเอ๋อร์เร็วรี่ สุดท้ายเก็บสองมือ กระทำมุทราอจละวิทยราช232 นิ้วโป้งมือขวาค่อยๆ กดลงบนจุดตั้นจงกลางทรวงอกของหลิวเอ๋อร์

เสื้อผ้าบนร่างและผมยาวของหลิวเอ๋อร์พลิ้วไหวโดยไร้ลม นานสองนานถึงหยุดนิ่ง

โต๋วหมู่เทียนจุนสำแดงพลังแล้วเสร็จก็ลุกขึ้นยืน ในดวงตาฉายแววอ่อนล้าจางๆ มองหลิวเอ๋อร์ที่ผมเผ้าขาวโพลนในชั่วพริบตากะทันหันและยังคงสลบไสล เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยเสียงเบาเยียบเย็น “เจ้า... ยังตายไม่ได้!”

หนึ่งประโยคกล่าวจบ เขาก็รีบทะยานจากไป คลายจุดให้ทุกคนกลางอากาศ บรรดาแพทย์หลวง ขันที และนางกำนัลกลับเข้าสู่สภาพปกติ กรูเข้าไปหาหลิวเอ๋อร์ มิได้รู้สึกตัวว่าถูกสกัดจุดมาก่อนเลยแม้แต่น้อย

 

ฮ่องเต้สวรรคต ทั่วหล้าปกคลุมด้วยสีขาว

ข่าวเพิ่งถ่ายทอดออกมาจากตำหนักบรรทม สี่ประตูวังต้องห้ามปิดสนิท กองทหารองครักษ์กลุ่มใหญ่ลาดตระเวนตรวจตรารอบพระราชวังต่างสวมชุดไว้ทุกข์ บั้นเอวคาดสายไว้ทุกข์ บนอาวุธก็ผูกผ้าขาว

ขันทีนางกำนัลกลุ่มใหญ่ยกประคองผ้าขาววิ่งเหยาะๆ ไปทั่วสารทิศ ภายในวังต้องห้าม ขอเพียงห้องที่มีขื่อคาน สถานที่ที่มีประตู ล้วนถูกแขวนด้วยผ้าไว้อาลัย

สามารถทำนายได้ล่วงหน้า นับจากเวลานี้ไป สีขาวแห่งการไว้ทุกข์แพร่จากวังต้องห้ามสู่เขตพระราชวัง จากนั้นก็กระจายทั่วหล้า

ฮ่องเต้สวรรคตย่อมมีขั้นตอนพิธีการชุดหนึ่ง ทั้งประเทศคาดผ้าไว้ทุกข์นั้นไม่ต้องเอ่ยถึง ตามพระราชบัญญัติ ภายในหนึ่งปีงดนาฏยสังคีตทั้งสิ้น ห้ามแต่งงานในหมู่ราษฎร ให้สวมชุดขาว...

หากปฏิบัติตามโจวหลี่233 รัชทายาทสมควรไว้ทุกข์สามปี เฉกเช่นเดียวกับยามขุนนางสูญเสียบุพการี แต่คำนึงถึงสภาพการณ์แท้จริง แผ่นดินไม่อาจขาดผู้ปกครองแม้สักหนึ่ง ดังนั้นตามปกติแล้วรัชทายาทไว้ทุกข์หนึ่งวันเทียบเท่าหนึ่งปี จึงหมายถึงไว้ทุกข์สามวัน

หลังสามวันผ่านพ้น ไม่ว่าอย่างไรล้วนต้องสถาปนาราชันผู้ปกครองพระองค์ใหม่สืบทอดบัลลังก์

เอ่ยถึงเรื่องสามวันให้หลัง แท้จริงแล้วเมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนเพิ่งสวรรคต บรรดาขุนนางใหญ่ผู้ดำเนินการหลักก็เริ่มจัดเตรียมการแล้ว

 

วันต่อมา ในตำหนักต้าชิ่งแสดงความเคารพอาลัยสุดซึ้ง มโหรีงานพระศพบรรเลงเสียงดัง

บรรดาขุนนางล้วนสวมเสื้อขาว โพกผ้าขาว ไม่สวมหมวก ร่ำไห้กระทืบเท้าตามพิธี

พวกเขาเฝ้าพระศพอยู่ด้านหน้า ฝ่ายในก็มีบรรยากาศเศร้าสร้อย เทียบกับการร่ำไห้กึ่งจริงกึ่งปลอมของบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊เหล่านั้น ฝ่ายในกลับเป็นเสียงร้องโฮโศกสลดอย่างแท้จริง

เจินจงฮ่องเต้นับว่าทรงรักมั่น เมื่อครั้งมีพระชนม์ชีพ ฝ่ายในนั้นนับตั้งแต่ตำแหน่งเจี๋ยอวี๋ถึงหวั่นอี๋ จากตำแหน่งไฉเหรินถึงเฟยจื่อ นับหลิวเอ๋อร์ฮองเฮาแล้ว รวมกันไม่เกินสามสิบคน

ฝ่ายในของฮ่องเต้พระองค์หนึ่งถึงกับมีพระสนมพระมเหสีไม่ถึงสามสิบคน นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์โดยแท้

พระสนมเหล่านี้มีมากที่ยังเยาว์ อายุน้อยที่สุดเพียงสิบเก้าปี ฮ่องเต้ชราสวรรคต พวกนางล้วนกลายเป็นไท่เฟย234 นับจากนี้แก่เฒ่าอย่างโดดเดี่ยวชั่วชีวิต อย่าว่าแต่ออกจากวังสมรสใหม่ กระทั่งคิดเดินออกไปจากลานอุทยานของตนยังยาก

นึกถึงชะตากรรมต่างๆ เหล่านี้ เปลี่ยนเป็นผู้อื่นไม่ร่ำไห้ไม่เสียใจได้หรือ

แต่นอกจากนางสนมที่รู้ว่าตนหมดสิ้นอนาคตแล้ว หลิวฮองเฮาในตอนนี้ยิ่งเจ็บปวดช้ำใจ

เดิมทีหลิวเอ๋อร์แบ่งกู่อัตชีวีให้เจินจงฮ่องเต้ครึ่งหนึ่ง สามารถกล่าวได้ว่าเป็นตายร่วมกัน แต่ห้วงเวลาก่อนนางสิ้นชีพ กลับถูกโต๋วหมู่เทียนจุนหยุดยั้งเอาไว้เสียดื้อๆ

สำหรับคนส่วนมากแล้วตายมิสู้อยู่รอด

แต่สำหรับหลิวเอ๋อร์ ความตายอาจจะมิใช่การหลุดพ้น

บัดนี้นางนอนอยู่บนเตียง ผมเผ้าเป็นสีขาวดอกเลา ริมฝีปากแตกระแหง ใบหน้าที่เดิมนับว่าบำรุงรักษาได้งดงาม บัดนี้เหี่ยวซีดไปมาก

รัชทายาทสวมชุดไว้ทุกข์ คุกเข่าอยู่หน้าเตียง ร้องเรียกน้ำตาริน “ท่านแม่! ท่านแม่...”

ครั้นได้ยินเสียงเรียกของรัชทายาท หลิวเอ๋อร์ค่อยๆ ฟื้น เมื่อลืมตาก็เห็นรัชทายาทน้ำตานองหน้าขณะมองนาง นางนิ่งงันอยู่นานสองนาน คืนสติได้ก็มองซ้ายขวา สอบถามเสียงอ่อนแรง “ข้า... ไม่ตาย?”

“ท่านแม่! ท่านไม่ตาย! ท่านไม่ตาย! ท่านมีชีวิตอยู่อย่างดี!” รัชทายาทโถมเข้าไปหาอย่างยินดี

หลิวเอ๋อร์นิ่งงัน พลันน้ำตาร่วงพรูราวกับเม็ดฝน “ฝ่าบาท...”

นางไม่ทราบว่าไฉนถึงไม่ตาย รู้แน่แก่ใจว่านับจากนี้ไปนางกับเจินจงฮ่องเต้อยู่คนละฟากฟ้าแดนดิน ถึงขั้นหนทางภายภาคหน้าในยมโลกอาจไร้วาสนาพบพาน

คิดถึงตรงนี้ นางไหนเลยจะไม่โศกเศร้า

ร่ำไห้อยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ของหลิวเอ๋อร์ก็สงบลงบ้าง มองรัชทายาทซึ่งมีอายุเพียงสิบสามปี ในใจก็สะท้านไหว

‘ข้าจะล้มมิได้ อย่างน้อยไม่อาจล้มในตอนนี้ ลูกเจินยังเล็กนัก ข้าตายแล้วก็ไร้คนช่วยเขา’

คิดถึงตรงนี้ มิรู้ว่าเรี่ยวแรงมาแต่ที่ใด หลิวเอ๋อร์ยันกายช้าๆ ขึ้นมานั่ง

นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาประคองถูกนางผลักออกในคราวเดียว

“ลูกข้า บัดนี้มิใช่เวลาร่ำไห้ ไป! ไปหน้าตำหนักพร้อมข้า”

หลิวเอ๋อร์ลุกขึ้นปล่อยให้นางกำนัลคลุมชุดไว้ทุกข์ให้ สูดลมหายใจเข้ายาวๆ ยืดบั้นเอวตรง เยื้องย่างออกไปนอกประตู

 

กลางตำหนักจื่อเฉิน ฮองเฮาจูงรัชทายาท สวมชุดไว้ทุกข์ผ้าป่านย่างกรายเข้าไปในตำหนัก ด้านหลังมีโจวไหวเจิ้ง เหลยอวิ่นกง และบรรดาขันทีนางกำนัลติดตาม

ไท่สุ้ยยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา ในมือประคองกล่องบุแพรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ขุนนางทั้งหมดถวายบังคมเงียบๆ

หลิวเอ๋อร์จูงรัชทายาทเดินมาถึงหน้าหีบพระศพ ขอบตารื้นแดงแต่ต้องสะกดกลั้นไว้ ล้วงผ้าเช็ดหน้าขาวครามออกมาปาดเช็ดน้ำตา สงบสติอารมณ์ ก่อนหมุนตัวเชื่องช้ามายืนมั่นเผชิญหน้ากับทุกคน

ไท่สุ้ยสวมชุดไว้ทุกข์เช่นกัน ประคองกล่องบุแพรค่อยๆ เดินขึ้นหน้า สองมือประคองมอบให้โจวไหวเจิ้ง

โจวไหวเจิ้งรับไป หมุนตัวไปถวายบังคมหลิวฮองเฮา

“ประกาศเถอะ!” หลิวเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย

“พ่ะย่ะค่ะเหนียงเหนียง!”

โจวไหวเจิ้งรับคำเสียงหนึ่ง หมุนตัวมาเผชิญหน้ากับกลุ่มขุนนาง แกะตราประทับบนกล่องบุแพรอย่างระมัดระวัง ปลดสายรัดสีทอง ใช้กุญแจที่เตรียมไว้แต่แรกแล้วไขแม่กุญแจ หยิบราชโองการออกมาคลี่เปิดอย่างเชื่องช้า

“พระราชพินัยกรรมแห่งฮ่องเต้ในพระโกศ!”

เสียงของโจวไหวเจิ้งเปล่งออกมา บรรดาขุนนาง ขันที องครักษ์ต่างคุกเข่า ก้มหน้าหลุบตาน้อมฟังราชโองการ หลิวเอ๋อร์ก็ดึงรัชทายาทไปเบื้องหน้าเหล่าขุนนาง แล้วคุกเข่าลงกับพื้น

“ขุนนางทุกท่าน อายุขัยมีกำหนดเวลา เป็นตายโชคชะตาลิขิตแห่งฟ้า ไม่มีผู้ใดรอดพ้น นับแต่เราครองราชย์มา ปฏิบัติตามโองการสวรรค์ บำรุงชาวประชา ได้ยี่สิบห้าปี บรรเทาทุกข์โศกโรคภัยทั่วแผ่นดิน ยามนี้เจ็บป่วย ให้นึกถึงผู้ทรงคุณธรรมใกล้ชิด สามารถมอบหมายเรื่องภายภาคหน้า พระ... พระ...”

อ่านถึงตรงนี้ โจวไหวเจิ้งพลันชะงักกึก เบิกตาโพลงอย่างตกตะลึงขณะมองราชโองการในมือ จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่ได้อ่านผิด ก็อดเงยหน้าขึ้นมามิได้ หันไปมองฮองเฮาและรัชทายาทอย่างตระหนกลนลาน

ขุนนางบุ๋นบู๊เต็มท้องพระโรงล้วนตกอกตกใจ เพราะสีหน้าท่าทางแปลกชอบกลของโจวไหวเจิ้ง ต่างเงยหน้ามองเขาอย่างฉงนสงสัย

หลิวเอ๋อร์ก็มองโจวไหวเจิ้งอย่างแปลกใจ ไม่ทราบความนัยของเขา

ตอนนี้เองเหลยอวิ่นกงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้าแฝงรอยยิ้มชั่วร้าย น้ำเสียงก็อึมครึมน่าสะพรึงกลัว “โจวกงกง ใต้เท้าทุกท่านต่างรออยู่ ท่าน... อ่านต่อสิ!”

โจวไหวเจิ้งมองหลิวเอ๋อร์อย่างหวาดผวา เอ่ยเสียงสั่น “เหนียงเหนียง ราชโองการนี้... ราชโองการ...”

หลิวเอ๋อร์ค่อยๆ ลุกขึ้น มองโจวไหวเจิ้งหน้าตาตื่น รัชทายาทก็ลุกขึ้นด้วยความสงสัย มองไปทางฮองเฮาแล้วมองโจวไหวเจิ้ง

สองมือโจวไหวเจิ้งสั่น แทบถือราชโองการไม่อยู่ เสียงสั่นขณะเอ่ย “ราช...ราชโองการนี้... มีปัญหา!”

ขุนนางทั้งท้องพระโรงต่างส่งเสียงฮือฮา กระซิบกระซาบกัน

สีหน้าหลิวเอ๋อร์ร้อนใจ รีบสาวเท้าเร็วไปทางโจวไหวเจิ้ง

ตอนนี้เองเหลยอวิ่นกงที่อยู่ด้านข้างรีบขึ้นหน้ารับ ไม่เผยท่าทีคุกคาม ตวาดไปทางหลิวเอ๋อร์ “เหนียงเหนียง โปรดชะงักพระบาท!”

ฝีเท้าหลิวเอ๋อร์ชะงักกึก ขมวดคิ้วมองเหลยอวิ่นกง เขาค้อมกายลงอย่างเคารพ สองตาราวกับบ่อน้ำลึก เฉียบคมประดุจอินทรี

หลิวเอ๋อร์ตระหนกไม่คลาย คล้ายมองบางอย่างออก แต่ไม่แน่ใจ ชั่วขณะถึงกับถูกสยบความกล้า

เห็นนางชะงักฝีเท้า เหลยอวิ่นกงก็ยิ้มในหน้า ค่อยๆ หมุนตัวเดินไปยังโจวไหวเจิ้งที่ยังมีสีหน้าตระหนกเสียขวัญ มองเขาปราดหนึ่ง ก่อนยกแขนแย่งราชโองการมา

เหลยอวิ่นกงคลี่เปิดราชโองการ อ่านประกาศซ้ำใหม่

“ขุนนางทุกท่าน อายุขัยมีกำหนดเวลา เป็นตายโชคชะตาลิขิตแห่งฟ้า ไม่มีผู้ใดรอดพ้น นับแต่เราครองราชย์มา ปฏิบัติตามโองการสวรรค์ บำรุงชาวประชาได้ยี่สิบห้าปี บรรเทาทุกข์โศกโรคภัยทั่วแผ่นดิน ยามนี้เจ็บป่วย ให้นึกถึงผู้ทรงคุณธรรมใกล้ชิด สามารถมอบหมายเรื่องภายภาคหน้า พระอนุชาจ้าวเต๋อฟางประเสริฐดีงามปรีชาสามารถ เปี่ยมบุญบารมี เป็นแบบอย่างแห่งราชวงศ์ จริยธรรมเมตตาธรรมประจักษ์แจ้ง ต่อหน้าพระโกศ ให้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้...”

เสียงฮือฮาดังขึ้นในราชสำนัก ขุนนางบุ๋นบู๊ประหลาดใจ บ้างกระซิบกระซาบ บ้างตื่นเต้นยินดี บางคนตะลึงพรึงเพริด

โค่วจุ่นเงยหน้าขวับ สายตาเฉียบคมมองเหลยอวิ่นกง

มุมปากติงเว่ยผุดรอยยิ้มยะเยือกเย็น

จ้าวเต๋อฟางปาเสียนอ๋องมองเหลยอวิ่นกงอย่างตกตะลึง ชั่วขณะนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร

บัดนี้เวลานี้ ในท้องพระโรง สีหน้าท่าทางของทุกคนล้วนแตกต่างกัน

แต่เหลยอวิ่นกงคล้ายไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงในท้องพระโรง ยังคงอ่านราชโองการต่อไป “...แต่งตั้งติงเว่ย หวังชินรั่ว หลินเท่อ เฉินเผิงเหนียน และหลิวเฉิงกุย เป็นที่ปรึกษาการบริหารราชการแผ่นดิน แม่ทัพเสนาบดีร่วมแรง นอกในร่วมใจ ร่วมประคับประคองราชันแห่งทวยราษฎร์ รักษาความสงบแห่งมรรคาสวรรค์นิจนิรันดร์ จึงประกาศราชโองการนี้ให้ทราบโดยทั่วกัน!”

“กระหม่อมไม่กล้ารับสนองราชโองการ!” ตอนนี้เสียงตะคอกอย่างโมโหของปาเสียนอ๋องดังขึ้น

เหลยอวิ่นกงชะงักเสียง เหลือบตามองปาเสียนอ๋อง กล่าวเสียงทุ้ม “ปาเสียนอ๋อง นี่คือพระราชพินัยกรรมของรัชกาลก่อน!”

ปาเสียนอ๋องพลันลุกขึ้นพรวด มองเหลยอวิ่นกงอย่างเคืองขุ่น เอ่ยเสียงทุ้ม “จ้าวเต๋อฟางลั่นสาบานต่อหน้ารัชกาลก่อนแล้ว ไม่มีใจมุ่งหวังในบัลลังก์เด็ดขาด! จึงไม่อาจรับสนองราชโองการ!”

พูดพลางประสานมือคำนับแล้วถอยไปหลายก้าว แทรกตัวผ่านกลางหมู่ขุนนาง สะบัดแขนเสื้อหมุนตัว สาวเท้ายาวออกไปภายนอก

ทางหนึ่งเดินไป อีกทางเอ่ยเสียงก้องกังวาน “นับจากวันนี้ข้าไม่ออกจากประตูจวนแม้สักก้าว ไม่ขอพบคนนอกจวน!”

