1

บางครั้งชีวิตก็เหมือนโชคชะตาเล่นตลก

หากโชคชะตาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง คงเป็นมนุษย์นิสัยเสียเอาแต่ใจจนเรียกได้ว่ากวนประสาท 

ในเวลาที่คาดหวังเหลือเกินว่าจะได้รักใครคนหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ โชคชะตากลับแยกเราออกจากกัน แต่ในเวลาที่เราปล่อยวางและคิดไปแล้วว่าชาตินี้คงไม่ได้เจอเขาอีก โชคชะตากลับจูงมือใครคนนั้นมาใส่มือเราดื้อๆ เสียอย่างนั้น

ช่วงชีวิตหนึ่งของฐากรเคยบัดซบสิ้นดีจนอยากจะลบเวลาเหล่านั้นทิ้งไปจากสมอง ประหนึ่งว่าไม่เคยมีมันอยู่ แต่นอกจากเรื่องที่ว่าในความเป็นจริงนั้นมันทำไม่ได้ ช่วงเวลาเหล่านั้นยังมีใครบางคนที่สลักลึกอยู่ในใจ กินพื้นที่ความทรงจำจางๆ เป็นความอบอุ่นหนึ่งเดียวในช่วงเวลาอันหนาวเหน็บ

ใครคนนั้นที่เขาเคยใช้เวลาหลายปีในการติดตามหา แต่เหมือนโชคชะตาจะพาให้พวกเขาคลาดกันราวกับกลั่นแกล้ง จนในที่สุดเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ความทรงจำที่มีเธออยู่ก็กลายเป็นเพียงภาพอันเลือนราง

เจ้าของแผ่นหลังบอบบางที่ก้าวมายืนตรงหน้าเขากลายเป็นเพียงแสงสว่างเล็กๆ ในความทรงจำที่พร่าเลือน...

เสียงสัญญาณเตือนให้รัดเข็มขัดพร้อมกับการลดระดับลงของเครื่องบินที่อยู่บนฟ้าเตือนให้ชายหนุ่มละมือจากแท็บเล็ตที่ใช้อ่านหนังสือ แล้วเก็บสัมภาระที่มีอยู่ไม่กี่อย่างลงกระเป๋าที่ยัดไว้ใต้เบาะเก้าอี้ ก่อนจะเอียงศีรษะแนบกับกระจกมองแผ่นน้ำและแผ่นดินที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ท่องเที่ยวไปหลายประเทศทั่วโลก สนามบินภูเก็ตเป็นหนึ่งในสนามบินที่เขาประทับใจในส่วนของทิวทัศน์ระหว่างแลนดิงลงรันเวย์

ด้วยฤดูกาลและทิศทางลมทำให้วันนี้กัปตันแลนดิงลงทางหาดไม้ขาวที่มักมีนักท่องเที่ยวมายืนรอถ่ายรูป ชายหนุ่มอมยิ้มนิดๆ เมื่อหลายปีก่อนเขาเองก็เคยไปยืนรอถ่ายรูปแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เลือกไปผิดช่วงฤดูกาล แทนที่จะได้ภาพเครื่องบินแลนดิงอย่างช้าๆ สวยๆ กลับเจอเครื่องบินกำลังเทกออฟอย่างรวดเร็วจนแทบถ่ายอะไรไม่ทัน

สองปีมานี้เขากลับมาทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ตามคำชักชวนของรุ่นพี่คนไทยที่เจอกันที่มหาวิทยาลัยในแคนาดา ด้วยอาชีพที่ทำและงานอดิเรกที่ชื่นชอบอย่างการดำน้ำผลักดันให้เขาศึกษา และเก็บชั่วโมงบินจนได้เป็นไดฟ์มาสเตอร์ หลายครั้งที่โรงเรียนดำน้ำลึกของรุ่นพี่คนไทยคนนั้นจัดทริปพานักเรียนไปดำน้ำ เขาจึงติดสอยห้อยตามไปช่วยเป็นไดฟ์ลีดบ้างหรือช่วยปิดท้ายกลุ่มคอยดูนักดำน้ำมือใหม่ที่ยังควบคุมการลอยตัวได้ไม่ดีนักอยู่บ้าง

