ยี่สิบเก้า
ชิงสมรสในราชวงศ์
คุกใหญ่แห่งกรมอาญามีสองชั้น ชั้นบนเรียกกันทั่วไปว่าคุกหลวง ภายในคุกหลวงคุมขังบรรดานักโทษคดีอุกฉกรรจ์แห่งราชสำนัก
แม้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษคดีอุกฉกรรจ์แห่งราชสำนัก แต่กลับมีข้อดีเป็นพิเศษ ไม่เพียงสะอาดเป็นระเบียบ ยังรับแสงแดดเต็มที่ อาหารการกินก็ด้อยกว่าชาวบ้านทั่วไปไม่เท่าใด ได้รับการดูแลปรนนิบัติเยี่ยงนี้ เพียงเพราะผู้ที่ถูกคุมขังที่นี่แทบจะเก้าสิบเก้าส่วนเป็นเชื้อพระวงศ์ นอกจากนี้อาจเป็นขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ตรงกันข้ามกับคุกหลวงย่อมเป็นคุกใต้ดิน
พินิจจากชื่อก็รู้ความหมาย คุกใต้ดินหมายถึงตะรางคุมขังที่สร้างใต้ดิน
ภายในคุกใต้ดินไม่เพียงอับชื้นและมืดครึ้ม แดดส่องไม่ถึงนานปี ยังอวลกลิ่นแปลกประหลาดตลอดเวลา ทั้งกลิ่นเน่าเหม็น กลิ่นคาวโลหิต บางครั้งยังได้กลิ่นย่างเนื้อ บางครั้งโชยกลิ่นหอมสุราเจือจาง...
กลิ่นชนิดนี้สลับซับซ้อนนัก เป็นกลิ่นพิเศษโดยเฉพาะ หากดอมดมนานเข้า บางครั้งยังได้กลิ่นหอมคล้ายชะมดเชียง
นักโทษที่ถูกคุมขังในคุกใต้ดินนานปีบางคนถึงขั้นเสพติดกลิ่นนี้ หากโชคดีได้ออกไปพ้นคุก เวลาเนิ่นนานกลับไม่อาจปรับตัวได้ กระทั่งคิดหาทุกวิถีทางให้ได้กลับเข้ามาติดคุกอีกหลายวัน
วันนี้ภายในคุกใต้ดินได้ต้อนรับอาคันตุกะคนใหม่ คนผู้นี้สีหน้าหยาบกระด้าง สายตาคมกริบ รูปร่างสูงใหญ่กำยำ เพียงแต่กลางกระหม่อมไร้เส้นผม สองข้างขมับบริเวณหน้าและใบหูมีเส้นผมสองปอยระลงมา เด่นชัดว่าน่าขบขัน
คนผู้นี้มิใช่อื่นไกล เป็นฮาฟั่นราชครูแห่งชี่ตันที่เพิ่งถูกจับกุม
พลั่ก!
หน้าห้องขัง ฮาฟั่นสวมเครื่องพันธนาการพันรัดด้วยโซ่เหล็ก ถูกสองพัศดีผลักเข้าไปด้านใน
ฮาฟั่นโซเซล้มลง เปลืองแรงลุกขึ้น มองสองพัศดีอย่างแค้นเคือง “ข้าเป็นราชครูแห่งชี่ตันอันยิ่งใหญ่ พวกเจ้าถึงกับกล้าไร้มารยาทเช่นนี้หรือ”
สองพัศดีลงกลอนห้องขังอยู่ด้านนอก ใบหน้าผุดรอยยิ้มหยัน
พัศดีตาแหลมเรียวรูปร่างผอมเอ่ยเย้า “พุทโธ่ ยังไม่ยอมจำนนรึ ราชครูต้าเหลียว ใหญ่โตเหลือเกินนี่ ทว่าขุนนางต้าเหลียวต่อให้ใหญ่โตเพียงใด ก็คล้ายกับว่าทำอันใดต้าซ่งเรามิได้กระมัง”
พัศดีอีกนายยิ้มเย็นชาขณะมองฮาฟั่น “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นราชครูหรือท่านอ๋อง ต่อให้ฮ่องเต้เหลียวของพวกเจ้ามาที่นี่ ก็ต้องรักษากฎเกณฑ์นี้ กล้ายึกยักเล่นแง่ บิดามีวิธีจัดการเจ้า... ฮึ!”
พบยมบาลนั้นง่าย ผีร้ายยากต่อกร293
ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนของฮาฟั่นย่อมกระจ่างแจ้งในเหตุผลนี้ เพื่อมิให้ต้องทนทรมานอีกต่อไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หันศีรษะไป สะกดกลั้นโทสะ ไม่เอ่ยวาจา
สองพัศดีเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้กะทันหัน ต่างก็แสยะมุมปากอย่างดูแคลน ปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินโซเซจากไป
หลังจากทั้งคู่ไปแล้ว ฮาฟั่นก็ถอนหายใจเฮือก เดินไปยังมุมห้อง ทิ้งตัวลงพิงผนังเชื่องช้าอย่างเศร้าสร้อย สุดท้ายก็นั่งกองลงบนพื้น สองตาเหม่อลอยจับจ้องเพดาน นั่งนิ่งงันทึ่มทื่อ
ผ่านไปไม่นาน เสียงฝีเท้าและเสียงสนทนาดังแว่วมาจากภายนอก
ฮาฟั่นตื่นจากภวังค์ทันที เอียงหูลอบฟัง
“ท่านอ๋องระวังฝีเท้าด้วย ข้างในนั้นมืด ระวังสะดุด”
ฮาฟั่นหรี่สองตา ฟังออกว่าเจ้าของเสียงประจบสอพลอก็คือหนึ่งในพัศดีที่กล่าวแดกดันเขาเมื่อครู่
“เอิ่ม ท่านอ๋องขออภัยด้วย กลิ่นที่นี่ไม่ใคร่จะดี”
“ไม่เป็นไร นำทางเถอะ”
‘ท่านอ๋อง? เป็นปาเสียนอ๋องจ้าวเต๋อฟางหรือ’
เสียงออกจะคุ้นหู ในใจฮาฟั่นคาดเดาได้แล้ว
ไม่ผิดไปจากที่คาด พร้อมเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที พัศดีนายหนึ่งเดินนำต้งหมิงและปาเสียนอ๋องมาปรากฏตัวที่หน้าห้องขัง
ยืนหน้าห้องคุมขัง ปาเสียนอ๋องเงียบงันไม่เอ่ยวาจา มองประเมินฮาฟั่นผ่านตะราง ต้งหมิงที่อยู่ด้านข้างเชิดคางเล็กน้อยไปทางประตูห้องขัง พัศดีรีบวิ่งเข้ามาไขกุญแจ เปิดประตูออก
จนกระทั่งปาเสียนอ๋องและต้งหมิงก้าวขาเข้าไปในห้องขัง ฮาฟั่นซึ่งถูกเครื่องพันธนาการติดโซ่เหล็กนั่งพิงผนังถึงได้เงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคน รอยยิ้มเย็นชาดูแคลนผุดขึ้นบนใบหน้า
ต้งหมิงยกมือขึ้น นิ้วกระดิกไปด้านหลังเบาๆ พัศดีรีบพยักหน้า ค้อมเอวจากไป
ปาเสียนอ๋องเอาสองมือไพล่หลังมองประเมินฮาฟั่นขึ้นลง แล้วมองสภาพแวดล้อมภายในห้องขังปราดหนึ่ง ยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ต้อนรับไม่ทั่วถึง ให้ราชครูเห็นขันแล้ว”
ฮาฟั่นแค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง แววตาโหดเหี้ยม แต่กลับไม่เอ่ยคำ
“ราชครูเป็นผู้กระจ่างแจ้ง รู้ดีว่าท่านอ๋องมาครานี้เพื่อสอบถามสิ่งใดกระมัง” ต้งหมิงสอบถามเสียงเรียบ
ฮาฟั่นหัวเราะเยียบเย็น “ล้วนกล่าวว่าต้าซ่งเป็นประเทศแห่งจารีตพิธีการ บัดนี้เห็นว่ากล่าวเกินเลยความจริง ข้าราชครูได้รับพระบัญชาให้เดินทางมาเป็นราชทูตตัวแทนฮ่องเต้แห่งชาวชี่ตัน เป็นตัวแทนศักดิ์ศรีของชาติและหน้าตาของผู้ปกครองแผ่นดินข้า พวกท่านถึงกับจับกุมตามอำเภอใจ ไม่กลัวว่าข่าวแพร่งพรายออกไป จะชักนำให้เกิดการเผชิญหน้าของกองทัพทั้งสองฝ่ายหรือ”
ปาเสียนอ๋องส่ายหน้า ยิ้มเล็กน้อยเอ่ย “วาจาราชครูนี้ผิดนัก ท่านเด่นชัดว่าออกไปเที่ยวท่องชื่นชมทัศนียภาพ จะถูกจับกุมได้อย่างไร”
ฮาฟั่นตะลึงงัน จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มเยียบเย็น “ช่างลวงโลกเสียจริง คิดว่าเอ่ยอ้างง่ายๆ เช่นนี้ก็สามารถปิดบังผู้คนทั่วหล้าได้หรือ”
ปาเสียนอ๋องแบมือ สีหน้าไม่สะทกสะท้านยามกล่าว “เป็นลูกน้องในเขตพำนักของท่านกล่าวเอง พวกเรามิได้เอ่ยอ้าง แน่นอนว่าราชครูออกเดินทางโดยไม่ผ่านการเห็นชอบของพวกเรา เกิดอันใดขึ้น พวกเราย่อมไม่ต้องรับผิดชอบ”
ฮาฟั่นอึ้งงัน เข้าใจกระจ่างทันที ย่อมเป็นชาวซ่งไปเยือนถึงที่ อุปทูตเพื่อปิดบังกลบเกลื่อนจึงเอ่ยอ้างมดเท็จ
ฮาฟั่นได้แต่แค่นเสียฮึอย่างแค้นเคืองพลางหลับสองตาลง ไม่เอ่ยกล่าวอันใดอีก
เห็นท่าทีเขา ต้งหมิงก็ไม่อ้อมค้อม ถามโดยตรง “ราชครูไยต้องทำเยี่ยงนี้ ท่านเป็นคนฉลาด เรื่องถึงบัดนี้ยังไม่ยอมก้มหัวหรือ”
ฮาฟั่นหลับตาหัวเราะเสียงเย็นเยือก “ไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามเสียเวลา คิดลงทัณฑ์เหี้ยมโหดอย่างไร นำมาใช้เต็มที่ อยากดูว่าพวกเจ้าจะทำให้ข้าขมวดคิ้วได้หรือไม่”
ปาเสียนอ๋องกับต้งหมิงสบตากันแวบหนึ่ง ต่างส่ายหน้าเล็กน้อย รู้ดีว่าในเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนี้ ย่อมไม่ยอมประนีประนอมโดยง่าย
“ช่างเถอะ ในเมื่อราชครูไม่อยากพูด ข้าก็ไม่บีบบังคับ กล่าวอำลาก่อน เวลาใดราชครูคิดกระจ่าง ก็ให้คนไปบอกข้าได้ทุกเมื่อ” รอยยิ้มบนใบหน้าปาเสียนอ๋องเหือดหาย ทิ้งท้ายเสียงเรียบประโยคหนึ่งก่อนหมุนตัวออกจากห้องขัง
ในตอนนี้ต้งหมิงที่ตีหน้าเคร่งอยู่ตลอดเวลาพลันยิ้มก่อนเอ่ย “ที่นี่ทัศนียภาพไม่เลว ในเมื่อราชครูชื่นชอบก็รั้งอยู่ชื่นชมให้ดีเถอะ”
พูดจบก็หมุนตัวจากไป กวักมือไปทางด้านนอก พัศดีผู้หนึ่งวิ่งเหยาะๆ เข้ามาปิดประตูลงกลอน
ทันทีที่ทั้งสองจากไป ฮาฟั่นก็ลืมตา มองเงาหลังที่เดินจากไปไกลของทั้งคู่แล้วยิ้มเย็น ไม่เอ่ยคำ
นอกคุกของกรมอาญา สองพัศดีเฝ้ายามสองข้างประตู ไท่สุ้ยยืนรออยู่บนถนน เห็นปาเสียนอ๋องและต้งหมิงเดินออกมาก็รีบปรี่เข้าไปประสานมือคารวะ “ท่านอ๋อง ผู้อาวุโสต้งหมิง”
ทั้งสองคนพยักหน้าเล็กน้อย
ไท่สุ้ยถามเสียงเร่งร้อน “เป็นอย่างไรบ้าง เขาสารภาพหรือไม่”
ต้งหมิงส่ายหน้าเอ่ย “ดูท่าทางเช่นนั้นของเขาคงตัดสินใจไม่ยอมพูดแน่”
ปาเสียนอ๋องคิดแล้วก็ถามต้งหมิง “คำปริศนาที่เขาเขียนต่อหน้าอิ่นกวง เล่นลูกไม้จริงหรือ”
ต้งหมิงมีสีหน้าหนักอึ้งขณะเอ่ย “เรื่องนี้กลับไม่มั่นใจ เพียงแต่ท่านอ๋องก็เห็น คนผู้นี้เข้าสู่ตาจนแล้วชัดๆ กลับยังคงแข็งกร้าวเช่นนี้ เกรงว่ามีที่พึ่งพาอย่างแท้จริง ตัวอักษรที่เขียนต่อหน้าอิ่นกวงย่อมขยักไว้บ้าง ถึงแม้เขาจะแก้ไขเพียงตัวเดียวก็...”
ปาเสียนอ๋องพยักหน้าเชื่องช้า
ต้งหมิงมองไท่สุ้ยแวบหนึ่ง พลันสอบถามหนึ่งคำ “ไท่สุ้ย เจ้ามีวิธีหรือไม่”
ไท่สุ้ยอึ้งงัน จากนั้นก็กระจ่างแจ้ง กะพริบตาครุ่นคิดก่อนพยักหน้าช้าๆ
“หากเป็นข้า ใช้ได้เพียงศาสตร์ลวงตา แต่ก่อนหน้านี้ตอนประมือกับเขาในหุบเขานรก ก็ได้ทดลองแล้ว คนผู้นี้จิตใจมั่นคงเด็ดเดี่ยว ล่อลวงได้ยาก ทว่าบัดนี้วรยุทธ์เขาถูกสกัดกั้น ทั้งถูกคุมขัง หากใช้แผนการอีกสักหน่อย อาจทำให้เขาคลายความระแวดระวังได้”
ปาเสียนอ๋องมองไท่สุ้ย สงสัยไม่เข้าใจ “แผนการใด ให้อดน้ำอดอาหารหรือ”
ไท่สุ้ยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่จำเป็น เพียงปล่อยให้เขาอยู่ในที่สงัดเงียบตามลำพัง ต้องเงียบโดยสิ้นเชิง ไม่มีผู้ใดสนทนากับเขา ไม่ให้เขาได้ยินเสียงใด ขังไว้แบบนี้สักสองสามวัน”
“จากนั้นล่ะ”
“จากนั้นก็สมควรเป็นข้าออกโรงแล้ว!”
ฮาฟั่นนั่งพิงที่มุมห้องด้วยแววตาวูบไหว เด่นชัดว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง บางครั้งก็ยิ้มเยียบเย็น บางครั้งก็เผยให้เห็นความอำมหิตดุร้าย
ตอนนี้เองเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากด้านนอก ฮาฟั่นเงยหน้าไปมอง เห็นพัศดีกลุ่มหนึ่งเดินกลับไปกลับมาส่งเสียงโหวกเหวกที่ทางเดิน จากนั้นก็เห็นพัศดีอีกกลุ่มเปิดประตูห้องขังโดยรอบทั้งหมดแล้วกุมตัวนักโทษด้านในออกมา พาออกไปด้านนอก
“เดินเร็วหน่อย อย่าโอ้เอ้!”
“ทำตัวดีๆ หน่อย ผู้ใดกล้าก่อเรื่อง อย่าโทษบิดาไม่ไว้หน้า!”
“ถูกปรักปรำ ข้าไม่อยากตาย!” นักโทษบางคนถึงกับเข่าอ่อน
เผียะ!
เสียงแส้ตวัดดังขวับ พัศดีตวาดเดือดดาล “ตายอันใดกัน ไหนเลยจะบั่นคอคนพร้อมกันมากมายแบบนี้ รีบเดิน ขืนชักช้าเชื่อหรือไม่บิดาจะประเคนแส้ให้”
ฮาฟั่นฟังเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอกอย่างสงสัย ลุกขึ้นมาเดินไปยังประตูห้องคุมขังแล้วมองออกไปด้านนอก
เด่นชัดว่าอยู่ใกล้ตา แต่บรรดาพัศดีกลับทำเหมือนไม่เห็น ไม่แยแสเขาเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานนัก เสียงเหล็กกระทบกันก็แว่วมาคราหนึ่ง ประตูใหญ่ถูกปิดสนิท
ทั้งคุกใต้ดินว่างเปล่า เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง คบเพลิงทางเดินสองข้างทางล้วนถูกดับมอดลง ฮาฟั่นแนบหน้าระหว่างลูกกรงมองซ้ายมองขวา ที่เข้าสู่สายตาล้วนเป็นความมืดมิด
ฮาฟั่นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาพลันลนลาน แนบตัวชิดประตูห้องขังตะโกนไปด้านนอก “นี่ มีคนหรือไม่ เจ้าหน้าที่ พัศดี พัศดี...”
ภายในห้องโล่งว่าง ใบหน้าของฮาฟั่นพลันกระวายกระวายร้อนใจ ร้องเรียกหลายเสียงไม่มีผู้ใดขานรับ เขาค่อยๆ กระถดไปยังมุมห้อง ขดตัวลงนั่ง สายตาระแวดระวังและดุร้ายกวาดมองรอบตัว
ภายในห้อง เสวียนเสวียนจื่อยืนเอามือไพล่หลังข้างหน้าต่าง สองตาเหม่อลอย คล้ายกำลังระลึกถึงความหลัง
ไท่สุ้ยผลักประตูเข้ามา ในมือประคองถาดใบหนึ่ง ด้านบนจัดวางกับแกล้มและสุรากาหนึ่ง
เขาวางถาดลงบนโต๊ะอย่างระวังแล้วร้องเรียก “อาจารย์ กินข้าว”
เสวียนเสวียนจื่อตื่นจากภวังค์ เดินยิ้มมานั่งหน้าโต๊ะ จับตะเกียบคีบกับแกล้มขึ้นมาลองชิม ก่อนพยักหน้าอย่างพอใจ ใบหน้าผุดรอยยิ้มบาง
“ไม่เลว ฝีมือไม่เลว”
ไท่สุ้ยยิ้มหน้าชื่นตาบาน หยิบจอกสุราจากตู้ด้านข้างมารินส่งให้อาจารย์ พูดอวดอย่างภูมิใจ “อาจารย์ ท่านลองชิมนี่ นี่เป็นสุราบรรณาการที่ในวังมอบให้หน่วยดาวพิฆาต ข้าได้มาสองไห ตัดใจดื่มไม่ลงมาโดยตลอด ล้วนเก็บไว้รอท่าน”
เสวียนเสวียนจื่อตื้นตัน มองไท่สุ้ยปราดหนึ่ง พยักหน้าหยิบจอกสุราขึ้นกระดกดื่มหมดจอก หลับตาพริ้มเพื่อดื่มด่ำรสชาติ
ไท่สุ้ยทำจมูกฟุดฟิด ดมกลิ่นหอมสุราแล้วถามอย่างอยากรู้ “เป็นอย่างไร สุราบรรณาการโอชะหรือไม่”
เสวียนเสวียนจื่อหลับตาแล้วชิมรสสักพัก ก่อนพยักหน้าแผ่วเบา ใบหน้าฉายแววชื่นชม
“หอมกรุ่นเข้มข้นประดุจแพรไหม ลงท้องดั่งเพลิงไร้ความเผ็ดร้อนแม้แต่น้อย มิเสียแรงเป็นสุราบ่มล้ำค่าของราชสำนัก สุราประเสริฐ!”
พอได้ฟัง ไม่เพียงสองตาเปล่งประกาย ไท่สุ้ยยิ้มเจิดจรัสที่มุมปาก รีบรินสุราเต็มจอกให้อาจารย์อีกครั้ง
ทว่าคราวหนี้เสวียนเสวียนจื่อกลับจิบเพียงหนึ่งคำแล้ววางลง ชี้ไปที่จอกสุราอีกใบ ยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าว “ไท่สุ้ย เจ้านั่งลง ดื่มเป็นเพื่อนอาจารย์”
“ได้ขอรับ” ไท่สุ้ยรีบนั่งลง ปาดเช็ดน้ำลายที่มุมปาก รีบรินสุราให้ตนหนึ่งจอก แหงนหน้าดื่มลงคอ ลิ้มรสสุราด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
“ว่าอย่างไร” เสวียนเสวียนจื่อลูบเคราแล้วยิ้มถาม
ไท่สุ้ยเอาแต่พยักหน้าไม่หยุด เอ่ยชมอย่างเกินเลย “สุราดี เป็นสุราดีจริงๆ!”
“ดีที่ใด”
ไท่สุ้ยคิดแล้วก็วางจอกชาลงอย่างเก้อเขิน ยกแขนขึ้นเกาท้ายทอยแกรกๆ “ก็คือสุราดี ดีที่ใด... ศิษย์เองก็บอกไม่ถูก”
เสวียนเสวียนจื่อหัวเราะพรวดพลางส่ายหน้า ยกจอกสุราขึ้นจิบอีกหนึ่งอึก หลังวางจอกสุราลงแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไป “ไท่สุ้ย หลายปีมานี้เจ้าเคยคิดตามหาญาติของตนเองหรือไม่”
ไท่สุ้ยตะลึงงัน ก่อนรินสุราให้ตนอีกจอก แหงนหน้าดื่มจนหมด หลังวางจอกสุราลงแล้วก็นิ่งเงียบ มองกับแกล้มบนโต๊ะด้วยสายตาเหม่อลอย
เสวียนเสวียนจื่อก็ไม่เร่งเร้า เพียงแต่มองเขาเงียบๆ ในดวงตาแฝงแววเวทนาและเจ็บปวดใจ
ไท่สุ้ยนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อาจารย์ ท่านยังจดจำได้หรือไม่ ตอนเด็กเมื่อท่านสอนข้าอ่านเขียน ข้าเคยถามท่านว่าบิดามารดาคือสิ่งใด”
เสวียนเสวียนจื่อพยักหน้าเชื่องช้า
ไท่สุ้ยกล่าว “ตอนนั้นท่านตอบว่ารอข้าเติบใหญ่ก็จะล่วงรู้”
เสวียนเสวียนจื่อพยักหน้าช้าๆ จิบสุราทีละน้อย แววตาเริ่มเลื่อนลอย
เรื่องในอดีตฉายชัดตรงเบื้องหน้าสายตาทีละฉาก เขาลอบปลงอนิจจังในใจ เวลาไม่คอยท่าผู้ใดโดยแท้ เด็กน้อยปากแดงฟันขาวในตอนนั้นบัดนี้เติบใหญ่แล้ว!