“ปาเสียนอ๋อง! ปาเสียนอ๋อง...” เหลยอวิ่นกงในที่สุดก็ลนลาน ถือราชโองการวิ่งกวดตามไป

บรรดาขุนนางต่างตระหนกงุนงง ต่างมองเงาหลังที่จากไปของปาเสียนอ๋อง

ตอนนี้เองโค่วจุ่นพลันกระจ่างฉับพลัน ชี้นิ้วไปที่เหลยอวิ่นกง เอ่ยเสียงดังลั่นด้วยใบหน้าบึ้งตึง “พระราชพินัยกรรมนี้เป็นของปลอม! พระราชพินัยกรรมนี้เป็นของปลอม!”

หยางอี้พุ่งตัวออกมายืนอยู่เบื้องหน้า กู่ร้องเสียงดังลั่น “ขณะที่ประชวรสาหัส ทรงเรียกข้า โค่วเซี่ยงกง และองคมนตรีเวินเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ ให้ข้าเป็นผู้ร่าง โค่วเซี่ยงกงคัดลอกด้วยมือ องคมนตรีเวินประทับตราบนพระราชพินัยกรรมมอบบัลลังก์ ผู้ได้รับตำแหน่งเด่นชัดว่าเป็นรัชทายาท ไฉนกลายเป็นปาเสียนอ๋อง พระราชพินัยกรรมนี้เป็นของปลอม! มีคนปลอมแปลงราชโองการ!”

เวินจ้งซูยืดตัวก้าวออกมา “มิผิด! ข้าเป็นพยานได้ พระราชพินัยกรรมนี้มิใช่ของรัชกาลก่อน!”

แม่ทัพใหญ่เฉาเหว่ยลูบเคราอย่างฉงนสงสัย มองซ้ายมองขวา ชั่วขณะตัดสินใจมิได้

ทว่าเขาตัดสินใจไม่ได้ แต่บางคนกลับตัดสินใจแต่เนิ่นๆ แล้ว

ติงเว่ยก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว มองโค่วจุ่นด้วยสายตาเย็นชา “โค่วเซี่ยงกง ท่านแต่ไรมาอาศัยว่าเฒ่าชรากระทำตามอำเภอใจ รัชกาลก่อนทรงพระเมตตา แต่ไรมาล้วนทรงอดกลั้นทรงยอมให้ บัดนี้เวลาสำคัญอย่างพิธีส่งมอบบัลลังก์ ท่านก็คิดก่อกวนหรือ”

โค่วจุ่นชี้ติงเว่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าคนเลวระยำ! หรือพระราชพินัยกรรมปลอมนี้เจ้าก็มีส่วน”

หวังชินรั่วก้าวมาเบื้องหน้าหลายก้าว ช่วยเอ่ยแทนติงเว่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โค่วเซี่ยงกง ท่านว่าราชโองการนี้เป็นของปลอม ท่านนำของจริงออกมาสิ!”

หลินเท่อ เฉินเผิงเหนียน และหลิวเฉิงกุยต่างก็ก้าวขึ้นหน้า

“ถูกต้อง! โค่วเซี่ยงกง ท่านว่าเป็นของปลอม เช่นนั้นท่านนำของจริงออกมา!”

บัดนี้เหลยอวิ่นกงไล่ตามปาเสียนอ๋องไม่ทัน วกกลับมาอย่างรีบร้อน ในมือชูราชโองการไว้เสียสูงพลางตะโกน “ราชโองการอยู่ที่นี่ ผู้ใดกล้าขัดราชโองการ!”

เห็นเขากล่าวเช่นนี้ ติงเว่ยก็รีบสาวเท้าเร็วรี่ไปด้านหน้า คำนับให้ราชโองการก่อน จากนั้นก็ยื่นมือไปรับ คลี่ออกอ่านโดยละเอียด ทั้งแสดงราชโองการให้ขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักได้เห็น

“ราชโองการเป็นของจริง!”

โค่วจุ่นกระหืดกระหอบปรี่เข้ามาคิดฉกราชโองการ “ท่านเหลวไหล! พวกท่านบังอาจมาก กระทั่งราชโองการยังกล้าปลอมแปลง!”

ติงเว่ยยกราชโองการหลบโค่วจุ่น พวกหวังชินรั่วกรูเข้ามาห้ามปรามโค่วจุ่น

“ท่านต่างหากบังอาจมาก ถึงกับกล้าขัดราชโองการ! ทหารองครักษ์หน้าตำหนักอยู่หรือไม่!” ติงเว่ยตะโกนก้อง

ทหารองครักษ์ที่ยืนข้างตำหนักไม่ขยับเขยื้อน

ติงเว่ยชูราชโองการขึ้น “ข้าคือติงเว่ย ที่ปรึกษาการบริหารราชการแผ่นดิน ทหารองครักษ์หน้าตำหนักอยู่หรือไม่!”

ทหารหน้าตำหนักออกจะลังเล ก่อนจะเข้ามาประสานมือคำนับ

ติงเว่ยมือหนึ่งชูราชโองการ อีกมือชี้โค่วจุ่นพลางตวาดลั่น “โค่วจุ่นเอะอะในท้องพระโรง เป็นความผิดมหันต์ รีบขับไล่เขาออกจากวัง!”

ทหารองครักษ์วิ่งกรูขึ้นหน้า คว้าแขนลากโค่วจุ่นออกไปด้านนอก โค่วจุ่นดิ้นรนร้องเสียงหืดหอบ “ติงเว่ย! สุนัขบังอาจ! ไม่ได้ตายดีแน่!”

เสียงบริภาษค่อยๆ เคลื่อนออกไปไกล ขุนนางทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ชั่วขณะนั้นไม่พูดจาแล้ว

ตอนนี้โจวไหวเจิ้งพลันกระโจนขึ้นมา ชี้เหลยอวิ่นกงพร้อมกับตวาดลั่น “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนร่างราชโองการที่ตำหนักคุนหนิง ข้าเป็นผู้บันทึก เด่นชัดว่าทรงมอบบัลลังก์แก่รัชทายาท เจ้ากล้าปลอมแปลงพระราชพินัยกรรม?”

สีหน้าเหลยอวิ่นกงอึมครึม ถลึงตาใส่โจวไหวเจิ้ง “โจวไหวเจิ้ง ฝ่าบาททรงดีกับเจ้าไม่น้อย เวลานี้เจ้าถึงกับกล้าปฏิเสธราชโองการนี้ เจ้าหน้าที่!”

เหลยอวิ่นกงมองติงเว่ยแวบหนึ่ง ติงเว่ยเข้าใจความนัย ชูราชโองการขึ้นอีก “โจวไหวเจิ้งเจตนาไม่ดี จับกุมเขาให้ข้าทันที!”

ทหารองครักษ์กรูเข้ามาจับกุมโจวไหวเจิ้งไว้

หลิวเอ๋อร์พลันเอ่ยเสียงทุ้ม “ติงเว่ย เหลยอวิ่นกง พวกเจ้าคิดทำอันใดกันแน่”

ติงเว่ยหันไปทางหลิวเอ๋อร์ มองนางอย่างลึกล้ำปราดหนึ่ง ประสานมือถวายบังคมเนิบนาบ “เหนียงเหนียง รัชกาลก่อนเพิ่งสวรรคต เหนียงเหนียงทรงพักผ่อนดูแลพระพลานามัยในฝ่ายในก่อนเป็นดี อย่าให้ความขัดแย้งในท้องพระโรงกระทบกระเทือนต่อพระอารมณ์ของเหนียงเหนียงเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ติงเว่ยกล่าวจบ สีหน้าพลันเปลี่ยนแปลง “เจ้าหน้าที่! ส่งเหนียงเหนียงและรัชทายาทกลับตำหนัก ดูแลให้ดี...”

ทหารองครักษ์ขึ้นหน้ามาทำท่าเชิญหลิวเอ๋อร์และรัชทายาทให้กลับตำหนัก

รัชทายาทก้าวออกมาอย่างเดือดดาล คิดผลักทหารองครักษ์ออก

หลิวเอ๋อร์พลันเห็นสายตาเหลยอวิ่นกงเต็มไปด้วยรังสีสังหารก็อดตระหนกมิได้ จึงรีบดึงรั้งรัชทายาทไว้

นางกวาดตามองบรรดาขุนนางช้าๆ คล้ายจะจดจำใบหน้าของทุกคนเอาไว้ สักพักหลังจากนั้นก็เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “พวกเราไป!”

ว่าแล้วก็หมุนตัวจากไปภายใต้การดูแลของทหารองครักษ์

เห็นสองแม่ลูกจากไป ติงเว่ยกับหวังชินรั่วต่างสบตากัน สีหน้ายินดีปรีดา

เหลยอวิ่นกงกลับหันไปมองประตูตำหนัก คิ้วขมวดเล็กน้อย

ปลอมแปลงราชโองการ?

ขัดราชโองการ?

เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น ขุนนางบุ๋นบู๊ต่างไม่อาจรั้งอยู่แล้ว ซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์เดินออกจากพระราชวัง เพียงคิดก็รู้ได้ ในเวลาไม่นานเรื่องนี้ย่อมแพร่สะพัดทั้งพระนคร ถึงขั้นแพร่สะพัดทั่วหล้า

เหล่าขุนนางเพิ่งออกจากพระราชวัง ภายในวังกลายสภาพเป็นอลหม่านวุ่นวายทันที ทุกตำหนักล้วนเป็นทหารติดอาวุธจับกุมคน

บ้างก็จับกุมจองจำภายใต้การนำของขันที

ขันทีบางคนอุกอาจลงทัณฑ์โบยด้วยไม้ พระสนมบางคนกระโดดบ่อชนเสาเพื่อมิให้อัปยศอดสู นางกำนัลขันทีบางคนยกประคองถาด บนถาดเป็นมีดสั้น ยาพิษ หรือผ้าขาว

เสียงโหยหวนกรีดร้องดังทั่วพระราชวัง เจ็บตายเกลื่อนกลาด

บุคคลชั้นผู้น้อยนั้นเพียงสองขันทีนำทหารองครักษ์ก็จัดการได้แล้ว แต่ขันทีใหญ่ที่มีตำแหน่งมีขั้นอย่างโจวไหวเจิ้ง จำเป็นต้องให้เหลยอวิ่นกงออกโรง

ทว่าสำหรับเหลยอวิ่นกงแล้ว เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้มิใช่กำจัดโจวไหวเจิ้ง แต่เป็นเสาะหาราชโองการตัวจริงที่เพียงพอพลิกจักรวาลฉบับนั้น

ด้วยความรวดเร็ว เหลยอวิ่นกงนำขบวนทหารองครักษ์และขันทีพุ่งเข้ามาในห้องของโจวไหวเจิ้ง

กวาดตามองสี่ทิศรอบด้าน กลับไม่พบเสาสุราทองที่ตั้งตรงมุมผนัง เหลยอวิ่นกงตะลึงงันในบัดดล ชี้ตำแหน่งที่เคยตั้งเสาสุราทอง ร้อนใจสอบถามขันทีข้างตัว “เสาสุราทองเล่า ตรงนั้นเดิมมีเสาสุราทองต้นหนึ่ง ไปไหนเสียแล้ว”

“เหลยกงกง ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ” ขันทีน้อยตระหนกลนลานไม่หยุด

เหลยอวิ่นกงโมโหใหญ่โต ตบหน้าหนึ่งฉาด “ไม่รู้ก็ไปถาม!”

ขันทีรีบกุมหน้ารับคำ วิ่งเร่งร้อนจากไป

เหลยอวิ่นกงกระวนกระวายเสาะหาทั้งสี่ด้าน แต่ห้องก็ใหญ่เพียงเท่านั้น ไม่มีเลยแม้แต่น้อย เขารีบดึงรั้งขันทีวัยกลางคนผู้หนึ่ง ถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “โจวไหวเจิ้งล่ะ”

ขันทีวัยกลางคนมองไปโดยรอบ กระซิบตอบ “กงกง ท่านบอกมิใช่หรือว่าสุราพิษจอกหนึ่งส่งเขาเดินทาง ตอนนี้...”

เหลยอวิ่นกงออกแรงผลัก ขันทีผู้นั้นโซเซถอยหลังไปหลายก้าว “เร็ว! รีบไปห้ามพวกเขา อย่าสังหารโจวไหวเจิ้ง ต้องถามว่าเสาสุราทองอยู่ที่ไหนให้ข้าให้ได้!”

ขันทีผู้นั้นได้ยินคำสั่ง ไม่ทันได้เอ่ยปากก็รีบวิ่งไปทันที

 

คุกลับภายในพระราชวัง โจวไหวเจิ้งผมเผ้ากระเซิง จมูกเขียว หน้าบวม ถูกบีบให้คุกเข่ากับพื้น ด้านข้างมีพัศดียืนคุม ในมือถือขวดกระเบื้องขวดน้อย

“โจวกงกง นี่เป็นประสงค์ของเหลยกงกง บนเส้นทางปรโลก ท่านอย่าได้คิดแค้นข้าน้อยเลย!” พัศดีแค่นหัวเราะ พยักพเยิดคางไปทางสหายร่วมงาน พัศดีออกแรงกดตัวโจวไหวเจิ้ง บีบให้เขาเงยหน้าขึ้น

พัศดีที่ถือสุราพิษยิ้มอย่างหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้มแล้วเดินขึ้นหน้า มือหนึ่งบีบใบหน้าโจวไหวเจิ้ง อีกมือกรอกสุราพิษเข้าไปอย่างโหดเหี้ยม

 

บัดนี้ห้องของโจวไหวเจิ้งถูกรื้อค้นจนเละเทะ

สองขันทียืนตรงหน้าเหลยอวิ่นกง ก้มหน้ารายงานอย่างขวัญผวา

“เหลยกงกง สายไปเสียแล้ว โจวกงกงเสีย...”

“เหลยกงกง...”

เหลยอวิ่นกงมองทั้งคู่ด้วยสายตาเย็นเฉียบ ไม่รอให้พวกเขาพูดจบก็ตัดบทถาม “เสาสุราทองอยู่ไหนแล้ว”

ขันทีน้อยมีท่าทางลนลาน “ขะ...ข้าน้อยมิได้ถามถึง”

เหลยอวิ่นกงเดือดดาล กระชากเสื้อเขาขึ้น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “มิได้ถามถึงรึ สิ่งของชิ้นใหญ่ถึงเพียงนั้น เหตุใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ คนของโจวไหวเจิ้งล่ะ ล้วนตายหมดแล้วรึ”

ขันทีผู้นั้นตอบเสียงสั่น “ขอรับ! พวกเขา... ล้วนตายสิ้นแล้วแน่นอน! กงกง ท่านมิใช่ออกคำสั่งให้จัดการคนสนิทของโจวไหวเจิ้งให้ราบคาบ เปลี่ยนคนของพวกเราเฝ้าดูฮองเฮาและรัชทายาทหรอกหรือ”

เหลยอวิ่นกงอึ้งงัน คลายมือออก ถอยหลังก้าวหนึ่งด้วยสีหน้ามึนงง

 

โค่วจุ่นยืนเอามือไพล่หลังภายในลานบ้าน เงยหน้ามองเมฆหมอกแดงแน่นคลุมท้องฟ้า ระบายลมหายใจยาวออกมาเป็นระยะ

แม้เขาถูกทหารองครักษ์ขับไล่ออกจากพระราชวัง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นรัฐบุรุษอาวุโสสามรัชกาล ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่กล้าผลีผลามจัดการเขา

ทหารจึงทำเพียงส่งอย่างมีมารยาทออกจากวัง ทั้งส่งคนคุ้มกันเขากลับจวนสกุลโค่วตลอดทาง ด้วยเกรงว่าหากเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง จะก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงขึ้น

กล่าวจากบางมุมมอง ขุนนางอาวุโสผู้ยืนนำหน้าขุนนางอื่น บางครั้งครอบครองพลังยิ่งใหญ่แกร่งกล้ากว่าฮ่องเต้

ฮ่องเต้สวรรคต ย่อมมีฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์สืบต่อ

แต่ขุนนางอาวุโสอย่างโค่วจุ่นหากมอดม้วย กลับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของแผ่นดิน

แน่นอนว่าหากล้มตายเพราะแก่เฒ่าเจ็บป่วยกลับไม่เป็นอันใด อย่างไรเสียมนุษย์ย่อมถึงที่ตาย

แต่ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิด ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต หรือถูกปลิดชีพเนื่องจากแผนลอบสังหาร เช่นนั้นปราชญ์เมธีบัณฑิตทั่วหล้าล้วนไม่อาจยอมรับ

กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือมวลหมู่เดียวกันเห็นใจซึ่งกันและกัน

แม้กระทั่งขุนนางอาวุโสเยี่ยงโค่วจุ่นเช่นนี้ยังเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ เมธีบัณฑิตอื่นไหนเลยยังมีความรู้สึกปลอดภัย ผู้ใดยังกล้าเข้ารับราชการในราชสำนัก

เมื่อมีพระชนม์ชีพ เจินจงฮ่องเต้ไม่โปรดโค่วจุ่นมาโดยตลอด แต่สมควรเคารพยกย่องยังคงเคารพยกย่อง

ฮ่องเต้ปกครองแว่นแคว้นแผ่นดินร่วมกับปราชญ์เมธี!

แน่นอนว่าเมื่อถึงวัยอย่างโค่วจุ่น ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี เกียรติยศ หรือการหยามหมิ่นของผู้คน โค่วจุ่นไม่นำพาใส่ใจ แต่ก็ไม่อาจไม่เป็นกังวล หากเกิดการเปลี่ยนแปลงสะท้านฟ้า บัณฑิตนักศึกษาทั่วหล้าได้รับความยากลำบากเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่น่ากลัวก็คือจะก่อให้เกิดความอลหม่านทั้งแผ่นดิน ถึงขั้นล่มสลายหรือไม่

จิตใจประชาระส่ำระสาย ภายนอกมีศัตรูโจรร้ายจดจ้องอย่างละโมบ นี่จะไม่ทำให้ขุนนางอาวุโสสามรัชสมัยอย่างเขาเกิดความกังวลกลัดกลุ้มได้อย่างไร

“เฮ้อ! แดงม่วงแทนที่แดงชาด235 ขนหนังจิ้งจอกยุ่งเหยิง236 ฝ่าบาททรงจากไปอย่างมิใช่เวลา! หากรัชทายาทอายุมากอีกสักหน่อย ไหนเลยจะเป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะเป็นเช่นนี้!” โค่วจุ่นเงยหน้าถอนหายใจยาว ในใจทุกข์ระทม

ตอนนี้โค่วฮูหยินซอยเท้านำชุดคลุมตัวหนึ่งเข้ามาคลุมให้เขาอย่างระวัง เอ่ยเสียงเบา “นายท่าน ระวังลมหนาว”

โค่วจุ่นเหมือนไม่ได้ยินวาจาของนาง คล้ายไม่รู้ถึงการมาของนางเสียด้วยซ้ำ

โค่วฮูหยินเห็นเขาใจลอย ในใจก็ยากรับไหว คิดแล้วก็เอ่ยปากโน้มน้าว “นายท่าน ก็แค่ถูกลดขั้นเป็นผู้ว่าเมืองเซียงโจวมิใช่หรือ พวกเราก็ไปเถิด จากสถานที่แห่งความขัดแย้งนี้ไปก็มิใช่เรื่องเลวร้าย”

โค่วจุ่นมองท้องฟ้ามืดครึ้ม ถอนหายใจแผ่วเบา “ไม่ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิดหรอก! ไม่ง่ายดายอย่างนั้น...”