เช่นเดียวกับครั้งนี้ ทางโรงเรียนสอนดำน้ำจัดทริปที่แหล่งดำน้ำลึกในเขตจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูลซึ่งนักดำน้ำจะคุ้นเคยกันดีในชื่ออันดามันใต้ โดยจะรวมตัวกันที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อขึ้นเรือในรูปแบบ Liveaboard1 จากนั้นจะใช้เวลาอยู่บนเรือถึงห้าวันสี่คืน

เมื่อเครื่องบินจอดนิ่งสนิท ผู้โดยสารก็ทยอยเก็บของลงจากเครื่อง ด้วยนิสัยไม่ชอบไปยืนเบียดกับใคร เขาจึงนั่งรอจนคนซาแล้วค่อยลง เพราะวันนี้เขาเลือกไฟลต์ที่มาถึงภูเก็ตตอนห้าโมงเย็น กว่าจะถึงเวลานัดก็อีกสองชั่วโมงกว่าๆ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนัก

ดูเหมือนผู้โดยสารที่นั่งอยู่เบาะถัดไปด้านหลังจะใจตรงกันกับเขา จึงได้ยินเสียงพูดคุยกันดังแทรกขึ้นมา

“ต่อนยอนมากค่ะเพื่อน จะไม่ลงใช่ปะ”

“แกรีบเหรอแยม ถ้ารีบแกไปก่อนเลยเดี๋ยวฉันตามไป ขี้เกียจไปเบียด”

น่าแปลกที่เสียงใสเล็กขึ้นจมูกนิดๆ นั้นทำให้ฐากรใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย อยู่ดีๆ ภาพเจ้าของแผ่นหลังเล็กที่ยืนจังก้าขวางระหว่างเขากับเพื่อนร่วมโรงเรียนก็วาบเข้ามาในสมอง

แต่คงไม่ใช่...

ผ่านมาตั้งกี่ปี คนมีเป็นล้าน จู่ๆ เกิดจะวนมาเจอกันตอนนี้ก็ออกจะประหลาดเกินไปหน่อย ผู้หญิงเสียงเล็กๆ เหมือนเด็กแบบนี้มีถมไป

จังหวะหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นค่อยช้าลงจนเกือบเป็นปกติ ฐากรนั่งฟังเสียงผู้หญิงสองคนด้านหลังคุยกันฆ่าเวลา

“เออ ตกลงแกซื้อคอนแทกต์เลนส์ปะเนี่ย แล้วทำไมไม่เอาแมสก์2ไปเปลี่ยนเลนส์ซะทีวะ ใส่ทีเจ็บทีบ่นที” คนที่น่าจะชื่อแยมบ่นคนเป็นเพื่อน

“แพงอะ งบประมาณปีนี้ชั้นลงไปกับไดฟ์คอม3 ได้โปรดเห็นใจ” 

ฟังแล้วฐากรก็สรุปได้ว่าทั้งคู่น่าจะมาดำน้ำเหมือนกัน ก็อย่างว่า ภูเก็ตเป็นเป้าหมายของนักดำน้ำทั่วโลก บางครั้งจุดดำน้ำจุดเดียวเรือล้อมเป็นสิบ โดดลงไปเจอคนแน่นยังกับตลาดน้ำ

“ไม่รู้ทะเลเป็นไง อันดามันเหนือรอบที่แล้ว ริเชลิว4น้ำอย่างขุ่น จะหลงกับลีด5ให้ได้”

“แกจะหลงกับลีด ฉันคือหลงไปแล้ว จังหวะชุลมุนหลุดไปอยู่กับกรุ๊ปญี่ปุ่น งงมาก ทำไมว่ายกันเรียบร้อยจัง”

“แกเล่าร้อยทีก็ขำร้อยทีอะหยา แล้วคือใจแม่งนิ่งมาก ตามดูของกับเขาต่ออีก”

หยา?

ชื่อนั้นทำให้หัวใจคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเต้นรัวเป็นจังหวะแทงโก้ หน้าร้อนวูบเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสดใส

“ก็ไม่รู้ทำไงนี่นา เขาหันมาชี้ให้ฉันดูด้วยอะ เป็นแกจะปฏิเสธเหรอ ดีว่าท้ายไดฟ์ฉันจำฟิน6พี่แอมมี่ที่ทำเซฟตีสตอป7อยู่พอดีได้ ไม่งั้นก็คงขึ้นเรือไปกับเขาแล้วให้ไปส่งเรือเราอีกทีอะ”