ไท่สุ้ยไม่รู้ความคิดของอาจารย์ กลับกล่าวขึ้นอีก “ต่อมาท่านแสร้งตายแล้วจากไป ศิษย์เร่ร่อนในยุทธภพ เห็นเด็กคนอื่นต่างมีพ่อแม่ ตอนนั้นข้าถึงได้เข้าใจ วาจาของอาจารย์ในตอนนั้นหมายความว่าอย่างไร”
เสวียนเสวียนจื่อมองไท่สุ้ย ความรู้สึกผิดบาปทางใจฉายชัดบนใบหน้า
“ตอนนั้นในใจข้าคิดว่า หากข้าเหมือนเด็กคนอื่นๆ มีพ่อแม่ก็คงดี ไม่ต้องพเนจรผู้เดียวในยุทธภพ ได้รับความทุกข์มากมายถึงเพียงนั้น!” สีหน้าท่าทางไท่สุ้ยเลื่อนลอย จมอยู่กับความทรงจำในอดีต
“บางครั้งข้าก็คิดว่า ท่านแม่ของข้าน่าจะหน้าตาสวยงาม ยามยิ้มคงอ่อนโยน ทำอาหารอร่อย ท่านพ่อข้าน่ะหรือ น่าจะเป็นคนแข็งแรงเก่งกาจมาก สามารถปกป้องข้าได้...”
ดวงตาของเสวียนเสวียนจื่อแดงซ่าน
ไท่สุ้ยยังจมอยู่กับความทรงจำในอดีต พลางเอ่ยพึมพำ “ตอนนั้นข้าอยากมีพ่อมีแม่มากจริงๆ แต่พอนานเข้าความคิดนี้ก็ซาลง เมื่อเห็นเด็กคนอื่นอยู่กับพ่อแม่ ข้าก็ไม่อิจฉาแล้ว แม้พวกเขามีพ่อแม่ แต่ว่าข้าก็มีอาจารย์เช่นกัน!”
มือของเสวียนเสวียนจื่อสั่น
ตอนนี้เองไท่สุ้ยได้สติกลับมา ยกกาขึ้นรินสุราให้อาจารย์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มุมปากยิ้มเย้ยตนเอง “ต่อมาอีก ข้าก็ไม่คิดแล้ว เติบใหญ่แล้วก็เข้าใจกระจ่างในเรื่องราวมากมาย ในเมื่อพวกเขาใจร้ายทิ้งข้าลงคอ ก็แสดงว่าพวกเขาไม่ต้องการข้าแม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ยังนับเป็นญาติอันใดกัน บุญคุณที่ให้กำเนิดจะเทียบเท่าบุญคุณที่เลี้ยงดูได้อย่างไร”
สีหน้าผิดบาปทางใจของเสวียนเสวียนจื่อไม่อาจปกปิด รีบก้มหน้าลง มือสั่นยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก
โถงใหญ่ในที่ทำการหน่วยดาวพิฆาต ต้งหมิงและอิ่นกวงนั่งอยู่เบื้องสูง
หลิ่วสุยเฟิง ไคหยาง และเหยากวงเดินกลับไปกลับมาภายในโถง ขมวดคิ้วมุ่นขบคิดอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เงาขาดหนึ่งนิ้ว คลาดเคลื่อนพันลี้ พิกัดขั้วเหนือ สูงต่ำแตกต่าง... เงาอันใด เงาที่ใด” หลิ่วสุยเฟิงพึมพำ
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เหยากวงก็หมดความอดทน กุมศีรษะร้องลั่น “อา! ข้าแทบเสียสติแล้ว...”
ไคหยางยิ้มเจื่อนขณะสบตากับต้งหมิงแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าไม่เอ่ยวาจา
ทันใดนั้นเหยากวงก็ทะลึ่งตัวพรวด เบิกตาโพลง พอเห็นทุกคนต่างก็สะดุ้งโหยง คิดว่านางจะคลุ้มคลั่งอีกแล้ว
ต้งหมิงรีบตวาด “เหยากวง สงบสติ!”
เหยากวงส่ายหน้า เดินออกไปด้านนอกพลางร้องเสียงดัง “ไม่สนแล้ว ข้าหิวแล้วจะไปกินอาหาร คำปริศนานี้พวกท่านไปขบคิดเถอะ ข้าเหมาะสมเพียงลงมือ ไม่เหมาะสมขบคิด”
ทุกคนตะลึงงัน ได้แต่ยิ้มแล้วเอ่ย “เด็กคนนี้... ทำตกใจหมด”
ชั่วพริบตาผ่านไปสามวัน
นอกคุกหลวงถูกทหารองครักษ์คุ้มกันแน่นหนา ลมไม่อาจเล็ดลอด จ้าวเจินฮ่องเต้น้อยและปาเสียนอ๋องนั่งบนเก้าอี้ ต้งหมิงอยู่ด้านข้าง บริเวณโดยรอบกันพื้นที่ไว้แล้ว ทุกแห่งหนล้วนเป็นเงาร่างของทหารองครักษ์และกองกำลังพิทักษ์ภายในลาดตระเวนตรวจตรา บรรยากาศเคร่งเครียด
แม้ผู้คนมากมาย แต่ทุกคนต่างสงบเงียบ ไม่มีผู้ใดเปล่งวาจา
จ้าวเจินออกจะสงสัยใคร่รู้ ชะเง้อมองไปรอบด้าน มองเห็นสิ่งใดก็รู้สึกว่าน่าสนใจ ส่วนปาเสียนอ๋องและต้งหมิงกลับเพ่งมองไปทางคุกหลวงอย่างตื่นเต้นรอคอย
ภายในคุกหลวงมืดสลัวสงัดเงียบ มิทราบว่าผ่านพ้นไปนานเพียงใด แผ่นหลังคาเหนือห้องขังของฮาฟั่นถูกเปิดเป็นช่องขนาดกว้างสองฉื่อ เชือกเส้นหนึ่งห้อยลงมาจากด้านบน ส่งตะกร้าบรรจุกล่องอาหารลงไปอย่างเชื่องช้า
ฮาฟั่นขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ใบหน้าซูบเซียว แววตาเหม่อลอย พลันเห็นตะกร้าลอยลงมาก็รีบกระโจนเข้าไป แหงนหน้าคำรามไปเบื้องบน “นี่! พวกเจ้าออกมา! พวกเจ้าพูดสิ! นี่!”
ผู้ที่ปล่อยตะกร้าอาหารลงมาระมัดระวังยิ่งนัก กระทั้งเส้นเชือกยังไม่ชิดแผ่นหลังคา เพื่อมิให้เกิดเสียงเสียดสี ยิ่งไม่ตอบรับคำ หลังวางตะกร้าลงอย่างแผ่วเบาแล้ว เส้นเชือกผูกตะขอก็ถูกสาวขึ้นไปอย่างช้าๆ
“พวกเจ้าพูดสิ! พวกเจ้าเป็นใบ้รึ!” ฮาฟั่นตะโกนลั่นอย่างโมโห สองตาแดงก่ำเหมือนสูญสิ้นสติสัมปชัญญะกระนั้น
เส้นเชือกเก็บเรียบร้อย แผ่นหลังคาที่เปิดออกก็ถูกปิดลงอย่างแผ่วเบา ไร้สุ้มเสียงใดๆ มีเสียงฝีเท้าดังแว่วแผ่วเบา คนส่งอาหารจากไปแล้ว
“ว้าก!...” ฮาฟั่นตะโกนลั่น ในที่สุดก็นั่งแปะลงอย่างเศร้าสร้อย แววตาสิ้นหวัง ไม่ไปขยับกล่องอาหารแม้แต่น้อย
ผ่านไปพักใหญ่ ห้องขังอันเงียบสงัดพลันบังเกิดเสียงน้ำหยด ดวงตาฮาฟั่นสว่างวาบ รีบกลั้นหายใจพร้อมกับเงี่ยหูฟัง
เสียงน้ำหยดกระทบพื้นแผ่วเบาในตอนแรก ไกลจากตัวเขามาก แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปยิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
ฮาฟั่นดีใจยิ่งนัก แต่กลับไม่กล้าเปล่งเสียงดัง ได้แต่ตะโกนลั่นในใจ ‘มีเสียงแล้ว! ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็มีเสียงแล้ว! บิดาแทบจะวิปลาสอยู่แล้ว!’
เขาเงี่ยหูฟังเสียงน้ำหยดที่เป็นจังหวะจะโคน ประหนึ่งว่าความอึดอัดคับข้องหลายวันมานี้มลายหายไปสิ้น ใบหน้าผุดรอยยิ้มเบิกบานใจ แต่อีกทางหนึ่ง ขณะที่เขาไม่ทันรู้ตัว แววตาของเขาพลันเลื่อนลอยเคลิบเคลิ้ม
ตอนนี้เองไท่สุ้ยเดินเงียบเชียบเข้ามาจากทางเดินอันมืดมิด มองประเมินฮาฟั่นอย่างจริงจังผ่านประตูห้องขัง พบว่าสีหน้าเขาแข็งค้าง สองตาไร้แวว ถึงได้ถอนใจอย่างโล่งอก
ภายในห้องขังอันสงัดเงียบบังเกิดเสียงน้ำหยดไม่ขาดสาย ผ่านไปสักครู่หนึ่งไท่สุ้ยก็เอ่ยปากเสียงเบา
“เจ้าคือใคร”
“ข้าคือฮาฟั่น”
“เจ้ามีฐานะใด”
“ข้าคือราชครูแห่งชี่ตัน”
ไท่สุ้ยผุดยิ้มอย่างพออกพอใจ แล้วถามอีก “เจ้ามาต้าซ่งมีเป้าหมายใด”
“ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้ข้าเสาะหา ‘ภาพผลักหลัง’ ”
“เจ้าหาพบแล้วหรือไม่”
“ไม่พบ พบเพียงคำปริศนา”
“เนื้อหาคำปริศนาว่าอย่างไร”
สีหน้าของฮาฟั่นคล้ายกำลังต่อสู้ดิ้นรน แต่ก็ยอมจำนนอย่างรวดเร็ว พึมพำ “เงาขาดหนึ่งนิ้ว คลาดเคลื่อนพันลี้ พิกัดขั้วเหนือ สูงต่ำแตกต่าง...”
ไท่สุ้ยฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จดจำไว้อย่างละเอียด เกรงว่าจะตกหล่นไปสักคำ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮาฟั่นถึงกล่าวคำปริศนาหมดสิ้น ไท่สุ้ยหลับตาลงทบทวน พบว่าตนจดจำได้หมดสิ้นแล้ว ใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มเล็กน้อย
เดิมคิดหมุนตัวจากไป แต่พลันนึกถึงคำขอร้องของต้งหมิงได้ จึงเอ่ยปากถาม “คำปริศนานี้มีผู้ใดล่วงรู้อีก”
“อิ่นกวงแห่งหน่วยดาวพิฆาตรู้หนึ่งส่วน แต่ที่เขารู้ถูกแก้ไขดัดแปลงแล้ว”
“คนสวมหน้ากากที่พบในหุบเขานรกคือผู้ใด”
“ข้าไม่รู้”
ไท่สุ้ยขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วถาม “เขารู้คำปริศนาหรือไม่”
“เขารู้ไม่ครบสมบูรณ์ รู้เพียงบางส่วน”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
“เขาถูกข้าทำร้ายจนตายแล้ว”
‘ตายแล้ว?’ ไท่สุ้ยตกตะลึง
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้สถานะของเขา เหตุใดถึงเชื่อถือเขา เหตุใดถึงร่วมมือกับเขา แล้วเหตุใดถึงทำร้ายเขาจนตาย”
การต่อสู้ดิ้นรนปรากฏบนใบหน้าของฮาฟั่นอีกครั้ง ไท่สุ้ยตื่นตะลึง รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะหลุดพ้นจากห้วงมายา เคราะห์ดีที่ฮาฟั่นในตอนนี้เหนื่อยล้าทางจิตใจ เพียงแต่พยายามดิ้นรนครู่หนึ่ง แล้วสีหน้าก็กลายเป็นเฉยเมยอย่างรวดเร็ว
“คนผู้นั้นเป็นฝ่าบาททรงแนะนำให้ข้า ตอนนั้นเขาสวมหน้ากาก อาจมีเพียงฝ่าบาทที่ล่วงรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเขา! ข้ารับพระบัญชาทำงานร่วมกับเขาเท่านั้น แต่ตรัสแล้วว่าหากมีโอกาสครอบครอง ‘ภาพผลักหลัง’ เพียงผู้เดียว ก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งปันกับผู้อื่น ดังนั้นหลังข้าทำสำเร็จแล้วจึงกำจัดเขาทิ้ง”
ไท่สุ้ยยิ้มอย่างพอใจ ไม่สอบถามอีก ค่อยๆ ถอยจากไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ขณะที่เขาจากไป เสียงหยดน้ำในห้องขังก็ค่อยๆ จางหายไป ฮาฟั่นได้สติขึ้นมาทันที สายตาหวาดหวั่นกวาดมองไปทั่วด้าน
ไท่สุ้ยเดินออกจากคุกหลวง ใบหน้าฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่อง
เมื่อเห็นเขาออกมา จ้าวเจินฮ่องเต้น้อยก็รีบลุกพรวดขึ้น ปราดเข้าไปสอบถามอย่างตื่นเต้น “ว่าอย่างไร ว่าอย่างไร เขาพูดหรือยัง”
ไท่สุ้ยประสานมือคำนับ “เคราะห์ดีปฏิบัติหน้าที่ได้ลุล่วง ฝ่าบาท กระหม่อมหลอกถามจนได้คำปริศนาแล้ว”
จ้าวเจินดีใจยิ่งนัก เข้าไปกุมสองมือไท่สุ้ย สอบถามอย่างตื่นเต้น “ท่านทำได้อย่างไร”
ไท่สุ้ยยิ้มกรุ้มกริ่ม เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ศาสตร์วิชาเล็กน้อยในยุทธภพ ศาสตร์มัวเมาจิตใจผนวกกับศาสตร์ลวงตา ลอบลงมือขณะเขากระวนกระวายใจไม่เป็นสุข เขาก็สารภาพมาแต่โดยดี”
จ้าวเจินมองประเมินไท่สุ้ยอย่างสงสัยใคร่รู้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงคึกคัก “ในโลกนี้ถึงกับมีความสามารถวิเศษอัศจรรย์เช่นนี้ ฝึกฝนยากหรือไม่ ท่านสอนเราบ้างสิ”
ไท่สุ้ยยิ้มหน้าชื่น คิดจะตกปากรับคำ ตอนนี้สีหน้าปาเสียนอ๋องกลับแปรผันฉับพลัน ก้าวขึ้นหน้าเอ่ยปราม “ฝ่าบาท หรือทรงลืมที่รัชกาลก่อนทรงสั่งสอนไว้”
จ้าวเจินตกใจ หันไปมองปาเสียนอ๋อง เอ่ยเสียงเบา “ท่านอา...”
สีหน้าปาเสียนอ๋องเข้มงวด มองสองตาเขาโดยตรง เอ่ยเสียงทุ้ม “รัชกาลก่อนทรงปราดเปรื่องปรีชา มีเพียงทรงเลื่อมใสศรัทธาภูตผีศาสตร์อายุวัฒนะถึงได้ทิ้งรอยมลทินไว้ ถึงขั้นสวรรคตเพราะเรื่องนี้ นี่คือการสอนสั่งด้วยชีวิต ฝ่าบาทไหนเลยจะทรงซ้ำรอยเดิม”
จ้าวเจินพยักหน้าเอ่ยขออภัยอย่างรู้สึกผิด “ท่านอา เราผิดไปแล้ว”
ปาเสียนอ๋องจับจ้องสีหน้าเขาอย่างเอาจริงเอาจัง พบว่าเขาสำนึกเสียใจอย่างแท้จริง ถึงได้พยักหน้า เอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “ฝ่าบาททรงดำรงฐานะกษัตริย์ราชัน ทุกวาจาและการกระทำล้วนส่งผลต่อราษฎรทั่วหล้า กระทั่งเพียงหนึ่งความคิดก็ส่งผลกระทบต่อชะตากรรมแผ่นดินชีวิตชาวประชา ไม่อาจวู่วามผลีผลามโดยเด็ดขาด”
ร้ายแรงถึงเพียงนั้น? ใบหน้าจ้าวเจินเผยให้เห็นความฉงนฉงาย ปาเสียนอ๋องเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจแล้วอธิบาย “กษัตริย์ราชันเลื่อมใสทางอักษร การศึกษาหาความรู้ในหมู่ราษฎรย่อมเจริญรุ่งเรือง กษัตริย์ราชันชื่นชอบการต่อสู้รบพุ่ง ลูกเด็กเล็กแดงก็รำทวนควงไม้พลอง แต่ถ้าฝ่าบาททรงเลื่อมใสในศาสตร์ภูตผี เช่นนั้นทั่วหล้าย่อมมีกลุ่มมารร่ายรำเปะปะ ทุกแห่งหนล้วนเป็นเทพเซียนผีสางพิสดารแล้ว”
เป็นเช่นนี้หรือ จ้าวเจินพิจารณาใคร่ครวญ หลังตรึกตรองจนกระจ่างแล้วก็ประสานมือคำนับ “ขอบคุณท่านอาช่วยสั่งสอนอบรม หลานเกือบกระทำผิดมหันต์แล้ว”
ฟังคำสนทนาของทั้งคู่ ไท่สุ้ยก็คิดได้ ลอบปาดเหงื่อ ที่แท้ภาระรับผิดชอบของราชันแห่งหนึ่งแผ่นดินหนักหนาและใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ระเบียบกฎเกณฑ์ก็มากมาย ดีที่เมื่อครู่มิได้รับปากว่าจะสอนศาสตร์ลวงตา มิฉะนั้นคงถูกต่อว่าไปด้วยเป็นแน่
ปาเสียนอ๋องเห็นจ้าวเจินตระหนักแล้วก็พยักหน้าเชื่องช้า สีหน้าพออกพอใจ
เขาอบรมสั่งสอนฮ่องเต้น้อยแล้วเสร็จก็มองไปทางไท่สุ้ย สอบถาม “ว่าอย่างไร เขาสารภาพแล้วหรือ”
ไท่สุ้ยพยักหน้า คิดกล่าวแต่ชะงัก หันไปมองโดยรอบ
ต้งหมิงเข้าใจโดยพลัน ก้าวขึ้นหน้าไปกำชับเสียงเบา “สถานที่นี้คนมาก หูตาซับซ้อน ฝ่าบาท ท่านอ๋อง พวกเราเข้าไปสนทนากันเถอะ”
ปาเสียนอ๋องกระจ่างฉับพลัน รีบพยักหน้าไปทางฮ่องเต้น้อย จ้าวเจินก็ไม่โง่เขลา เห็นสภาพการณ์ก็รีบโบกมือออกคำสั่งไปทางทหารองครักษ์
“พวกเจ้าเฝ้าระวังอยู่ข้างนอก ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าไป”
“น้อมรับพระบัญชา!”