ตอนนี้เด็กรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน มายืนนิ่งหน้าทั้งสองคน ก่อนรายงานเสียงสั่น “นายท่าน ผู้บังคับการหน่วยดาวพิฆาตขอเข้าพบ”

“หน่วยดาวพิฆาต...” โค่วจุ่นพึมพำ ดึงชุดคลุมลงมอบให้ฮูหยิน ก้าวเท้าไปทางโถงด้านหน้า

 

ภายในโถงรับรอง ต้งหมิงก้มหน้าดื่มชา คิ้วขมวดแน่นคล้ายกำลังครุ่นคิดบางประการ

“ผู้บังคับการต้งหมิงรอนานแล้ว” ตอนนี้เองโค่วจุ่นสาวเท้ายาวเข้ามา

“โค่วเซี่ยงกง เกรงใจแล้ว” ต้งหมิงรีบลุกขึ้นประสานมือคำนับ

โค่วจุ่นยกมือนับว่าคำนับตอบ มองต้งหมิงแวบหนึ่งพลางทอดถอนใจ “ละอาย อย่าเอ่ยถึง คารวะที่โจรทรยศนั่นประทาน ข้าบัดนี้เป็นเพียงผู้ว่าการเมืองเท่านั้น ไม่ต้องเรียกขานเซี่ยงกงแล้ว”

เขาโบกมือพลางนั่งลง มีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กวางคั่นระหว่างเขากับต้งหมิง บนโต๊ะมีน้ำชาที่สาวใช้รินให้

ครั้นเห็นต้งหมิงสีหน้าจริงจัง โค่วจุ่นก็รู้แน่แก่ใจว่าเขามีเรื่องอยากเอ่ย จึงโบกมือให้สาวใช้ออกไป

รอจนสาวใช้และเด็กรับใช้ถอยออกไป ในโถงก็เหลือเพียงสองคน ต้งหมิงถึงเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ติงเว่ยปลอมแปลงพระราชพินัยกรรม โค่วเซี่ยงกงมีหลักฐานแน่ชัดหรือไม่”

“หลักฐาน? หลักฐานมาแต่ใด พระราชพินัยกรรมถูกพวกเขาสับเปลี่ยนแล้ว!” โค่วจุ่นส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มขมขื่น

ต้งหมิงได้ฟังก็ขมวดคิ้ว ครุ่นคิด ไม่เอ่ยวาจา

โค่วจุ่นฮึดฮัดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันมาเห็นต้งหมิงกำลังใจลอย ก็อดวูบไหวในใจมิได้ จึงรีบถาม “ผู้บังคับการต้งหมิงมีเบาะแสหรือ”

ต้งหมิงส่ายหน้าช้าๆ มองไปที่โค่วจุ่น “โค่วเซี่ยงกง ติงเว่ยกุมอำนาจสำคัญ ปลอมราชโองการ ลดท่านเป็นเจ้าเมืองเซียงโจว โค่วเซี่ยงกงคิดจะทำอย่างไร”

โค่วจุ่นยิ้มเย็นชา “เฮอะ! ข้าไม่ไปหรอก ให้ข้านั่งดูพวกเขาปลุกปั่นสร้างเรื่องที่เปี้ยนเหลียงอย่างนั้นหรือ แม้ต้องพลีชีพอันแก่ชรา ผู้เฒ่าอย่างข้าก็จะสู้กับพวกเขา!”

ต้งหมิงส่ายหน้า “โค่วเซี่ยงกง ถอยหนึ่งก้าว ทะเลกว้างฟ้าโล่ง!”

“ถอย?” สีหน้าโค่วจุ่นไม่น่าดูชม ปรายตามองต้งหมิงแวบหนึ่ง หากไม่ทราบถึงความจงรักภักดีของหน่วยดาวพิฆาตต่อราชวงศ์ เขาย่อมโกรธเคืองจนส่งแขกแล้ว

ต้งหมิงมองสีหน้าของโค่วจุ่นแต่กลับไม่สะทกสะท้าน สีหน้ายังคงหนักแน่นขณะกล่าว “โค่วเซี่ยงกง ตอนนี้ท่านเป็นหนามยอกอกไม่อาจไม่ถอน หากยังรั้งอยู่ในเมืองหลวง รังแต่จะชักนำพิบัติภัยสู่ตัว หาเรื่องใส่ตัวไปไย มิสู้เหลือร่างที่ยังประโยชน์ ออกจากเปี้ยนเหลียงไปก่อน ค่อยเสาะหาโอกาสเคลื่อนไหว”

“ข้าไหนเลยจะเป็นคนกลัวเรื่องราว” โค่วจุ่นถลึงตาโต

ต้งหมิงส่ายหน้าเอ่ย “โค่วเซี่ยงกงย่อมมิใช่คนกลัวเรื่องราว แต่ฝืนรั้งอยู่ในเมืองหลวงเพื่อประโยชน์ใด ท่านไม่อยู่เมืองหลวง พวกเขาถึงจะกำเริบเสิบสานมากขึ้น ส่วนข้า...”

เอ่ยถึงตรงนี้ ปลายนิ้วชี้ของต้งหมิงก็แตะแผ่วเบาบนโต๊ะ “ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องให้พวกเขากำเริบเสิบสาน”

ดวงตาโค่วจุ่นสว่างวาบ จ้องต้งหมิงเขม็ง แล้วลูบเคราตรึกตรองพักหนึ่ง

ต้งหมิงพยักหน้าเชื่องช้า กล่าวเสียงเบา “แหวกหญ้าให้งูตื่น มิสู้ล่องูออกจากถ้ำ!”

 

“ข้าบอกแล้ว ไม่รับตำแหน่งเด็ดขาด!” โทสะของจ้าวเต๋อฟางยากสะกดกลั้น ปาราชโองการพินัยกรรมใส่ร่างเหลยอวิ่นกงอย่างแรง

“ท่านอ๋อง แผ่นดินไม่อาจขาดผู้ปกครองแม้สักวัน ท่านขึ้นครองราชย์สืบต่อ เบื้องบนรับเอาลิขิตฟ้า เบื้องล่างสมใจปวงประชา...” เหลยอวิ่นกงขอร้องวิงวอน

จ้าวเต๋อฟางสะบัดแขนเสื้ออย่างโมโหเป็นที่สุด ถลึงตาตวาดลั่น “เจ้าจะให้ข้าได้ชื่อว่าเป็นโจรขุนนางทรยศรึ ไสหัวไป!”

น้ำตาเฒ่าของเหลยอวิ่นกงพลันไหลพราก สองเข่าอ่อนระทวยคุกลงกับพื้น เอ่ยขอร้องโศกเศร้า “ท่านอ๋องไม่ชอบฟัง แต่ข้าแม้ร่างแหลกเป็นผุยผงก็จะเสี่ยงตายทัดทาน ท่านอ๋อง รัชกาลก่อนทรงมอบบัลลังก์แก่ท่าน ซึ่งก็คือมอบแผ่นดินไพร่ฟ้าหน้าใสแก่ท่าน เฉพาะหน้านี้แผ่นดินไร้ผู้ปกครอง ส่วนราษฎรไร้ผู้นำ ย่อมเกิดจลาจลครั้งใหญ่ทั่วหล้า หากชาวชี่ตัน237 ฉวยโอกาสบุกจู่โจมปล้นชิง เกรงว่าแผ่นดินต้าซ่งประดุจทรายร่วนกระบะหนึ่ง จะคลับคล้ายวัวแพะรอถูกเชือด ให้คนต้มสุนัข238 ตามอำเภอใจ”

จ้าวเต๋อฟางมองอย่างแค้นเคือง “รัชกาลก่อนทรงมีโอรส ตามหลักสมควรให้รัชทายาทครองราชย์สืบต่อ ข้าไม่ยอมเป็นโจรขุนนางทรยศเด็ดขาด!”

เหลยอวิ่นกงจนใจ ได้แต่บ่นกระปอดกระแปด “ท่านอ๋อง บัลลังก์มังกรนี้เดิมทีสมควรเป็นของท่าน เมื่อครั้นไท่จู่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ทรงมีองค์ชายเต๋อเจาเป็นโอรสองค์โต ซึ่งก็คือพระเชษฐาของท่าน แต่ไท่จู่ฮ่องเต้มิใช่ว่าทรงตรึกตรองขบคิดอย่างลึกซึ้งแล้วหรือ ถึงได้ทรงมอบราชบัลลังก์แก่ไท่จงฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระปิตุลาของท่าน”

เหลยอวิ่นกงชะงักไป น้ำตาไหล เงยหน้าเอ่ยอย่างซื่อสัตย์จริงใจ “สายเลือดเดียวกัน ไม่ว่าผู้ใดครองบัลลังก์ก็ล้วนสมเหตุผล ทว่ารัชทายาทยังทรงพระเยาว์ ไม่อาจปกครองแผ่นดิน เพื่อไพร่ฟ้าอาณา ท่านก็สมควรขึ้นครองบัลลังก์สืบต่อ จัดการดูแลราชสำนัก หากรัชทายาทวัยเยาว์ขึ้นครองราชย์ เกรงเพียงสถานการณ์ราชสำนักไม่มั่นคง จิตใจราษฎรระส่ำระสาย ยิ่งมีโจรชั่วคิดก่อกบฏบังเกิดต่อเนื่อง ถึงตอนนั้นแผ่นดินต้าซ่งแห่งราชสกุลจ้าววิกฤติรอบด้าน อันตรายยิ่งนัก!”

วาจาของเหลยอวิ่นกงกล่าวอย่างซื่อสัตย์จริงใจ แต่เมื่อเข้าหูจ้าวเต๋อฟางกลับทำให้เพลิงโทสะของเขาลุกโชน “เหลวไหลทั้งเพ! ช่างเหลวไหลเสียจริง!” จ้าวเต๋อฟางตวาดอย่างเดือดดาล “เมื่อครั้งไท่จู่ฮ่องเต้สวรรคต แผ่นดินยังไม่มั่นคง ทั้งยังมิได้แต่งตั้งรัชทายาท ถึงได้ทรงมอบราชสมบัติแก่พระอนุชา แต่บัดนี้แผ่นดินมั่นคง

สงบเรืองรอง จะนำตอนนั้นมาพิจารณาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น รัชกาลก่อนทรงแต่งตั้งจ้าวเจินเป็นรัชทายาท แสดงว่ามีพระประสงค์จะมอบบัลลังก์แก่เจินเอ๋อร์...”

เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็พลันขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดพิจารณาจริงจัง เอ่ยอย่างฉงนสงสัย “ไม่ถูกต้อง ตอนนั้นข้าเกลี้ยกล่อมหลายต่อหลายครั้ง ตามหลักแล้วพระราชพินัยกรรมนี้สมควรแต่งตั้งเจินเอ๋อร์จึงจะถูก ไฉนกลายเป็นข้าเล่า...”

จ้าวเต๋อฟางพึมพำเสียงค่อย เหลยอวิ่นกงกลับได้ยินเต็มสองหูไม่ตกหล่น อดนิ่งงันตกตะลึงมิได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

จ้าวเต๋อฟางขบคิดอยู่สักครู่ ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มองเหลยอวิ่นกงด้วยสีหน้าเข้มงวด “เจ้ากลับไปเถอะ เรื่องสืบทอดบัลลังก์ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด หากเจ้าจงรักภักดีต่อราชสำนักจริง ก็ให้คิดว่าจะประคับประคองและปกป้องรัชทายาทให้ครองราชย์สืบต่อไปอย่างไรเถอะ!”

ว่าแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ ตะโกนก้องไปด้านนอก “องครักษ์ ส่งแขก!”

เหลยอวิ่นกงยังคิดเอ่ยคำ แต่เห็นทีท่าของจ้าวเต๋อฟางเช่นนี้ ก็ได้แต่ลุกขึ้นอย่างจนใจ เอ่ยเสียงขมขื่น “เช่นนั้นข้ากล่าวลาแล้ว เฮ้อ!” เหลยอวิ่นกงทอดถอนใจอย่างอับจนหนทาง หมุนตัวเดินออกไปภายนอก

เขาเดินออกจากจวนปาเสียนอ๋อง ขันทีชั้นผู้น้อยคนหนึ่งซอยเท้าเร็วรี่เข้ามารายงาน “เหลยกงกง โค่วจุ่นย้ายครอบครัวออกจากเปี้ยนเหลียง เพื่อไปรับตำแหน่งที่เซียงโจวแล้ว”

เหลยอวิ่นกงได้ฟังก็ออกจะคึกคักกระปรี้กระเปร่าขึ้นบ้าง ก่อนแค่นหัวเราะเสียงเย็น “นับว่าเขารู้จักสถานการณ์!”

แต่เมื่อเขาหมุนตัวไปมองจวนปาเสียนอ๋องก็ถอนหายใจแผ่วเบาด้วยสีหน้าจนใจ

 

หลังเหลยอวิ่นกงจากไปแล้ว จ้าวเต๋อฟางเดินเอามือไพล่หลังย่ำอยู่ภายในโถงด้านใน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ชะงักฝีเท้าแล้วเงยหน้าเรียกคนที่อยู่ด้านนอก “องครักษ์!”

องครักษ์ปรากฏตัวหน้าประตู พลางประสานมือคำนับ

“เตรียมม้าเข้าวัง!” จ้าวเต๋อฟางกำชับเสียงหนึ่ง ก่อนสาวเท้ายาวออกไปภายนอก

 

หนึ่งเค่อหลังจากนั้น จ้าวเต๋อฟางก็มาถึงตำหนักฉือโซ่ว ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกทหารยามถือทวนวงเดือนกั้นขวางไว้

“บังอาจ! ข้าจะพบไทเฮา ผู้ใดกล้าขวาง” จ้าวเต๋อฟางตวาดอย่างโมโห

ทหารยามประสานมือถวายบังคม เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอท่านอ๋องโปรดอภัย ข้าน้อยเพียงกระทำตามคำสั่ง”

ดวงตาจ้าวเต๋อฟางสาดประกายขณะจ้องมองเขา สอบถามอย่างน่ายำเกรง “กระทำตามคำสั่ง? เป็นคำสั่งผู้ใด”

ทหารยามประสานมือคำนับ “ติงเซี่ยงกงที่ปรึกษาสั่งให้พวกข้าคุ้มกันไทเฮา ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าออก”

“ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าออก” จ้าวเต๋อฟางขมวดคิ้ว สะกดกลั้นความโกรธในทรวงอกที่แทบระเบิดออก เน้นคำว่า ‘เข้าออก’ หนักหน่วง

บรรดาทหารยามต่างก้มหน้างุด ไม่เอ่ยคำ จ้าวเต๋อฟางกวาดตามองสองทหารยามแวบหนึ่ง แล้วหัวเราะเสียงเย็น “วันนี้ข้าจะฝ่าเข้าไปให้ได้ ข้าอยากเห็นนักว่าติงเว่ยกล้าสังหารข้าหรือไม่!”

พูดแล้วก็ไม่สนการขัดขวาง เดินชนทวนวงเดือนเบื้องหน้าเข้าไปโดยตรง จะบุกเข้าไปในตำหนักทั้งอย่างนั้น

ทหารยามอับจนหนทาง ทั้งไม่กล้าขัดขวางจริงจังทั้งไม่กล้าปล่อยให้เข้าไป ทวนขัดอยู่เบื้องหน้าทรวงอกปาเสียนอ๋อง จ้าวเต๋อฟางเดินเข้าไปหนึ่งก้าว พวกเขาก็ถอยหนึ่งก้าว สุดท้ายก็ถอยเข้าสู่ประตูด้านในอย่างรวดเร็ว

ภายในตำหนักฉือโซ่ว ใต้แท่นบูชาพระโพธิสัตว์ ไทเฮาทรงคุกเข่าอยู่บนเบาะกลม ทรงนับลูกประคำ พระโอษฐ์ท่องพระสูตรขณะพระเนตรปิดสนิท

ตอนนี้เอง ประตูตำหนักพลันถูกคนเปิดจากภายนอก แต่ไทเฮาทรงไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย คล้ายไม่ทรงได้ยินกระนั้น

นางกำนัลอายุประมาณสามสิบปีมีสีหน้าเร่งร้อน ก้าวฝีเท้าเร็วเข้ามากราบทูล “ไทเฮา ปาเสียนอ๋องมาถึงเพคะ”

ไทเฮาลืมพระเนตรอย่างสงบ ยกพระหัตถ์ขึ้นเล็กน้อย นางกำนัลยื่นแขนเข้าไปประคอง

“ประคองข้าออกไป” ไทเฮาทรงลุกขึ้น เพิ่งเสด็จมาถึงตำหนักข้าง ก็เห็นจ้าวเต๋อฟางสลัดพ้นทหารยามพอดี

เมื่อเห็นไทเฮา จ้าวเต๋อฟางก็มีสีหน้ายินดี รีบสาวเท้าเร่งร้อนขึ้นหน้า ยื่นมือประคองไทเฮา สอบถามอย่างเป็นห่วง “เสิ่นเหนียงทรงสบายดี กระหม่อมก็วางใจแล้ว”

ไทเฮาแย้มพระสรวล “อย่าลนลาน ข้าอายุอานามมากแล้ว ต่อให้ข้ามีอันเป็นไปโดยไม่คาดคิด นั่นก็ถึงแก่เวลาแล้ว”

จ้าวเต๋อฟางเอ่ยอย่างฮึดฮัด “ติงเว่ยช่างใจกล้าบ้าบิ่นราวกับกินดีหมีหัวใจเสือดาว เป็นผู้ใดหนุนหลังเขาอยู่กันแน่ ถึงกับกล้ากำเริบเสิบสานเพียงนี้!”

ไทเฮาชะงักฝีพระบาท ทรงหันไปทางปาเสียนอ๋อง กำชับอย่างเคร่งเครียด “เต๋อฟางเอ๋ย พระเชษฐาเจ้าไปแล้ว เจินเอ๋อร์แม้เป็นรัชทายาท แต่ถึงอย่างไรอายุยังน้อย ฮ่องเต้นี้หากเปลี่ยนให้เจ้าเป็นก็ไม่เป็นอันใด อย่างไรเสียก็เป็นคนในสกุลจ้าว”

จ้าวเต๋อฟางได้ยินก็รีบคุกเข่าลงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เสิ่นเหนียงอย่าได้ตรัสเช่นนี้ รัชกาลก่อนทรงจากไปแล้ว หากกระหม่อมละเลยลูกกำพร้าแม่ม่าย ขึ้นครองราชย์เสียเอง ไหนเลยจะมีหน้านั่งบัลลังก์มังกรเผชิญหน้ากับผู้คนใต้หล้าเล่า”

ไทเฮาทรงฟังแล้ว พระพักตร์ก็ฉายแววปลาบปลื้มปีติ ยื่นพระหัตถ์ไปดึงปาเสียนอ๋องให้ลุกขึ้น ทรงทอดถอนใจก่อนตรัส “หลานเอ๋ย มิใช่เสิ่นเหนียงสงสัยในตัวเจ้า เพียงแต่โจรชั่วพวกนี้วางแผนมาเนิ่นนาน เกรงว่าพวกเขาจะกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย!”