ฐากรเม้มปากระหว่างที่ชั่งน้ำหนักว่าควรหันไปดูให้รู้เรื่องไปเลยดีมั้ย แต่ก่อนสมองที่กำลังประมวลผลเรื่องความเหมาะสมจะตามทัน มือแข็งแรงก็คว้ากระเป๋าที่วางไว้ข้างตัว ผุดลุกขึ้นแล้วเอี้ยวตัวไปมองหน้าคนที่ยังหัวเราะร่วนเสียงใสเสียแล้ว

เสียงหัวเราะหยุดลงเมื่อผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าผุดลุกกะทันหันแล้วหันมาทางหญิงสาวทั้งคู่พอดี

รอยยิ้มของกุลกัลยาแข็งค้างขณะเงยหน้ามองคนที่ไม่อาจยืนเหยียดเต็มความสูงได้ เพราะติดช่องใส่ของเหนือศีรษะ  เขาหันมาจ้องใบหน้าเธอนิ่งด้วยดวงตาวาววับเป็นประกายอย่างจดจำกันได้ เครื่องหน้าคมคายที่คุ้นเคยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจที่ก่อนหน้านี้เต้นอยู่ประมาณแปดสิบครั้งต่อนาทีน่าจะทะยานไปถึงร้อยยี่สิบ ทว่าหญิงสาวก็ไม่ได้สนใจจะพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู

ญาณิศาหน้าเสียเมื่อเห็นผู้ชายตัวโตลุกพรวดพราดขึ้นมาจ้องหน้าเพื่อน คิดไปว่าพวกเธออาจจะทำเสียงดังรบกวนผู้โดยสารท่านอื่นจึงรีบออกปากขอโทษ

“อุ๊ย เสียงดังไปหรือเปล่าคะ ขอโทษนะคะ”

อีกฝ่ายราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเธอ กลับจ้องหน้ากุลกัลยาอย่างไม่ละสายตา ทั้งสองสบตากันราวกับเล่นเกมวัดใจว่าใครจะเป็นฝ่ายกะพริบตาก่อน

“ไฮ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ฐากรเผยยิ้มออกมา ดวงตายังเป็นประกาย สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ

เคยข้ามน้ำข้ามทะเลตามหาจนท้อใจครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งคิดว่าโชคชะตาคงไม่ได้ขีดเส้นมาให้เส้นทางชีวิตของพวกเขามาบรรจบเจอกันอีกแล้ว ถอดใจจนอีกไม่กี่เดือนเขากำลังจะกลับไปอยู่กับครอบครัวที่แคนาดา แล้วโชคชะตาตัวดีก็ส่งเธอมาทันเวลาพอดี

“ไฮ” หญิงสาวส่งเสียงเล็กขึ้นจมูกนิดๆ ดวงตาใต้แว่นตากรอบกว้างสีดำจ้องตอบเขม็งราวกับจะไม่ยอมแพ้ในเกมจ้องตา “แท็บบี้”

ฐากรทำหน้ายู่ 

“บอกแล้วว่าอย่าเรียกแบบนั้น ชื่อแท็บเฉยๆ”

“แล้วแท็บเฉยๆ มาทำอะไรที่ภูเก็ตเหรอ” 

ชายหนุ่มกลอกตา บางทีเขาก็เกลียดความกวนประสาทของอีกฝ่ายซะเหลือเกิน

“รู้จักกันเหรอ” ญาณิศางุนงง

“อื้อ” กุลกัลยาหันไปตอบเพื่อน “เพื่อนมัธยมน่ะ”

“มาดำน้ำ เธอล่ะ” เขาถามอย่างใครรู้ มองไปรอบๆ ผู้โดยสารทยอยกันลงจนบางตา อีกไม่นานเขาคงต้องไปบ้างแล้ว แต่อย่างน้อยต้องขอช่องทางติดต่อไว้ก่อน

“เฮ้ย” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้น ท่าทางดูเป็นมิตรมากกว่าตอนแรกเล็กน้อย “เหมือนกันเลย นี่ก็มาดำน้ำ ดำที่ไหนน่ะ”

“อันดามันใต้”

“หูย เหมือนกัน ไว้เจอกันในน้ำนะ”

พอผู้โดยสารลงจากเครื่องกันเกือบหมด ญาณิศาเลยหันมาเตือน

“ไปกันเถอะ ค่อยออกไปคุยกันข้างล่าง”