กองทหารรับพระบัญชา แยกย้ายกันออกลาดตระเวน ทิ้งกองกำลังสองกลุ่มเฝ้าระวังที่หน้าประตู เพื่อป้องกันมิให้คนบุกฝ่าเข้าไป
หลายคนเข้าสู่โถงใหญ่ จ้าวเจินนั่งอยู่เหนือโถง ปาเสียนอ๋องนั่งลงด้านข้าง มองไปทางไท่สุ้ย
หลังไท่สุ้ยรายงานเสร็จสิ้นแล้ว ปาเสียนอ๋องก็เผยสีหน้ายินดี
“กล่าวมาเช่นนี้ นอกจากฮาฟั่นแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้คำปริศนาที่สมบูรณ์”
ไท่สุ้ยพยักหน้า “ตามที่ฮาฟั่นสารภาพ สมควรเป็นเช่นนี้”
ปาเสียนอ๋องถอนหายใจอย่างโล่งอก ลุกขึ้นเดินไปหลายก้าว มองต้งหมิงและไท่สุ้ยแล้วกำชับ “พวกท่านลองวิเคราะห์คำปริศนานั้นให้ดี ข้ากับฝ่าบาทจะกลับวังเพื่อไปทูลไทเฮาก่อน”
พูดจบเขาก็หมุนตัวไปมองจ้าวเจิน
จ้าวเจินลุกขึ้นยืน แต่เมื่อเดินมาถึงข้างกายปาเสียนอ๋องกลับชะงักฝีเท้า ลังเลครู่หนึ่ง เงยหน้ามองปาเสียนอ๋องอย่างหวั่นๆ พลางเอ่ยวิงวอน “ท่านอา ยากจะออกจากวังสักครั้ง หลานอยากเที่ยวเล่นนอกวังอีกสักระยะ”
พอได้ฟัง เดิมทีปาเสียนอ๋องคิดปฏิเสธ แต่เมื่อก้มมองเห็นสีหน้าวิงวอนขอร้องของจ้าวเจินก็ลังเลครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าเห็นชอบด้วย “เช่นนั้น... ก็ได้ แต่ห้ามกระโตกกระตากเด็ดขาด เพื่อมิให้แพร่งพรายออกไป ถึงอาไม่ควบคุมเจ้า ก็ย่อมมีขุนนางทัดทานยื่นฎีกาฟ้องร้องเจ้า”
เมื่อได้ยินว่าปาเสียนอ๋องตกลงแล้ว จ้าวเจินก็พยักหน้าอย่างกระฉับกระเฉง เอ่ยต่อเนื่อง “วางใจเถอะท่านอา หลานย่อมเรียบง่ายสามัญเสียยิ่งกว่าสามัญ”
“อือ” ปาเสียนอ๋องพยักหน้า ยื่นแขนไปตบบ่าจ้าวเจินเบาๆ ก่อนก้าวขาจากไป
“น้อมส่งปาเสียนอ๋อง!” ต้งหมิงและไท่สุ้ยรีบประสานมือน้อมส่ง
หลังปาเสียนอ๋องจากไปแล้ว จ้าวเจินก็ลิงโลดขึ้นมาในชั่วบัดดล สองตาเป็นประกายแวววามมองไท่สุ้ย เอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจ “ไท่สุ้ย ท่านไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าให้ทั่ว”
“พ่ะย่ะค่ะ” ไท่สุ้ยประสานมือคำนับรับคำ ทว่าคิดแล้วก็เสนอ “มิสู้กระหม่อมเรียกเหยากวงมาด้วยดีหรือไม่”
“ดีสิ ไป พวกเราไปหน่วยดาวพิฆาตพบนางพร้อมกัน จะว่าไป เราเองก็ไม่เคยไปหน่วยดาวพิฆาตสักครั้ง จะได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย”
“กระหม่อมรับพระบัญชา” ต้งหมิงรีบคำนับรับ
จ้าวเจินฮ่องเต้น้อยมาถึงหน่วยดาวพิฆาตอย่างรวดเร็ว กล่าวว่าตรวจตราแท้จริงแล้วเขาเพียงเตร่ในหน่วยดาวพิฆาตสักพักหนึ่ง ก่อนลากไท่สุ้ยกับเหยากวงไปผลัดเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ออกจากประตูไปพร้อมกัน
ทั้งสามคนเดินอยู่กลางตลาดจอแจ ด้านหลังไม่ไกลนัก องครักษ์ในชุดลำลองติดตามอย่างระมัดระวัง ที่ไม่ห่างออกไปยังมีกองทหารองครักษ์กลุ่มใหญ่เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
เสียงผู้คนจ้อกแจ้กอึกทึก พ่อค้าวาณิชชาวบ้านร้านตลาดพลุกพล่านไม่ขาดสาย ร้านรวงแผงค้าขายสองข้างทางต่างร้องโหวกเหวกเรียกลูกค้าสุดกำลัง กลิ่นหอมจากของว่างหลากหลายชนิดผสมผสานอบอวลในอากาศ
จ้าวเจินมองซ้ายขวาอย่างอยากรู้อยากเห็น พบเจอสิ่งใดล้วนรู้สึกว่าน่าสนใจ ร้องอุทานอย่างตื่นเต้นออกมาเป็นระยะ
ไท่สุ้ยกับเหยากวงขนาบซ้ายขวา อดสบตากันเป็นครั้งคราวมิได้ ต่างรู้สึกว่าตนเติบใหญ่แล้วอย่างแท้จริง
ทั้งสามคนเดินเตร่ไป พบว่าริมทางเบื้องหน้ามีแผงขายถังหูหลูซึ่งห้อมล้อมไปด้วยเด็กน้อย จ้าวเจินชะงักฝีเท้าอย่างสงสัยใคร่รู้
“นั่นทำอันใดกัน”
ไท่สุ้ยยืดคอชะเง้อมอง สีหน้าไม่แยแสใส่ใจ “ไม่มีอันใด ก็แค่ขายถังหูหลู”
“อันใดคือถังหูหลู เป็นของกินหรือ” จ้าวเจินทำหน้าฉงนสงสัย
เหยากวงสบตากับไท่สุ้ย รู้สึกว่าน่าขัน จากนั้นก็พลันรู้สึกว่าฮ่องเต้น้อยช่างน่าสงสาร
“ทรงรอสักครู่ กระหม่อมจะไปซื้อมาไม้หนึ่ง” ไท่สุ้ยทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค เดินฝีเท้าเร็วไปทางแผงขายของ
“ซื้อสามไม้!” จ้าวเจินรีบร้องบอก
ไท่สุ้ยหันมายิ้มๆ พยักหน้าแล้วเดินไปเข้าแถว
ไท่สุ้ยกลับมาอย่างรวดเร็ว ในมือถือถังหูหลูสามไม้ ยื่นส่งให้จ้าวเจิน
จ้าวเจินเลือกไปหนึ่งไม้ ยิ้มบอกทั้งสองคน “ท่านทั้งสองก็กินสิ”
ไท่สุ้ยกับเหยากวงสบตากันแล้วยิ้ม ต่างถือคนละไม้
จ้าวเจินลองกัดกินหนึ่งคำ หรี่ตาดื่มด่ำลิ้มรส มุมปากเลอะน้ำตาล ยิ้มอย่างเบิกบานใจ “โอชะนัก! โอชากว่าของกินในวังตั้งมาก!” จ้าวเจินกินไปพลางถามไท่สุ้ยไปพลาง “ไท่สุ้ย นอกจากถังหูหลู ที่นี่ยังมีสิ่งใดรสชาติดีอีกบ้าง”
“ฝ่าบาท...”
จ้าวเจินรีบชูนิ้วทาบริมฝีปาก “ชู่ๆๆ อยู่ข้างนอกอย่าเรียกเช่นนี้ ผู้อื่นได้ยินก็ยุ่งยากแล้ว ท่านอายุมากกว่าข้าสักหน่อย ข้าเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ ท่านเรียกข้าว่าน้องรอง พวกเราเรียกขานกันเป็นพี่น้อง”
ไท่สุ้ยพยักหน้าอย่างสบายอกสบายใจ “ได้ เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าน้องรอง หากเอ่ยถึงของอร่อย ในเมืองเปี้ยนเหลียงมีมากมายหลายหลาก ต่อให้กินติดต่อกันหลายวันหลายคืนยังกินไม่หมด”
“หา! มากมายถึงเพียงนี้เชียว” จ้าวเจินไล่สอบถามอย่างตื่นตาตื่นใจ “เช่นนั้นท่านรีบเล่าให้ข้าฟัง มีอันใดบ้าง”
ไท่สุ้ยลองคิดแล้วแบมือนับนิ้ว “มีเนี่ยงผีของหลันโจว หัวถังโหยวเกา ถังกัวคุย เพ่าหมอเนื้อแกะของฉินหลิง มีหมั่นโถวสอดไส้ หูหลูโถว ชัวอวี๋เฉียนของแถบจิ้น บะหมี่ของไท่หยวนและหมี่น้ำชา หูแมวของเหอเป่ย เนื้อลาย่าง เจียนปิ่ง เปี๊ยะไส้เนื้อ294...”
ทั้งสามเดินไปพลางพูดคุยไปพลาง ไท่สุ้ยเอ่ยชื่ออาหารขึ้นมาเรื่อยๆ น้ำลายของเขาไหลออกมาก่อนแล้ว
“ไม่ได้การๆ วันนี้พวกเราไม่กินให้หนำใจมิได้!” จ้าวเจินยิ่งกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ ลากไท่สุ้ยกับเหยากวง เห็นของว่างชนิดใดล้วนซื้อมาลองชิมจนพุงกางในเวลาไม่นานนัก
“เฮ้อ กินอิ่มแล้ว” จ้าวเจินตบท้องของตนเอง เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “กระเพาะข้าเล็กนัก เพิ่งกินเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!”
ไท่สุ้ยหัวเราะพรวด กลอกตาไปมา บังเกิดความคิด “กินอิ่มแล้วก็ไม่เป็นอันใด พวกเราไปเล่นอย่างอื่นเถอะ ไป ข้าจะพาท่านไปโรงน้ำชาฟังนิทานเรื่องเล่า”
“ดีสิๆ” สองตาจ้าวเจินเปล่งประกาย เติบใหญ่ถึงเพียงนี้ยังไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ฟังนิทานเรื่องเล่า’
เหยากวงนึกยินดี ความสนใจของนางมีไม่มาก นอกจากฝึกวรยุทธ์และทำคดีแล้ว ที่โปรดปรานที่สุดก็คือฟังนิทานเรื่องเล่า
ทั้งสามคนตัดสินใจเดินไปเบื้องหน้าอย่างสำราญใจ
กลางตำหนักฉุยก่ง กลิ่นไม้จันทน์จากกระถางกำยานหอมตลบอบอวล หลิวไทเฮานั่งอยู่เบื้องสูง นางกำนัลด้านหลังอยู่งานพัด ขันทียืนคอยสองข้าง
ปาเสียนอ๋องนั่งถัดลงมา กำลังเอ่ยสนทนาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้แล้ว”
หลิวเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบพยักหน้าต่อเนื่อง “เช่นนี้ประเสริฐนัก! เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ซ่อนของ ‘ภาพผลักหลัง’ ก็อยู่ในมือของราชสำนักแล้ว เฮ้อ ‘ภาพผลักหลัง’ นี้ช่างเป็นภัยพิบัติอย่างแท้จริง! หากเสาะพาพบแล้วก็ทำลายทิ้งเถิด”
“ไทเฮาตรัสได้ถูกต้องยิ่งนัก”
“จริงสิ แล้วลูกเจินเล่า เหตุใดมิได้กลับมาพร้อมกัน”
ปาเสียนอ๋องตอบตามจริง “ฝ่าบาทตรัสว่าอยากท่องเที่ยวนอกวังสักพัก ประเดี๋ยวก็กลับ ไทเฮาวางพระทัย มีหน่วยดาวพิฆาตและทหารองครักษ์คุ้มกัน ไม่เกิดปัญหาใดแน่”
หลิวเอ๋อร์พอได้ฟังกลับขมวดคิ้วนิ่วหน้า “นี่จะได้อย่างไร ลูกเจินทรงศักดิ์สูงยิ่ง หากเกิดปัญหาขึ้น ไหนเลยมิใช่ทั่วหล้าวุ่นวายโกลาหล”
เมื่อเห็นสีหน้าหลิวเอ๋อร์ไม่ยินดี ปาเสียนอ๋องก็รีบโน้มน้าว “ไทเฮา ถึงอย่างไรฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ทรงเติบใหญ่ในวังตั้งแต่เล็ก ไม่มีโอกาสออกไปข้างนอกโดยตลอด ทรงอึดอัดยิ่งแล้ว ให้เสด็จออกไปประสบพบเจอความยากลำบากของบรรดาราษฎรบ้างก็เป็นการดี เพื่อมิให้เกิดเรื่อง ‘ไยไม่กินเนื้อสับต้มเล่า295’ ขึ้นให้กลายเป็นที่ขบขันของผู้คนทั่วหล้า”
หลิวเอ๋อร์ตรึกตรองแล้วก็พยักหน้าเชื่องช้า “อือ ท่านว่ามาก็มีเหตุผล”
สองคนสนทนากันอีกหลายประโยค ปาเสียนอ๋องก็กล่าวอำลา
กลับมาถึงฝ่ายใน หลิวเอ๋อร์รีบเรียกขันทีน้อยผู้หนึ่งมาสอบถาม “เสี่ยวหลินจื่อมาแล้วหรือยัง”
ขันทีน้อยตอบเสียงเบา “เหนียงเหนียง หลินกงกงกลับมาได้สักพักแล้ว รออยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
“อือ” หลิวเอ๋อร์นั่งตรงหน้าโต๊ะ พลิกอ่านฎีกาไปพลางกำชับโดยไม่เงยศีรษะไปพลาง “ให้เขาเข้ามาเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยรับคำสั่งแล้วออกไป เสี่ยวหลินจื่อเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็ว คุกเข่าถวายบังคม “ถวายบังคมไทเฮา”
หลิวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเขาปราดหนึ่ง พยักหน้ากล่าวเสียงราบเรียบ “ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“เสี่ยวหลินจื่อ มีเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปปฏิบัติ”
เสี่ยวหลินจื่อก้มหน้ารับคำ “ขอทรงกำชับพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวเอ๋อร์วางฎีกาลง มองเสี่ยวหลินจื่อด้วยสีหน้าเฉยเมย
“วันนี้ลูกข้าออกไปท่องเที่ยวภายนอก ข้างกายมีทหารองครักษ์และหน่วยดาวพิฆาตคุ้มกัน เรื่องความปลอดภัยกลับไม่ต้องกังวล แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นโอรสสวรรค์ เป็นฮ่องเต้ของแผ่นดิน ทันทีที่ถลำไปในทางที่ผิด ผลย่อมเลวร้ายจนไม่กล้าคิด จำเป็นต้องมีผู้ติดตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เขาคบหาสหายผิดพลาด ติดอุปนิสัยใจคอเลวร้ายมา เสี่ยวหลินจื่อ ข้าเห็นว่ายามปกติเจ้าปฏิบัติงานอย่างฉลาดคล่องแคล่ว ลูกข้าก็เชื่อใจเจ้า เรื่องนี้มอบให้เจ้าแล้ว”
เสี่ยวหลินจื่อรีบพยักหน้า “ไทเฮาวางพระทัย เสี่ยวหลินจื่อย่อมติดตามข้างพระวรกายฝ่าบาท รับประกันว่ามิให้พวกไม่เป็นโล้เป็นพายใกล้ชิดฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“อือ... เจ้าออกไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กู่ชุยไถ
เสวียนเสวียนจื่อออกหมัดอย่างเชื่องช้าในลานที่พัก ด้านนอกแว่วเสียงไท่สุ้ยดังเข้ามา
“อาจารย์ อาจารย์ ท่านเดาซิว่าข้าพาผู้ใดมา”
เสวียนเสวียนจื่อค่อยๆ เก็บกระบวนท่า หันมองไปก็เห็นไท่สุ้ยกับเหยากวงเดินนำจ้าวเจินฮ่องเต้น้อยเข้ามาในลานที่พัก
เสวียนเสวียนจื่อพยักหน้าให้ไท่สุ้ยและเหยากวง ถึงได้มองเห็นจ้าวเจิน ในดวงตาฉายความสับสนว้าวุ่น
ไท่สุ้ยกลับไม่ทันสังเกตแววตาแปลกชอบกลของอาจารย์ หัวเราะร่าชี้ไปที่จ้าวเจินแล้วแนะนำ “อาจารย์ นี่คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน น้องรองนี่คืออาจารย์ของข้า”
ก่อนหน้าเสวียนเสวียนจื่อเห็นจ้าวเจินแต่ไกล ย่อมรู้ดีถึงศักดิ์ฐานะของเขา ทว่าเขายังแสร้งทำเป็นไม่รู้ แสดงสีหน้าตื่นตระหนก ประสานมือคำนับไปทางจ้าวเจิน “นักพรตต่ำต้อยเสวียนเสวียนจื่อ ถวายบังคมฝ่าบาท”
จ้าวเจินยกมือปรามพลางกล่าว “ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ท่านนักพรต ข้ากับไท่สุ้ยเรียกขานกันเองเป็นพี่น้องเป็นการส่วนตัว ท่านไม่ต้องเกรงอกเกรงใจเพียงนี้”
เสวียนเสวียนจื่อมองไท่สุ้ยอย่างประหลาดใจ แล้วมองประเมินฮ่องเต้อย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนพยักหน้าเนิบนาบ
จ้าวเจินถูกเขาจับจ้องจนรู้สึกไม่สะดวกใจ ก้มหน้าลงสำรวจตนเอง ก่อนเงยหน้ามองเสวียนเสวียนจื่อ “ท่านนักพรต?”
เสวียนเสวียนจื่อตั้งสติได้ก็มองไท่สุ้ยแล้วมองมาทางจ้าวเจินก่อนกล่าวชัดเจน “เมื่อครู่นักพรตต่ำต้อยฟังฝ่าบาทรับสั่งว่าเรียกขานว่าพี่น้องกับไท่สุ้ยอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเจินพยักหน้า ยิ้มระรื่นกล่าว “ถูกต้อง ข้ากับพี่ใหญ่ไท่สุ้ยถูกคอกันมาก ก่อนหน้าเขายังเคยช่วยชีวิตข้า”
สีหน้าเสวียนเสวียนจื่อสลับซับซ้อน “นี่... เหมาะสมหรือ หากไทเฮาทรงทราบ เกรงว่าจะทรงตำหนิถือโทษไท่สุ้ยกระมัง”
“ไม่หรอกๆ ท่านแม่ก็ชื่นชอบพี่ใหญ่ไท่สุ้ยมาก ต่อให้รู้ก็ไม่โกรธ” จ้าวเจินโบกมือ ยิ้มอย่างไม่คิดเช่นนั้น
เสวียนเสวียนจื่อเลิกคิ้ว รูม่านตาหดหรี่ลง มิทราบด้วยเหตุใดในใจพลันหวิวโหวง ออกจะหงุดหงิดในใจ
‘ริษยา? นี่ข้าริษยาหรือ’ เสวียนเสวียนจื่อใจลอยไปชั่วครู่ เคราะห์ดีที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตว่าใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
จ้าวเจินโอบไหล่ไท่สุ้ย ยิ้มร่าเอ่ย “ข้าไม่มีคนสนิทดั่งพี่น้อง ให้นึกอิจฉาครอบครัวที่มีพี่น้องมากมาย บัดนี้ข้ากับพี่ใหญ่ไท่สุ้ยแรกพบราวกับญาติสนิท ประดุจพี่น้องแท้ๆ ก็ไม่ปาน!”
เสวียนเสวียนจื่อได้สติ มองทั้งสองคนพลันยิ้มเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงไม่มีพี่น้อง ถึงได้คิดถึงพี่น้อง หากทรงมีพี่น้องจริง เกรงว่าอาจจะไม่ดีใจก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้” จ้าวเจินถามอย่างไม่เข้าใจ แต่แล้วก็กระจ่างฉับพลัน ยิ้มเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านนักพรตหมายถึงบัลลังก์ใต้บั้นท้ายข้าใช่หรือไม่”
เสวียนเสวียนจื่อยิ้มแต่ไม่ตอบ
จ้าวเจินไม่ถือโทษโกรธเคือง เพียงแต่มีท่าทางเอาจริงเอาจังขึ้น “ข้ารู้ดี ท่านนักพรตอยากกล่าวว่าเพื่อบัลลังก์ ฮ่องเต้สามารถไม่คำนึงถึงทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น ในใจข้า ความสัมพันธ์ทางสายเลือดยิ่งใหญ่กว่าความยั่วเย้าของอำนาจราชศักดิ์ ความร่ำรวย และฐานะสูงส่ง”
เสวียนเสวียนจื่อสะท้านวูบในใจ รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป มองจ้าวเจินที่เปี่ยมด้วยความจริงใจอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่งก่อนพยักหน้า กล่าวช้าๆ “หวังว่าฝ่าบาทจะทรงจดจำวาจาในวันนี้ ปณิธานดั้งเดิมไม่แปรเปลี่ยน!”
อีกด้านหนึ่ง ไท่สุ้ยกับเหยากวงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างไม่ทราบว่าเหตุใดทั้งสองคนถึงถกกันในหัวข้อนี้ ไท่สุ้ยมองอาจารย์ซึ่งมีสีหน้าท่าทางเข้มงวดเคร่งขรึม ในใจรู้สึกประหลาดชอบกล
จ้าวเจินเที่ยวเล่นในกู่ชุยไถสักพัก เห็นว่าสีฟ้าค่อยๆ มืดลงจึงกลับวังอย่างเสียมิได้ในที่สุด
กลับถึงภายในพระราชวัง หลังชำระล้างร่างกายแล้ว จ้าวเจินมิได้พักผ่อนทันที แต่มายังตำหนักฉุยก่งเพื่อพลิกอ่านฎีกา
แม้อายุยังน้อย แต่ขยันขันแข็งอย่างยิ่ง บัดนี้เรื่องใหญ่หลายอย่างเขาไม่อาจตัดสิน ยังคงต้องให้ไทเฮาและปาเสียนอ๋องตัดสินใจเป็นลำดับสุดท้าย ถึงแม้เป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงเอาจริงเอาจังในการจัดการราชภารกิจเป็นพิเศษ ฎีกาที่ส่งขึ้นมาในแต่ละวันล้วนอ่านอย่างจริงจังหนึ่งเที่ยว เขียนความข้อเสนอแนะการจัดการไว้ด้านข้างฎีกา แล้วถึงได้พักผ่อนอย่างวางใจ
ท่าทีและความเคลื่อนไหวเช่นนี้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นไทเฮา ปาเสียนอ๋อง หรือขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักต่างพออกพอใจยิ่งนัก
ฮ่องเต้พระองค์หนึ่ง... ขอเพียงทรงขยันขันแข็งประกอบราชกิจรักและเมตตาปวงประชา ในสายตาของพวกเขาก็เป็นฮ่องเต้ที่ได้มาตรฐานแล้ว
ส่วนด้านอื่นๆ อย่างความสามารถ ความปราดเปรื่อง หรือประสบการณ์ ล้วนบ่มเพาะปลูกฝังอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้
หากฮ่องเต้ทรงคร้านต่อราชกิจ นั่นเป็นพิบัติคราวเคราะห์ของแผ่นดินแล้ว
จ้าวเจินพลิกอ่านฎีกาได้ไม่นาน ขันทีชั้นผู้น้อยก็วิ่งเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท อี่ซินอุปทูตแห่งแคว้นเหลียวขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“อี่ซิน?” จ้าวเจินวางฎีกาลง เงยหน้าขึ้นครุ่นคิดก่อนพยักหน้า “ให้เข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีถอยออกไป มาถึงหน้าประตูก็กู่ร้องเสียงสูง “เบิกตัวอี่ซินอุปทูตแดนเหลียวเข้าเฝ้า”
อี่ซินสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ถวายบังคมไปทางจ้าวเจิน “เยียลวี่อี่ซินแห่งดินแดนเหลียว ถวายบังคมฝ่าบาท”
จ้าวเจินมองประเมินเขาอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง เห็นคนผู้นี้รูปลักษณ์สง่า ท่วงท่าองอาจ แม้รูปร่างสูงใหญ่ แต่สวมชุดคลุมยาวอย่างบัณฑิตของต้าซ่ง ดูแล้วกลับคล้ายปัญญาชนสุภาพเรียบร้อย หากเอ่ยว่าบนร่างเขามีจุดด่างพร้อยอันใด ก็คงกล่าวได้เพียงว่าสองตาคู่นั้นของเขา ดวงตาของอี่ซินกลมโต อีกทั้งสุกกระจ่างยิ่งนัก แม้ออกสีน้ำตาลเข้ม แต่ยังคงงดงามแปลกตา เพียงแต่ดวงตางามคู่นั้นดูหลุกหลิกล่อกแล่ก ทำให้รู้สึกว่าเขาคิดวางแผนร้ายอยู่ตลอดเวลา
จ้าวเจินอายุอานามไม่มาก ประสบการณ์ด้านรู้จักพบปะผู้คนไม่มากมายอันใด แต่เมื่อเห็นดวงตาของอี่ซิน เขาก็รู้สึกไม่ชอบโดยปริยาย
มีความคิดอคติก่อนเช่นนี้ เขาเองก็ไม่อ้อมค้อม สอบถามโดยตรง “ลุกขึ้นเถอะ เยียลวี่อุปทูต ท่านเข้ามาพบเราด้วยเรื่องใด”
ดวงตาของอี่ซินกลอกไปมา สีหน้าเคารพนบนอบแต่เดิมกลายเป็นเคืองขุ่นขึ้นมา “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมรับพระบัญชาเป็นทูตมาต้าซ่ง มาด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ แต่บัดนี้ราชครูของแดนเราหายสาบสูญไปห้าวัน กระหม่อมสงสัยว่าถูกต้าซ่งจับกุมตัวไว้ ขอฝ่าบาททรงปล่อยตัวราชครูเพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดมากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮาฟั่น?