จ้าวเต๋อฟางตะลึงงัน “ทรงหมายถึง?”

“ข้ากังวล ฮองเฮาและเจินเอ๋อร์ประสบกับเรื่องไม่คาดคิด” ไทเฮาพยักพระพักตร์ ทอดพระเนตรรอบข้างไร้ผู้คน ทรงกระซิบข้างหูจ้าวเต๋อฟาง

จ้าวเต๋อฟางได้ฟังให้ตระหนกนัก “พวกเขา... ไม่บังอาจถึงเพียงนั้นกระมัง”

ไทเฮาส่ายพระพักตร์ช้าๆ แล้วตรัส “เดิมทีอาจไม่ แต่เรื่องถึงขั้นนี้ พวกเขาก็ยากลงจากหลังเสือ ยอมเสี่ยงอันตราย มีอันใดมิได้”

พอได้ฟัง จ้าวเต๋อฟางก็เข้าใจฉับพลัน นิ่วหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนกระทืบเท้าพร้อมกับเอ่ย “ไม่ได้การ! กระหม่อมต้องไปจับตา ในเมื่อพวกเขาคิดหนุนกระหม่อมขึ้นครองราชย์ ย่อมไม่ทำร้ายกระหม่อม!”

พูดจบก็หมุนตัวจะจากไป แต่พลันชะงักกึก มองไทเฮาอย่างเป็นห่วง “แต่... หลานไปทางนั้น เสิ่นเหนียง...”

ไทเฮาแย้มพระสรวลเล็กน้อย “วางใจ คนแก่อย่างข้าไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขา ไม่มีผู้ใดทำร้ายข้าหรอก”

จ้าวเต๋อฟางลังเลพักหนึ่ง อยากรั้งอยู่เป็นเพื่อนไทเฮา แต่บัดนี้เรื่องราวเร่งด่วนไม่อาจให้เขาร่ำไร จึงก้าวจากไปด้วยฝีเท้าเร็ว

 

ตำหนักฝูหนิง ขันทีและทหารองครักษ์ยืนอยู่บริเวณประตูตำหนัก หลิวเอ๋อร์นำรัชทายาทเดินมาทางประตูตำหนัก

“เหนียงเหนียงทรงหยุดก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” เห็นหลิวเอ๋อร์เข้ามา ทหารองครักษ์ก็ขัดอาวุธขวาง พลางปรามเสียงดุดัน

หลิวเอ๋อร์และรัชทายาทชะงักนิ่ง หลิวเอ๋อร์กวาดตามองพวกเขาอย่างน่าเกรงขาม “ว่าอย่างไร พวกเจ้ากินเบี้ยหวัดสกุลจ้าว ตอนนี้กลับคิดจับกุมข้ากับรัชทายาท”

ทหารองครักษ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก บรรดาขันทีรีบเอ่ยฉอดๆ ทันที

“เหนียงเหนียง พวกกระหม่อมเฝ้าตรงนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของเหนียงเหนียงและรัชทายาท ในวังไม่สงบพ่ะย่ะค่ะ!”

“เหนียงเหนียง พวกกระหม่อมเป็นเพียงข้ารับใช้กระทำตามคำสั่ง เหลยกงกงจัดการเช่นนี้ เหนียงเหนียงอย่าได้ทรงทำให้พวกกระหม่อมลำบากจึงจะถูกพ่ะย่ะค่ะ”

“พวกกระหม่อมไม่อาจตัดสินใจ ต้องให้เหลยกงกงพยักหน้าจึงจะได้”

หลิวเอ๋อร์เดือดดาลนัก เอ่ยเสียงสูง “เหลยกงกง? เหลยอวิ่นกงก็เป็นเพียงบ่าวสกุลจ้าวของข้าเท่านั้น! เขามีสิทธิ์อันใดชี้มือต่อหน้าข้า! ไสหัวไป!”

นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยืดร่างเดินไปเบื้องหน้า บรรดาทหารองครักษ์ขวางทางด้วยทวนวงเดือน หลิวเอ๋อร์สุดจะอดกลั้น ยื่นมือไปคว้าทวนวงเดือนตรงหน้า พลังแท้เยียบเย็นสายหนึ่งแล่นผ่านทวนวงเดือนเข้าสู่ท่อนแขนของทหารองครักษ์ พวกเขาไม่ได้ระวังป้องกัน เพียงรู้สึกถึงความหนาวเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่าง เมื่อคลายมือ ทวนวงเดือนก็ร่วงตกลง

ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างต่างตะลึงงัน รีบแทงทวนวงเดือนมาทางหลิวฮองเฮา ทว่าพวกเขายังบันยะบันยัง กล่าวว่าแทงมิสู้เอ่ยว่าต้านรับ คิดปรามฮองเฮาไว้

ทว่าเดิมทีวรยุทธ์ของหลิวเอ๋อร์ไม่สามัญ ส่วนทหารเหล่านี้มีเพียงไม่กี่คน ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อกรของนาง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเขายังยั้งมือ พละกำลังสิบส่วนอย่างมากสำแดงได้เพียงห้าส่วน

ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของรัชทายาท หลิวเอ๋อร์สำแดงอานุภาพครั้งใหญ่ วรยุทธ์หลายกระบวนท่า หกทหารองครักษ์ล้วนถูกนางจัดการจนล้มกองกับพื้น นอนแผ่ร้องโอดโอย

เหล่าขันทีกรูขึ้นหน้า คิดสยบหลิวฮองเฮา

อย่าได้เห็นว่าหลิวเอ๋อร์ต่อกรกับทหารองครักษ์หลายนายได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อถึงคราวเหล่าขันที ในใจนางกลับไม่มั่นใจ

ประการแรก... การแสดงออกก่อนหน้าของเหลยอวิ่นกงทำให้นางประหวั่นพรั่นพรึงอย่างแท้จริง

ประการที่สอง... ภายในวังมีหอตำรายุทธ์ เก็บรักษาตำราวิชายุทธ์ทั่วหล้า ตามหลักแล้ว เหล่าขันทีขอเพียงพอมีศักดิ์ฐานะ ล้วนสัมผัสตำรายุทธ์เหล่านี้ได้ นี่นับเป็นแนวป้องกันลับของราชสกุล ไท่จู่ฮ่องเต้ทรงตั้งกฎนี้ หลักๆ แล้วเพื่อป้องกันหากทหารองครักษ์ภายในวังต้องห้ามคิดต่อต้าน ถึงอย่างไรไท่จู่ฮ่องเต้ทรงมีที่มาจากทหารองครักษ์ เพื่อป้องกันพวกเขากระทำเลียนแบบ ย่อมเตรียมการด้านนี้ไว้พร้อม

ทว่าดีที่หลิวเอ๋อร์มิใช่เป็นเพียงวรยุทธ์ ในเมื่อไม่มั่นใจ นางก็ไม่หลบซ่อน เห็นขันทีกรูเข้ามา นิ้วมือก็เคลื่อนไหว ดีดควันบางเบาออกไปสายหนึ่ง เป็นศาสตร์กู่ที่หายสาบสูญของแถบชายแดนทางใต้นั่นเอง

ควันบางเบาราวกับหมอก ทันทีที่ดีดออกก็แผ่ซ่านอวลตลบ เพียงสูดดมเข้าไป ขันทีที่กระโจนเข้ามาต่างก็ร้องโอดโอยล้มกองไปกับพื้น กลิ้งตัวไปพลางยื่นมือเกาบนร่างไปพลาง ช่างเจ็บคันยากจะทานทน

กระทำเสร็จสิ้น หลิวเอ๋อร์ก็คว้าตัวรัชทายาทพุ่งไปด้านนอก

ในตอนนี้เอง เงาคนสายหนึ่งพลันปรากฏซึ่งหน้า ซัดหนึ่งฝ่ามือกลางอากาศใส่นาง

หลิวเอ๋อร์ตระหนกตะลึง ดึงรัชทายาทไปด้านหลัง อีกมือต้านรับฝ่ามือของอีกฝ่าย

ต้านรับครั้งนี้ ใจของนางหนักอึ้งในชั่วพริบตา ผู้มามีวรยุทธ์สูงส่งนัก ตนไม่สามารถเอาชนะได้แม้แต่น้อย

ดีที่นางความคิดฉับไว เห็นว่าไม่อาจต้าน จึงรีบอาศัยกระบวนท่า ถอยกรูดหลายก้าว สองขาออกแรงย่ำพื้น ยืมแรงกระโดดถอยหลัง สองมือวาดออก เจ็ดแมลงกู่ยิงออกไปกลางอากาศโจมตีผู้มา

ผู้มายืดแขนเป็นวง แปลงเป็นเงาฝ่ามือมายาหลายสาย เมื่อฝ่ามือแบค้างกลางหาว กลางฝ่ามือก็มีเจ็ดแมลงกู่กำลังดิ้นรน คล้ายถูกพลังไร้รูปดูดติด ถึงกับหมดหนทางหลบหนี

หลิวเอ๋อร์ตกใจจนหน้าถอดสี นับแต่นางจำความได้ ยังไม่เคยพบวิธีการรับมือกับแมลงกู่เช่นนี้ เงยหน้ามองไป ผู้มามิใช่อื่นไกล... เป็นเหลยอวิ่นกง!

เหลยอวิ่นกงแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง ฝ่ามือสั่นสะเทือน เจ็ดแมลงกู่ถูกพลังความร้อนจากฝ่ามือเผาไหม้เป็นจุณ

หลิวเอ๋อร์ร้องอุบ พลังฝ่ามืออันหนักอึ้งที่ต้านรับเมื่อครู่ และแมลงกู่ถูกทำลายทำให้อาการบาดเจ็บสำแดงพร้อมกัน มุมปากมีโลหิตซึม

รัชทายาทรีบโถมเข้ามา ประคองหลิวเอ๋อร์ไว้ ร้องอย่างลนลาน “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านไม่เป็นไรกระมัง” พูดพลางหันขวับไปมองเหลยอวิ่นกงซึ่งบีบกระชั้นเข้ามาทีละก้าวอย่างแค้นเคือง พลางกางแขนออกกันเบื้องหน้าหลิวฮองเฮา

“เจ้าอย่าเข้ามา!”

เหลยอวิ่นกงชะงักนิ่ง มองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา “เหนียงเหนียง เชิญกลับตำหนัก!”

หลิวเอ๋อร์ยื่นมือไปดึงรัชทายาทมาข้างตัวอย่างช้าๆ สองตาประดุจดาบ จ้องเหลยอวิ่นกงเขม็ง “เจ้าเป็นใครกันแน่!”

เหลยอวิ่นกงยิ้มในหน้า ไม่ตอบ

หลิวเอ๋อร์เผยสีหน้ากระจ่างแจ้งฉับพลัน ชี้เหลยอวิ่นกงอย่างตื่นตระหนก “เจ้า... เจ้าเป็นคนของเขา?”

เหลยอวิ่นกงยิ้มยะเยือก หลุบตาลงเอ่ย “เชิญเหนียงเหนียงกลับตำหนัก”

หลิวเอ๋อร์กัดฟันกรอด ลงมืออีกครั้ง มือประดุจกรงเล็บอินทรี ถึงกับใช้วิชาหมัดสัญจรกรงเล็บอินทรีของสำนักกรงเล็บอินทรีแห่งเป่ยตี้239 ที่สาบสูญไปแล้ว

ฝ่ามือสัญจรกรงเล็บอินทรีมีหมัดสัญจรสิบสองวิถี หมัดต่อเนื่องห้าสิบวิถี เรียกว่าเกาะเสื้อแตะชีพจร แยกเอ็นแบ่งกระดูก สกัดจุดปิดลม นี่เป็นวรยุทธ์ที่ฝึกง่ายแต่ยากจะชำนาญ โดยปกติแล้ววรยุทธ์เกาะติดเช่นนี้ น้อยนักที่สตรีจะฝึกฝน ต่อให้ฝึกฝนก็น้อยมากที่จะสำเร็จ โดยมากสวยเพียงกระบวนท่า น่าดูชม แต่ใช้การไม่ได้

ทว่าหมัดสัญจรกรงเล็บอินทรีที่หลิวเอ๋อร์สำแดง เด่นชัดว่ามิใช่รูปแบบแห่งยุทธภพ ฝ่ามือนางประดุจกรงเล็บ นิ้วมือคล้ายดาบ ทุกกระบวนท่าเหมือนสะบั้นอากาศ บังเกิดเสียงดังสวบๆ ประหลาดชอบกล ไม่ว่าผู้ใดถูกกรงเล็บนาง ต่อให้ฝึกวรยุทธ์แข็งกร้าวอย่างเกราะระฆังทอง ผิวหนังก็ย่อมเหวอะหวะ

เผชิญหน้ากับเงากรงเล็บครอบคลุมเต็มพื้นที่ เหลยอวิ่นกงถึงกับยืนนิ่งไม่ขยับ เพียงใช้มือเดียวตั้งรับ สบายอย่างยิ่ง คล้ายกำลังเล่นเป็นเพื่อนเด็กน้อย

“หยุดมือ!”

ตอนนี้เองเสียงของจ้าวเต๋อฟางดังแว่วมาแต่ไกล

เหลยอวิ่นกงสะดุ้งเฮือก ยื่นนิ้วแตะรอยต่อฝ่ามือของหลิวเอ๋อร์แผ่วเบา ฉวยโอกาสขณะนางเจ็บปวดถอยหลังทันที ก่อนเก็บกระบวนท่า ค่อยๆ หมุนตัวกลับมา

จ้าวเต๋อฟางเดินเข้ามาอย่างกระฟัดกระเฟียด ดวงตาราวกับกำลังพ่นเปลวเพลิง

เหลยอวิ่นกงค้อมตัวลง “บังคมปาเสียนอ๋อง”

รัชทายาททั้งตระหนกทั้งยินดี หลิวเอ๋อร์เองก็ตื้นตัน

จ้าวเต๋อฟางชี้เหลยอวิ่นกงอย่างเดือดดาล “เจ้าบังอาจมากนัก! ถึงกับกล้าลงมือต่อฮองเฮา”

สีหน้าเหลยอวิ่นกงราบเรียบ ค้อมตัวตอบ “ข้าน้อยกระทำโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเหนียงเหนียง”

“เจ้า...!” จ้าวเต๋อฟางโกรธจนพูดไม่ออก

“ปาเสียนอ๋อง...” หลิวเอ๋อร์ออกเสียงเรียก

จ้าวเต๋อฟางรีบหมุนตัวไปทางหลิวเอ๋อร์ ประสานมือถวายบังคม “ฮองเฮา...” จากนั้นก็มองรัชทายาทด้วยสีหน้าเจ็บปวดก่อนเอ่ย “ฮองเฮา เจินเอ๋อร์ เต๋อฟางไร้ความสามารถ มาคุ้มกันสายไป...”

หลิวเอ๋อร์คว้าจับแขนของจ้าวเต๋อฟางไว้ ส่ายหน้าช้าๆ น้ำตาค่อยๆ ไหลพราก ความอัดอั้นตันใจมิต้องเอ่ยคำก็กระจ่างชัดแจ้ง

เหลยอวิ่นกงปรายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง ค้อมตัวเล็กน้อย “ข้าไม่รบกวนท่านอ๋องสนทนากับเหนียงเหนียงและรัชทายาทแล้ว ขออำลา!”

พูดจบก็ไม่รอให้ทั้งสามคนทันตอบสนอง ค้อมกายถอยหลังไปหลายก้าว หมุนตัวได้ก็เดินส่ายอาดๆ จากไป

แต่ไกลยังได้ยินเสียงกำชับกับบรรดาขันทีในสังกัด

“เฝ้าประตูให้แน่นหนา เกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิด ข้าจะถลกหนังพวกเจ้า!”

จ้าวเต๋อฟางฟังแล้วเดือดปุดๆ คิดตามออกไป ปากร้องก่นด่า “เจ้าบ่าวสุนัขผู้นี้!”

หลิวเอ๋อร์ยุดปาเสียนอ๋องไว้ ส่ายหน้าช้าๆ

จ้าวเต๋อฟางนิ่งงัน หันกลับมามองฮองเฮาและหลานชายปราดหนึ่งแล้วทอดถอนใจ ชะงักฝีเท้าอย่างจำใจ

หลิวเอ๋อร์รั้งปาเสียนอ๋องไว้ได้ สายตากลับตกอยู่ที่เงาของเหลยอวิ่นกง ในแววตาฉายความโกรธแค้นและหวั่นผวา มุมปากเม้มแน่น เนิ่นนานถึงได้เอ่ยคำ

 

เหลยอวิ่นกงขวางฮองเฮาและรัชทายาทแล้ว เมื่อเห็นปาเสียนอ๋องมาขัดขวางก็ไม่ยื้ออีก กวาดตามองโดยรอบเที่ยวหนึ่งแล้วกลับเข้าไปในห้องตนเอง

ทันทีที่เปิดประตูก็พบติงเว่ยกำลังเดินเอามือไพล่หลังรออยู่ในห้อง เหลยอวิ่นกงขมวดคิ้วเล็กน้อย รีบฉีกยิ้มพลางประสานมือคำนับ “พุทโธ่ ติงเซี่ยงกง ท่านไฉนมาแล้ว รอข้าอยู่หรือ”

พอได้ยินเสียงประตูเปิด ติงเว่ยก็หมุนตัวมา เห็นเหลยอวิ่นกงกลับมาแล้วก็รีบขึ้นหน้าไปรับ เพิ่งคิดเอ่ยคำก็เห็นเหลยอวิ่นกงขยิบตาให้ จึงรีบหุบปาก

เหลยอวิ่นกงเอียงหน้าเล็กน้อย สั่งให้ขันทีชั้นผู้น้อยในบริเวณโดยรอบออกไป “เอาละ พวกเจ้าออกไปเถอะ ไม่ได้กำชับ ห้ามเข้ามาข้างใน”

“ขอรับ!” เหล่าขันทีรับคำสั่งก่อนค้อมตัวถอยออกไป

คนนอกจากไป ติงเว่ยก็รีบขึ้นหน้าอย่างนอบน้อม ทำท่าจะประคองเหลยอวิ่นกง

เหลยอวิ่นกงก็ไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้เขาประคอง ปากกลับเอ่ยกระเซ้า “อย่างไรกัน ติงเซี่ยงกงอ่อนน้อมถ่อมตนให้ขันทีผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ”

ติงเว่ยยิ้มปะเหลาะ “เหลยกงกง โต๋วหมู่เทียนจุนให้ข้าปรึกษาท่านทุกเรื่อง ข้าถึงได้รู้ว่าท่านมิใช่คนสามัญ ก่อนหน้าเป็นข้ามีตาหามีแววไม่ ท่านอย่าได้ถือสา”

เหลยอวิ่นกงฟังแล้วก็แบะปาก ใบหน้าฉายแววดูหมิ่นคิดแคลน “ท่านมาพบข้าครานี้ด้วยเรื่องอันใดกัน”

ทันทีที่เอ่ยถึงเรื่องเป็นงานเป็นการ สีหน้าติงเว่ยก็เข้มขรึมขึ้นมาทันที ประชิดเข้ามากระซิบเสียงเบา “บัดนี้กลุ่มขุนนางแบ่งเป็นสองฝ่าย วิพากษ์ไม่รามือ เฒ่าดักดานโค่วนั้นแม้ถูกลดขั้น แต่ขุนนางใหญ่ที่ปกป้องเขายังมีมาก คงไม่อาจจัดการทีละคน ล้วนไล่ออกจากเปี้ยนเหลียงกระมัง หากไม่ระวัง บีบให้พวกเขาทั้งฝูงแว้งกัด เกรงว่า...”