ทุกคนโหลดสัมภาระไว้ใต้เครื่องบินจึงต้องออกไปรอกระเป๋า ระหว่างทางหนุ่มสาวทั้งคู่คุยกันจนได้ความว่ากุลกัลยากับญาณิศาเพิ่งเรียนหลักสูตร Open water8 มาได้ปีเดียว และเคยไปดำน้ำที่ชุมพรกับอันดามันเหนือมาแล้ว นี่เป็นทริปอันดามันใต้ครั้งแรกของทั้งคู่

“แล้วตอนนี้นายทำอะไรอยู่นะ”

ฐากรยังหาช่องขอเบอร์หรือไลน์อีกฝ่ายไว้ไม่ได้

“เป็นช่างภาพน่ะ ตอนนี้หลักๆ อยู่ที่กรุงเทพฯ”

“โห เท่มาก” คนที่สูงแค่ไหล่เงยขึ้นมามองหน้าชายหนุ่มอย่างทึ่งจัด

“เธอล่ะ” ทำอะไรอยู่ อยู่ที่ไหน ขอเบอร์หน่อยสิ มีแฟนหรือยัง สี่ประโยคหลังเขาได้แต่คิดอยู่ในใจ

“อันนั้นเกียร์แบ็กแยมปะ” 

อีกฝ่ายไม่ทันได้ตอบก็หันไปเจอกระเป๋าใส่อุปกรณ์ดำน้ำของเพื่อนเสียก่อน แถมพุ่งไปคว้ากระเป๋าที่หนักสิบกว่ากิโลกรัมมาใส่รถเข็นให้เพื่อนเรียบร้อย

ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้ ทำไมไม่บอกเขาวะ

“เฮ้ย อันนั้นของฉัน”

พอได้ยินแบบนั้น ชายหนุ่มก็รีบถามก่อนที่คนที่สูงไม่น่าจะถึงร้อยหกสิบเซนติเมตรจะพุ่งไปแบกกระเป๋าลงจากสายพานอีก “อันไหน” 

พอเจ้าตัวชี้เขาก็เดินไปหยิบมาให้ ร่างเล็กพึมพำขอบคุณก่อนจะสำรวจกระเป๋า เมื่อกระเป๋าใบหนึ่งมาอีกใบก็ตามมาติดๆ สรุปไม่ได้ซักถามอะไรกันสักทีเพราะครู่เดียวก็ได้กระเป๋ากันครบ

พอใบหน้าเล็กที่ล้อมด้วยผมยาวเป็นมันเงาเงยขึ้นมามองด้วยสีหน้ายิ้มๆ เขาก็ขบกรามกรอด ภาพจำแวบผ่านเข้ามาเลือนรางเหมือนความฝัน ภาพสุดท้ายของเธอที่เห็นก็เป็นรอยยิ้มแบบนี้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะจากกันยาวนานจนราวกับจะเป็นตลอดกาล

“อย่า...” อย่าบอกลานะ

คิ้วบางได้รูปของคู่สนทนาเลิกขึ้น

“อย่าอะไร ไปหาที่นั่งด้วยกันมั้ย ของนายเขานัดกี่โมง” เจ้าของเสียงใสเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ไม่เจอตั้งนานแน่ะ คุยกันก่อนละกัน”

กุลกัลยาสรุปแล้วหันไปคว้าแขนเพื่อนอีกคนที่ยืนทำตัวไม่ถูก มีฐากรเดินตามมาช้าๆ พร้อมรถเข็นที่ใส่สัมภาระของทั้งสามคน

ญาณิศากระซิบกับเพื่อน “เพื่อนจริงปะเนี่ย ทำไมเคมีมันแปลกๆ วะ ฉันว่ากิ๊กเก่ามากกว่า”

“บ้านพ่อแกสิ”

ระหว่างเดินออกไปด้านหน้าของอาคารผู้โดยสาร ฐากรลอบสำรวจหญิงสาวที่เดินเกี่ยวแขนกับเพื่อนอยู่ด้านหน้า ความสูงของกุลกัลยาไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ห่างจากเขาเกือบฟุต รูปร่างที่เล็กบางดูอวบอิ่มขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ผอมเหมือนตอนเป็นเด็กสาวตัวบางที่ริอ่านพุ่งเข้ามาปกป้องเพื่อนร่วมชั้นที่ตัวโตกว่าเท่าตัว

ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทั้งเขาและเธอเปลี่ยนไปไม่น้อย มองจากตรงนี้กุลกัลยาดูโตขึ้นมาก ไม่ใช่ความสูง แต่เป็นแววตาที่ดูสุขุมขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ยังดูใจดีเหมือนเดิม

สมัยเรียนเรือนผมดำขลับเป็นมันเงาของกุลกัลยาสั้นแค่ปลายคาง รับกับใบหน้าเรียวเล็กขาวกระจ่าง ดวงตากลมโตสุกใสและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอยู่หลังคอนแทกต์เลนส์ ใต้แพขนตาที่ทั้งงอนทั้งหนาเป็นสีเข้ม เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยเห็นเธอใส่แว่นตาในช่วงที่เรียนมัธยม

ภาพลักษณ์ของกุลกัลยาคือส่วนผสมของเด็กสาวที่ทั้งฉลาดเฉลียว สมกับเป็นเด็กเรียนดีอันดับต้นๆ ของโรงเรียน บวกกับความหัวขบถ เหมือนพร้อมจะแหกทุกกฎที่มีอยู่ในโรงเรียนไปพร้อมๆ กัน

ชายหนุ่มมองปลายผมที่ขยับไหวไปมาอยู่กลางแผ่นหลัง เมื่อจมูกได้กลิ่นน้ำหอมที่กรุ่นออกมาจากร่างแบบบางก็เผลอสูดเข้าเต็มปอด แล้วครุ่นคิดอยู่ในใจว่าน่าจะเป็นกลิ่นอะไร...

กลิ่นส้มที่ลอยอวลให้บรรยากาศสดชื่นเหมือนบุคลิกเจ้าตัว

“อีกชั่วโมงกว่าๆ จะถึงเวลานัด ยังไม่เห็นมีพี่คนไหนมาเลย” ญาณิศาเปรยระหว่างหาที่นั่งที่จุดนัดพบ แล้วเอ่ยถามเพื่อนของเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน “อันนี้แท็บไปกับเรือลำไหนเหรอ”

ฐากรบอกชื่อเรือไป

“อ้าว” กุลกัลยาทำตาโต “ลำเดียวกันกับที่ไปกับโรงเรียน...เหมือนกันเหรอ ฉันก็ไม่ได้ดูในเฟซที่พี่เขาตั้งกรุ๊ปไว้เลยว่ามีใครบ้าง จำได้แค่พี่สามสี่คนที่เคยไปชุมพรกับอันดามันเหนือด้วยกัน”

เอาละ อย่างน้อยก็มีเฟซบุ๊กของเจ้าตัวละ ทำไมเขาไม่เข้าไปดูก่อนหน้านี้นะ 

ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มก็กดเข้าไปดูในกรุ๊ปเฟซบุ๊กที่โดยปกติแล้วเจ้าของโรงเรียนดำน้ำจะดึงคนเข้ากลุ่มที่จะไปทริปในแต่ละรอบ เพื่อใช้ประกาศเรื่องห้อง เรื่องอุปกรณ์ เรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่เนื่องจากยุ่งๆ เรื่องงานช่วงก่อนหน้านี้เขาเลยไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ คิดว่าจัดห้องไหนให้ก็นอนห้องนั้น

“อันนี้เฟซเธอเหรอ” นิ้วยาวแข็งแรงหยุดที่รูปถ่ายหญิงสาวซึ่งอยู่หน้ากระจกกับหนังสือที่ปิดไปครึ่งหน้า เห็นแค่ดวงตากลมโตกับผมยาวดัดเป็นลอน ส่วนชื่อเฟซบุ๊กถ้าค้นเองก็คงหาไม่เจอ เพราะตั้งเป็นชื่อตัวการ์ตูนแมวเหมียวชื่อดังจากญี่ปุ่นผสมกับชื่อเล่นของเจ้าตัวว่า ‘Kitty YaYha’ แถมยังตั้งเป็นไพรเวตแบบที่เข้าไปดูรูปหรือโพสต์ใดๆ ของเจ้าตัวไม่ได้เลย

“อื้อ”

ร่างสูงถอนหายใจยาว ถึงว่าหาไม่เจอ 

เพื่อนในเฟรนด์ลิสต์ของหญิงสาวน้อยมาก ยิ่งเพื่อนมัธยมยิ่งน้อยกว่าน้อย ชายหนุ่มกดเพิ่มเพื่อนแบบไม่ต้องคิดเมื่อหญิงสาวเอ่ยตอบแล้วเงยหน้ามองเขม็ง