จ้าวเจินยิ้มเย็นชาในใจ กลับแสร้งตีสีหน้าไร้เดียงสา มองอี่ซินอย่างฉงนสงสัยแล้วถาม “ฟังว่าราชครูของท่านออกไปท่องเที่ยวตามลำพัง หรือว่าบัดนี้ยังไม่กลับมา”
“เอ้อ...” อี่ซินอึ้งงัน ไร้คำพูดจะโต้ตอบ
ครั้นเห็นเขาไม่อาจกล่าว จ้าวเจินก็เอ่ยเสียงเคร่งเครียด “ท่านสงสัยว่าจะถูกพวกเราจับกุม มีหลักฐานมีพยานหรือไม่”
“เอ่อ...” ขมับของอี่ซินเริ่มผุดเหงื่อเย็น
จ้าวเจินแค่นเสียงเยียบเย็น “ไร้ซึ่งพยานหลักฐานก็กล้ามาพบเราเพื่อขอตัวคน เห็นเรายังเยาว์รังแกได้อย่างนั้นหรือ”
อี่ซินตกใจ รีบโบกมือเอ่ย “กระหม่อมไม่บังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่บังอาจ?” จ้าวเจินแค่นเสียงเย้ยหยัน ถามอย่างตำหนิ “เราถามท่าน ก่อนราชครูของท่านออกไป ได้แจ้งเจ้าหน้าที่เขตพำนักตามกฎหรือไม่ ได้รับอนุญาตหรือไม่”
“คือว่า... ไม่มี”
“ฮึ! ทั้งมิได้แจ้งล่วงหน้า ทั้งมิได้รับอนุญาต ก็ออกจากเขตพำนักไปโดยพลการ ตอนนี้คนหายไปแล้ว ท่านถึงกับกล้ามาตั้งข้อซักถามเรา ช่างบังอาจนัก!”
จ้าวเจินตบโต๊ะพลางลุกพรวดขึ้น มองอี่ซินอย่างโมโห
ได้ยินเสียงด้านใน สององครักษ์ที่อยู่หน้าประตูเร่งรุดเข้ามา ขวางกั้นตรงหน้าจ้าวเจิน จ่ออาวุธไปที่อี่ซิน ใบหน้าล้วนซ่านกระแสฆ่าฟัน
อี่ซินตื่นตระหนกขวัญผวาเต็มหน้า เห็นสถานการณ์ก็รีบคุกเข่าลงขออภัย “ฝ่าบาททรงคลายพิโรธ เป็นกระหม่อมพลั้งปากด้วยความร้อนใจ ไร้เจตนาอื่น ไร้เจตนาอื่นอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮึ!” จ้าวเจินโบกมือเป็นนัยให้ทหารองครักษ์ถอยไป ทหารเก็บอาวุธถอยไปอยู่ด้านข้าง
เขามองอี่ซินซึ่งคุกเข่าตกใจเหงื่อแตกพลั่กเต็มศีรษะ เกือบหลุดหัวเราะออกมา สะกดกลั้นรอยยิ้มขบขัน แสร้งกระแอมออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนวางมาดเคร่งเครียดจริงจัง “เอาละ เรื่องนี้เรารู้แล้ว จะส่งคนไปช่วยเสาะหา ท่านกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
อี่ซินคาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้น้อยที่ไม่อยู่ในสายตาเขาและบุคคลทรงอำนาจราชศักดิ์แห่งชี่ตัน แต่กลับแข็งกร้าวดุดันถึงเพียงนี้ เขาก้าวฝีเท้าเร็วออกจากประตูพระราชวังพลางปาดเช็ดเหงื่อบนหน้าผากไปด้วย ลอบคิดในใจ ‘มิได้การ ต้องรีบส่งข่าวนี้ให้ฝ่าบาท ฮ่องเต้พระองค์น้อยของซ่งยากรับมือเสียยิ่งกว่าพระบิดาที่สวรรคตไปเสียอีก’
จ้าวเจินไม่ล่วงรู้ว่าอี่ซินคิดอย่างไร ทว่าเห็นสภาพจากไปอย่างน่าอนาถของเขา ก็อดดีใจจนหน้าชื่นตาบานมิได้
เขายิ้มกับตัวเองอยู่สักครู่ รู้สึกคล้ายขาดแคลนบางอย่าง คิดแล้วก็ตบแปะหน้าผากตน เอ่ยพึมพำ “ไม่ได้การ เรื่องสนุกสำราญเพียงนี้ สุขสำราญผู้เดียวมิสู้หมู่มวลสุขสำราญ ข้าต้องไปเล่าให้พี่ใหญ่ไท่สุ้ยฟัง!”
“เงาขาดหนึ่งนิ้ว... พิกัดขั้วเหนือ... เฮ้อ หมายถึงที่ใดกันแน่”
ภายในโถงใหญ่หน่วยดาวพิฆาต ต้งหมิงนั่งขบคิดอย่างหนักหน่วงอยู่บนเก้าอี้ ขณะที่อิ่นกวงขมวดคิ้วมุ่นพลางเดินกลับไปกลับมา
ต้งหมิงส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจยาว “ข้าลองใช้ทั้งปากว้าทั้งหกสิบสี่กว้าเรียงลำดับ ก็ไขปริศนาไม่ได้เช่นกัน คำปริศนาแตกกระจัดกระจาย ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์จะเอ่ย”
“เฮ้อ!” อิ่นกวงคิดไม่ตกก็ยอมแพ้ ยกจอกชาบนโต๊ะขึ้นจิบหนึ่งอึกก่อนเอ่ย “ดีที่ฮาฟั่นถูกขังอยู่ในคุกหลวง นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้คำปริศนานี้ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก”
“ได้แต่ค่อยเป็นค่อยไปแล้ว” ต้งหมิงระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนยกจอกชาขึ้นเช่นเดียวกัน
แถบชานเมือง ลมโชย แสงตะวันกระจ่างตา
เมื่อมีประสบการณ์ท่องเที่ยวจากคราวก่อน จ้าวเจินก็อยู่ไม่ติดวัง ทันทีที่มีเวลาว่างเพียงเล็กน้อย ก็เรียกสมัครพรรคพวกออกไปเที่ยวเล่น
วันนี้เขาเรียกไท่สุ้ยกับเหยากวง ทั้งตามตัวเปาเจิ่งและจั่นเจามาด้วย ออกเที่ยวชมป่าเขาพร้อมกัน หลังปรึกษาหารือกันแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะไปปล่อยเหยี่ยวกระดาษ296 ที่เจดีย์เหล็กแห่งไคเฟิง
เปาเจิ่งมีอายุมากที่สุดในบรรดาทุกคน เขาอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว ขณะที่คนอื่นๆ มีอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี เทียบกับจ้าวเจินซึ่งมีอายุเพียงสิบสามปี ทุกคนต่างไม่ใคร่สนใจว่าวกระดาษนัก
ขณะมองจ้าวเจินเล่นอย่างสำราญเบิกบานใจจากที่ไม่ไกล ในดวงตาของเหยากวงและไท่สุ้ยต่างก็ฉายแววเวทนาสงสาร
“เฮ้อ คิดไม่ถึงว่าเป็นฮ่องเต้จะน่าสงสารเช่นนี้ กระทั่งว่าวกระดาษก็ไม่เคยเล่น” เหยากวงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
ไท่สุ้ยพยักหน้าเอ่ย “นั่นสิ ตอนเด็กๆ ข้ายังคิดว่าฮ่องเต้เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกหล้า!”
เปาเจิ่งเดินเข้ามาเอ่ยเสียงราบเรียบ “ตลอดชีวิตของฮ่องเต้ต้องทรงแบกรับทุกข์สุขของปวงประชา แม้ได้รับการยกย่องเลื่อมใสจากทั่วหล้า แต่ก็ต้องรับผิดชอบราษฎรทั้งแผ่นดิน หากทรงเอาแต่เที่ยวเล่นหาความสำราญทุกวี่ทุกวัน ตัวฮ่องเต้กลับเบิกบานสำราญพระทัย แต่ราษฎรจะทำอย่างไร”
เหยากวงทำปากเบ้ ค้อนเปาเจิ่งวงหนึ่ง แค่นเสียงเอ่ย “คนหน้าดำ ท่านอย่าทำให้เสียบรรยากาศแบบนี้ได้หรือไม่ เอ่ยปากก็ราษฎรปวงประชา ฟังความนัยของท่าน เล่นว่าวกระดาษก็กลายเป็นทรราชแล้ว ถึงขนาดนั้นเชียว”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรือ” เปาเจิ่งมีสีหน้าจริงจังขณะเอ่ยเสียงทุ้ม “วันนี้ทรงเล่นว่าวกระดาษยังไม่มีอันใด เช่นนั้นหากวันพรุ่งนึกอยากเดาะลูกหนัง มะรืนนี้อยากตีคลี มะเรื่องนึกอยากเล่นมวยปล้ำเล่า หัวส่ายหางกระดิก บรรดาขุนนางล่วงรู้ว่าฮ่องเต้โปรดการละเล่นแสวงหาความสำราญ เพื่อให้ได้เลื่อนขั้นร่ำรวย ย่อมอิงตามพระราชกระแสนิยม ถวายของเล่นของสำราญต่างๆ นานา เนิ่นนานเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เป็นราชันผู้ทรงคุณธรรมก็กลายเป็นทรราชแล้ว”
เหยากวงตะลึงงัน ทำปากยื่นยามกล่าว “เอาเถอะ ถือว่าท่านกล่าวมามีเหตุผล”
ไท่สุ้ยเห็นเหยากวงถูกบีบจนยอมจำนน ก็ลอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง นางจึงค้อนควักใส่ไท่สุ้ย
บัดนี้จ้าวเจินพลันร้องเสียงดัง “แย่แล้ว ว่าวค้างเสียแล้ว!”
ไท่สุ้ยและคนอื่นๆ รีบเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าวกระดาษของจ้าวเจินติดค้างอยู่ตรงมุมหนึ่งบนเจดีย์
จ้าวเจินเดินเข้ามามองไท่สุ้ยกับเหยากวงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ทำอย่างไรดี”
ไท่สุ้ยเงยหน้ามองว่าว ให้จนใจยิ่งนัก “สูงขนาดนี้ข้าปีนขึ้นไปไม่ไหว พวกเราทำตัวใหม่แล้วกัน”
ตอนนี้เองจั่นเจาเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แตะพื้นทะยานร่างขึ้นราวกับแมวภูเขาตัวเบาหวิวกระโดดขึ้นไปที่มุมหนึ่งของเจดีย์ เห็นเขาเหาะเหินเดินกำแพงดุจเดินบนพื้นดิน บางครั้งก็ตีลังกากลางอากาศ เพียงไม่กี่อึดใจก็เก็บว่าวลงมาได้ ก่อนถลาตัวร่อนลงมา
จ้าวเจินอ้าปากค้างขณะมองจั่นเจา รับว่าวกลับคืนมา พูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ นานสองนานเขาถึงตั้งสติได้ อุทานอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่าน...ท่านร้ายกาจยิ่งนัก!”
หลังจากหลี่ว์รั่วซวีสิ้นชีพแล้ว จั่นเจาก็เผยรอยยิ้มน้อยครั้ง ต่อให้เผชิญหน้ากับคำชมของฮ่องเต้ เขาก็ทำเพียงประสานมือคำนับ “ฝ่าบาทตรัสชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรามิได้กล่าวชมเกินเลย ความเคลื่อนไหวของท่านนั้นแข็งแรงปราดเปรียว คล้ายกับ...” จ้าวเจินเอียงคอครุ่นคิด พลันปรบมือร้องอย่างดีใจ “คล้ายแมวหลวงของเราอย่างไรอย่างนั้น”
ทุกคนต่างอึ้งงัน จั่นเจาได้ฟังแล้วก็นิ่งอึ้ง จากนั้นจึงคุกเข่าลงข้างหนึ่งประสานมือคำนับ “ขอบพระทัยที่พระราชทานฉายาพ่ะย่ะค่ะ”
แมวหลวง!
ไท่สุ้ยและคนอื่นกลับไม่คาดคิด แต่ทหารองครักษ์และทหารคุ้มกันที่อยู่ไม่ไกลเมื่อได้ยิน ต่างก็อิจฉาและชื่นชมไม่หยุด
นี่คือฉายาที่ฮ่องเต้พระราชทานให้! ช่างเป็นชื่อเสียงอันใหญ่โตหากแพร่สะพัดออกไป
ผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่าคำหยอกเย้าของจ้าวเจินเพียงประโยคเดียว ฉายา ‘แมวหลวง’ ถึงกับแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงไม่กี่วันก็โด่งดังไปทั่วหล้า กระทั่งหลายปีหลังจากนั้น เพราะฉายานี้ยังก่อกวนเมืองหลวงจนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ขณะที่ไท่สุ้ยและคนอื่นๆ เที่ยวเล่นหาความสำราญเป็นเพื่อนจ้าวเจิน อีกฟากหนึ่งต้งหมิงเพิ่งก้าวออกจากหน่วยดาวพิฆาต ก็ถูกเสวียนเสวียนจื่อและตี้หลิงจื่อขวางไว้
ต้งหมิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เดินขึ้นหน้าไปประสานมือคำนับ “นักพรตทั้งสองท่าน รอไท่สุ้ยอยู่หรือ”
เสวียนเสวียนจื่อและตี้หลิงจื่อคำนับตอบ ตี้หลิงจื่อส่ายหน้าตอบ “นักพรตต่ำต้อยรอใต้เท้าต้งหมิง”
“รอข้า?” ต้งหมิงทำหน้างุนงง “มิทราบว่าท่านอยากพบข้าด้วยเรื่องใด”
สีหน้าตี้หลิงจื่อเคารพเลื่อมใส ค้อมศีรษะกล่าว “นักพรตต่ำต้อยอยากสอบถาม มิทราบว่าหน่วยดาวพิฆาตตรวจสอบพบที่อยู่ของ ‘ภาพผลักหลัง’ แล้วหรือไม่”
ต้งหมิงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ภาพผลักหลัง’ ก็มีท่าทีตื่นตัวระแวดระวังทันที เขากวาดตามองรอบด้าน พบว่าบริเวณโดยรอบไม่มีผู้ใด แต่ยังคงยื่นแขนชี้ไปทางมุมหนึ่ง “สองท่าน เชิญทางนี้”
ทั้งสองต่างไม่พูดพล่าม ติดตามต้งหมิงไปยังด้านข้าง เมื่อถึงมุมหนึ่งต้งหมิงก็เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ไม่ขอปิดบัง นักพรตทั้งสอง แม้ได้คำปริศนานั้นมาแล้ว แต่ก็ยังเสาะ ‘ภาพผลักหลัง’ ไม่พบ”
“แล้วฮาฟั่นกับคนสวมหน้ากากนั้นเล่า” ดวงตาของตี้หลิงจื่อหรี่ลง จากนั้นก็เอ่ยถามกระชั้น
ต้งหมิงยิ้มเล็กน้อย “ฮาฟั่นถูกพวกเราจับกุมไว้แล้ว ตอนนี้ถูกขังอยู่ในคุกหลวง เพียงแต่ผู้ที่ใช้สายฟ้าคนนั้นถูกฮาฟั่นสังหารทิ้งเสียแล้ว”
“ตายแล้ว?” สีหน้าตี้หลิงจื่อไม่แปรผัน เงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “อาจารย์ข้าเสียชีวิตด้วยน้ำมือของฮาฟั่น นักพรตต่ำต้อยมาครั้งนี้เพื่อแก้แค้นให้อาจารย์เท่านั้น หวังว่าท่านจะมอบตัวฮาฟั่นให้ข้า ให้ข้าได้สังหารศัตรูคู่แค้นด้วยคมดาบ”
พอได้ฟังต้งหมิงก็รีบส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“เรื่องนี้มิได้เด็ดขาด แม้ฮาฟั่นผู้นั้นน่าเคียดแค้นชิงชัง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นราชครูของแคว้นเหลียว สังหารเขาแม้สาแก่ใจ แต่ผลหนักหนาสาหัสเกินไป อาจถึงขั้นก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองดินแดน ถึงตอนนั้นทั่วหล้าวุ่นวายโกลาหล ราษฎรพลัดที่นาคาที่อยู่ ร่อนเร่พเนจร ท่านนักพรตจะสงบใจได้อย่างไร”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ ต้งหมิงก็แบมือพร้อมกับยิ้มขมขื่น “ยิ่งไปกว่านั้น ถึงข้าตกปากรับคำมอบเขาให้ท่าน ราชสำนักก็ไม่ตกลง ฝ่าบาทกับไทเฮาก็ไม่ตกลง”
ตี้หลิงจื่อมีสีหน้าผิดหวัง ยังคิดเอ่ยคำ เสวียนเสวียนจื่อจึงเอ่ยตัดบทขึ้น
“ศิษย์พี่ ในเมื่อฮาฟั่นถูกจับกุมแล้ว บุคคลลึกลับนั่นก็ตายไปแล้ว ตัวการทั้งสองต่างได้รับผลกรรม เรื่องในภายภาคหน้ามิสู้มอบให้ทางการจัดการเถอะ ท่านกับข้าถึงอย่างไรก็ละทางโลก ไยต้องดึงดันด้วยเล่า ฟังคำศิษย์น้องทัดทานสักครั้ง พวกเรากลับขึ้นเขาเถอะ”
ตี้หลิงจื่อส่ายหน้าด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวและดึงดัน “ศิษย์น้องไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้า ความแค้นครั้งใหญ่ยังมิได้ชำระในวันใด ข้าไหนเลยสงบใจบำเพ็ญตบะได้ ต่อให้กลับขึ้นเขา ก็ไม่พ้นดำเนินชีวิตอย่างกระวนกระวายดั่งถูกไฟลน อีกประการ อาจารย์อาสัญญากับราชสำนักว่า เสาะหา ‘ภาพผลักหลัง’ พบแล้วให้ทำลายทิ้ง เรื่องนี้ถึงบัดนี้ยังไม่ประสบผล หากกลับขึ้นเขาตอนนี้ อาจารย์สอบถาม เจ้ากับข้าจะตอบอย่างไร”
เสวียนเสวียนจื่อส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ไม่กล่าวโน้มน้าวอีก
ต้งหมิงฟังอยู่ด้านข้างก็ถอนหายใจอย่างปลงไปด้วย “เฮ้อ ท่านนักพรต จิตใจของท่านข้านั้นพอเข้าใจได้ แต่สถานะของฮาฟั่นเป็นเรื่องอ่อนไหว ไม่อาจผลีผลาม ส่วน ‘ภาพผลักหลัง’ ท่านวางใจได้เต็มที่ ขอเพียงเสาะหาพบ ข้าจะทำลายมันทิ้งทันที”
พอได้ฟัง ตี้หลิงจื่อก็มองต้งหมิงอย่างฉงนสงสัยทันที “คำปริศนานั้นยากถึงเพียงนั้นจริงหรือ เวลาเนิ่นนานเพียงนี้ยังไม่อาจไขปริศนาได้”
ต้งหมิ้งส่ายหน้ายิ้มฝาดเฝื่อน ถอนใจเฮือกแล้วกล่าว “ท่านนักพรตมีที่ไม่ทราบ คำปริศนานั้นตัวอักษรไม่มาก แยกอ่านแต่ละตัวอักษรล้วนเข้าใจความหมาย แต่เมื่อเรียงต่อกันกลับอ่านไม่เข้าใจ เรียกได้ว่าไม่มีหลักเกณฑ์ให้เอ่ย พวกเราทดลองหลายวิธีแล้วยังไม่อาจไขปริศนาได้ ได้แต่ค่อยเป็นค่อยไปแล้ว”
ตี้หลิงจื่อพยักหน้าอย่างเชื่องช้าแล้วนิ่งเงียบไป
แต่ไม่นานนัก เขาก็เหมือนคิดบางอย่างได้ สองตาพลันสว่างวาบ “ใต้เท้าต้งหมิงสมควรล่วงรู้ว่า ‘ภาพผลักหลัง’ ถือกำเนิดจากปรมาจารย์สองท่านของสำนักเรา ในคำปริศนาอาจมีศัพท์ทางเต๋าผสมปนเป หากเป็นเช่นนี้จริง พวกท่านย่อมไม่เข้าใจ ไยมิให้พวกเราลองดู อาจค้นพบบางอย่างก็เป็นได้!”
“หือ? นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง” ต้งหมิงยิ้มอย่างยินดี แต่ก็นึกลังเลขึ้นมา สีหน้าออกจะกระอักกระอ่วน “คือว่า... เรื่องราวเกี่ยวพันใหญ่หลวง ข้าไม่กล้าตัดสินใจ ขอให้ข้าเข้าวังเพื่อปรึกษาฝ่าบาทกับไทเฮาก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
ตี้หลิงจื่อและเสวียนเสวียนจื่อต่างพยักหน้าอย่างเข้าใจ
สีสันยามราตรีราวกับแพรพรรณ เมฆดำทะมึนปิดคลุมฟ้า ระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดินล้วนมืดมิด ยื่นแขนออกไปมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า
ภายในห้องจุดเทียน ใบหน้าของอี่ซินฉายความกังวลร้อนใจ เดินกลับไปกลับมาภายในห้อง
“ราชครูหายตัวไปหกวันแล้ว เวลาผ่านไปเนิ่นนานเช่นนี้ อยู่ไม่เห็นตัว ตายไม่เห็นศพ! แรกเริ่มเดิมทีเดินทางมาต้าซ่งก็นัดหมายฝ่าบาทไว้แล้ว ทุกสิบวันจะส่งข่าวหนึ่งครั้ง แต่อีกสามวันจะถึงวันนัดหมายแล้ว หากราชครูยังไร้ข่าวคราว... จะทำอย่างไรดี”
แต่ไรมาอีซินมีปณิธานยิ่งใหญ่ในใจ เดินทางมาต้าซ่งคราวนี้ก็เพื่อสร้างคุณงามความชอบได้เลื่อนขั้น สำหรับฮาฟั่น ในใจเขาดูหมิ่นคิดแคลน ในสายตาเขา ฮาฟั่นเป็นนักรบผู้หนึ่ง เป็นดาบที่ถูกคนบงการ อย่างมากก็เพียงแค่ดาบคมกริบที่นำมาสังหารคนได้ก็เท่านั้น
แม้ในใจดูถูกฮาฟั่นยิ่งนัก แต่ไม่อาจต้านทานที่ฝ่าบาททรงเห็นดีเห็นงามในตัวฮาฟั่น
แต่งตั้งคณะทูตเดินทางมาครั้งนี้ ตนเป็นรอง จากจุดนี้ก็สามารถเห็นน้ำหนักและตำแหน่งของทั้งสองคนในพระทัยของฝ่าบาท หากฮาฟั่นเกิดเรื่องขึ้นจริง ตนจะมีผลดีได้อย่างไร
“เฮ้อ!” อี่ซินถอนหายใจเฮือก ชะงักฝีเท้ากึก ในใจลอบชิงชัง
‘ไหนว่าเป็นราชครูผู้ยิ่งยง ศักดิ์ฐานะสูงส่ง เรื่องบางเรื่องถึงกับต้องออกโรงเองเชียวหรือ บัดนี้ประเสริฐนัก เป็นตายร้ายดีไม่อาจรู้ ท่านตายก็ว่าไปอย่าง อย่าทำให้ข้าลำบากไปด้วยสิ!’