เหลยอวิ่นกงปรายตามองเขา “ท่านมีวิธีการใด”

ติงเว่ยกระเถิบเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าลึกลับก่อนกระซิบ “ลงมือก่อนได้เปรียบ ควบคุมบังคับราชสำนักและราษฎร จนกระทั่งปาเสียนอ๋องยอมเปลี่ยนใจ!”

เหลยอวิ่นกงถามอย่างแปลกใจ “ควบคุมบังคับอย่างไร”

“ต่อให้พวกเขามีคนมากแล้วอย่างไรล่ะ ผู้ที่มีสิทธิ์ขาดคือผู้ใด เป็นฮ่องเต้อย่างไรเล่า บัดนี้พระองค์ก่อนสวรรคต ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังมิได้ขึ้นครองราชย์ เช่นนั้นที่มีสิทธิ์เด็ดขาดยังคงเป็นราชโองการของรัชกาลก่อนมิใช่หรือ” ใบหน้าติงเว่ยแฝงรอยยิ้มชั่วร้าย

สำหรับเหลยอวิ่นกงแล้ว ไม่สนใจว่าเป็นแผนดีหรือแผนร้าย ขอเพียงเป็นประโยชน์ก็ใช้ได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อฟังความคิดของติงเว่ยก็ขบคิดพิจารณาทันที

ติงเว่ยรีบเอ่ย “เหลยกงกง ท่านกับข้าร่วมมือ ควบคุมนอกในราชสำนักด้วยพระราชพินัยกรรมของฝ่าบาท ก็ไม่ต้องกลัวพวกเขาต่อต้าน ถึงตอนนั้นเกรงว่าด้วยสถานการณ์บีบคั้น ปาเสียนอ๋องจำต้องเปลี่ยนความคิด”

เหลยอวิ่นกงพยักหน้าเชื่องช้าอย่างครุ่นคิด “ได้! ให้เผยแพร่ราชโองการในนามรัชทายาทผู้สำเร็จราชการ นับจากนี้ไปฎีกาของขุนนางทั้งหลาย จำต้องผ่านการตรวจสอบจากท่าน ค่อยส่งเข้าอนุมัติในพระราชวังชั้นใน เมื่อเป็นเช่นนี้ บนล่างในราชสำนัก หยดน้ำไม่รั่วไหล ล้วนอยู่ในเงื้อมมือท่านกับข้า!”

พูดจบเขาก็เดินไปหยุดหน้าโต๊ะตำรา ล้วงกุญแจออกมาไขเปิดตู้ทองแดงหนักอึ้ง ประคองราชลัญจกรหยกออกมา มองติงเว่ยแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ติงเซี่ยงกง ท่านมาร่างราชโองการเถอะ!”

ใบหน้าติงเว่ยปลาบปลื้มยินดี รีบพยักหน้าเดินเข้าไป

 

อีกฟากหนึ่งกลางตำหนักคุนหนิง

หลิวเอ๋อร์เอนหลังพิงเตียง รัชทายาทนั่งอยู่ข้างเตียง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบโลหิตที่มุมปากให้นางอย่างระมัดระวัง

จ้าวเต๋อฟางยืนอยู่อีกด้าน มองหลิวเอ๋อร์อย่างเป็นกังวล “ฮองเฮา ไม่ทรงเป็นไรกระมัง”

หลิวเอ๋อร์พยักหน้า มองจ้าวเต๋อฟางแล้วถอนหายใจ “คิดไม่ถึง เหลยอวิ่นกงก็เป็นคนของเขา มิน่าสำหรับทุกอิริยาบถของข้า เขาล้วนกระจ่างปรุโปร่งประดุจนิ้วบนฝ่ามือ!”

“เขา? เขาคือใคร ติงเว่ย?” ใบหน้าจ้าวเต๋อฟางฉายแววงุนงง

หลิวเอ๋อร์ยิ้มขมขื่น “เล่าแล้วเรื่องยาว เรื่องนี้ถึงตอนนี้มีเพียงผู้บังคับการต้งหมิงเท่านั้นที่รู้...”

เอ่ยถึงตรงนี้ สองตานางก็พลันสว่างวาบ เผยให้เห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “ต้งหมิง! ข้าลืมเขาไปได้อย่างไร”

นางลุกขึ้นจากเตียงอย่างกระฉับกระเฉง รัชทายาทรีบเข้ามาประคอง

“หน่วยดาวพิฆาตมีฉายาเป็นกลุ่มดาวกระบวย เป็นปราการสุดท้ายถวายการอารักขาดาวจักรพรรดิจื่อเวย! บัดนี้ติงเว่ยกับเหลยอวิ่นกงนอกในสมคบคิด หลอกลวงล่วงละเมิดเบื้องสูง หน่วยดาวพิฆาตไฉนถึงไร้ความเคลื่อนไหว” หลิวเอ๋อร์เอ่ยอย่างตื่นเต้น

จ้าวเต๋อฟางส่ายหน้าอย่างไม่เห็นเช่นนั้น “ฮองเฮา ที่พึ่งพาหน่วยดาวพิฆาตได้ก็เพียงความองอาจห้าวหาญอย่างพวกไร้ปัญญา เรื่องในราชสำนัก พวกเขาทำประโยชน์อันใดได้”

ความคิดของจ้าวเต๋อฟางแท้จริงแล้วคลับคล้ายเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ในสายตาของพวกเขา เรื่องในราชสำนักเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตดำเนินการ เหล่านักยุทธ์ อย่าว่าแต่หน่วยดาวพิฆาต ต่อให้เป็นแม่ทัพทางการทหารก็ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น

แต่หลิวเอ๋อร์กลับไม่คิดเช่นนั้น ส่ายหน้ากล่าว “ไม่ใช่เช่นนี้! ท่านคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยังอาศัยกฎเกณฑ์ในราชสำนักมาคลี่คลายได้หรือ ความองอาจห้าวหาญอย่างคนไร้ปัญญาก็สามารถคืนหยกให้จ้าว240!”

พอได้ยิน จ้าวเต๋อฟางก็อดวูบไหวในใจมิได้ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “หน่วยดาวพิฆาต... สามารถพลิกผันสถานการณ์ได้จริงหรือ”

หลิวเอ๋อร์พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ข้ารู้จักเข้าใจพวกเขา หน่วยดาวพิฆาตย่อมไม่หวังเอาแต่ตัวรอดแน่นอน”

รัชทายาทที่อยู่ด้านข้างก็ออกแรงพยักหน้า วงหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “ถูกต้อง! หน่วยดาวพิฆาตไม่หดหัวอยู่ในกระดองแน่นอน!”

“หากเป็นเช่นนี้... ในเมื่อฮองเฮากับหลานชายเชื่อมั่นในหน่วยดาวพิฆาต...” จ้าวเต๋อฟางก้มหน้าตรึกตรอง ค่อยๆ บังเกิดความคิด

เขากล่าวออกมา สองตาหลิวเอ๋อร์สว่างเป็นประกายทันที เอ่ยเสริมหลายประโยค จากนั้นก็มองหน้ากันแล้วพยักหน้า

 

เถาวัลย์แห้งเหี่ยว พฤกษ์พันธุ์เก่าแก่ อีกายามอาทิตย์อัสดง คนเปล่าเปลี่ยวตรอมตรม อยู่ขอบฟ้า!

สีฟ้าค่อยๆ มืดทะมึน อาทิตย์ยามโพล้เพล้ลับหายไปทางประจิมทิศ

นอกเขตวังหลวง ขันทีกลุ่มหนึ่งสะพายห่อสัมภาระเร่งรุดเดินทางอย่างซังกะตาย เสี่ยวหลินจื่อก็อยู่ในกลุ่มนั้น สะพายห่อสัมภาระเล็กอย่างหมดอาลัยตายอยาก

เสี่ยวหลินจื่อเป็นชื่อที่ผู้ดูแลตั้งให้หลังเข้าวังแล้ว เดิมทีเขามิได้ใช้แซ่หลิน

เมื่ออายุสี่ขวบก็ถูกตอนเข้าวัง ผู้อื่นต่างคิดว่าเขาจดจำเรื่องราวมิได้ แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า เขารู้ความแต่กำเนิด เพิ่งหย่านมก็จดจำเรื่องราวได้

เขาจดจำได้อย่างกระจ่างว่าเดิมใช้แซ่เหอ บ้านอยู่ที่หลิ่งหนาน นอกจากตนเอง ในบ้านยังมีพี่ชายอีกสองคน

เขายังจำความได้ว่าปีนั้นหลิ่งหนานเกิดภัยแล้ง ราษฎรในหมู่บ้านล้วนอดอยาก ด้วยอับจนหนทาง ทุกคนได้แต่จับคู่กันหนีภัยแล้งออกไป ระหว่างทางหลายคนหิวตาย กระทั่งพี่รองของเขาก็หิวตาย

ต่อมาขณะที่ตนก็เกือบอดตายแล้ว คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

คนกลุ่มนี้เมื่อปรากฏตัวก็เริ่มเสาะหาไปทั่ว สอบถามว่ามีบ้านใดคิดขายเด็กหรือไม่

พวกเขาเลือกมากนัก รับซื้อเพียงเด็กชาย และก่อนซื้อยังต้องตรวจสอบรูปพรรณ หน้าตาไม่น่าดูชมก็ไม่รับ ผิวดำคล้ำก็ไม่เอา ใบหน้าเป็นผดผื่นก็ตีตก...

สุดท้ายเสี่ยวหลินจื่อถูกเลือก เด็กที่ถูกเลือกพร้อมเขามีอีกสามคน ทุกคนมีค่าเป็นธัญพืชสิบจิน

ตอนนั้นเขายังไม่ประสีประสา ไม่รู้ว่าตนถูกพ่อแม่ขายแล้ว และถูกพาเข้าเมืองหลวงอย่างงุนงง หลังถูกตอนก็อาศัยในหมู่เรือนแห่งหนึ่ง เป็นหมู่เรือนที่กว้างขวางนัก ในนั้นล้วนมีเด็กที่อายุอานามใกล้เคียงกับเขา ทุกวันมีผู้ใหญ่คอยสั่งสอนตำรากฎระเบียบ ทำผิดก็ถูกตีถูกลงโทษ ลำบากนัก

แต่มีดีอยู่บ้างที่ได้กินอิ่มสวมอุ่น ไม่ต้องอดอยากหนาวแข็ง

ต่อมาเขาค่อยๆ เติบใหญ่ ก็เข้าใจแล้วว่าตนอยู่ในสภาพฐานะใด

เริ่มแรกเขาแค้นเคืองพ่อแม่นัก เหตุใดถึงขายเขาทิ้งเสีย

แต่เมื่อเริ่มเข้าใจเหตุผล ก็เข้าใจถึงความลำบากของพ่อแม่ในตอนนั้น

ไม่รู้ด้วยเหตุใด จู่ๆ เสี่ยวหลินจื่อก็คิดถึงเรื่องราวแต่หนหลัง นึกถึงพ่อแม่และพี่ชายที่มิได้พบหน้าค่าตากันเลยสิบกว่าปี และมิรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

เสี่ยวหลินจื่อต้องไปเฝ้าสุสานหลวง ในใจทุกข์ทนยิ่ง หากตอนนั้นพี่ใหญ่อดอยากตายไปอีกคน ต่อมาผู้ใดจะเฝ้าสุสานพ่อแม่เล่า หากภายภาคหน้าตนตายไป อย่าว่าแต่เฝ้าสุสาน จะมีผู้ใดทำพิธีฝังให้ตนเองล่ะ

เสี่ยวหลินจื่อเร่งรุดเดินทางไปพลางคิดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่านไปพลาง

ด้านหลังพวกเขาเป็นทหารควบคุมส่งขบวน สำหรับขันทีเหล่านี้ ทหารดูหมิ่นคิดแคลนนัก คอยตวาดเป็นระยะ หรือไม่ก็ใช้อาวุธดันพวกเขา ฉวยโอกาสขณะพวกเขาระทดท้อใจ ระบายโทสะใส่เสียหน่อย

“เดินเร็วหน่อย แต่ละคนทำหน้าจะร้องไห้ไปไย”

“นั่นสิ ก็ส่งพวกเจ้าไปเฝ้าสุสานหลวงเท่านั้น เทียบกับพวกที่ถูกบั่นคอ พวกเจ้าโชคดีกว่ามากนัก”

ทำงานในวังมานานปี ผู้ใดไม่ล่วงรู้ว่าถูกส่งไปเฝ้าสุสานหลวง แทบจะหมายถึงไม่มีวันได้เงยหน้าอ้าปากอีกเลยชั่วนิรันดร์ เปลี่ยนเป็นหลายร้อยปีก่อน ขันทีเหล่านี้ก็คือของฝังร่วม

ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น กลางพุ่มไม้ริมทางห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลนัก มีเงาร่างสองสายลอบเคลื่อนไหว ติดตามพวกเขาอย่างใกล้ชิดมาตลอดทาง

เสี่ยวหลินจื่อเดินไปเรื่อยๆ เพราะเหนื่อยล้า ความเร็วจึงค่อยๆ ลดลง รั้งอยู่ท้ายขบวนใกล้กับราวป่า

สองเงาร่างกลางพุ่มพฤกษ์พลันกระโดดมาอุดปากเสี่ยวหลินจื่อ ลากเขาเข้าไปในพงไพร

เสี่ยวหลินจื่อดิ้นรนสุดกำลัง ส่งเสียงอู้อี้ แต่เหลือบเห็นคนที่อุดปากเขาเป็นไท่สุ้ยที่คุดคู้อยู่ข้างๆ เป็นเหยากวง จึงหยุดดิ้นทันที

ที่ห่างออกไป กลุ่มทหารยังคงบ่นด่าขันที กลับไม่สังเกตว่าขาดหายไปหนึ่งคน

“เร็วหน่อย! ของถูกตอนอย่างพวกเจ้า ร่ำไรอันใดกัน เร็วหน่อย!”

“ขืนยังชักช้าอย่าหาว่าบิดาไม่เกรงใจ!”

ไท่สุ้ยคลายมือลง “อย่าตะโกน เป็นข้า!”

เสี่ยวหลินจื่อกล่าวดีใจเสียงดัง “ผู้มีพระคุณ!”

เพิ่งเปล่งเสียง ไท่สุ้ยก็รีบอุดปากอุดจมูกเสี่ยวหลินจื่อ หันไปมองโดยรอบ ถามเร็วรี่ “เหตุใดเจ้าถูกส่งไปเฝ้าสุสานหลวง สถานการณ์ในวังเป็นอย่างไร”

เสี่ยวหลินจื่อรีบลดเสียงถาม “ท่านยังไม่รู้สภาพการณ์ในวังหรือ”

เหยากวงรีบส่ายหน้าอย่างงุนงง “นับตั้งแต่ผีแก่แซ่ติงนั่นกับเฒ่าเหลยไม่ชายไม่หญิงครองอำนาจ สิทธิ์ในการเข้าวังของหน่วยดาวพิฆาตเราถูกริบคืน ใต้เท้าผู้บังคับการเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาโดยไม่จำเป็น ห้ามพวกเราเข้าไปสืบข่าว”

ไท่สุ้ยรีบตัดบทวาจาของเหยากวง แล้วถามเสี่ยวหลินจื่อ “เจ้ารีบว่ามา สถานการณ์ในวังเป็นอย่างไร”

สีหน้าเสี่ยวหลินจื่อไม่น่าดูชมขณะตอบ “เหนียงเหนียง ไทเฮา และรัชทายาท ล้วนถูกกักบริเวณ เหลยกงกงกุมอำนาจในราชฐานชั้นใน บนล่างล้วนมีกลุ่มพรรคพวกของเขาควบคุมดูแล”

เหยากวงตกตะลึง “อันใดนะ! แล้วโจวกงกงล่ะ เขาต่างหากที่มีอำนาจมากที่สุดในราชฐานชั้นใน”

ขอบตาเสี่ยวหลินจื่อรื้นแดง เอ่ยเสียงสะอื้น “โจวกงกง... บอกว่าถูกจับเข้าคุก แท้จริงถูกยาพิษตายแล้ว คนของโจวกงกงบ้างก็ถูกจับ บ้างก็ถูกสังหาร กระทั่งปลาเล็กกุ้งน้อยอย่างพวกเรายังถูกขับไล่มาเฝ้าสุสานหลวง”

สีหน้าเหยากวงและไท่สุ้ยหนักอึ้ง สบตากันแวบหนึ่ง

เสี่ยวหลินจื่อปาดเช็ดน้ำตา พลันนึกได้เรื่องหนึ่ง รีบเงยหน้าเล่า “จริงสิ มีเรื่องแปลกชอบกลเรื่องหนึ่ง หลังเหลยกงกงกุมอำนาจแล้ว เรื่องแรกที่ทำก็คือวิ่งแจ้นตามหาเสาสุราทองในที่พักของโจวกงกง”

“เสาสุราทอง?”

“ถูกต้อง! ปกติก็วางตั้งชิดผนังตรงนั้น เสาสุราทองสูงเท่าตัวคน”

ไท่สุ้ยถามอย่างตื่นตัว “เหลยอวิ่นกงตามหามันไปไยกัน”

เสี่ยวหลินจื่อส่ายหน้า “ไม่ทราบได้ เขาตามหาไม่พบ ยังส่งคนไปห้ามมิให้สังหารโจวกงกง แต่น่าเสียดาย ไปสายหนึ่งก้าว เพราะขันทีใหญ่ข้างตัวโจวกงกงก็ถูกสังหารเกลี้ยงแล้ว ดังนั้นถามหาร่องรอยเสาสุราทองไม่ได้เลย เหลยกงกงโกรธจนแทบเสียสติ”

ไท่สุ้ยกับเหยากวงสบตากัน ไท่สุ้ยคิดแล้วก็ถาม “เหลยอวิ่นกงเพิ่งควบคุมฝ่ายใน เรื่องแรกที่กระทำคือตามหาเสาสุราทอง ต่อให้ของสิ่งนี้เป็นทองคำบริสุทธิ์ ก็ไม่สมควรกระมัง”

เหยากวงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ต้องมีเงื่อนงำแน่!”