“รับแอดสิ”

“กดดันจริง” กุลกัลยาบ่น “ปกติไม่ค่อยรับนะเนี่ย จริงๆ ไม่ค่อยเล่น เล่นทวิตเตอร์มากกว่า อันนี้ห้ามขอล่ะ”

คนหวงพื้นที่ส่วนตัวดักคอ เอาอะไรไปก็ได้ แต่ถ้าเจอกันในทวิตเตอร์แม่จะบล็อกให้

“เอาไลน์มาด้วย”

แลกไลน์กันเสร็จ พี่เจ้าของโรงเรียนดำน้ำและพี่ๆ คนอื่นก็มาถึงพอดี พร้อมกับรถตู้สามคันที่จะพาเหล่านักดำน้ำไปยังท่าเรือที่จอดรอในคืนนี้

กุลกัลยามองฐากรทักทายเหล่าสตาฟฟ์อย่างสนิทสนมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังขวับก้าวขึ้นรถตู้คันที่ใกล้ที่สุดเมื่อเขาหันมา ใจเต้นแรงเล็กน้อยเมื่อคิดว่าตนเองถูกจับได้ว่าแอบมอง

หญิงสาวสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อครู่แล้วว่าฐากรดูตัวสูงขึ้น จากเด็กหนุ่มตัวผอมๆ สูงชะลูด กลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวมีมัดกล้ามพอเหมาะพอเจาะ ไม่ได้ดูหนาจนเกินไป ทว่าแลดูสูงเพรียวแข็งแรง และด้วยกางเกงสีครีมขาสามส่วนกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่ปลดกระดุมสามเม็ดบนทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง ใบหน้าคมคาย คิ้วหนา และริมฝีปากสีสดดูเหมาะจะเป็นนายแบบเสียเองมากกว่าช่างภาพอีก

เขาคุยอะไรกับเจ้าของโรงเรียนดำน้ำอีกนิดก่อนจะก้าวขึ้นมาบนรถแล้วเลื่อนประตูปิด จากนั้นถึงหันไปบอกคนที่เหลือบนรถ

“เดี๋ยวมีแวะร้านสะดวกซื้อนะครับ เผื่อใครจะซื้อขนม แต่เตือนไว้ก่อนว่าบนเรืออาหารจัดเต็มมาก พวกมาม่า ชากาแฟ ผลไม้มีหมด แถมพ่อครัวบนเรือก็ทำอาหารอร่อยมากด้วย ใครเคยมาแล้วน่าจะทราบ” 

เขาหันมาสบตากับหญิงสาวตัวเล็กที่นั่งอยู่กับเพื่อนในแถวถัดไป ก่อนจะหันไปคุยกับพี่ผู้ชายที่เป็นหนึ่งในครูฝึกของโรงเรียน

ดูสนิทกันมากเลยแฮะ กุลกัลยามองด้านหลังศีรษะได้รูปของอีกฝ่ายแล้วเบือนสายตาออกไปด้านนอก

สิบเอ็ดปีได้มั้ง...ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน

ฐากรกับกุลกัลยาเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง แต่มาอยู่ห้องเดียวกันตอนมัธยมศึกษาปีที่สี่ ด้วยบุคลิกและกลุ่มเพื่อนที่ไม่เข้ากันนัก ปีหนึ่งๆ คุยกันนับคำได้ไม่ถึงจำนวนนิ้วมือสองข้างด้วยซ้ำ ตัวกุลกัลยาเองโดยปกติแล้วเป็นเด็กหลังห้อง ไม่ค่อยเข้าสังคมกับใครนอกจากเพื่อนสนิท เวลาว่างก็มักจะหาที่แอบหลับไปทั่วโรงเรียนเหมือนทั้งคืนไม่ค่อยได้นอน เลิกเรียนก็รีบกลับบ้าน ไม่เคยไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นหลังเลิกเรียน