ขณะที่อี่ซินกำลังก่นด่าในใจ ก็มีเสียงเคาะประตูดังลอดเข้ามา
“ใต้เท้า ถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว” สาวใช้ร้องเรียกอยู่ด้านนอก
“ไสหัวไป!” อี่ซินตวาดอย่างโมโห ลอบด่าในใจ ‘กิน! กินกับผี! หากไร้ข่าวคราวของฮาฟั่น ทุกคนอย่าได้หวังจะได้กินข้าวอีกเลย!’
สาวใช้ด้านนอกประตูไม่กล้ากล่าวให้มากความ ได้แต่เร่งฝีเท้าก้าวเร็วๆ จากไป
“เฮ้อ!” อี่ซินถอนใจยาวบ้างสั้นบ้าง
ผ่านไปสักระยะนอกประตูก็แว่วเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก
อี่ซินเดือดดาลนัก เดินเร็วไปที่ประตู ด่าเสียงดังขณะเปิดประตู “บอกให้ไสหัวไปไม่ได้ยิน...” แต่ไม่ทันให้เขากล่าวจบ เบื้องหน้าสายตาก็พลันปรากฏนิ้วมือสกัดเข้าที่ทรวงอกโดยตรง
“เอะ!” อี่ซินร้องเสียงหนึ่ง พลันรู้สึกว่าร่างอ่อนระทวย ก่อนที่ทั้งร่างจะหงายตึงไปด้านหลัง
ไม่รอให้เขาล้มกอง บุคคลลึกลับที่สวมหน้ากากและสวมชุดดำทั้งตัวก็เดินเร็วเข้าไป เพียงแฉลบร่างก็มาอยู่ด้านหลังอี่ซิน ประคองเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนวางเขาลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็รีบกลับมาที่ประตู มองออกไปด้านนอกอย่างระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดแตกตื่นตกใจ จึงคลายใจปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา
อี่ซินหวาดหวั่นขวัญผวาอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ถูกสกัดจุด ทั้งไม่อาจขยับเขยื้อนและไม่อาจเปล่งเสียง ได้แต่ปล่อยให้คนปิดหน้าผู้นั้นกระทำตามอำเภอใจ
คนผู้นั้นเดินมาหยุดตรงหน้าอี่ซิน มองเขาอย่างจริงจังครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงแหบแห้งแผ่วเบา “ข้าถาม เจ้าตอบ เชื่อฟัง ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า เข้าใจให้กะพริบตา”
อี่ซินรีบกะพริบตา
คนสวมหน้ากากพยักหน้ากล่าว “ดีมาก”
เขาเดินมาด้านข้าง นั่งลงตรงข้ามกับอี่ซินแล้วถาม “เจ้ารู้จักข้า?”
อี่ซินกะพริบตา
คนสวมหน้ากากพยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นก็จัดการง่ายหน่อย” พูดจบนิ้วมือของคนสวมหน้ากากก็แตะต่อเนื่องหลายครั้งบนร่างอี่ซินเพื่อคลายจุดให้เขา
หลังคลายจุดแล้ว อี่ซินก็ระบายลมหายใจยาว คิดลุกยืนขึ้น แต่ถูกคนสวมหน้ากากยกมือกดไว้
“เวลาไม่มาก ข้าพูดสั้นๆ ข้ารู้ว่าเขาถูกคุมขังไว้ที่ใด คืนนี้ข้าไปตรวจสอบรอบหนึ่งก่อน พรุ่งนี้จะไปช่วยเขาออกมา เจ้านำอาวุธที่ราชครูสร้างมาให้ข้า ข้าต้องใช้อาวุธเบิกทาง”
อี่ซินตื่นเต้นระคนยินดี คิดจะเอ่ยปากถามก็ถูกคนสวมหน้ากากตัดบท
“ข้าบอกแล้ว มีเวลาไม่มาก มีวาจาใดรอช่วยเขาออกมาเจ้าค่อยถามเอง ตอนนี้มอบอาวุธเพลิงให้ข้า”
อี่ซินพยักหน้าต่อเนื่อง “ได้!”
ฝ่ายใน หลิวไทเฮาอยู่ในชุดคลุมผ้าดิ้น ที่บ่าคลุมด้วยผ้าขนแกะผืนบาง วงหน้าอ่อนโยนงดงามขาวพิสุทธิ์ราวกับแสงสว่าง เอนหลังพิงพลิกอ่านฎีกาบนตั่ง
เบื้องล่างไม่ไกล ขันทีชั้นผู้น้อยหน้าตาหล่อเหลาหมดจดกำลังค้อมศีรษะรอปรนนิบัติ
ผ่านไปอีกสักพัก หลิวเอ๋อร์ก็วางฎีกาลง นวดสองตาที่เด่นชัดว่าแห้งผาก จากนั้นจึงยื่นมือไปรับชาร้อนที่นางกำนัลยกเข้ามา จิบหนึ่งอึกก่อนวางลง ถึงได้มองไปที่เสี่ยวหลินจื่อ
“เสี่ยวหลินจื่อ ลูกข้าออกไปนอกวังในช่วงนี้ พบปะกับผู้ใดบ้าง”
เสี่ยวหลินจื่อค้อมตัวคำนับด้วยสีหน้าสุขุม ตอบเสียงอ่อนละมุน “ทูลไทเฮา ทุกครั้งที่ฝ่าบาทเสด็จออกจากวัง ล้วนไปพบเทพดาวไท่สุ้ยที่หน่วยดาวพิฆาตพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวหลินจื่อในตอนนี้อยู่ในตำแหน่งสูง เป็นหัวหน้ากองงานในสำนักพระราชวัง
ที่เรียกว่าการอบรมสั่งสอนเปลี่ยนความสามารถของคน ฐานะและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของคน หนึ่งปีผ่านพ้น เขามิใช่ขันทีชั้นผู้น้อยที่มีท่าทางเก้ๆ กังๆ ผู้นั้นอีกต่อไป ยามเอ่ยวาจาก็ราบรื่นอ่อนละมุน แม้คล้ายบุรุษคล้ายสตรี ทว่าเปี่ยมด้วยท่วงทำนองพิเศษ ทำให้ผู้ใดได้ฟังก็รู้สึกเสนาะโสต
สำหรับบรรดาขันที การประจบประแจงเจ้านายย่อมเป็นวิชาที่ต้องศึกษาเรียนรู้ นอกจากนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเดิน การคำนับ สีหน้าท่าทาง หรือการปรนนิบัติรับสิ่งของ... แท้จริงแล้วล้วนเป็นความรู้โดยเฉพาะ
เห็นชัดว่าเสี่ยวหลินจื่อเฉลียวฉลาดนัก อย่างน้อยเรื่องลักษณะท่าทางก็ศึกษาได้ถึงขั้น
หลิวเอ๋อร์ฟังน้ำเสียงของเขาแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลับสองตาเอนหลังพิงบนตั่งพลางพึมพำ “ไท่สุ้ยหรือ... ข้ารู้จัก เจ้าลองว่ามา คนผู้นี้เป็นอย่างไร”
เสี่ยวหลินจื่อคิดแล้วก็ตอบอย่างระวัง “เท่าที่บ่าวสังเกต ไท่สุ้ยผู้นี้แม้ถือกำเนิดเป็นชาวบ้านร้านตลาด แต่นิสัยใจคอกว้างขวางเปิดเผย ตรงไปตรงมา ปกป้องเอาใจใส่ฝ่าบาทอย่างมาก นับได้ว่าเป็นสหายที่ดีท่านหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าหลิวเอ๋อร์เฉยเมย ยื่นมือไปด้านข้าง นางกำนัลรีบยื่นจอกชาส่งให้อย่างรู้ใจ นางรับมาพลางหลับตาจิบไปหนึ่งอึก หลังวางจอกชาลงแล้วก็เอ่ยถามอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ลองว่ามา พวกเขาทำอันใดบ้างเมื่ออยู่ด้วยกัน”
เสี่ยวหลินจื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด ตอบเสียงอ่อนนุ่ม “ทูลไทเฮา สองสามวันก่อนไท่สุ้ยพาฝ่าบาทไปเล่นว่าวกระดาษพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงเล่นอย่างสำราญพระทัย เมื่อวานเดินเล่นในเมือง ไท่สุ้ยพาฝ่าบาทไปทรงชิมของว่างของไหวหนาน จากนั้นก็ไปดื่มชาที่หอเซียนจง ฟังงิ้วเรื่องหนึ่ง...”
เพล้ง!
หลิวเอ๋อร์เขวี้ยงจอกชาลงบนพื้นด้วยสีหน้าอึมครึมเคร่งเครียด
เสี่ยวหลินจื่อตกใจคุกเข่าลง รีบหุบปาก บรรดานางกำนัลที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้านข้างต่างก็คุกเข่าลงกับพื้น กระทั่งหายใจยังไม่กล้าหายใจแรง
“ซึ่งก็หมายความว่า... พวกเขาดื่มกินเล่นสำราญทั้งวัน?” สีหน้าหลิวเอ๋อร์หม่นหมอง ในน้ำเสียงแฝงความยะเยือกเย็นแทงกระดูก
ร่างของเสี่ยวหลินจื่อสั่นสะท้าน รู้ดีว่าหลิวไทเฮาเดือดดาลนักแล้ว หากเป็นผู้อื่นทำให้นางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเยี่ยงนี้ เขาคงไม่ช่วยแก้ต่าง แต่ไท่สุ้ยนั้นแตกต่างออกไป ไม่เอ่ยถึงบุญคุณช่วยชีวิตในตอนแรก ต่อให้คบค้าสมาคมกันในภายหลัง ทั้งสองคนก็กลายเป็นสหายแต่แรกแล้ว
เสี่ยวหลินจื่อในร่างขันที ความคิดจิตใจฉับไวอ่อนไหว เขารับรู้ได้ถึงความจริงใจของไท่สุ้ย ยิ่งกว่านั้นไม่คล้ายขุนนางใหญ่อื่นๆ ที่จงใจประจบเอาใจเขาด้วยมีเป้าหมายที่ไม่อาจบอกผู้คน หรือต่อหน้ายกยอปอปั้น ลับหลังดูหมิ่นคิดแคลนเยาะเย้ยฐานะของเขา
ประหนึ่งว่าในสายตาของไท่สุ้ย ตนเป็นสหายปกติธรรมดาที่พูดคุยถูกคอกันดี
สหายที่คบหากันโดยเท่าเทียมเช่นนี้ เสี่ยวหลินจื่อไม่เคยพานพบมาก่อน ดังนั้นจึงรู้สึกทะนุถนอม
และเพราะความทะนุถนอมต่อมิตรภาพนี้ เมื่อเห็นว่าไทเฮาทรงพิโรธ เขาก็เพียงลังเลเล็กน้อย แล้วรีบแก้ต่างแทนไท่สุ้ย “กลับมิใช่เช่นนั้น...”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ลอบเงยหน้ามองสีพระพักตร์ของหลิวไทเฮาปราดหนึ่ง พบว่านางจ้องมาอย่างขุ่นเคืองก็สะดุ้งโหยง รีบก้มศีรษะลง
สีหน้าหลิวเอ๋อร์บึ้งตึง แววตาเยียบเย็น “ว่ามา ว่ามาให้กระจ่างชัดแจ้ง!”
เสียงของเสี่ยวหลินจื่อสั่น “ทูลไทเฮา เพื่อมิให้ฝ่าบาททรงพบ บ่าวมิกล้าเข้าไปใกล้เกินไปนัก เพียงลอบฟังคำสนทนาจากที่ไกล พบว่าทุกครั้งที่ไท่สุ้ยแนะนำสิ่งของให้ฝ่าบาท มักกล่าวถึงที่มาที่ไปของสิ่งของนั้น...”
“เอ่ยตรงประเด็น!” หลิวเอ๋อร์เอ่ยปรามเสียงหนัก
เสี่ยวหลินจื่อตัวสั่น รีบเอ่ยรัวเร็ว “พ่ะย่ะค่ะ ก็อย่างเช่น... เมื่อวานไท่สุ้ยพาฝ่าบาทไปลองชิมของว่างของไหวหนาน ก็บอกเล่าถึงที่มา ราคา และแหล่งผลิตวัถุดิบของของกินเล่นนั้น อีกทั้งของกินเล่นประเภทคลับคล้ายกันมีกี่เจ้าในเมืองหลวง เลี้ยงดูกี่ชีวิตในครอบครัว ราษฎรเหล่านี้อาศัยการค้าขายสิ่งของเหล่านี้มีรายได้เท่าใด...”
หลิวเอ๋อร์ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าก็เริ่มดีขึ้นบ้าง ทว่ายังคงแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา โบกมือกล่าว “เอาละ เจ้าออกไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวหลินจื่อคลานเข่าถอยหลังหลายก้าว ก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นถอยออกไป
ทันทีที่ออกจากประตู ทั้งร่างก็เย็นวาบ พบว่าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด เสื้อตัวในของตนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ เขายกชายแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พลางยิ้มขมขื่นในใจ
‘ไท่สุ้ยเอ๋ย ข้าผู้เป็นพี่น้องช่วยท่านได้มากเพียงเท่านี้แล้ว ท่านอย่าได้ก่อความยุ่งยากใดขึ้นมาอีกทีเดียว ไม่เช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ช่วยท่านมิได้แล้ว!’
เช้าตรู่วันถัดมา หลังจบประชุมเช้าในท้องพระโรงแล้ว จ้าวเจินก็แทบจะวิ่งเหยาะๆ กลับมายังตำหนักบรรทมเพื่อผลัดเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง กำลังเตรียมออกไปนอกวังด้วยอารมณ์คึกคักกระฉับกระเฉง พลันแว่วเสียงขันทีดังมาจากด้านนอก
“ไทเฮาเสด็จ!”
จ้าวเจินประหลาดใจอยู่บ้าง ‘เหตุใดท่านแม่ถึงได้มาแต่เช้าเช่นนี้’ แม้ในใจฉงนสงสัย แต่ยังคงสาวเท้าเร็วออกไปต้อนรับ แต่เพิ่งมาถึงประตู ผู้เป็นมารดาก็เข้ามาก่อนแล้ว
ขันทีนางกำนัลหลายคนรีบค้อมศีรษะคุกเข่าลง สีหน้าหลิวเอ๋อร์ไร้อารมณ์ โบกมือไปทางด้านนอก ขันทีนางกำนัลต่างรีบลุกขึ้นทยอยกันออกไป ไม่กล้าเอ่ยคำ
ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงสองแม่ลูก
“คำนับท่านแม่” จ้าวเจินรีบคำนับ
ในกาลก่อนหลิวเอ๋อร์มักสวมชุดลำลองเมื่ออยู่ภายในวัง แต่วันนี้กลับสวมชุดพิธีการมงกุฎหงส์เคร่งขรึมจริงจัง ยืนตรงหน้าฮ่องเต้น้อยด้วยท่วงท่าลักษณะน่าเกรงขาม ทรงอำนาจบีบคั้นผู้คน
จ้าวเจินอึดอัด หายใจไม่ใคร่ออก ชั่วขณะไม่กล้าเปล่งเสียง
หลิวเอ๋อร์ยืนหลังตรง มองชุดลำลองของจ้าวเจิน สีหน้าอึมครึมแต่เดิมยิ่งไม่น่าดูชม “ลูกข้าแต่งกายเช่นนี้ เตรียมจะไปที่ใดหรือ”
จ้าวเจินเห็นสีหน้ามารดาไม่ใคร่ดีก็นึกลังเล แต่ยังคงตอบตามความจริง “ลูกเตรียมออกจากวัง”
“ไปพบไท่สุ้ยอีกหรือ” น้ำเสียงหลิวเอ๋อร์หนาวยะเยือก ดวงตาสาดประกายเยียบเย็น
“ใช่ท่านแม่” มุมปากของจ้าวเจินกระตุกครั้งหนึ่งก่อนพยักหน้า
หลิวเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกๆ สะกดกลั้นเพลิงโทสะ สาวเท้าเชื่องช้าไปนั่งลงหน้าโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง สอบถามเสียงเรียบ “วันนี้... เตรียมจะไปเที่ยวเล่นที่ใดอีก”
ครั้นเห็นท่าทีของนางเช่นนี้ จ้าวเจินออกจะไม่ชอบใจ คิ้วขมวดเล็กน้อยโต้แย้ง “จะเที่ยวเล่นได้อย่างไร ลูกออกจากวังเพื่อจัดการเรื่องงาน”
หลิวเอ๋อร์แค่นยิ้ม ปรายตามองจ้าวเจิน เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เชื่อ “เรื่องงาน? เช่นนั้นเจ้าลองว่ามา เป็นเรื่องงานใดกัน”
อายุของจ้าวเจินอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว กล่าวได้ว่าเป็นช่วงวัยต่อต้าน ที่รำคาญมากที่สุดก็คือการถูกซักฟอกสอบถามและควบคุมยุ่งเกี่ยวไปเสียทุกอย่าง
จุดนี้เป็นอุปนิสัยแห่งมนุษย์ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีฐานะตำแหน่งใด ต่อให้สูงส่งเป็นถึงโอรสสวรรค์ ก็ไม่ต่างจากปุถุชนคนธรรมดา
ในใจจ้าวเจินพลันเอ่อท้นด้วยกระแสเพลิง มองหลิวเอ๋อร์อย่างเต็มไปด้วยเหตุผล เอ่ยเสียงแข็งกร้าว “แถบสื้อชวน (เสฉวน) เกิดภัยแล้ง มีราษฎรอพยพเข้ามาในเมืองหลวง ฟังไท่สุ้ยว่า ระยะนี้ทางใต้ของเมืองมีเศรษฐีใจบุญตั้งโรงทานแจกข้าวต้ม ลูกอยากไปดูว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ นี่เป็นความผิดหรือ”
หลิวเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชา “แค่เรื่องนี้หรือ”
จ้าวเจินมองท่าทีของมารดา ในที่สุดก็สะกดกลั้นความโกรธมิได้ เอ็ดตะโรดังลั่น
“เรื่องนี้เล็กน้อยหรือ! ผู้คนอพยพเดินเท้าจากสื้อชวนเข้าสู่เมืองหลวง ต้องใช้เวลานานเท่าใด หนทางยาวไกลถึงเพียงนั้น มีคนมากน้อยเท่าใดที่อดอยากล้มตายระหว่างทาง บรรดาขุนนางตลอดทางปฏิบัติหน้าที่อย่างไร ได้บรรเทาทุกข์ให้ราษฎรที่ประสบความทุกข์ยากหรือไม่ ที่กล่าวว่าประจักษ์แก่ตาเป็นความจริง ฟังด้วยหูเป็นเท็จ ลูกไม่ดูด้วยตนเองจะรู้ได้อย่างไรว่ามีผู้อพยพกี่มากน้อยกันแน่ จะรู้ได้อย่างไรว่าทางการจัดการพวกเขาอย่างไร!”
สีหน้าของหลิวเอ๋อร์ไม่น่าดูชมขึ้นทุกที ลุกพรวดขึ้นยืน ชี้นิ้วใส่จ้าวเจิน สั่งสอนด้วยความรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ “เจ้ายังจดจำได้หรือไม่ว่าตนมีฐานะอันใด เจ้าเป็นโอรสสวรรค์ เจ้าเป็นฮ่องเต้! มีผู้อพยพเข้าเมืองหลวง เจ้าก็ออกคำสั่งให้กรมคลังบรรเทาทุกข์ด้วยเงินทองและธัญญาหาร ทั้งสามารถออกคำสั่งให้กรมโยธาเลือกสถานที่ก่อสร้างเพิงศาลาให้ผู้อพยพพักพิง เรื่องเหล่านี้ขอเพียงเจ้านั่งบัญชาการในวังเพียงคำเดียวก็แก้ไขได้ มีความจำเป็นต้องออกจากวังด้วยหรือ ข้าว่านี่เป็นความคิดของไท่สุ้ยนั่นอีกกระมัง!”
จ้าวเจินมองหลิวเอ๋อร์อย่างไม่ยอมจำนน พลางเอ่ยเสียงฮึดฮัด “ท่านแม่ ข้าว่าท่านมีอคติต่อไท่สุ้ย! มิผิด นี่คือความคิดของไท่สุ้ย แต่ลูกก็รู้สึกว่าไม่เลว ทุกครั้งที่ประชุมเช้า บรรดาขุนนางต่างกล่าวว่าแผ่นดินสงบสุขร่มเย็น ปวงประชาปลอดภัย ค้าขายรุ่งเรือง แต่ความเป็นจริงเล่า หากมิได้ฟังไท่สุ้ยเอ่ยถึง ลูกคงไม่รู้ว่าเขตสื้อชวนฝนไม่ตกมาหลายเดือนแล้ว นี่เรียกว่าแผ่นดินสงบร่มเย็นหรือ นี่เรียกว่า...”
“หุบปาก!” หลิวเอ๋อร์ไม่รอให้เขากล่าวจบก็ตวาดตัดบท “ข้าไม่สนว่าเจ้ามีเหตุผลใด สรุปแล้ววันนี้เจ้าออกจากวังมิได้!”