ทั้งคู่มองเสี่ยวหลินจื่อพร้อมกัน

“สุดท้ายเขาหาพบหรือไม่”

เสี่ยวหลินจื่อส่ายหน้า พลันยิ้มอย่างมีเลศนัย รีบเหลียวซ้ายแลขวา กดเสียงค่อยขณะเอ่ย “เหลยกงกงคิดว่ามีเพียงโจวกงกงและขันทีคนสนิทถึงรู้ร่องรอยของเสาสุราทองนั่น แต่... ข้าไพล่รู้ไปด้วย แต่มิได้บอกเขา”

สองตาไท่สุ้ยและเหยากวงสว่างวาบ ไท่สุ้ยถามอย่างเร่งร้อน “เจ้ารู้? เสาสุราทองนั่นอยู่ที่ใด”

เสี่ยวหลินจื่อไม่คิดปิดบังจึงตอบ “เสาสุราทองนั่นเป็นรัชกาลก่อนพระราชทานแก่โจวกงกง หลังฮ่องเต้สวรรคต โจวกงกงเสียใจยิ่ง มอบเสาสุราทองนั้นเป็นของฝังร่วม เป็นตัวแทนเขาเคียงข้างรัชกาลก่อน ส่งเข้าสุสานหลวงแล้ว เรื่องนี้ผู้ที่รู้ตายแทบเกลี้ยงแล้ว ข้าก็เห็นเข้าด้วยความบังเอิญ”

ไท่สุ้ยกับเหยากวงมองหน้ากันอย่างลุ่มลึกปราดหนึ่ง

“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้บอกผู้ใดเด็ดขาด ดีที่สุดก็อย่าเอ่ยถึง” ไท่สุ้ยคิดแล้วก็กำชับเสี่ยวหลินจื่อ “ในนั้นอาจมีความลับซุกซ่อน หากข่าวรั่วไหลให้เหลยอวิ่นกงรู้เข้า ย่อมสังหารเจ้าปิดปาก”

เสี่ยวหลินจื่อสะดุ้งเฮือก รีบพยักหน้ารับคำ “วางใจ เรื่องนี้ข้าไม่บอกใครทั้งสิ้น”

“อือ เช่นนั้นอย่างนี้พวกเราจะส่งเจ้ากลับไป เจ้าติดตามขบวนไปสุสานหลวง อย่ากลัว รอจนเรื่องนี้มีผล ข้าย่อมคิดหาวิธีให้เจ้าได้กลับวัง” ไท่สุ้ยรับปากเสี่ยวหลินจื่อ

“ดี ข้าเชื่อผู้มีพระคุณ” เสี่ยวหลินจื่อท่าทางเอาจริงเอาจังขึ้นมา ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในวังมาสิบปี ย่อมล่วงรู้กฎเกณฑ์ในวัง หากรอจนขบวนถึงสุสานหลวง ทันทีที่ตรวจนับจำนวนคนพบว่าตนหายไป ถึงตอนนั้นก็ยุ่งยากครั้งใหญ่แล้ว

 

ตำหนักคุนหนิง

ใต้ประตูแขวนโคม นอกประตูมีขันทีและทหารยามยืนอยู่ มองจ้าวเต๋อฟางอย่างจนปัญญา

ใต้ประตูมีบานประตูบานหนึ่งวางไว้ จ้าวเต๋อฟางกำลังปูฟูกบนนั้น

จ้าวเจินผู้เป็นรัชทายาทหอบผ้าห่มหนาหนักกับหมอนเดินออกมาจากตำหนัก จ้าวเต๋อฟางเห็นก็รีบขึ้นหน้าไปรับผ้าห่ม

รัชทายาทมองเตียงอย่างง่าย ออกจะกังวลจึงเอ่ย “ท่านอา กลางคืนหนาวเย็น ท่านนอนอยู่ตรงนี้...”

จ้าวเต๋อฟางจัดหมอนแล้วเสร็จก็ยิ้มหน้าชื่น “ไม่เป็นไร ร่างกายท่านอาของเจ้านี้ไม่เป็นอันใดหรอก”

หลิวเอ๋อร์เดินออกมาจากตำหนัก เห็นสภาพการณ์นี้ก็ทอดถอนใจแผ่วเบา “เหล่าปา ไม่เช่นนั้น... ท่านก็นอนในตำหนักเถิด”

รัชทายาทพยักหน้า “นั่นสิ ตั้งหลายห้องเช่นนั้น”

จ้าวเต๋อฟางส่ายหน้า ท่าทางเอาจริงเอาจัง “ฮองเฮา อย่าตรัสวาจาเยี่ยงนั้น! เต๋อฟางนอนที่นี่ เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยของฮองเฮาและหลานชาย หากนอนในตำหนัก ยากหลีกเลี่ยงคำครหาว่าทำลายพระเกียรติของฮองเฮา มิได้เป็นอันขาด อีกประการหนึ่ง ต่อให้ไม่ทำลายพระเกียรติ แต่ถ้าพวกเขาใช้เป็นข้ออ้าง กล่าวหาว่าข้าเหล่าปาเข้ามาอาศัยในวังแล้วเผยแพร่ออกไป ใต้ฟ้าไม่วุ่นวายโกลาหลใหญ่หลวงหรือ”

หลิวเอ๋อร์คิดเอ่ยแต่ชะงักไว้ เพียงแต่พยักหน้าช้าๆ

จ้าวเต๋อฟางปูผ้าห่มเรียบร้อย กวาดตามองขันทีและทหารยามด้านนอกปราดหนึ่ง หันกลับมาบอกหลิวเอ๋อร์และรัชทายาท “ฮองเฮากับหลานชายกลับไปพักผ่อนเถิด ตราบใดที่เต๋อฟางยังมีลมหายใจ ย่อมไม่ให้คนทำร้ายพวกท่าน!”

รัชทายาทกัดริมฝีปากแล้วเอ่ย “หลานเป็นผู้ด้อยอาวุโส จะให้ท่านอานอนเฝ้าประตูได้อย่างไร! ท่านอา ท่านรอก่อน...”

เขาหมุนตัววิ่งเข้าไปในตำหนัก

จ้าวเต๋อฟางมองเงาหลังเขาแล้วตะโกนเรียก “เจินเอ๋อร์ เจ้าจะไปทำอันใด”

รัชทายาทวิ่งพลางหันกลับมาตอบ “ข้าไปยกเครื่องนอนมาอีกชุด นอนที่หน้าประตูพร้อมท่านอา”

จ้าวเต๋อฟางตะลึงงัน มองเงาหลังที่วิ่งไปของรัชทายาท อมยิ้มพลางพยักหน้า ในรอยยิ้มแฝงด้วยความรันทดใจทั้งปลาบปลื้มยินดี

บรรดาขันทีทหารยามนอกประตูเห็นทุกสิ่ง ต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดจา มีเพียงขันทีชั้นผู้น้อยที่ยืนด้านนอกคนหนึ่งลอบปลีกตัวออกไป หายเข้าสู่ความมืดมิดยามราตรีเพื่อกลับไปรายงาน

 

สีแห่งราตรีกาลมืดทะมึน กลางตำหนักคุนหนิง โคมไฟหนึ่งดวงสว่างราวกับเมล็ดถั่ว

หลิวเอ๋อร์กำลังนอนตะแคงข้าง หางตาผุดหยาดน้ำตา สีหน้าเศร้าโศก เด่นชัดว่าในฝันไม่เป็นสุข

ทันใดนั้น ด้านนอกแว่วเสียงฟ้าผ่า แสงตะเกียงบนโต๊ะวูบไหว หลิวเอ๋อร์สะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นนั่ง เหงื่อกาฬชุ่มเต็มศีรษะ ใบหน้าเผือดขาว ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

นางหายใจหอบ ฟังเสียงฟ้าร้องฝนกระหน่ำด้านนอกอยู่พักหนึ่ง นานสองนานถึงหายใจได้ทั่วท้อง

“เป็นฝันร้ายหรือ” นางพึมพำ ใบหน้าผุดรอยยิ้มฝาดเฝื่อน ร่างล้มไปด้านหลัง นอนแผ่บนเตียง

แต่ในตอนนี้เอง หางตาพลันเหลือบเห็นเงาร่างสายหนึ่ง หลิวเอ๋อร์ตกใจ เกร็งค้างทั้งร่าง มองไปก็เห็นเงาร่างสวมหน้ากากประหลาดยืนอยู่ตรงหัวเตียงพร้อมกับมองตนเอง เผยให้เห็นดวงตาเยียบเย็นแหลมคม

ไม่ต้องกล่าว ผู้มาย่อมเป็นโต๋วหมู่เทียนจุนผู้ลึกลับ

“เป็นท่าน?” หลิวเอ๋อร์ตั้งสติได้ ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง มองโต๋วหมู่เทียนจุนด้วยความแค้นเคืองชิงชัง

เขามองนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “เป็นข้าเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่ สั่งสอนเจ้าจนเป็นผู้เป็นคน วันนี้เห็นข้าแล้วถึงกับคล้ายเห็นศัตรูรึ”

หลิวเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เป็นท่านส่งข้ามาอยู่ข้างกายเหิงหลาง และเป็นท่านแย่งสามีข้าไป หรือข้าไม่สมควรเห็นท่านเป็นศัตรู”

นางลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า เท้าเปล่ายืนบนพื้น ชุดคลุมนอนสีขาวคลุมร่าง กลางแสงเทียนมืดมัว เห็นอย่างเด่นชัดว่าอ่อนช้อยและเยือกเย็น

นางกัดฟันแน่น กำหมัดจ้องโต๋วหมู่เทียนจุน “ท่านเคยกล่าวว่าจะไว้ชีวิตเขา ท่านหลอกลวงข้า!”

โต๋วหมู่เทียนจุนกลับไม่โต้แย้งอธิบาย หัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่ง “ข้ามิได้ให้เจ้ารักจ้าวเหิง เป็นเจ้าที่ลืมเลือนภารกิจของตนเอง!”

พูดจบเขาก็หันข้างเดินไปหลายก้าว มาถึงข้างหน้าต่าง แหงนมองท้องฟ้ายามวิกาลผ่านกรอบหน้าต่าง ไม่ระวังป้องกันแม้แต่น้อย

“ข้ายิ่งคิดไม่ถึงว่าเพื่อจ้าวเหิง เจ้าถึงกับเอาชีวิตเข้าแลก ใช้กู่อัตชีวีเพื่อต่ออายุเขา!”

หลิวเอ๋อร์ถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างประหลาดใจ โพล่งถาม “ในเมื่อใช้กู่อัตชีวีก็สมควรเป็นตายพร้อมกัน เหตุใดเหิงหลางสิ้นแล้ว ข้ากลับยังมีชีวิตอยู่ หรือว่า... เป็นท่านช่วยชีวิตข้า”

โต๋วหมู่เทียนจุนค่อยๆ หันข้างมามองหลิวเอ๋อร์ สายตายะเยือกเย็นมลายหายไปแล้ว แต่กลายเป็นรู้สึกเจ็บปวดและเวทนา “บุตรของโต๋วหมู่ เจ้าเป็นลำดับที่สาม และเป็นคนที่ข้ารักเอ็นดูมากที่สุดตั้งแต่เล็ก สำหรับเจ้า ข้าก็คล้ายบิดากับบุตรสาวอย่างไรอย่างนั้น ข้าจะดูดายมองเจ้าตายได้หรือ”

หลิวเอ๋อร์รู้สึกคาดไม่ถึง แววตาวูบไหว แต่เปลี่ยนเป็นเมินเฉยอย่างรวดเร็ว หัวเราะเย็นชาก่อนกล่าว “แต่ท่านทำร้ายสามีข้า ตอนนี้ยังคิดทำร้ายลูกชายข้า ใต้ฟ้ามีบิดาเช่นนี้หรือ”

โต๋วหมู่เทียนจุนส่ายหน้าเล็กน้อยยามเอ่ย “ข้าเคยบอกแล้ว ที่ข้าต้องการมีเพียงคืนบัลลังก์ให้คนที่เดิมทีสมควรครอบครองมัน ไม่เคยคิดสังหารจ้าวเหิง”

“จริงหรือ แต่สามีข้าตายด้วยน้ำมือท่าน!” หลิวเอ๋อร์ไม่เชื่อแม้แต่น้อย คำรามเสียงต่ำอย่างอัดอั้นตันใจ

“มิใช่ข้า เป็นเต๋อเมี่ยว!” โต๋วหมู่เทียนจุนตอบเสียงเรียบ

สองตาหลิวเอ๋อร์แดงก่ำและมีท่าทางคั่งแค้น “เต๋อเมี่ยวเป็นคนของท่าน!”

โต๋วหมู่เทียนจุนมองท่าทางคับแค้นใจของนาง ก็อดถอนใจแผ่วเบามิได้ “มิผิด! แต่... มิใช่ข้าสั่งให้นางสังหารจ้าวเหิง”

เขาเดินขึ้นหน้าสองก้าว มองหลิวเอ๋อร์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสลับซับซ้อน “เมิ่งตงรักไคหยางแห่งหน่วยดาวพิฆาต ไม่อาจแข็งใจให้เรื่องเกี่ยวพันถึงหน่วยดาวพิฆาต ดังนั้นจึงปลอมแปลงคำสั่งข้า ให้เต๋อเมี่ยวพาเขาเข้าวัง คิดแก้แค้นแทนปู่ ปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ส่วนเต๋อเมี่ยว กำลังตกอยู่ในสภาพอับจนหนทาง เพื่อปกป้องเอาตัวรอดจึงถูกบีบให้ใช้อาวุธลับ เรื่องเหล่านี้มิได้อยู่ในการควบคุมของข้า!”

หลิวเอ๋อร์มองโต๋วหมู่เทียนจุนอย่างอึ้งงัน น้ำตาคลอในดวงตา

“การตายของสามีเจ้าไม่เกี่ยวกับข้า ส่วนตอนนี้ลูกของเจ้าจะอยู่รอดต่อไปหรือไม่ กลับอยู่ที่การตัดสินใจของข้าแล้ว” อธิบายง่ายๆ ไม่กี่ประโยค โต๋วหมู่เทียนจุนก็กลับมาเย็นชาเหี้ยมโหดดังเดิม เอ่ยเสียงเรียบ “แน่นอน อยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าด้วย”

หลิวเอ๋อร์ตะลึงงัน ยกมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วรี่ ถามอย่างตระหนก “ท่านคิดทำอันใด!”

“ปาเสียนอ๋องดื้อรั้น ไม่ยอมครองราชย์สืบต่อ ข้าจะให้เจ้าเกลี้ยกล่อมเขา ให้เขาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ เช่นนี้เจ้าแม่ลูกก็จะสงบปลอดภัย ภายภาคหน้ายังคงตำแหน่งอ๋อง เจริญรุ่งเรือง ไม่ด้อยกว่าฮ่องเต้!”

หลิวเอ๋อร์ถอยหลังอย่างไม่อยากเชื่อ เอ่ยอย่างสะเทือนอารมณ์ “ท่านจะให้ข้า... เกลี้ยกล่อมเหล่าปาให้เป็นฮ่องเต้?”

“มิผิด! ข้าเชื่อว่ามีเจ้าเอ่ยปาก ปาเสียนอ๋องย่อมเปลี่ยนใจแน่นอน!”

โต๋วหมู่เทียนจุนพยักหน้าเนิบนาบ ยิ้มหน้าบาน ดวงตาเปล่งประกาย “ปาเสียนอ๋องมีคุณธรรมกตัญญู เจ้าน่าจะดูออก รู้ดีว่าเมื่อเขาเป็นฮ่องเต้ ย่อมไม่พร่องการปฏิบัติต่อเจ้าแม่ลูกเป็นแน่”

ภายในดวงตาหลิวเอ๋อร์ผุดภาพเงาร่างของจ้าวเต๋อฟาง ประหวัดถึงความเทิดทูนที่เขามีต่อตน โดยเฉพาะความรักความเอ็นดูที่มีต่อรัชทายาท รู้สึกอบอุ่นใจ นั่นสิ หากเขาเป็นใหญ่ ย่อมไม่พร่องการปฏิบัติต่อตนและรัชทายาท

ทันทีที่ความคิดนี้บังเกิด นางพลันตั้งสติได้ ย่ำถอยหลังอย่างแรงหนึ่งก้าว ออกแรงส่ายหน้า “ไม่! ข้าไม่หลงกลท่านอีกต่อไปแล้ว!”

“หลงกล?” น้ำเสียงโต๋วหมู่เทียนจุนสูงขึ้น

หลิวเอ๋อร์ยิ้มเย็น “ข้ามองท่านปรุโปร่งแล้ว เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าผู้ใด ท่านล้วนเสียสละได้หมด! สามีข้าถูกปลิดชีพด้วยแผนการชั่วร้ายของท่าน ตอนนี้ท่านวางแผนมาที่ตัวลูกชายข้า”

เสียงของโต๋วหมู่เทียนจุนไม่ยินดี “ข้าเคยกล่าวว่าขอเพียงเจ้าเชื่อฟังคำสั่งข้า...”

ไม่รอให้เขากล่าวจบ หลิวเอ๋อร์ก็เอ่ยตัดบท “ข้าคิดกระจ่างชัดแจ้งดีแล้ว เหล่าปาไม่ทำร้ายลูกเจิน แต่ท่านทำแน่! ลูกเจินเป็นรัชทายาท ทันทีที่สละตำแหน่ง ยากหลีกเลี่ยงที่จะมีคนคิดให้เขาหวนคืนอำนาจ ดังนั้นทันทีที่ปาเสียนอ๋องครองราชย์ เพื่อขจัดความยุ่งยากในอนาคต ท่านย่อมสังหารลูกเจินแน่นอน!”

เสียงของโต๋วหมู่เทียนจุนดุดันขึ้น “เหลวไหลทั้งเพ! เจ้าไม่ฟังคำสั่งข้า ข้าให้เขาตายตอนนี้เลยก็ยังได้!”

หลิวเอ๋อร์แค่นหัวเราะเย็นชา “หากฟังการจัดการของท่าน เราแม่ลูกต้องตายอย่างแน่นอนต่างหาก หากข้าไม่ฟัง ไม่แน่ว่าอาจยังมีโอกาสรอด ข้า... คิดกระจ่างแจ้งแล้ว”

โต๋วหมู่เทียนจุนเดือดดาล ยกฝ่ามือขวาขึ้นขวับ คิดจะฟาดลง

เขาคิดลงมือ หลิวเอ๋อร์กลับรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น สองตาปิดลง เอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้ามิใช่คู่ต่อกรท่าน จะสังหารก็ลงมือตามสบายเถอะ!”

โต๋วหมู่เทียนจุนลังเลพักหนึ่ง ค่อยๆ ลดมือลง เงียบงันครู่ใหญ่ก่อนพยักหน้าอย่างแรง เอ่ยเสียงเยียบเย็น “ข้าชี้ทางสว่างให้ เจ้าไม่เดิน! ดี! ประเสริฐนัก!”

เขาถอยหลังช้าๆ จับจ้องหลิวเอ๋อร์ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นขมฝาด “ไม่ว่าอย่างไร... ข้าเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่ ข้าไม่สังหารเจ้าด้วยมือตนเอง เจ้า... ระวังตัวให้ดีเถอะ!”