จ้าวเจินโกรธจนตัวสั่น “ท่านแม่ ท่าน... ไฉนไม่มีเหตุผล”
“ข้าไม่มีเหตุผล?” หลิวเอ๋อร์โมโหจนทะลึ่งตัวพรวด ใบหน้าแดงก่ำคล้ายจะเป็นลม เด่นชัดว่าโมโหไม่น้อย นางยกนิ้วขึ้นชี้พลางต่อว่าจ้าวเจินเสียงดัง “เหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าคือปกป้องเจ้า ที่กล่าวว่าคนสูงศักดิ์นั่งนอนไม่เข้าใกล้โถงสูง297 เจ้าเป็นถึงโอรสสวรรค์ รับผิดชอบดูแลทั่วหล้า หากออกไปพบเรื่องไม่คาดคิด ผลเป็นอย่างไร เจ้าเคยคิดหรือไม่”
จ้าวเจินโต้เถียงอย่างไม่ยอมจำนน “ไหนเลยจะมีเหตุไม่คาดคิดมากมายเช่นนั้น ลูกเพียงคิดไปดูการแจกจ่ายอาหารให้ผู้อพยพ มิได้เข้าสู่สนามรบเสียหน่อย”
“เจ้า...” หลิวเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์สักครู่ นานสองนานถึงสะกดเพลิงโทสะในใจลง เอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าก็รู้จักเรื่องแจกจ่ายอาหารให้ผู้อพยพ รู้หรือไม่ว่าผู้อพยพมีจำนวนเท่าใด พวกเขาเป็นคนอย่างไรบ้าง หากมีคนร้ายปะปนในหมู่คนเหล่านั้นแล้วลอบสังหารเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร”
“ลูกมียอดฝีมือในกองทหารองครักษ์และไท่สุ้ยคอยคุ้มกัน ต่อให้มีคนร้ายลอบสังหารก็ไม่กลัว!” จ้าวเจินเม้มปาก ไม่ยอมจนตรอกง่ายๆ เด่นชัดว่าเหตุผลนี้ไม่อาจเกลี้ยกล่อมเขาได้
หลิวเอ๋อร์โมโหยิ่งนัก ลุกขึ้นเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปด้านนอก ไม่แม้แต่จะหันกลับมา “ฮึ! ยังไม่เติบใหญ่ คิดปีกกล้าขาแข็งแล้วหรือ รั้งอยู่ในวังสำนึกตัวให้ดี!”
นางเดินไปถึงนอกประตูก็ตวาดลั่น “เจ้าหน้าที่ ปิดประตูให้ดี! ไม่อนุญาตให้ฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักบรรทมแม้แต่ก้าวเดียว หากเสด็จออกไป ข้าจะเอาเรื่องพวกเจ้า!”
“ท่านแม่ ท่านไม่มีเหตุผล!” พอได้ฟังจ้าวเจินก็ตกตะลึงยิ่งนัก ลุกพรวดพุ่งตัวออกไปภายนอก แต่บัดนี้สองขันทีเข้ามาปิดประตูอย่างรวดเร็ว ขังเขาไว้ในห้องเสียแล้ว
“ปล่อยข้าออกไป! ปล่อยข้าออกไป...”
หลิวเอ๋อร์ก้าวฝีเท้าเร็วกลับมายังฝ่ายใน สีหน้าไม่น่าดูชมจนถึงขีดสุด หลังจากนั่งลงอย่างขุ่นเคืองอารมณ์แล้วก็โบกมือไปด้านนอก
บรรดาขันทีนางกำนัลเห็นสภาพการณ์ ต่างก็ตกอกตกใจเงียบกริบดั่งจักจั่นจำศีล ถอยออกไปด้วยฝีเท้าเร็ว
“สารเลว! สารเลว...” ยิ่งคิดยิ่งเดือดดาล คว้าจอกกระเบื้องติดมือขึ้นมาเขวี้ยงลงบนพื้น
เพล้ง!
สองขันทีชั้นผู้น้อยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสะดุ้งตกใจตัวสั่น สบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็เห็นความหวาดกลัวในดวงตาของอีกฝ่าย
แม้ยามปกติไทเฮาจะทรงอ่อนโยนและมีพระอารมณ์ดียิ่ง ทรงระบายโทสะใส่บ่าวไพร่น้อยครั้งนัก ต่อให้กระทำความผิดเล็กน้อยก็เพียงแย้มพระสรวลแล้วปล่อยผ่าน แต่บรรดาบ่าวไพร่ในวังต่างไม่กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา ผู้ที่มีชีวิตรอดมาถึงปัจจุบันหน้าไหนจะไม่กระจ่างคดีเลือดตอนนั้น
เมื่อครั้งฮ่องเต้พระองค์น้อยเพิ่งครองบัลลังก์ ขันทีนางกำนัลและทหารองครักษ์คุ้มกันล้มตายไปจำนวนเท่าใด ต่อให้เรื่องราวผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งปี ทว่าในฝันของพวกเขายังคงได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนน่าอนาถแทบจะตลอด
“เจ้าหน้าที่ ให้เฉาเหว่ยเข้าเฝ้า!”
ขณะที่สองขันทีกำลังละล้าละลัง สุรเสียงดุดันเข้มงวดของหลิวไทเฮาก็ดังแว่วออกมาจากภายในห้อง สองคนไม่กล้าชักช้ารีรอ รีบรับคำทันที ก่อนสบตากันแวบหนึ่ง หนึ่งในนั้นตัดสินใจวิ่งปราดออกไปนอกวังเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง
เมื่อเฉาเหว่ยเข้าวังก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม
ในตอนนี้หลิวเอ๋อร์กลับมาสงบเยือกเย็น ใบหน้าผุดรอยยิ้มอบอุ่น เกรงอกเกรงใจเฉาเหว่ย หลังจากประทานที่นั่งก็ให้คนยกน้ำชามา ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนกล่าว “นี่คือชาใหม่ที่อ๋องแห่งต้าหลี่ถวายเป็นบรรณาการ เหมือนมีชื่อว่าชาอวิ๋นเยี่ย (ชาใบเมฆ) นอกจากรสชาติหวานหอมแล้ว เล่าขานว่ายังช่วยบำรุงสุขภาพ อบอุ่นกระเพาะ แม่ทัพใหญ่ลองชิมดู”
เฉาเหว่ยรีบโบกมือต่อเนื่อง เอ่ยอย่างกะอักกระอ่วน “ไม่กลัวไทเฮาทรงเห็นขัน กระหม่อมชนชั้นนักรบ หากถกเรื่องดื่มสุรายังพอมีความรู้ แต่สำหรับเรื่องชาไม่เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ชาชั้นเลิศถึงเพียงนี้ให้กระหม่อมลิ้มรส เป็นการย่ำยีโดยแท้จริงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวเอ๋อร์หัวเราะเสียงเบาคราหนึ่ง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “แม่ทัพใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ ชานั้นเดิมทีก็เพื่อให้ผู้คนดื่ม รีบลิ้มรสขณะยังร้อนเถอะ”
เฉาเหว่ยเห็นว่าหมดหนทางปฏิเสธ จึงได้แต่พยักหน้า ฝืนหยิบจอกชาขึ้นจิบหนึ่งอึกแล้วหลับตาพยักหน้า
“ชาประเสริฐ! เป็นชาประเสริฐอย่างแท้จริง! แม้กล่าวไม่ถูกว่าประเสริฐที่ใด แต่ย่อมดีกว่าภายในบ้านของกระหม่อมอย่างแน่นอน”
ใบหน้าหลิวเอ๋อร์ผุดรอยยิ้ม กำชับขันทีชั้นผู้น้อยข้างกาย “ไปห่อชาอวิ๋นเยี่ยมาหนึ่งจิน ส่งถึงจวนท่านแม่ทัพใหญ่”
ขันทีชั้นผู้น้อยรีบรับคำ ซอยเท้าถอยออกไป
เฉาเหว่ยรีบวางจอกชาลงแล้วลุกขึ้น โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้อง...ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนี้ ไทเฮา...”
หลิวเอ๋อร์ยกมือขึ้นตัดบท ก่อนคว่ำมือกดลงเป็นนัยให้อีกฝ่ายนั่งลง ยิ้มเอ่ย “แม่ทัพใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ ยังไม่เอ่ยกล่าวถึงตระกูลเฉาทุกรุ่นมีจิตใจจงรักภักดีพิทักษ์ปกปักชาวประชา กระทั่งเหยากวงยังเคยช่วยชีวิตข้าในตอนนั้น! ลำพังใบชาเพียงเล็กน้อย แม่ทัพใหญ่ไยต้องปฏิเสธ”
“เช่นนั้น... กระหม่อมขอบพระทัยไทเฮา” เฉาเหว่ยจนใจ ได้แต่ขอบคุณแล้วนั่งลง เพียงทว่าในใจรู้สึกไม่เป็นสุข มิทราบว่าไทเฮาปฏิบัติต่อตนเช่นนี้ทรงมีจุดประสงค์ใด
ไม่รอให้เขาคิดมาก หลิวเอ๋อร์ก็เผยรอยยิ้ม สอบถามเหมือนไม่ตั้งใจ “เอ่ยถึงเหยากวง เหมือนว่านางยังมิได้สมรสกระมัง”
พอได้ฟังเฉาเหว่ยก็กระจ่างฉับพลัน นี่ถึงเป็นประเด็นหลักในวันนี้!
แม้เฉาเหว่ยคาดเดาในใจ แต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า เพียงยิ้มเจื่อนพร้อมกับพยักหน้า “เฮ้อ! เด็กคนนี้ทั้งวี่ทั้งวันเอาแต่รำทวนฝึกพลอง กระหม่อมเป็นกังวลว่าต่อไปจะแต่งไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวเอ๋อร์ส่ายหน้ายิ้มแล้วกล่าว “เป็นไปได้อย่างไร เหยากวงฉลาด น่าเอ็นดู หน้าตาสะสวย ข้าชื่นชอบนัก ทุกครั้งที่นึกถึงนาง ข้ายังนึกอิจฉาชื่นชมที่แม่ทัพใหญ่มีบุตรสาวเช่นนี้”
เฉาเหว่ยส่ายหน้ายิ้มขมขื่น ก้มหน้าจิบชา พอคาดเดาในใจได้รำไร ทว่าเรื่องนี้กลับไม่สะดวกเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง
หลิวเอ๋อร์มองเขา เห็นสีหน้าเฉาเหว่ยวูบไหวก็ล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายคงเดาความคิดของตนออก รอยยิ้มจึงบางลงไปบ้าง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูกข้าก็ขึ้นครองราชย์ระยะหนึ่งแล้ว เห็นว่าราชการงานเมืองค่อยๆ มั่นคง สมควรแก่เวลาแต่งตั้งฮองเฮาแล้ว ช่วงนี้ข้าก็เป็นกังวลเรื่องนี้ แต่เมื่อข้าได้ศึกษาประวัติของบุตรีของขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ทั้งราชสำนักหนึ่งเที่ยวแล้ว สุดท้ายก็พบว่ายังคงเป็นเหยากวงที่ถูกใจข้ามากที่สุด”
เฉาเหว่ยตะลึงงัน เงยหน้ามองหลิวเอ๋อร์ ในชั่วขณะไร้วาจา ความคิดกลับแล่นหมุนเร็วรี่ ‘หรือว่าฮ่องเต้พระองค์น้อยจะทรงชื่นชอบเหยากวง จึงขอร้องไทเฮาให้สู่ขอ’
‘อือ อาจมีความเป็นไปได้เช่นนี้อยู่จริง ทว่าเรื่องนี้เหมาะสมหรือ’
ประหวัดถึงความรักระหว่างเหยากวงกับไท่สุ้ย เฉาเหว่ยก็ยากจะตัดสินใจ
หลิวเอ๋อร์มองสายตาของเฉาเหว่ย เห็นเขามีสีหน้าลังเล แต่ไม่มีทีท่าปฏิเสธอย่างเด่นชัด ก็อดตัดสินใจครั้งใหญ่มิได้ จึงเอ่ยปากโดยตรง “วันนี้ที่ให้ท่านมาก็เพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับท่าน ดูว่าสองครอบครัวเราจะเป็นทองแผ่นเดียวกันได้หรือไม่”
“คือว่า...” เฉาเหว่ยมีท่าทีละล้าละลัง
หลิวเอ๋อร์ชะงักไป เปิดไพ่ตายออกโดยตรง ยิ้มกล่าว “เหยากวงถือกำเนิดสูงส่ง ไม่เพียงเป็นหลานสาวของขุนนางมากคุณูปการช่วงบุกเบิกราชวงศ์ ลุงรองของนางยังเป็นสวามีขององค์หญิงซิงผิง แต่งเข้ามายิ่งสนิทชิดใกล้เพิ่มขึ้น มีเพียงตำแหน่งฮองเฮาที่คู่ควรกับนาง”
พอได้ฟัง เฉาเหว่ยก็อดสะท้านไหวในใจมิได้
ตำแหน่งฮองเฮานั้นเป็นจุดสูงสุดแห่งทั้งชีวิตอิสตรีทีเดียว กล่าวตามระบบกฎเกณฑ์ ศักดิ์ฐานะเทียบเท่าฮ่องเต้ ซึ่งก็หมายความว่าศักดิ์ฐานะของทั้งคู่เสมอกัน
เทียบกับอยู่ใต้เพียงหนึ่งคน อันใดเทือกนั้นยังสูงศักดิ์ยิ่งกว่า!
ยิ่งไปกว่านั้น หากเอ่ยในแง่อื่น หากราชสกุลจ้าวกับตระกูลเฉาเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน สถานะในภายภาคหน้าของตระกูลเฉาย่อมพุ่งสูงขึ้นหลายส่วน หลังกลายเป็นพระญาติ เช่นนั้นถึงเป็นการล่มหัวจมท้าย
รุ่งโรจน์โชติช่วงไปพร้อมแผ่นดินอย่างแท้จริง! หากภายภาคหน้าเหยากวงคลอดบุตรชายบุตรสาว ไม่แน่ว่าจะได้เป็นฮ่องเต้ในอนาคต หากเป็นเช่นนั้นจริง อย่างน้อยภายในสามรุ่น ขอเพียงสกุลเฉาไม่รนหาที่ตายเอง ย่อมไร้ความกังวลเรื่องตกต่ำเสื่อมโทรม...
ความคิดของเฉาเหว่ยแล่นปรู๊ดปร๊าดฉับไว ข้อดีทั้งหลายแหล่ที่บังเกิดขึ้นหลังเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้วผุดขึ้นในสมองทีละอย่าง อดหวั่นไหวใหญ่โตในใจมิได้
แม้เขาจะหวั่นไหว แต่ก็ยังเป็นกังวล ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองหลิวไทเฮา “แต่ว่าเหยากวงอายุมากกว่าฝ่าบาทหลายปี นี่เกรงว่า...”
หลิวเอ๋อร์โบกมือ ยิ้มอย่างไม่คิดเช่นนั้น “โธ่! ข้านึกคิดว่าเรื่องใดกัน นี่เป็นเรื่องดี สตรีอายุมากหน่อยถึงมั่นคงหนักแน่น ลูกข้าเดิมก็อายุยังน้อย ถึงตอนนั้นมีเหยากวงคอยชี้แนะตักเตือนพอดี”
เฉาเหว่ยฟังถึงตรงนี้ก็กระจ่างโดยพลัน เขารู้ดีว่าตนไร้ทางเลือกอื่นแล้ว หากตกปากรับคำแล้วย่อมดีต่อทุกฝ่าย แต่ถ้าปฏิเสธ แม้อีกฝ่ายไม่เอาเรื่องเอาราวในตอนนี้ เกรงเพียงคงลงบัญชีหมายหัวตระกูลเฉาไว้ในใจ
เอ่ยตามจริงแล้ว สำหรับจ้าวเจินฮ่องเต้พระองค์น้อย เฉาเหว่ยไม่นึกพรั่นพรึงเท่าใดนัก แต่ไทเฮาที่ลงทัณฑ์ประหารเด็ดขาดผู้นี้ อย่าว่าแต่แม่ทัพเฉาเหว่ยอย่างเขา ต่อให้เป็นขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก ผู้ใดบ้างจะไม่ความหวาดหวั่นยำเกรงในใจถึงสามส่วนห้าส่วน
เคราะห์ดีที่ทั้งตระกูลเฉาไม่สองจิตสองใจ เป็นพระญาติก็ไม่เลว
เฉาเหว่ยจึงพยักหน้าอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ประสานมือคำนับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้... กระหม่อมย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” หลิวเอ๋อร์ยิ้มอย่างชื่นมื่น
ออกจากพระราชวัง ใบหน้าเฉาเหว่ยก็ฉายชัดถึงความยินดี เขาขึ้นม้าได้ก็เร่งรุดกลับจวน
แม่ทัพใหญ่กลับมาถึงหน้าจวนอย่างตื่นเต้นดีใจ เพิ่งลงจากม้าก็เห็นพ่อบ้านปรี่เข้ามารับ
“วันนี้เหยากวงออกไปแล้วหรือยัง” เฉาเหว่ยโยนแส้ให้ทหารคนสนิทที่อยู่ด้านข้าง
“เรียนนายท่าน คุณหนูออกไปเที่ยวหนึ่งเมื่อช่วงเช้า กลับมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้อยู่ที่สนามฝึกขอรับ”
พอได้ฟัง เฉาเหว่ยก็หน้าตาชื่นบานก่อนเร่งรุดไปทางสนามฝึก
กลางสนามฝึก เหยากวงกำลังฝึกวรยุทธ์ ตะบองเหล็กสีดำเมี่ยมถูกนางควงเหวี่ยงเสียงดังควับๆ น้ำหนักหลายสิบจินอยู่ในมือนางกลับคล้ายตะเกียบข้างหนึ่งเท่านั้น
เฉาเหว่ยเดินฝีเท้าเร็วเข้ามา เห็นบุตรีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นร่ายรำอาวุธขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นแต่ไกลๆ ทั้งยังทุบใส่กระสอบทรายเป็นระยะจนเกิดเสียงดังพลั่กๆ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับไปทันตา ถอนใจเฮือก พึมพำด้วยความเคยชิน “เฮ้อ อย่างนี้จะแต่งออกไปได้อย่างไรกันเล่า เอ?” เขาตบขมับตนเองก่อนได้สติ “ไม่ถูกต้องสิ! ก็จะแต่งออกไปแล้วมิใช่หรือ ทั้งยังเป็นฮองเฮาแห่งรัชสมัย ฮ่าๆๆ...”
เขาหัวเราะเสียงดัง ก้าวเท้าเข้าไปอย่างสำราญอกสำราญใจ
เหยากวงเห็นบิดาเดินเข้ามาก็สะบัดมือแผ่วเบา ตะบองเหล็กลอยไปตกบนแท่นเก็บอาวุธข้างสนามอย่างแม่นยำมั่นคง สาวใช้นางหนึ่งเห็นดังนั้นก็รีบประคองผ้าเช็ดหน้ากับถ้วยน้ำเดินเข้ามา เหยากวงรับผ้าไปเช็ดหน้าแล้วก็โยนกลับไป จากนั้นจึงรับถ้วยน้ำ แหงนหน้าดื่มอักๆ จนเกลี้ยง
ครั้นเห็นมุมปากนางมีคราบน้ำติดอยู่ สาวใช้ก็รีบยื่นส่งผ้าเช็ดหน้าให้ แต่เหยากวงไม่แยแสสนใจ ผลักสาวใช้ออก ยกชายแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดมุมปาก เดินขึ้นหน้าไปต้อนรับบิดา
“ท่านพ่อ ท่านหาข้ามีเรื่องหรือ”
“มีเรื่อง ทั้งยังเป็นเรื่องมงคลยิ่งใหญ่!” เฉาเหว่ยยิ้มแย้มปลื้มปิติไปทั้งหน้า
เรื่องมงคล? เหยากวงพอได้ฟังก็ตื่นตัวระแวดระวังขึ้นทันที ขมวดคิ้วมองประเมินบิดาอย่างระแวง “เรื่องมงคล? เรื่องมงคลใดกัน ท่านได้เลื่อนขั้นหรือรับอนุมาอีกคนหรือ”
เฉาเหว่ยเบิกตาโพลง กำลังจะโมโห ทว่าเห็นแววตาของเหยากวงก็สะกดกลั้นลงอย่างจนใจ
แม้ถูกดักคอแต่เขายังคงฉีกยิ้ม เดินเข้าไปวางมือลงบนบ่าเหยากวง เดินออกไปด้านนอกพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ลูกเอ๋ย เจ้าเองก็อายุไม่น้อย แม่นางบ้านอื่นอายุขนาดเจ้าก็เป็นแม่คนแล้ว”
เหยากวงพอได้ยินก็ชะงักฝีเท้ากึก ผลักมือของบิดาออก ถลึงตากลมโต ถามอย่างแง่งอน “ท่านพ่อ หาคู่ให้ข้าอีกแล้วหรือ”
พอได้ยิน เฉาเหว่ยก็กระอักกระอ่วนนัก รู้สึกว่าเสียหน้า มองซ้ายมองขวา ถึงได้อบรมอย่างท้อใจ “พูดกับพ่อแบบนี้ได้อย่างไร ข่มเอา แหวเอา มีอย่างที่ไหน”
เหยากวงมองบิดาอย่างฮึดฮัด เอ่ยเสียงขุ่น “ท่านพ่อ ท่านคงมิใช่ไม่รู้ว่าข้ากับไท่สุ้ย...”
“อย่าเอ่ยถึงเจ้าหมอนั่นกับข้า เขาไม่คู่ควรกับเจ้าสักนิด” เฉาเหว่ยไม่รอให้นางกล่าวจบ ก็รีบเอ่ยตัดบททันที
“คู่ควรหรือไม่ข้าตัดสินใจเอง...” ขอบตาของนางแดงก่ำ เหวี่ยงแขนแล้วหมุนตัวจากไป
เฉาเหว่ยคำรามอย่างโมโห “เจ้าหุบปาก!”
สองตาเหยากวงคลอด้วยน้ำตา มองบิดาอย่างน้อยใจและเคืองขุ่น
พอเห็นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของบุตรสาว เฉาเหว่ยก็อดใจอ่อนมิได้ กดเสียงลงต่ำเริ่มเอ่ยปลอบจากใจจริง “ลูกเอ๋ย เจ้าฟังพ่อพูด ไท่สุ้ยเด็กคนนั้นแม้ไม่เลว แต่เทียบกับบ้านเราแล้ว ฐานะห่างไกลกันลิบลับ”
เหยากวงจะโต้แย้ง เฉาเหว่ยจึงรีบยกมือยอมแพ้
“ได้ๆ ไม่กล่าวถึงเรื่องฐานะ”
เหยากวงสูดหายใจเข้าลึกๆ สะกดกลั้นเพลิงโทสะขณะจ้องมองบิดา ลอบตัดสินใจเงียบๆ ว่าเมื่อเขากล่าวจบ ตนจะจากไป ย้ายไปอาศัยในหน่วยดาวพิฆาตให้รู้แล้วรู้รอด อยากแต่งก็ไปแต่งเองเถิด
เฉาเหว่ยมองสีหน้านางก็คาดเดาได้บางส่วน อดรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ามิได้ คิดแล้วก็เอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฟังเจ้าก็ได้ พวกเราไม่เอ่ยถึงเรื่องฐานะ แต่ว่าภาคภาคหน้าอย่างไรเจ้าก็ต้องดำเนินชีวิต สมมติว่า... พ่อบอกว่าสมมุตินะ! หากเจ้าสองคนอยู่ด้วยกัน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตอย่างไร ทั้งเรื่องที่พัก ของใช้ของกิน อย่างใดไม่ใช้เงินบ้าง อาศัยเบี้ยหวัดเล็กน้อยของเขาจะพอยาไส้อันใด เอ่ยคำไม่น่าฟัง เกรงว่าม้าสักตัวเขาก็เลี้ยงไม่ไหวกระมัง”
เหยากวงขยี้หางตา ยิ้มเย็นชายามมองบิดา ไม่กล่าวสักคำ
เฉาเหว่ยกลับคิดว่าบุตรสาวยอมรับฟัง รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นแล้วจางหายไป ยังคงเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “ลูกเหยา พ่อคิดการเพื่อเจ้าด้วยความจริงใจ จะว่าไปไท่สุ้ยก็เป็นคนไม่เลว แต่ถ้าใช้ชีวิตร่วมกัน เขาออกจะไม่ใคร่เหมาะสม...”