พูดจบเงาร่างก็แฉลบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ฟังเสียงแขนเสื้อแหวกอากาศจากไปไกล หลิวเอ๋อร์ค่อยๆ ลืมสองตาขึ้น ร่างกายยังคงเครียดขมึง รออยู่อีกสักพัก แน่ใจว่าเขาจากไปอย่างแท้จริงแล้วก็อดถอยกรูดสองก้าวมิได้ แผ่อยู่บนเตียงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ถึงได้ยกชายแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดเหงื่อกาฬบนหน้าผาก ในดวงตายังคงฉายแววหวาดหวั่นพรั่นพรึง

 

ฝนตกฟ้าร้องระคนกัน พิรุณกระหน่ำราวกับน้ำตก

แสงเพลิงในห้องไท่สุ้ยมืดสลัว ภายในห้อง ไท่สุ้ย เหยากวง และหลิ่วสุยเฟิง กำลังปรึกษาหารือกันเสียงเบาที่โต๊ะ

“...เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เหลยอวิ่นกงตามหาเสาสุราทองนั้นไปทั่วด้วยเหตุใด ข้าเดาว่าภายในนั้นย่อมมีความลับที่ไม่อาจบอกผู้ใดได้” ไท่สุ้ยมีสีหน้าครุ่นคิด

ฟังวาจาเขาจบ หลิ่วสุยเฟิงก็ลุกขึ้นยืน สองแขนกอดอก ยกมือเท้าคาง เดินกลับไปกลับมาพลางครุ่นคิด ก่อนจะหยุดลง

“ก่อนหน้านั้นพระราชพินัยกรรมมีโจวกงกงเก็บรักษา และพวกเราเคยสลับเวรกันเฝ้าคุ้มกันที่พักของโจวกงกง เป้าหมายก็เพื่อคุ้มกันพระราชพินัยกรรม”

ไท่สุ้ยพยักหน้า “ถูกต้อง! วันที่ประกาศพระราชพินัยกรรม ข้าเห็นโจวกงกงหยิบพระราชพินัยกรรมออกมาจากผนังกับตา จากนั้นก็มีข้าคุ้มกันส่งไปยังท้องพระโรง”

หลิ่วสุยเฟิงมองไท่สุ้ย “เช่นนั้นเจ้าว่าในเสาสุราทองสมควรมีสิ่งใด”

ฟังถึงตรงนี้ เหยากวงที่เดิมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขบคิดพลันสองตาสว่างวาบ กระโดดผลุงขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “หรือ... ท่านหมายความว่าเหลยอวิ่นกงขโมยพระราชพินัยกรรมจริง แต่ไม่อาจนำติดตัวไป ดังนั้นจึงสลับเปลี่ยนของปลอมวางไว้ จากนั้นเอาของจริง...”

ไท่สุ้ยตกตะลึง “โยนเข้าไปในเสาสุราทอง?”

หลิ่วสุยเฟิงมองเหยากวงอย่างชมเชย แบสองมือขณะเอ่ย “ไม่อย่างนั้นข้าก็คิดไม่ออกอย่างแท้จริง ว่ายังมีของสำคัญใดที่ทำให้เหลยอวิ่นกงสนใจถึงขนาดนี้”

ไท่สุ้ยกับเหยากวงสบตากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “กล่าวมาเช่นนี้... พระราชพินัยกรรมตัวจริงอยู่ในสุสานหลวง?”

เหยากวงคึกคักฮึกเหิม จะออกไปภายนอก ปากก็ร้อง “พวกเรารีบรายงานผู้อาวุโสต้งหมิง”

“ช้าก่อน!” หลิ่วสุยเฟิงรีบห้ามไว้

เหยากวงชะงักกึก มองหลิ่วสุยเฟิงอย่างสงสัย

หลิ่วสุยเฟิงยื่นมือมาทำท่ากดลง เป็นนัยให้นางอย่ารีบร้อน เอ่ยปากเนิบช้า “เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเรา ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ไปรื้อค้นในวังใต้ดิน เช่นนั้นไม่เคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อน หากผู้อาวุโสต้งหมิงกับอิ่นกวงไม่เห็นด้วยจะทำอย่างไร”

ไท่สุ้ยเดินขึ้นหน้าผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย “มิผิด! หากเป็นผู้อาวุโสอิ่นกวงอาจจะยังดีหน่อย แต่ผู้อาวุโสต้งหมิงคร่ำครึเกินไป เขาย่อมไม่อนุญาตแน่”

เหยากวงฟังแล้วเกิดลังเล สายตามองสองคนสลับไปมา “เช่นนั้น... บอกเพียงผู้อาวุโสอิ่นกวง?”

ไท่สุ้ยมองค้อนนาง “เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสอิ่นกวงรู้แล้วจะไม่บอกผู้อาวุโสต้งหมิงหรือ”

เหยากวงพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง “มีเหตุผล! เช่นนั้น... พี่ไคหยางล่ะ”

หลิ่วสุยเฟิงส่ายหน้า “พวกเราเพียงแค่คลำทางเข้าวังใต้ดินเพื่อรื้อค้นและเสาะหาเสาสุราทองต้นหนึ่ง ก็ไม่ต้องบอกนางแล้ว”

ไท่สุ้ยฟังแล้วก็รีบเห็นด้วย “ถูกต้อง! อีกอย่าง... พี่ไคหยางโดยหลักรับผิดชอบงานภายใน ไม่ออกประตูไปไหนง่ายๆ ทันทีที่พบว่านางไม่อยู่ พวกเราจะถูกเปิดโปงได้ง่าย”

เหยากวงมองหลิ่วสุยเฟิงและไท่สุ้ยด้วยท่าทางลังเล “เช่นนั้น... แค่พวกเราสามคน?”

หลิ่วสุยเฟิงและไท่สุ้ยพยักหน้าพร้อมกัน เอ่ยเป็นเสียงเดียว “ใช่! แค่พวกเราสามคน!”

 

ตอนนี้เหลยอวิ่นกงยืนอยู่ในโถงใหญ่แห่งเรือนเจียนหลัน241 ด้านนอกฝนเทกระหน่ำ เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะ

ในโถงใหญ่มีขันทียืนเรียงอยู่แถวหนึ่ง ต่างก้มหน้าหลุบตา

สีหน้าเหลยอวิ่นกงอึมครึม สายตาคมวาวกวาดมองไปมาบนร่างของทุกคน แค่นเสียงเอ่ย “เสาสุราทองในห้องโจวไหวเจิ้งยังไม่มีข่าวคราวรึ”

ขันทีต่างก้มหน้าลอบสบตากัน ก่อนส่ายหน้าช้าๆ ต่างไม่กล้าตอบคำ

“พวกเศษสวะ!” เหลยอวิ่นกงโมโหเดือดดาล ชี้ทุกคนด่ากราด “สถานที่เล็กเพียงนั้น มันซ่อนอยู่ที่ใดได้”

ทุกคนต่างไม่กล้าเปล่งวาจา

เห็นแต่ละคนเหมือนนกกระทา เหลยอวิ่นกงก็ยิ่งโกรธกริ้ว “พูดสิ! แสร้งเป็นใบ้ไปไยกัน”

ขันทีต่างก้มหน้ามองซ้ายขวา สุดท้ายยังคงเป็นขันทีวัยกลางคนอธิบายเสียงค่อย “กงกง ทั้งตำหนักพวกเราก็หาจนทั่วแล้ว สิ่งของชิ้นใหญ่ขนาดนั้นไม่สมควรหาไม่พบ แต่หายไปอย่างแปลกประหลาด”

ขันทีหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก็ผสมโรงเสียงเบา “นั่นสิ! ช่างแปลกพิกลนัก หากเป็นเตาอุ่นมือ อาจยังพอมีคนขโมยไปได้ แต่สิ่งของชิ้นใหญ่ถึงเพียงนั้น...”

เหลยอวิ่นกงพลันนึกบางอย่างได้ สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมา ฝีเท้าเร็วราวกับเกาทัณฑ์พุ่งไปตรงหน้าบรรดาขันที

“ระยะนี้ ภายในวังมีเรื่องลำเลียงสิ่งของระลอกใหญ่ออกจากวังหรือไม่”

ขันทีหลายคนมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นตอบ

“ไม่มีขอรับ! มีแต่เพียง... ส่งของฝังร่วมในสุสานหลวงหนึ่งครั้ง”

“สุสานหลวง... ของฝังร่วม...” เหลยอวิ่นกงพึมพำ

ตอนนี้เสียงฟ้าร้องดังจากภายนอก เหลยอวิ่นกงคึกคักขึ้นมาฉับพลัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “พวกเจ้ารีบไปสำนักพระคลัง ตรวจสอบรายชื่อของฝั่งร่วมในสุสานหลวง เสาะหาให้ข้าทีละชิ้นทีละอัน ต้องหาร่องรอยของเสาสุราทองให้ได้”

เหล่าขันทียังไม่ทันตอบสนอง เหลยอวิ่นกงก็ตวาดแว้ด “ยังไม่รีบไป!”

บรรดาขันทีต่างรับคำด้วยความลนลาน พุ่งออกจากประตูโถงวิ่งฝ่าฝนจากไป

ตอนนี้เองคนผู้หนึ่งคลุมเสื้อกันฝนฟางข้าวเดินเข้ามาในโถงใหญ่ เผยสีหน้าค่อนข้างอ่อนล้าให้เห็น... เป็นติงเว่ย

“เหลยกงกง ท่านหาข้า?”

เหลยอวิ่นกงหาได้แยแสติงเว่ย เดินเฉียดไหล่เขาไปที่ระเบียง มองท้องฟ้ามืดครึ้ม สีหน้าก็อึมครึมไปด้วย

เห็นเขาไร้มารยาทเช่นนี้ เหมือนไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ติงเว่ยก็ตะลึงงัน ออกจะโกรธกรุ่นในใจ แต่คิดแล้วก็นิ่วหน้าเดินเข้าไปเรียกเสียงทุ้ม “เหลยกงกง?”

เหลยอวิ่นกงมีสีหน้าเครียดขมึง หันมามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “ปาเสียนอ๋องดื้อรั้น ไม่ยอมรับตำแหน่ง”

ติงเว่ยได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เข้าใจ “บัลลังก์สูงเกียรติแห่งกษัตริย์ราชัน ปาเสียนอ๋องไฉนไม่หวั่นไหว”

เหลยอวิ่นกงส่ายหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงคับแค้น “ฮองเฮาก็ยืนกราน ยอมตายไม่ออกหน้าเกลี้ยกล่อมปาเสียนอ๋อง”

“เช่นนั้น... ทำอย่างไรดี” ในที่สุดติงเว่ยก็ร้อนใจ

กระทำเรื่องปลอมแปลงราชโองการอันเป็นความผิดมหันต์ถึงเพียงนี้ ตนประสงค์สิ่งใดเล่า นอกจากเพื่อปกป้องให้ตนอยู่รอดปลอดภัยแล้ว ก็มิใช่เพื่อคุณงามความชอบช่วยให้ขึ้นครองราชย์หรอกหรือ

เปรี้ยง!

สายฟ้าฟาดลงมาผ่านความมืด ส่องสว่างจนเห็นใบหน้าของเหลยอวิ่นกง เขาหันหน้ามาเชื่องช้า ท่ามกลางฝนเทกระหน่ำเป็นฉากหลัง จ้องมองติงเว่ยพลางกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “พวกเรามุ่งหวังไม่ว่าด้วยเล่ห์หรือด้วยกล คิดเพียงให้ปาเสียนอ๋องสวมชุดคลุมมังกรอย่างองอาจผ่าเผย แต่เขาไม่ยอม! เช่นนั้น... พวกเราได้แต่ใช้วิธีแข็งกร้าวแล้ว”

ติงเว่ยถามอย่างฉงน “ใช้วิธีแข็งกร้าว?”

เหลยอวิ่นกงหันไปทางม่านสายฝน ยิ้มพิกลก่อนเอ่ย “มิผิด! หากฮองเฮาและรัชทายาทต่างตายสิ้น ท่านว่า... ปาเสียนอ๋องจะครองราชย์สืบต่อหรือไม่”

“นี่...”

ติงเว่ยตระหนกตกใจ ริมฝีปากสั่น ชั่วขณะไม่กล้าเอ่ยต่อไป

นี่ไม่อาจเทียบกับการปลอมแปลงราชโองการ แม้ปลอมราชโองการก็เป็นโทษถึงที่ตาย แต่ขอเพียงไม่มีผู้ใดพบราชโองการจริง หรือเวลาผันผ่านนานวัน ทุกคนต่างยอมรับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เช่นนั้นตัวปลอมก็กลายเป็นตัวจริงแล้ว

แต่ว่าสังหารคน... ทั้งยังสังหารรัชทายาทและฮองเฮา?

หากเรื่องแดงในภายภาคหน้า ต่อให้นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าซ่งมามีขนบธรรมเนียมไม่สังหารปราชญ์เมธี เกรงว่าไม่อาจรอดพ้นความตาย ต่อให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่คิดปกป้องตนเอง แต่บรรดาขุนนางใหญ่และเชื้อพระวงศ์ย่อมไม่ให้อภัยตนเองแน่

คิดถึงตรงนี้ติงเว่ยก็อดลังเลมิได้

ในใจติงเว่ยเกิดความกังวล เหลยอวิ่นกงกลับไร้ซึ่งความหวาดหวั่น เขาหมุนตัวมาเชื่องช้า จ้องสองตาของติงเว่ย ยิ้มประหลาดชอบกลก่อนถาม “หากพวกเราคลุมเสื้อคลุมมังกรไว้บนร่างเขา แล้วผลักดันเขาขึ้นครองราชย์ ท่านว่าฮ่องเต้นี้... เขาเป็นหรือไม่เป็น”

ติงเว่ยอึ้งงัน มองเหลยอวิ่นกงอย่างมึนงง อึกอักอ้ำอึ้ง “ท่าน...ท่านหมายถึง... พะ...พวกเรา... กระทำปฏิวัติเฉินเฉียว คลุมเสื้อคลุมมังกร242 อีกครั้งหรือ”

เหลยอวิ่นกงทำหน้าเมินเฉย “เรื่องแบบนี้มิใช่ไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อน!”

“แต่ว่า... แต่ว่า... อย่างไรเสียนั่นเป็นความแตกต่างระหว่างราชวงศ์ก่อนกับราชวงศ์นี้ หากพวกเราสังหารฮองเฮาและรัชทายาทของราชวงศ์นี้ นั่นเป็นโทษมหันต์ยึดทรัพย์ประหารทั้งโคตร...” ติงเว่ยอกสั่นขวัญผวา เหงื่อกาฬแตกพลั่กบนศีรษะ

เหลยอวิ่นกงสะบัดแขนเสื้อ ยืนเอามือไพล่หลังอย่างดูแคลน “ปาเสียนอ๋องครองราชย์สืบต่อ พวกเราก็มีความชอบช่วยให้ได้ครองบัลลังก์ มีโทษอันใด”

ติงเว่ยกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อก “ขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักไหนเลยดูดาย”

เหลยอวิ่นกงหมุนขวับกลับมากำชับติงเว่ย “งูไร้หัวไม่อาจเลื้อย ไม่มีเฒ่าดักดานโค่วคอยยุยง พวกเขาก่อคลื่นลมอันใดได้”

ติงเว่ยยังคงลังเล แม้จริยธรรมบกพร่อง แต่เชี่ยวชาญอ่านตำราประวัติศาสตร์ ย่อมมีวิธีคิดและมุมมองสำหรับการใหญ่ทั่วหล้า กาลก่อนนั้นไท่จู่ฮ่องเต้ทรงครองราชย์ แม้ออกจะไม่สมพระเกียรติยศ แต่ถึงอย่างไรยามศึกสงคราม สถานการณ์ในตอนนั้น ในมือกุมอำนาจทางการทหารก็สำเร็จการได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างออกไป แม้กล่าวว่ามีศัตรูภายนอกห้อมล้อม ภายในต้าซ่งกลับสงบสุขกลมเกลียว ในเวลาแบบนี้ ก่อการปฏิวัติ... เขาไม่มั่นใจ

เห็นเขาไม่อาจตัดสินใจในชั่วขณะ ดวงตาเหลยอวิ่นกงกลอกไปมา เอ่ยวาจาที่ติงเว่ยไม่อยากฟัง “ข้ากลัวว่าเฒ่าดักดานโค่วนั่นจะรุกกลับ มิสู้ลดขั้นขุนนางเขา ให้ไปอยู่ไกลกว่านี้”

ครั้นได้ยินเขาเอ่ยถึงโค่วจุ่น ใบหน้าติงเว่ยก็ผุดแววเคียดแค้นชิงชังขึ้นมาทันที แต่ต่อมาก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายสาแก่ใจ เดิมลังเลไม่อาจตัดสินใจก็กำหนดมั่นแล้ว จึงเอ่ยเสียงฮึดฮัด “เช่นนั้น... ลดขั้นเขาเป็นผู้ช่วยกองพลเรือนที่เหลยโจวเถอะ ขับไล่เขาไปสุดหล้าฟ้าเขียว กระทั่งข่าวคราวก็ไม่ได้ยิน!”

เหลยอวิ่นกงลอบยิ้มในใจ เป็นดังคาด อยากให้เขาเชื่อฟังแต่โดยดียังคงต้องเอ่ยเรื่องโค่วจุ่น

ทว่าเขาก็ไม่ทำพิรุธ ยิ้มชั่วร้ายผสมโรง “สั่งให้กองกำลังที่กว่างโจวจับตาเขาอย่างเข้มงวด ไม่ต้องกลัวเขาหลบหนี”

เปรี้ยง!

สายฟ้าผ่ากลางอากาศสะท้านสะเทือน ชั่วแสงสว่างวาบขึ้นและวูบลง ส่องสะท้อนใบหน้าติงเว่ยและเหลยอวิ่นกง ประเดี๋ยวสว่าง ประเดี๋ยวมืดทะมึน แปลกประหลาดวิกลนัก

 

ฝนตกปานฟ้ารั่ว หลิ่วสุยเฟิงสวมชุดกันฝนฟางข้าว เปิดประตูเข้ามาในห้องไท่สุ้ย ด้านนอกฟ้าแลบแปลบปลาบ ส่องสว่างจนเห็นใบหน้าเปรอะน้ำฝน

พอเห็นเขากลับมา ไท่สุ้ยกับเหยากวงต่างก็รีบลุกขึ้นไปรับ

“หาพบหรือยัง” เหยากวงรีบถาม

หลิ่วสุยเฟิงกระหยิ่มยิ้มย่อง เดินเข้ามาในห้องพลางล้วงห่อสิ่งของที่ปิดสนิทแน่นออกมาจากอก ชูขึ้นแล้วเอ่ย “มีข้าออกโรง มั่นใจได้!”