เหยากวงยกมือขึ้นตัดบทบิดา แค่นเสียงเฮอะ “เอาละ ท่านไม่ต้องพูดพล่ามแล้ว บอกข้ามาโดยตรง อยากให้ข้าแต่งกับผู้ใด”
เฉาเหว่ยถูกดักคอ แต่ยังคงยิ้มก่อนกล่าว “วันนี้พ่อเพิ่งเข้าวัง เจ้าเดาสิว่าเป็นอย่างไร เป็นไทเฮาเห็นดีเห็นงามในตัวเจ้า!”
เอ่ยถึงตรงนี้ เฉาเหว่ยก็ปลื้มจนหุบยิ้มไม่ได้
เหยากวงอึ้งงัน จากนั้นก็ถามเสียงดังอยากไม่อยากเชื่อ “ท่านว่าผู้ใด ไทเฮา!?”
“ถูกแล้ว ไทเฮาทรงประสงค์ให้ฝ่าบาทแต่งเจ้าเป็นฮองเฮา ดูเอาเถอะ บุตรสาวข้าถึงกับมีชะตาเป็นฮองเฮา ฮ่าๆๆ...”
เหยากวงร้องลั่น “อันใดนะ! ท่านอยากให้ข้าแต่งกับจ้าวเจินเด็กน้อยผู้นั้น!”
เฉาเหว่ยชักสีหน้าทันที มองซ้ายมองขวา พบว่าบริเวณใกล้ๆ ไม่มีผู้ใด ถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ต่อว่าเสียงต่ำ “โวยวายอันใดกัน! นั่นเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เจ้าเรียกขานพระนามโดยตรงได้อย่างไร”
“ถึงข้าไม่เรียกชื่อตรงๆ เขาก็ยังเป็นเด็กน้อย ข้าไม่อยากหลอกเด็กเล่น! ท่านยินยอมแต่งก็แต่งเอง ถึงอย่างไรข้าก็ไม่แต่ง!” เหยากวงกล่าวจนจบอย่างฮึดฮัดแล้วหมุนตัววิ่งจากไป
เฉาเหว่ยเห็นดังนั้นก็รีบไล่กวดตามไป ปากก็ตะโกน “นี่! ลูกเหยา! เหยากวง! เจ้าลูกคนนี้...”
ฝ่ายใน หลิวเอ๋อร์กำลังพลิกอ่านฎีกา ตอนนี้เองเสียงจ้าวเจินร้องสั่งขันทีดังลอดเข้ามา
“หลีกทางให้เรา”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ทรงรอให้กระหม่อมกราบทูลสักเสียง...”
หลิวเอ๋อร์คล้ายไม่แปลกใจกับการบุกฝ่าเข้ามาของจ้าวเจิน จึงวางฎีกาลง หลับสองตา เอนร่างพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว สีหน้าท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
บัดนี้จ้าวเจินเดินพรวดเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าหลิวเอ๋อร์ ด้านหลังตามติดมาด้วยขันทีชั้นผู้น้อยที่กำลังตีสีหน้าลำบากใจ หลิวเอ๋อร์มิได้ลืมตา ทำเพียงโบกมือ ขันทีผู้นั้นถอยออกไปราวกับปลดภาระหนักอึ้ง
“ท่านแม่ ท่านสู่ขอเหยากวงกับแม่ทัพใหญ่เฉาหรือ” จ้าวเจินสอบถามด้วยสีหน้าโกรธเคือง
“ถูกต้อง ว่าอย่างไร” หลิวเอ๋อร์หลับสองตา แค่นเสียงเฮอะแผ่วเบา
จ้าวเจินเร่งร้อนอยากเอ่ยคำ แต่เหมือนคิดบางอย่างได้ ออกคำสั่งกับขันทีนางกำนัลที่ถวายการปรนนิบัติ “พวกเจ้าออกไปก่อน!”
ขันทีนางกำนัลกลับมิได้ออกไปทันที แต่เหลือบมองไทเฮาก่อน ครั้นเห็นพระนางโบกมือแผ่วเบา ถึงได้ถวายบังคมฮ่องเต้ แล้วถอยออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง
สำหรับท่าทีการกระทำของพวกเขา จ้าวเจินมิได้แยแสใส่ใจ เห็นว่าไม่มีคนนอกแล้วก็รีบเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยเสียงร้อนรน “ท่านแม่ หากท่านให้ลูกแต่งกับสตรีอื่น ลูกไม่กล้าขัดขืน แต่ว่าเหยากวง นางมีใจต่อไท่สุ้ยอย่างลึกซึ้ง ผ่านความเป็นความตายถึงได้เดินเคียงข้างกัน ข้ากับไท่สุ้ยรักใคร่ดั่งพี่น้อง จะแย่งสตรีของพี่น้องได้อย่างไร”
นางแค่นเสียงเฮอะแผ่วเบา ในที่สุดก็ลืมตา จ้องมองจ้าวเจินโดยตรง น้ำเสียงเย็นยะเยือก “หุบปาก!”
จ้าวเจินชะงักแล้วรีบหุบปาก แต่ยังคงจ้องมารดาอย่างไม่ยอมจำนน
“พี่น้องอันใดกัน เจ้าเป็นฮ่องเต้ เรียกขานว่าพี่น้องกับขุนนางคนหนึ่ง มีอย่างที่ไหน” หลิวเอ๋อร์สั่งสอนเสียงเย็นเยียบ
จ้าวเจินเดือดปุดๆ ยืนอยู่กับที่ เม้มปากไม่พูดไม่จา เด่นชัดว่าไม่ยอมรับง่ายๆ
เห็นท่าทางเขาเป็นเช่นนี้ หลิวเอ๋อร์ก็ทอดถอนใจ หลังสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ถึงได้เอ่ยอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ “ลูกเอ๋ย ตอนนี้เจ้ายังเล็ก มีบางเรื่องยังมองไม่กระจ่าง...”
นางทอดถอนใจ ลุกขึ้นก้าวแช่มช้าหลายก้าว คล้ายกำลังเรียบเรียงความคิด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงหมุนตัวกลับมา มองจ้าวเจินด้วยสีหน้าท่าทางเข้มงวดกวดขัน เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ตระกูลเฉาเป็นวีรบุรุษมากคุณูปการในช่วงบุกเบิกราชวงศ์ บัดนี้เจ็ดแม่ทัพในตระกูล กุมอำนาจทางการทหาร พันกองทัพหมื่นอาชา กล่าวว่าเป็นเสาคานแห่งแผ่นดินก็ไม่เกินเลย แม้เจ้าขึ้นครองราชย์แล้ว แต่ถึงอย่างไรอายุยังน้อย ผู้ปกครองเยาว์วัยประชาราษฎร์คลางแคลงไม่เชื่อมั่นก็ยากหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเจ้าสมรสกับเหยากวงก็แตกต่างไป มีการสนับสนุนของตระกูลเฉา อย่างน้อยด้านการทหารก็ไม่ต้องกังวล มีกำลังอาวุธเป็นการรับประกัน แผ่นดินของเจ้าย่อมมั่นคง”
จ้าวเจินไม่สะท้านหวั่นไหว สายตาที่มองมารดาฉายความผิดหวัง “ท่านแม่ หรือนี่คือสิ่งที่คนภายนอกเรียกว่าไร้น้ำใจในหมู่ราชวงศ์ เพื่อผลประโยชน์ ล้วนเสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่างหรือ”
เห็นเขาพูดไม่เข้าหู สีหน้าหลิวเอ๋อร์ก็สลดลง เอ่ยอย่างโมโห “เสียสละอันใดกัน! เหยากวงเด็กคนนี้ แม่เองก็ชื่นชอบอย่างแท้จริง ให้นางเป็นฮองเฮามารดาแห่งแผ่นดิน มีอันใดไม่ดี หากเจ้ารู้สึกละอายใจต่อไท่สุ้ย เช่นนั้นก็ประทานสาวงามให้หลายคน หรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งขุนนางใหญ่”
จ้าวเจินเดือดปุดๆ หมุนตัวเดินจากไป “ท่านแม่ ท่านทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน! ไม่ว่าท่านจะว่าอย่างไร ถึงอย่างไรข้าก็ไม่แต่งกับเหยากวงเด็ดขาด!”
ภายในโถงใหญ่หน่วยดาวพิฆาต เฉาเหว่ยนั่งอยู่บนที่นั่งประธาน ในมือหมุนลูกเหล็กเงาวับสองลูกเสียดสีกันเสียงดังเคร้งๆ
ตอนนี้เองไคหยางนำตัวไท่สุ้ยเข้ามาจากด้านนอก
“แม่ทัพใหญ่เฉา ข้าพาไท่สุ้ยมาพบท่านแล้ว”
ไท่สุ้ยมองเฉาเหว่ยด้วยสีหน้างุนงง แต่ยังคงคำนับอย่างเกรงใจ “มิทราบว่าท่านแม่ทัพใหญ่ตามหาข้าน้อยด้วยธุระใด”
เฉาเหว่ยมองประเมินไท่สุ้ยขึ้นลง เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไท่สุ้ย วันนี้ที่ข้ามา เพราะอยากคุยกับเจ้าเรื่องเหยากวง”
ไท่สุ้ยเลิกคิ้ว
เฉาเหว่ยกล่าว “อายุของเหยากวงก็ไม่น้อยแล้ว ข้าเตรียมให้นางสมรส”
ไท่สุ้ยมีสีหน้าประหลาดใจ หน้าแดงซ่าน ออกจะเก้อเขิน เริ่มกล่าวอึกอักติดอ่าง “อันใดนะ! สมรส? ขะ...ข้ายังไม่คิดแต่งงานสร้างครอบครัวในตอนนี้ คือว่า...”
“ผู้ใดว่าแต่งกับเจ้าเล่า” เฉาเหว่ยถลึงตาใส่ไท่สุ้ย
“หา?” ไท่สุ้ยตะลึงงัน
เฉาเหว่ยลุกขึ้นยืน เอาสองมือไพล่หลังเดินประชิดเข้ามา หน้าตาเย่อหยิ่งขณะกล่าว “นอกจากโอรสสวรรค์ในตอนนี้ ผู้ใดคู่ควรกับบุตรสาวข้าเล่า”
ไท่สุ้ยประหลาดใจนัก หลังตั้งสติได้ก็ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้! เหยากวงไม่มีทางตกลง ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางตกลง!”
“คำสั่งของบิดามารดา แม่สื่อชักนำ พวกเขาตกลงหรือไม่ สำคัญนักหรือ ขอเพียงไทเฮาทรงตกลงและข้าเห็นชอบก็พอแล้ว” เฉาเหว่ยยิ้มเย็นชา
ไท่สุ้ยพอได้ฟังก็เข้าใจกระจ่างทันที อดมองเฉาเหว่ยอย่างโกรธเคืองมิได้ กำหมัดเสียงลั่นกร๊อบ คล้ายอยากกระโจนเข้าไปอัดอีกฝ่ายสักยก
แต่เฉาเหว่ยเพียงมองเขาแล้วยิ้มเย็นชา แค่นเสียงกล่าว “เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยมือ ต่อไปอย่าไปพบนางอีก เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของนาง”
“นี่เป็นไปไม่ได้!” ไท่สุ้ยส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อเด็ดขาด
“ไม่รับปากรึ” เฉาเหว่ยปรายตามองเขาแล้วยิ้มหยัน “ต้องคล้อยตามเจ้าด้วยรึ ข้าจะบอกให้ ขืนวอแวเหยากวงของข้าอีก เจ้าจะอนาถกว่าคราวก่อน!”
หลายประโยคกล่าวจบ เฉาเหว่ยก็ยกเท้าก้าวไปข้างนอก กระทำเหมือนเพิ่งปัดไล่แมลงวันตัวหนึ่งไปให้พ้นกระนั้น
แต่บัดนี้ไท่สุ้ยกลับเดือดดาล ตามติดไปหนึ่งก้าว พลางคำรามลั่น “ข้าไม่ตกลง! เหยากวงก็ไม่มีวันตกลง! นิสัยใจคอบุตรสาวท่านเป็นอย่างไร แม่ทัพใหญ่สมควรกระจ่างชัดแจ้งกว่าข้า! ท่านเชื่อมั่นว่าจะหยุดยั้งพวกเราได้หรือ”
“หือ?” เฉาเหว่ยเดิมทีเดินมาถึงหน้าประตู แต่เมื่อได้ยินวาจาของไท่สุ้ยก็ชะงักฝีเท้ากึก หมุนตัวกลับมาอย่างเชื่องช้า บีบประชิดไท่สุ้ยทีละก้าว กระแสหนาวยะเยือกซ่านออกมาจากดวงตา
ไท่สุ้ยมีสีหน้าท่าทางสุขุม ไม่ถอยแม้สักก้าวขณะมองอีกฝ่ายบีบเข้ามาทีละก้าว มุมปากพลันผุดรอยยิ้มเย็นชา
เฉาเหว่ยเดินมาถึงตรงหน้า ทอดตามองไท่สุ้ย เห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านหวั่นเกรงของไท่สุ้ยก็ออกจะเลื่อมใสในใจ มองออกว่านิสัยใจคอของเจ้าหมอนี่ดื้อดึง หากใช้ไม้แข็งเกรงว่าจะไม่ได้การ
ทว่าเพื่อความสุขของบุตรสาวและเพื่ออนาคตของตระกูลเฉา หัวสมองขบคิดพลันมีแผนการ จึงเอ่ยประชดเสียงเย็น “บุตรสาวข้าจะได้เป็นฮองเฮา มิใช่หมาแมวที่ใดจะหมายปองได้ อย่าว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า เจ้าคิดแต่งกับนางก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีศักดิ์ฐานะที่พอกัน หากเจ้าสวมชุดคลุมม่วง ห้อยป้ายแถบปลาทอง298 ข้าจะยกบุตรสาวให้แต่งกับเจ้า ว่าอย่างไร”
ไท่สุ้ยได้ฟังก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล หัวเราะหยันเสียงหนึ่ง “นี่ยากอันใดกัน”
“นี่ยากอันใดกันอย่างนั้นหรือ ดี! มีศักดิ์ศรี มีความกล้า มีความเด็ดเดี่ยว! ข้าเลื่อมใส!” เฉาเหว่ยถลึงตาใส่ มองเขาอย่างไม่เชื่อ
เอ? ไท่สุ้ยเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ถูกต้อง หันไปมองไคหยาง ก็เห็นไคหยางทำหน้าพิกล ทั้งหน้าแดงก่ำคล้ายกำลังอดกลั้นบางอย่าง
“พี่ไคหยาง!” มิรู้ว่าด้วยเหตุใด ไท่สุ้ยเกิดระย่อขึ้นมาบ้าง เรียกออกไปเสียงหนึ่งอย่างขอความช่วยเหลือ
“ฮ่าๆๆ!” ไคหยางกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ปล่อยหัวเราะพรวดออกมา “ไท่สุ้ย ชุดคลุมม่วงห้อยป้ายแถบปลาทอง มีเพียงขุนนางขั้นสามถึงสวมได้”
ขั้นสาม? ไท่สุ้ยตะลึงงัน จากนั้นก็เดือดดาล หันไปถลึงตามองเฉาเหว่ย “ประเสริฐนัก แม่ทัพใหญ่เฉา ท่านขุดหลุมให้ข้ากระโดดลงไปนี่”
เฉาเหว่ยแคะขี้หู ยิ้มอย่างลำพอง “มีหรือ เจ้าอยากแต่งเหยากวงของบ้านข้า ข้าก็ให้โอกาสแล้ว เพียงเอ่ยข้อแม้เล็กน้อยก็สมเหตุสมผลยิ่งนัก อีกอย่าง... เจ้าเองก็รับปากแล้ว”
ไท่สุ้ยทำหน้าโมโห “ข้าไม่รู้เลยสักนิดว่าผู้ใดถึงสวมชุดคลุมม่วงได้ ข้า...”
“ชายชาติอาชาไนยหนึ่งคำหลุดจากปาก สี่อาชายากควบไล่ เจ้ารับปากแล้ว!” เฉาเหว่ยมองเขาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “หรือเจ้านึกเสียใจ”
“นั่นเพราะข้า...” ไท่สุ้ยโต้แย้ง
“เจ้ารับปากแล้ว!” เฉาเหว่ยยืนกรานอย่างดื้อรั้น
“แต่ว่า...”
“เจ้ารับปากแล้ว!”
“ท่าน...”
“เจ้ารับปากแล้ว!”
ไท่สุ้ยโกรธถึงขีดสุด กระทืบเท้าเอ่ย “ได้! ข้ารับปากแล้ว! ขุนนางขั้นสามใช่หรือไม่ ข้าจะสวมชุดคลุมม่วงให้ได้”
เฉาเหว่ยยิ้มหยัน “ใช่แล้ว แต่ว่าตอนนี้เจ้าเป็นเพียงผู้คุ้มกันกระมัง กระทั่งตุลาการสัญจรยังไม่ได้เป็น คิดสวมชุดคลุมม่วงรึ ต่อให้หนทางในราชการราบรื่นก็ต้องตรากตรำไปอีกสามสิบปี”
ไท่สุ้ยยิ้มเย็นชาตอบกลับ “ดังนั้นว่าที่ท่านพ่อตาของข้าต้องอายุยืนนานสักหน่อย ไม่เช่นนั้นท่านอาจไม่ได้เห็นวันที่ข้าแต่งบุตรสาวท่าน”
เฉาเหว่ยแค่นเสียงคราหนึ่ง “เจ้าวางใจ แม่ทัพอย่างข้าย่อมอยู่ถึงร้อยปี งานเลี้ยงวันเกิดร้อยปีจะแต่งลูกสาว”
สองคนโต้กันไปมา ท่านคำ ข้าคำ ไม่ยอมลงให้กัน
จนถึงสุดท้าย ทั้งคู่ต่างก็ไร้วาจาจะเอ่ย เผชิญสายตากัน เมื่อสายตาปะทะกันก็ราวกับเกิดประกายไฟขึ้น สะบัดหน้าพรืด แค่นเสียงเย็นชาพร้อมกัน แยกย้ายเดินไปคนละทิศละทาง
ไท่สุ้ยเดินตะบึงตะบอนออกจากโถงใหญ่ พลันได้ยินเสียงเรียกของแม่ทัพใหญ่เฉา
“ข้าถูกเจ้าทำให้โมโหจนเลอะเลือนแล้ว! ข้าไม่รอเจ้าจนร้อยปีหรอก! ครึ่งปี ภายในครึ่งปีหากเจ้าสวมชุดคลุมม่วงมิได้ เจ้าก็จงจากเหยากวงไปเสียแต่โดยดี!”
“หา?”
ครึ่งปีเลื่อนขึ้นขั้นสาม? ไท่สุ้ยซวนเซ ตะลึงตาค้าง
อุทยานฝ่ายใน พระราชวัง
วันนี้อารมณ์ของหลิวเอ๋อร์ไม่เลวนัก แม้บุตรชายไม่ใคร่รู้ความ แต่อย่างไรก็ยังเด็ก ผู้ใดไม่มีอารมณ์บ้าง ผ่านไปไม่กี่วันก็ดีแล้ว
นางดูแลพืชพรรณบุปผาไปพลางคิดเรื่องสมรสของบุตรชายไปพลาง ก่อนหน้านี้สอบถามหาฤกษ์ยามงามดีแล้วว่าเป็นอีกหนึ่งเดือนให้หลัง หากช้ากว่านี้อาจต้องรออีกครึ่งปี
ภายในหนึ่งเดือนก็จัดเรื่องสมรส ออกจะฉุกละหุกไปหน่อยหรือไม่
แต่ครึ่งปีก็นานเกินไป ออกจะรอคอยไม่ไหว
ขณะที่หลิวเอ๋อร์กำลังมองไปยังอนาคตอย่างเบิกบานใจนั่นเอง เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากด้านนอก
สีหน้าหลิวเอ๋อร์เคร่งขรึม ลุกขึ้นยืนเชิดคางไปทางนางกำนัลข้างตัว “ไปดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”
“เพคะ”
นางกำนัลรับคำสั่ง หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
แต่นางยังไม่ทันออกไป เสียงไท่สุ้ยก็ดังลอดเข้ามา “หลีกไป! ข้าจะเข้าเฝ้าไทเฮา”
หลิวเอ๋อร์ขมวดคิ้ว สีหน้ายิ่งอึมครึมเคร่งเครียด
ไม่รอให้นางกำนัลมารายงาน ไท่สุ้ยสะบัดขันทีออก ตะลุยเข้ามาแล้ว แต่เพิ่งมาถึงเบื้องหน้าหลิวเอ๋อร์ก็ถูกทหารองครักษ์เร่งรุดเข้ามาจับกดกับพื้น
“ไทเฮา ขอทรงเมตตา อย่าพรากข้ากับเหยากวง!” แม้จะถูกจับกดแต่ไท่สุ้ยก็ยังคงตะโกนลั่น
หลิวเอ๋อร์เดือดดาลนัก จ้องไท่สุ้ยอย่างดุดัน สายตาเยียบเย็น ถามเสียงมึนตึง “เจ้ารู้หรือไม่ บุกเข้าวังทำให้ตระหนกตกใจมีโทษทัณฑ์ใด”
ไท่สุ้ยถูกกดหมอบกับพื้น พยายามเงยหน้าอ้อนวอนเสียงดัง “ไทเฮา ทรงปล่อยเหยากวงเถอะ นางไม่อยากเป็นฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”
หลิวเอ๋อร์เห็นเขาไม่ตอบคำ ก็ยิ่งบันดาลโทสะในใจ หรี่ตามองเขาหลายครั้ง ก่อนหมุนตัวไปโบกมือ กำชับเสียงเรียบ “เจ้าหน้าที่ ลากเขาออกไปนอกวัง”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งรับคำ ดึงไท่สุ้ยขึ้นแล้วลากออกไปด้านนอก
ไท่สุ้ยไม่ยอมแพ้ ดิ้นรนร้องลั่น “ไทเฮา ทรงไม่มีเหตุผล! ทรงกระทำเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะสอนโอรสสวรรค์ให้กลายเป็นราชันที่เหี้ยมโหดหรอกหรือ...”