ไท่สุ้ยขึ้นไปช่วยปลดเสื้อกันฝนออกขณะถาม “ไม่ถูกคนพบเข้ากระมัง”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้ม “แบบก่อสร้างวังใต้ดินล้วนอยู่ตรงนี้ วางใจเถอะ ไม่มีผู้ใดพบเห็น”

เหยากวงยิ้มยินดี รับห่อไปเปิดออก เห็นเพียงไม่กี่แวบก็พยักหน้าอย่างพอใจ

ไท่สุ้ยแขวนเสื้อฝนแล้วเสร็จก็ประชิดเข้าไปพร้อมหลิ่วสุยเฟิง ทั้งสามดูแบบร่วมกัน ดูไปพลางชี้มือไปพลาง ปรึกษาหารือกันเสียงเบา

 

ห้องลับไร้แสงตะวัน นอกจากเสียงน้ำกังวานใสก็สงัดเงียบทุกหนแห่ง กระทั่งเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าด้านนอกก็ไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาสักนิด

บัดนี้เต๋อเมี่ยวซึ่งถูกพิษรุนแรงทำลายรูปโฉมนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นศิลา ผมยาวดำขลับแต่เดิมบัดนี้ร่วงจนแทบล้านเลี่ยน เหลือเพียงกระจุกหร็อมแหร็มสั้นๆ ยาวๆ ผนวกกับผิวเน่าเฟะ จะว่าคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง

นางก้มศีรษะ จับจ้องสองมือที่ผิวหนังดำคล้ำแห้งผากของตนเขม็ง มิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด

ทันใดนั้นประตูศิลาหนาหนักก็เปิดออกเสียงดังครืนครัน

เต๋อเมี่ยวค่อยๆ เงยหน้า ใช้สองตาสีเขียวอมเหลืองมองไป ก็เห็นโต๋วหมู่เทียนจุนซึ่งสวมหน้ากากแปลกประหลาดเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็ว

โต๋วหมู่เทียนจุนมาถึงตรงหน้าเต๋อเมี่ยว ก้มศีรษะพินิจมองเต๋อเมี่ยวอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “ตอนนี้ข้ามอบโอกาสให้เจ้าแก้แค้นลบล้างมลทิน! คืนนี้จงเข้าวังสังหารฮองเฮาและจ้าวเจินรัชทายาทให้ข้า”

สีหน้าเต๋อเมี่ยวบิดเบี้ยว ตอบอย่างดุร้าย “เจ้าค่ะ!”

โต๋วหมู่เทียนจุนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ คิดแล้วก็กำชับอีก “จำไว้! ห้ามทำร้ายปาเสียนอ๋อง!”

“เขาอยู่ในวังหรือ” เต๋อเมี่ยวขมวดคิ้ว

“อือ เขากังวลว่าจะมีคนทำร้ายฮองเฮาและรัชทายาท จึงนอนหน้าประตูตำหนักคุนหนิง เจ้าไปคืนนี้สามารถสังหารฮองเฮาและรัชทายาท แต่ปาเสียนอ๋อง จำให้มั่นว่าห้ามเป็นอันตรายแม้แต่น้อย” โต๋วหมู่เทียนจุนคล้ายจะไม่วางใจ จึงกำชับอีกเที่ยว

เต๋อเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ พยักหน้าเอ่ย “เจ้าค่ะ!”

โต๋วหมู่เทียนจุนมองนางอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ค่อยๆ พยักหน้ากล่าว “ดี เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งคนมาให้ความร่วมมือแก่เจ้า!”

พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป ประตูศิลาเลื่อนปิดเสียงครืนครัน

เต๋อเมี่ยวนั่งตัวตรงบนแท่นศิลา รอประตูงับปิดก็พลันหัวเราะเยียบเย็นเสียงต่ำ “ห้ามทำร้ายปาเสียนอ๋อง? หึๆๆ ฮ่าๆๆ”

นางหัวเราะเสียงวิกลจริตพักหนึ่งแล้วเงยหน้าขวับ ยื่นสองแขนสั่นเทาขึ้นลูบไล้ใบหน้าแสนสยองขวัญของตน ก่อนคำรามเสียงต่ำ “พวกเจ้าทำลายข้า! ข้าจะให้พวกเจ้า... ตายไปให้หมด! ตายไปให้หมด!”

 

นอกสุสานหลวง ฟ้าฝนเพิ่งสงบ

เสี่ยวหลินจื่อถือโคมดวงหนึ่ง เดินตัวสั่นงันงกกลางพงไพร กวาดตาเสาะหาสี่ทิศรอบด้าน

ทันใดนั้นหลิ่วสุยเฟิง ไท่สุ้ย และเหยากวงก็ออกมาจากริมทาง ปรากฏตัวใกล้ๆ เสี่ยวหลินจื่อ

เสี่ยวหลินจื่อสะดุ้งโหยง เมื่อมองกระจ่างว่าเป็นพวกเขาจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นดีอกดีใจ “ที่แท้เป็นท่าน ฟู่...”

“ชู่!” ไท่สุ้ยลากเสี่ยวหลินจื่อ คว้าตัวเขาเข้าไปในราวป่า

ทั้งสี่เดินอยู่ในป่าพักใหญ่ มาถึงมุมหนึ่งก็อาศัยแสงจากโคมของเสี่ยวหลินจื่อ หลิ่วสุยเฟิง ไท่สุ้ย และเหยากวงเริ่มกำชับเสี่ยวหลินจื่อเสียงเบา “สักครู่เจ้า...”

ฟังวาจาของพวกเขา เสี่ยวหลินจื่อก็ออกจะลังเล

ทั้งสามเห็นดังนั้น หลิ่วสุยเฟิงจึงขยิบตาให้ไท่สุ้ย ไท่สุ้ยพยักหน้าเล็กน้อยแสดงว่าเข้าใจ กระซิบบอกเสี่ยวหลินจื่ออีกหลายประโยค

เสี่ยวหลินจื่อมองไท่สุ้ย ใบหน้าผุดแววเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ กัดฟันพยักหน้า ทำสัญญาณมือ ย่างเท้านำหน้าไปก่อน

ทั้งสามคนสบตากันแวบหนึ่ง รีบลดเสียงแล้วติดตามไปเงียบๆ

 

ใต้ที่พักแห่งหนึ่ง หลิวหรงขันทีผู้ดูแลเดินสะลึมสะลือออกมา ปรือตาปลดสายรัดเอว กำลังจะนั่งยองๆ ลงปลดทุกข์ พลันพบว่าที่ไกลๆ มีแสงไฟเคลื่อนไหวเอื่อยช้า

หลิวหรงกะพริบตา เพ่งมองไปเห็นเป็นเสี่ยวหลินจื่อถือโคมเดินตรวจตรา จึงส่ายหน้าเตรียมปลดทุกข์ต่อ

แต่ตอนนี้เอง เขาพลันพบว่าด้านหลังเสี่ยวหลินจื่อยังมีเงาคนติดตาม หนึ่งในคนที่อยู่ใกล้ที่สุดกำลังหันศีรษะกวาดตามองอย่างระแวดระวัง แสงไฟส่องสะท้อนต้องใบหน้า เผยให้เห็นใบหน้าของไท่สุ้ย

มือของหลิวหรงชะงักกึก ขมวดคิ้วเขม้นมองไท่สุ้ย พึมพำอย่างฉงนฉงาย “คนผู้นี้หน้าตาคุ้นๆ...”

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ อุทาน “อา! เขามิใช่คนที่หน่วยดาวพิฆาตส่งมาปลอมเป็นขันทีคุ้มกันรัชกาลก่อนหรอกหรือ”

นึกถึงหน่วยดาวพิฆาต เขาก็ตระหนกตกใจยกใหญ่ รีบดึงกางเกงขึ้น หลบใต้ชายคาที่พัก

มองเสี่ยวหลินจื่อชูโคมนำทางพวกไท่สุ้ยจากไป หลิวหรงถึงก้าวออกมา สงสัยไม่คลาย “พวกเขามาถึงสุสานหลวงไปไยกัน ไม่ได้การ ข้าต้องรีบไปรายงานเหลยกงกง”

มองซ้ายแลขวา หลังระบุทิศทางได้มั่น หลิวหรงก็ยอบตัวลงลอบวิ่งจากไป

 

อีกฟากหนึ่ง พวกไท่สุ้ยมิได้รู้ตัวว่าความเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกพบเข้าแล้ว ผู้ใดจะคาดคิดว่าช่างบังเอิญนัก ดึกดื่นยามวิกาลจะพบขันทีผู้หนึ่งออกมาปลดทุกข์พอดี

ต้องกล่าวว่าสุสานหลวงนี้ ไม่ว่าไท่สุ้ย เหยากวง หรือหลิ่วสุยเฟิง ล้วนไม่ได้มาเป็นครั้งแรก

ทว่าตอนนั้นมาเพื่อเป็นเพื่อนไคหยางตรวจสอบกลไก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในสุสานหลวง ตอนนั้นพระพลานามัยของเจินจงฮ่องเต้ยังดีอยู่ นับว่าเดินทางมาด้วยเรื่องงานหลวง จึงมิได้ชมดูอย่างละเอียด

บัดนี้พวกเขาเดินมาภายใต้การนำทางของเสี่ยวหลินจื่อ ถึงพบว่าที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมาก บริเวณรอบนอกสร้างเรือนไม้สองแถวตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ได้ ดูท่าเป็นสถานที่พักแก่บรรดาขันทีผู้มาเฝ้าสุสานหลวง

เดินมาตลอดทาง ทั้งสามพบว่าที่นี่สร้างด่านกักหลายด่านตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

ดีที่มี ‘จารชน’ อย่างเสี่ยวหลินจื่อ ทั้งสี่คนกลับมิได้พบเรื่องยุ่งยาก อ้อมวนคดเคี้ยวก็มาถึงประตูทางเข้าสุสานหลวง

เสี่ยวหลินจื่อชี้ประตูศิลาแห่งหนึ่ง กระซิบเสียงเบา “ของฝังร่วมเพิ่งจัดวางเสร็จสิ้น ศิลาสะบั้นมังกร243 ยังมิได้วางลง ส่วนสภาพภายในข้าไม่ล่วงรู้แล้ว”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า ประสานมือคำนับ “ขอบใจเจ้าแล้ว ด้านในพวกเรารู้ว่าจะไปอย่างไร เจ้ารีบไปเถอะ กันมิให้จากมานานเกินไป อาจถูกคนพบเข้า”

“ขอรับ!” เสี่ยวหลินจื่อพยักหน้า แล้วมองไท่สุ้ยอย่างไม่วางใจ เอ่ยเสียงเบา “ผู้มีพระคุณ เช่นนั้นข้ากลับแล้ว พวกท่านระวังตัวด้วย”

ไท่สุ้ยยิ้มแล้วกล่าว “ได้! ขอบใจเจ้าแล้ว”

เสี่ยวหลินจื่อฝืนยิ้ม ส่ายหน้าไม่พูดอันใด หันศีรษะไปมอง ก่อนค้อมเอวลง จากไปอย่างระมัดระวัง

หลิ่วสุยเฟิง ไท่สุ้ย และเหยากวงต่างสบตากัน

เหยากวงนำขบวนเอ่ย “ข้าเอง!”

หลิ่วสุยเฟิงและไท่สุ้ยสบตากันแวบหนึ่ง ยักไหล่ไม่กล้ายื้อแย่งนาง แม้มิใช่ศิลาสะบั้นมังกร แต่ประตูศิลานี้ก็ไม่เบา ทั้งสองคนไม่มั่นใจอย่างแท้จริงว่าจะเปิดได้

เหยากวงย่างเท้าขึ้นหน้า ถลกแขนเสื้อขึ้น พยายามสำแดงพลังมหัศจรรย์ ผลักไปทางประตูศิลา

ประตูศิลาถูกผลัก ก้อนโคลนร่วงกรูจากสองข้างประตู

หลิ่วสุยเฟิงเลิกคิ้ว จากนั้นก็โล่งใจ เอ่ยเสียงเบาไปทางไท่สุ้ย “พวกเราเคราะห์ดีไม่เลวที่ฝนเพิ่งตก ไม่เช่นนั้นกระทำเช่นนี้คงเสียงดังไม่น้อย ทำให้ผู้คนแตกตื่นแน่นอน”

ไท่สุ้ยมองก้อนโคลน แล้วมองร่องประตูสองข้างปราดหนึ่ง พยักหน้าอย่างนึกหวาดหวั่น

บัดนี้เหยากวงผลักเปิดร่องประตูกว้างพอให้หนึ่งคนลอดเข้าไปได้ จึงหันไปบอกทั้งสองคน “รีบเข้าไป”

ไท่สุ้ยและหลิ่วสุยเฟิงไม่กล้ารีรอ รีบสาวเท้าเข้าไป หลังเข้าไปแล้ว เหยากวงก็หมุนตัวมาปิดประตูศิลา

ภายในอุโมงค์ดำมืดทะมึน หลิ่วสุยเฟิงจุดตะบันไฟ แสงไฟส่องใบหน้าทั้งสามคน ล้วนเด่นชัดว่าแปลกประหลาดชอบกล

“ไป!” หลิ่วสุยเฟิงชูตะบันไฟเดินนำหน้า สองคนด้านหลังย่างเท้าติดตาม

 

เรือนเจียนหลัน

ภายในห้องรับรอง ขันทีผู้หนึ่งประคองสมุดเล่มบางวิ่งเหยาะๆ อย่างตื่นเต้นมาตรงหน้าเหลยอวิ่นกง “หาพบแล้ว! เหลยกงกง พวกเราหาพบแล้ว ท่านดู...”

เหลยอวิ่นกงคว้าหมับไป พลิกเปิดอย่างเร่งร้อนพลางถาม “หาพบแล้ว? เสาสุราทองนั่นอยู่ที่ใดกันแน่”

ขันทีปรี่เข้ามาก้าวหนึ่ง ยืนอยู่ด้านข้าง ชี้ที่สมุดเล่มบางพร้อมกับกล่าว “กงกง ท่านดูตรงนี้ เสาสุราทองต้นนั้นถูกจัดเป็นของฝังร่วม ฝังในสุสานหลวงแล้ว”

เหลยอวิ่นกงมองสมุดเล่มบางอย่างละเอียด ออกจะตะลึงงันก่อน แต่พอคิดแล้วก็พลันหลุดหัวเราะพรวด “ฝังในสุสานหลวงแล้ว? นับแต่นี้ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดกาล นับว่าปลอดภัยดี”

ขันทีถามอย่างประจบ “เหลยกงกง?”

เหลยอวิ่นกงลุกขึ้นยืนโบกมืออย่างเย็นชา “เอาละ ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้พวกเจ้าถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น ไปเถอะ”

เห็นเขากล่าวเช่นนี้ ขันทีก็ไม่กล้าถามต่อ รีบก้มหน้าถอยออกไป “ขอรับ ข้าน้อยอำลา”

หลังขันทีไปแล้ว เหลยอวิ่นกงก็มองสมุดเล่มบาง วางทิ้งบนโต๊ะอย่างไม่แยแส “เฮ้อ นับว่าขจัดโรคในใจไปเรื่องหนึ่ง”

เขาเดินเอามือไพล่หลังไปถึงระเบียง ทอดตามองที่ไกล พึมพำกับตนเอง “ด้วยพลังฝีมือของเต๋อเมี่ยวในตอนนี้ เพียงพอบรรลุภารกิจ ข้าสมควรหลบเลี่ยงคำครหา ก็ไม่เข้าไปแล้ว เพื่อมิให้ความบาดหมางต่อข้าลึกล้ำเกินไปเมื่อยามปาเสียนอ๋องมาถึง...”

ตอนนี้ขันทีผู้น้อยถือโคมไฟ นำหลิวหรงขันทีผู้ดูแลสุสานหลวงเร่งรีบเข้ามา

เห็นเหลยอวิ่นกงแต่ไกล หลิวหรงก็รีบร้องเรียก “เหลยกงกง เหลยกงกง...”

เหลยอวิ่นกงหันหน้าไปเห็นเขาก็ทำสีหน้าอึมครึม “เจ้าไฉนกลับมาแล้ว ให้ไปเฝ้าสุสานหลวงเพื่อมอบโอกาสให้เจ้า เมื่อกลับมาจะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น ไฉนจึง...”

ไม่รอเขาพูดจบ หลิวหรงก็ตัดบทเหลยอวิ่นกงด้วยสีหน้าเร่งร้อน เอ่ยเสียงร้อนใจ “เหลยกงกง ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญรายงาน ดังนั้นไม่อาจไม่เร่งรีบกลับวังได้”

เหลยอวิ่นกงตะลึง “เรื่องใดกัน!”

“เหลยกงกง ข้าน้อยพบโดยบังเอิญว่าคนของหน่วยดาวพิฆาตปรากฏตัวที่สุสานหลวง!”

เหลยอวิ่นกงถามอย่างแปลกใจ “คนของหน่วยดาวพิฆาต? พวกเขาไปทำอันใดกัน”

“ข้าน้อยก็ไม่กระจ่าง ทว่าข้าน้อยจดจำหนึ่งในนั้นได้ คนผู้นั้นเคยปลอมเป็นขันที คุ้มกันข้างพระวรกายรัชกาลก่อน ข้าน้อยรู้สึกว่ามีเงื่อนงำ จึงรีบมารายงานท่าน” หลิวหรงไม่กล้าปิดบัง ถึงขั้นกล่าวได้ว่ามาคราวนี้เพื่อความดีความชอบ ไม่แต่งเสริมเติมเรื่องก็ไม่เลวแล้ว

เหลยอวิ่นกงฟังแล้วก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยักหน้ากล่าว “ข้ารู้แล้ว เจ้าทำดีมาก รีบกลับไป อย่าทำให้พวกเขาแตกตื่น”

“เช่นนั้นเรื่องนี้...?”

“ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบให้กระจ่าง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” เหลยอวิ่นกงโบกมือ

หลิวหรงเห็นสีหน้าเขาก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก ค้อมตัวรับคำ “ขอรับ!”

รอจนหลิวหรงหมุนตัวจากไป เหลยอวิ่นกงก็มองเงาหลังของเขาอย่างครุ่นคิด ก่อนสาวเท้าเชื่องช้าไปยังโถงรับแขก หยิบสมุดเล่มบางที่โยนทิ้งไว้บนโต๊ะขึ้น ใบหน้าผุดรอยยิ้มเหี้ยมโหด “ซ่อนใต้ดินก็ไม่ปลอดภัยหรือ”

เขาหัวเราะเสียงเย็น ล้วงหน้ากากออกมาจากทรวงอกช้าๆ ก่อนครอบบนใบหน้า

หน้ากากเป็นวงหน้าแปลกพิกล หนึ่งแบ่งเป็นสอง มิใช่เทพมิใช่ภูต คล้ายเซียนคล้ายปีศาจ

ด้านซ้ายลงพื้นสีเงิน ใช้ผงชาดและสีทองวาดเป็นครึ่งใบหน้าเซียน คิ้วตาเปี่ยมเมตตา

ด้านขวากลับลงสีดำประดุจน้ำหมึก ใช้สีกระดูกขาววาดครึ่งหน้าปีศาจร้าย มุมปากมีหยดโลหิต ยอดศีรษะเป็นมุมแหลม

หากเป็นเต๋อเมี่ยว ติงเว่ย หรือหลิวเอ๋อร์พบเห็น ย่อมจดจำได้ว่านี่คือหน้ากากประหลาดพิกลที่โต๋วหมู่เทียนจุนมักสวมปิดหน้า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น