หลิวเอ๋อร์เดือดดาลถึงขีดสุด หันขวับมาชี้นิ้วไปด้านนอก สั่งอย่างดุร้าย “เจ้าบุกเข้าวังทำให้แตกตื่นตกใจ ทั้งยังกล้าลบหลู่ข้า! ไหนเลยมีเหตุผลเช่นนี้! ลากเขาออกไป โบยหกสิบไม้!”
ทหารองครักษ์ลากไท่สุ้ยมาถึงทางเดินปูกระเบื้องอย่างรวดเร็ว
ไม้โบยสีแดงชาดขนาดใหญ่สองด้ามสอดผ่านรักแร้ของไท่สุ้ยเพื่อกดร่างช่วงบนของเขา ยังมีไม้โบยอีกสองด้ามขัดกันตรงบริเวณข้อพับขา ไท่สุ้ยคุกเข่าลงก่อน ไม้โบยทั้งหมดก็กดลง ทั้งร่างไท่สุ้ยฟุบหมอบอยู่บนพื้น
ทหารสี่นายเหยียบหลังมือและข้อเท้าไท่สุ้ย เขากางแขนกางขาถูกเหยียบตรึงอยู่กับที่
ควับ...!
ไม้โบยถูกเหวี่ยงยกสูงขึ้น แล้วหวดลงจนเกิดเสียงลมฟาดบนบั้นท้ายไท่สุ้ย หนังเนื้อถูกกระทบบังเกิดเสียงดังกังวาน
โบยเพียงหนึ่งไม้ ไท่สุ้ยก็รู้สึกร้อนวาบราวกับถูกเหล็กเผาไฟนาบ เบิกตาโพลงทันที กัดฟันกรอดๆ แต่เขาก็แข็งกร้าวนัก ไม่ร้องสักแอะหนึ่ง ได้แต่สะกดกลั้นอย่างอดทน
เผียะ... เผียะ...
ทุกครั้งที่ไม้โบยหวดลง ไท่สุ้ยก็หายใจหอบหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าแดงก่ำ กัดฟันแน่น มุมปากกระอักโลหิต ใบหน้าบิดเบี้ยวเนื่องจากความเจ็บปวดรวดร้าว เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลไม่หยุด แต่เขายังคงไม่ร้องสักแอะ ไม่ยอมร้องขอวิงวอน
กลางตำหนักฉุยก่ง จ้าวเจินกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดนั่งบนบัลลังก์มังกรพลิกอ่านฎีกา ตอนนี้เองเสี่ยวหลินจื่อซึ่งมีสีหน้าเร่งร้อนแตกตื่นลนลานก้าวฝีเท้าเร็วเข้ามา ถึงตรงหน้าก็ทูลรายงานเสียงเบา
“อันใดนะ!” จ้าวเจินตระหนกยิ่ง “เจ้าว่ามาเป็นความจริงหรือ”
เสี่ยวหลินจื่อออกแรงพยักหน้า เอ่ยอย่างร้อนใจ “เป็นความจริง ฝ่าบาท หากช้าอีกนิด ไท่สุ้ยคงถูกโบยจนตายแล้ว!”
สีหน้าของจ้าวเจินเปลี่ยนแปลงใหญ่โต โยนฎีกาทิ้ง วิ่งฝีเท้าเร็วออกไปด้านนอก เสี่ยวหลินจื่อรีบไล่กวด
นอกประตูพระราชวัง บั้นท้ายของไท่สุ้ยถูกโบยจนหนังแตกเนื้อปริเป็นแผลฉกรรจ์ โลหิตแดงสดเปรอะเสื้อผ้า
จ้าวเจินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ตะโกนลั่นแต่ไกล “หยุดมือ! หยุดมือ!”
ทหารผู้ทำหน้าที่ลงทัณฑ์ชะงักกึก ก่อนถอยไปยืนสองข้างทาง
จ้าวเจินประชิดมาถึงเบื้องหน้า พุ่งเข้าไปกอดไท่สุ้ยอย่างร้อนใจ เห็นท่าทางน่าอนาถของเขาน้ำตาก็คลอ พลางเอ่ยเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ไท่สุ้ย...”
เอ่ยเพียงเท่านั้น จ้าวเจินก็พูดไม่ออกอีกต่อไป กลับเป็นไท่สุ้ย แม้อ่อนแอหาใดเปรียบ แต่เวลานี้เขายังยิ้มออก
“วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร!” ในดวงตาไท่สุ้ยเผยให้เห็นความปลื้มปีติ แต่แล้วก็ทอดถอนใจเสียงหนึ่ง
“รีบเรียกหมอหลวง! รีบเรียกหมอหลวง...” จ้าวเจินร้องสั่ง น้ำตาไหลพรากไม่หยุด
เสี่ยวหลินจื่อเพิ่งวิ่งมาถึง ได้ยินคำสั่งก็หมุนตัววิ่งกลับไป
ผ่านไปเช่นนี้ ความสามารถในการฟื้นตัวอันน่าตื่นตะลึงของไท่สุ้ยก็สำแดงอานุภาพ แม้ยังคงอ่อนล้ายากทานทน แต่อย่างน้อยร่างกายก็สามารถกระดุกกระดิกได้เล็กน้อย
เขาดึงชายแขนเสื้อของจ้าวเจิน เอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาท ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ส่ง...ส่งข้ากลับหน่วยดาวพิฆาตเถอะ ฝีมือทางการแพทย์ของผู้อาวุโสต้งหมิงเลิศล้ำ ฝ่าบาทไม่ต้องทรงเป็นกังวล”
จ้าวเจินพยักหน้า ยกแขนขึ้นปาดเช็ดน้ำตา หันไปกำชับ “เจ้าหน้าที่! ยกเสลี่ยงคานหามของเรามาส่งพี่ใหญ่ไท่สุ้ยกลับหน่วยดาวพิฆาต!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ทหารองครักษ์รับคำสั่งจากไป เสลี่ยงคานหามถูกยกเข้ามาโดยทหารสี่นาย จ้าวเจินสั่งการให้ยกไท่สุ้ยขึ้นไปนอนตะแคงอยู่ด้านบน แล้วหันไปกำชับเสี่ยวหลินจื่อที่วิ่งเข้ามาหลายคำ
เสี่ยวหลินจื่อพยักหน้าต่อเนื่อง ออกจากวังไปพร้อมเสลี่ยงคานหาม
จ้าวเจินเดินตามไปส่งอยู่หลายก้าว ก่อนชะงักฝีเท้า ในดวงตาฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หมุนตัวสาวเท้ายาวเดินกลับไป
ฝ่ายใน หลิวเอ๋อร์กำลังดื่มชาอย่างเอ้อระเหย พลันเสียงฝีเท้าเร่งร้อนแว่วมาจากภายนอก เพียงชั่วพริบตาก็เห็นจ้าวเจินเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามา
เขาจ้องหลิวเอ๋อร์อย่างโมโห เอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “ท่านแม่ ท่านกระทำต่อไท่สุ้ยอย่างนี้ได้อย่างไร”
สีหน้าหลิวเอ๋อร์เฉยเมย วางจอกชาลงแล้วปรายตามองบุตรชายอย่างราบเรียบแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่รู้สึกรู้สา “อย่างไร เขาบุกฝ่าเข้ามาในวังต้องห้าม ลบหลู่ไทเฮา แม่ไม่อาจลงโทษเขารึ”
“ไท่สุ้ยสร้างคุณงามความชอบต่อแผ่นดิน ความผิดเล็กน้อยก็ถึงกับลงทัณฑ์ บรรดาขุนนางเห็นแล้วไหนเลยไม่ระย่อ” สีหน้าจ้าวเจินแข็งกร้าว สายตาที่มองหลิวเอ๋อร์คล้ายกำลังมองคนแปลกหน้า
“มีความชอบก็ตกรางวัล มีความผิดก็ลงทัณฑ์! แยกแยะชัดเจน ถึงเป็นเหตุผล!” หลิวเอ๋อร์เอ่ยเสียงเย็นชา
“ท่านแม่ ท่านโต้แย้งข้างๆ คูๆ ท่านอย่าลืมว่าเขาเคยช่วยชีวิตลูก ขุนนางจงรักภักดีมีความชอบ ท่านแม่ไม่กลัวว่าผู้คนจะครหาว่าพวกเรากระต่ายป่าสิ้น ต้มหมาล่าเนื้อ299 หรอกหรือ” จ้าวเจินหายใจกระชั้น หลังพูดจบแล้วก็เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ด่ากราดระบายอารมณ์ใส่ขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง
“ไป! ไสหัวไปยกน้ำชามาให้เรา ไม่มีตารึ!”
ขันทีผู้นี้อายุอานามใกล้เคียงกับเสี่ยวหลินจื่อ เพียงแต่คิ้วตาไม่กระจ่างอย่างเสี่ยวหลินจื่อ ตรงกันข้ามกลับมีรูปร่างกลม เป็นตอม่ออ้วนโดยสมบูรณ์
ได้ยินคำสั่งของจ้าวเจิน ตอม่ออ้วนน้อยก็ตกใจจนตัวสั่น ปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้า หันไปมองไทเฮาด้วยความเคยชิน
เพลิงโทสะของจ้าวเจินเอ่อท้น เลือดสูบฉีดใบหน้าจนแดงก่ำ ยกขาถีบไปทีหนึ่ง สบถด่าเอ็ดตะโร “บ่าวสุนัขตัวนี้! เราให้เจ้าไปยกชา ได้ยินหรือไม่ เจ้าไม่ได้ยิน...”
เขาถีบไปหลายครั้งยังไม่คลายโทสะ กระโจนเข้าไปต่อยอัดอีกหลายหมัด
ขันทีอ้วนที่น่าสงสารอย่าว่าแต่หลบเลี่ยง กระทั่งร้องยังไม่กล้าร้องสักแอะ ได้แต่กุมศีรษะคุดคู้อยู่ตรงนั้น ปล่อยให้จ้าวเจินเตะต่อยตามอำเภอใจ
เคราะห์ดีที่จ้าวเจินอายุยังน้อย พละกำลังมีจำกัด อีกทั้งนิสัยใจคอดั้งเดิมก็ดีงาม ต่อให้โกรธแค้นถึงขีดสุดก็พุ่งเป้าไปที่บริเวณเนื้อพูนของอีกฝ่าย และให้พอดีที่ขันทีน้อยอวบอ้วน แม้จะเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่เพียงชั่วไม่กี่ประเดี๋ยวก็คลาย ไม่ได้รับบาดเจ็บใด
มองบุตรชายต่อยตีขันทีระบายอารมณ์ สองตาของหลิวเอ๋อร์พลันแดงก่ำและไม่เอ่ยปราม เพียงรอให้จ้าวเจินระบายอารมณ์ให้เพียงพอ ถึงได้โบกมือให้ขันทีออกไป
จ้าวเจินหายใจหอบกระชั้นทิ้งตัวลงนั่ง ลมหายใจค่อยๆ สงบนิ่ง นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ มิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
เห็นเขาท่าทางเช่นนี้ หลิวเอ๋อร์ก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับที่หางตา เอ่ยเสียงสะอื้น “ลูกเจิน เจ้ายังรู้จักเหตุผล แล้วไยแม่จะไม่รู้เล่า”
ครั้นเห็นมารดาหลั่งน้ำตา จ้าวเจินก็ตระหนกลนลาน รีบลุกขึ้นยืนมองมารดาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี “ท่านแม่ ท่านอย่าร้อง”
เขาไม่เอ่ยวาจายังพอว่า ทันทีที่เอ่ยคำ น้ำตาของหลิวเอ๋อร์ก็ร่วงเผาะ
“ลูกเอ๋ย แท้จริงแล้วแม่เองก็ไม่อยากลงโทษไท่สุ้ย แต่บัดนี้เจ้ายังอายุน้อย โปรดปรานเชื่อใจขุนนางใกล้ชิดที่อายุอานามใกล้เคียงกัน ย่อมเกิดเรื่องได้ง่าย โดยเฉพาะไท่สุ้ยกับเหยากวงรักกัน ส่วนบิดาของเหยากวงเป็นแม่ทัพกุมอำนาจสำคัญ พี่น้องตระกูลเฉาหลายคนล้วนเป็นขุนนางระดับสูง ทั้งสองหากจับคู่กัน ไท่สุ้ยจะส่งผลกระทบต่อเจ้า ยากรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ ‘ปฏิวัติเฉินเฉียว’ ซ้ำรอย ไม่อาจไม่ป้องกัน!”
จ้าวเจินส่ายหน้ากล่าว “ไท่สุ้ยมิใช่คนแบบนั้น!”
หลิวเอ๋อร์เห็นเขาทำท่าทางเช่นนี้ก็อดทอดถอนใจมิได้ “ที่นี่ไม่มีคนนอก มีเพียงเราสองแม่ลูก ไม่กลัวกล่าวเรื่องน่าอายของครอบครัว ตอนนั้นโจวสื้อจงไฉหรง300 ก็นับจ้าวควงอิ้นเป็นพี่น้อง มอบกำลังทหารสำคัญ มอบตำแหน่งใหญ่ให้ ต่อมาจ้าวควงอิ้นมิใช่...”
“ท่านแม่ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” แม้จ้าวเจินอายุยังน้อย แต่ได้รับการศึกษาแห่งราชวงศ์มาตั้งแต่เล็ก คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ช่วงบุกเบิกราชวงศ์เป็นพิเศษ ในสายตาเขา จ้าวควงอิ้นหรือไท่จู่ฮ่องเต้สถาปนาต้าซ่งได้ในตอนนั้น แม้จะมีที่ไม่สมพระเกียรติไปบ้างก็ตาม แต่ที่สำคัญเป็นเพราะสมัยนั้นอยู่ในช่วงกลียุค
ในช่วงกลียุค จิตใจผู้คนระส่ำระสาย ไม่ว่าราษฎรหรือทหารล้วนรู้สึกไม่มั่นคง วันนี้ท่านสถาปนาตนเป็นอ๋อง พรุ่งนี้ข้าขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ใดมีใจจงรักภักดีต่อผู้กุมอำนาจ
และเนื่องเพราะเหตุนี้ ภายใต้สถานการณ์ในตอนนั้น ราษฎรต่างไม่ใคร่ยอมสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ของสกุลโจว
แต่ปัจจุบันนี้สภาพการณ์ของต้าซ่งนั้นแตกต่าง แม้ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองสงบสุข แต่อย่างน้อยราษฎรยังนับได้ว่าดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยเป็นสุข ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ต่อให้มีคนคิดปฏิวัติล้มล้าง กองทัพจะยินยอมกระทำตามหรือ ราษฎรจะสนับสนุนหรือ
ในใจมีความคิดเช่นนี้ จ้าวเจินย่อมไม่เชื่อว่าไท่สุ้ยมีใจคิดล้มล้าง ถึงขั้นต่อให้มีความคิดเช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้ว่าจะสำเร็จ
ทว่าหลิวเอ๋อร์ก็มีเหตุผลของตนเอง “มิผิด แม่คิดมากเกินไป แต่เช่นนี้มิใช่เพื่อป้องกันก่อนเกิดภัยพิบัติขึ้นหรอกหรือ”
จ้าวเจินส่ายหน้ากล่าว “หากข้าแต่งกับเหยากวง ก็จะสูญเสียไท่สุ้ยพี่น้องผู้นี้ไปตลอดกาล!”
“พี่น้อง?” หลิวเอ๋อร์จ้องเขาอย่างโมโหที่ไม่ได้ความ เอ่ยตำหนิ “ลูกเจิน เจ้าอย่าลืม เจ้าเป็นถึงโอรสสวรรค์ ในฐานะโอรสสวรรค์ ไหนเลยจะใช้อารมณ์จัดการราชกิจ เพื่อแผ่นดิน บางครั้งเจ้าต้องกระทำเรื่องฝืนใจ นี่คือค่าตอบแทนที่ฮ่องเต้ต้องจ่าย”
จ้าวเจินยังคงส่ายหน้า มองหลิวเอ๋อร์อย่างจริงจัง กล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง “หากกระทำเช่นนี้ถึงเป็นฮ่องเต้ที่ดี เช่นนั้นลูกก็ไม่คู่ควรกับการเป็นฮ่องเต้! ลูกยอมไม่เป็นฮ่องเต้เสียดีกว่า!” พูดจบก็สะบัดชายแขนเสื้อจากไป
มองเงาหลังดื้อรั้นของเขา ใบหน้าหลิวเอ๋อร์ก็ฉายความสลดเศร้า ถอนหายใจยาวแล้วนิ่งงัน
“เหยากวง เจ้า... จะไปไหน”
พอเห็นเหยากวงสะพายห่อสัมภาระเดินออกมาจากห้อง เฉาเหว่ยก็ทำหน้าแตกตื่น
เหยากวงมองเฉาเหว่ยด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่เอ่ยสักคำ เพียงสาวเท้าเดินออกไปด้านนอก
“เจ้าคิดจะหนีออกจากบ้านหรือ” เห็นนางมีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ เฉาเหว่ยก็อึดอัดกลัดกลุ้มนัก คว้าตัวเหยากวงไว้
ครั้นถูกบิดารั้งไว้ เหยากวงก็ไม่ดิ้นรน เพียงจ้องมองเขานิ่งๆ ถามเสียงทุ้มต่ำ “ท่านพ่อ ลูกอยากถามท่าน ตระกูลเฉาเราประสบพบเจอเรื่องยุ่งยากใหญ่หลวงอันใดถึงต้องกอดขาราชวงศ์ไว้เพื่อให้อยู่รอดหรือ”
เฉาเหว่ยอึ้งงัน “นี่วาจาอันใดกัน”
เหยากวงถามอีก “เช่นนั้น... ตระกูลเราตกต่ำจนต้องเป็นทองแผ่นเดียวกับราชวงศ์เพื่อยกระดับฐานะตนเองหรือ”
เฉาเหว่ยจ้องบุตรสาวอย่างอึ้งงัน เอ่ยวาจาไม่ออก
สีหน้าเหยากวงเฉยชา สวมเสื้อแพรสีอ่อน ยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น คล้ายดอกบัวเพิ่งพ้นน้ำ กำเนิดจากโคลนตมแต่ไม่แปดเปื้อน
เมื่อเห็นเฉาเหว่ยเอ่ยอันใดไม่ออก เหยากวงก็มีสีหน้าเยือกเย็น เอ่ยเสียงเรียบ “หากมีความจำเป็น ตระกูลเฉาให้กำเนิดข้า เลี้ยงดูข้า เพื่อทั้งวงศ์ตระกูล ข้าก็ยินดีเสียสละตนเอง หากว่ามิใช่ ขอท่านอย่าได้นำสิ่งที่ท่านคิดว่าเป็นความสุขอย่างแน่นอนมายัดเยียดให้ข้า ข้าไม่ชื่นชอบ ไม่ชื่นชอบอย่างแท้จริง!”
แม่ทัพใหญ่เฉาอึ้งงัน ชั่วขณะถึงกับไร้วาจาตอบโต้
เหยากวงมองใบหน้าของบิดาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ในดวงตาไร้ซึ่งอารมณ์สักครึ่งส่วน เห็นเขาไม่ตอบก็ไม่บีบคั้น ได้แต่เดินอย่างแช่มช้าเฉียดผ่านข้างตัวเขาไป คล้ายก้อนเมฆที่กำลังลอยเลื่อนผ่านไป
เฉาเหว่ยที่นิ่งงันไปครู่หนึ่งหันขวับมาอย่างร้อนใจ “ลูกเหยา เจ้าไปที่ใด”
“ข้ากลับไปพักที่หน่วยดาวพิฆาตหลายวันหน่อย ข้าคิดถึงเขาแล้ว” เหยากวงสาวเท้ายาวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับ
ลมพัดมาวูบหนึ่ง ผมยาวสลวยของนางปลิวไสว เฉาเหว่ยยืนนิ่งอยู่กับที่ มองเหยากวงเคลื่อนตัวจากไป สีสันบนใบหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุด
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดครึ้ม กลางตำหนักฉือหนิงมีแสงเทียนสว่างกระจ่างตา
สองตาหลิวเอ๋อร์บวมเป่ง เด่นชัดว่าเพิ่งร่ำไห้มา บัดนี้กำลังเอนร่างพิงบนตั่ง สองตาเบิกโพลงจับจ้องเพดาน ครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง
นอกม่านมุก นางกำนัลที่ยืนด้านซ้ายขวาข้างละสองคนกำลังกระซิบกระซาบกัน
“ฝ่าบาทมาถวายพระพรแต่เช้าตรู่ทุกวันไม่เคยขาด วันนี้เวลานี้แล้วไฉนยังไม่มา”
“เฮ้อ ฝ่าบาททรงขัดแย้งกับไทเฮา ทำเอาพวกเราบรรดาบ่าวไพร่ต้องอกสั่นขวัญแขวนไปด้วย”
“เฮ้อ! ผู้ใดว่ามิใช่เล่า”
บัดนี้ขันทีวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา เห็นนางกำนัลสุมหัวซุบซิบกัน แววตาก็เย็นยะเยือก
สองนางกำนัลถูกแววตาดุดันจดจ้อง ต่างขนลุกเกรียวกันทันที รีบก้มหน้างุด ไม่กล้าเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์
ขันทีวัยกลางคนแค่นเสียงเฮอะ เลื่อนสายตาไป ก่อนสาวเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว รายงานผ่านม่านมุกเสียงเบา “ไทเฮา แม่ทัพใหญ่เฉาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“อือ!” หลิวเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่ง คิดแล้วก็ผายมือ “ให้เข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีวัยกลางคนถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิวเอ๋อร์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
นางกำนัลรีบแหวกม่านมุก ประคองหลิวไทเฮาเดินเนิบช้าออกมา
เฉาเหว่ยเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว ถวายบังคมแล้วกล่าว “กระหม่อมเฉาเหว่ย ถวายบังคมไทเฮา”
“ไม่ต้องมีพิธีรีตอง แม่ทัพใหญ่ ไฉนมายามนี้”
เฉาเหว่ยอึกอักไปครู่หนึ่ง ก่อนก้มหน้าประสานมือคำนับ “กระหม่อมมาครานี้ เพื่อขอพระกรุณาจากไทเฮา ประทานอนุญาตให้กระหม่อมลาออกจากทุกตำแหน่งในกองทัพพ่ะย่ะค่ะ!”
หลิวเอ๋อร์ถลึงตาตั้ง มองมาทางเฉาเหว่ย
ความคิดเห็น |
---|