ในขณะที่ฐากรเหมือนดวงดาวดวงน้อยๆ ที่ฉายแสงไปทั่วทุกที่ที่เขาอยู่ เพื่อนทุกคนอยากทำความรู้จักกับเขา ขนาดเพื่อนต่างห้อง หรือกระทั่งเด็กจากโรงเรียนใกล้เคียงก็รู้จักเขาไปหมด ถ้าเข้าหาแสงมากกว่านี้หน่อยคงไปเป็นดาราได้ เหมือนกับเมื่อครู่ที่เขาเข้าไปในกลุ่มสตาฟฟ์และนักดำน้ำคนอื่นๆ แล้วดูเหมือนจะรู้จักกันไปหมด

มองจากตรงนี้ยังเหมือนเห็นแสงเรืองรองออกมาจากตัวเขาเลย

กุลกัลยาเท้าคางมองท้ายทอยที่มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มปกคลุมด้วยสายตาชื่นชม

เติบโตมาได้ดีจริงๆ นะ...

เมื่อถึงท่าเรือ เหล่านักดำน้ำก็พากันลงเรือดิงกี9แบ่งกันเป็นสามรอบ โดยทิ้งสัมภาระไว้บนฝั่ง หลังจากนั้นเด็กเรือจะช่วยกันทยอยขนขึ้นเรือใหญ่ตามมาให้

ฐากรโดดลงเรือดิงกีลงไปคนแรกแล้วคอยช่วยคนที่ทยอยตามกันลงไปให้ลงเรืออย่างเรียบร้อย ไม่พุ่งไถลตกน้ำไปเสียก่อนถึงเวลาดำน้ำจริงในวันพรุ่งนี้

กุลกัลยาลงไปคนสุดท้ายของเรือรอบแรก จริงๆ เธอค่อนข้างชินกับการลงเรือดิงกี จึงกะว่าจะโดดผลุงลงไปแล้วนั่งฝั่งท้ายเรือติดกับญาณิศาพอดี แต่เวรกรรมแต่ปางใดทำให้ครั้งนี้ดันก้าวพลาด ส้นเท้าสะดุดกับขอบเรือหวิดหน้าคว่ำ หากไม่ใช่ว่าใครคนหนึ่งที่จับจ้องอยู่ก่อนแล้วเข้ามารับไว้ได้ทัน

ชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่กระแทกเข้าไปใส่แผงอกกว้าง ร่างเล็กก็ดีดตัวออกจนเกือบหงายหลัง ถ้าเพื่อนไม่คว้าตัวไว้บวกกับมือแข็งแรงที่ยังยึดแขนเล็กไว้แน่น กุลกัลยาน่าจะได้ลงไปเล่นน้ำก่อนใครเพื่อน

“ใจเย็น” เจ้าของเสียงห้าวเอ่ยกลั้วหัวเราะ

กุลกัลยาอายจนอยากแทรกพื้นเรือหนี ใบหน้าร้อนผ่าว ดีว่าตรงนี้ค่อนข้างมืด ไม่เช่นนั้นทุกคนบนเรือคงเห็นชัดว่าเธอหน้าแดงจัด จึงได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนทั้งๆ ที่หัวใจเกือบหลุดออกมาอยู่นอกช่องอก

“ขอโทษที” สาวเสียงใสพึมพำ

พี่อีกคนในทริปที่พอจะคุ้นเคยกัน เพราะเคยไปดำน้ำด้วยกันมาสองรอบออกปากแซว

“น้องหยาจะลงน้ำตั้งแต่ตอนนี้เลยเรอะ ใจร้อนนะเรา” 

คนทั้งลำหัวเราะกันครื้นเครง จนกระทั่งเรือเล็กเข้าเทียบกับเรือใหญ่ คราวนี้กุลกัลยาไม่พลาด คว้าแขนเด็กเรือที่ยื่นมาช่วยจับ ตั้งมั่นว่าจะไม่ยอมขายหน้าซ้ำสอง

กุลกัลยาและญาณิศามาดำน้ำด้วยเรือลำนี้เป็นครั้งที่สองแล้วจึงค่อนข้างคุ้นเคย หญิงสาวทั้งสองคนเหนี่ยวตัวขึ้นบันไดไปชั้นบนที่มีส่วนของห้องควบคุมของกัปตันเรือ ห้องนอน และส่วนรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยโต๊ะสี่ตัว หญิงสาวจับกลุ่มกับพี่อีกสามคนที่คุ้นเคยกันดีเพื่อจับจองโต๊ะตัวหนึ่งในมุมรับประทานอาหาร และพูดคุยกันอย่างออกรสเนื่องจากไม่ได้เจอกันเสียนาน

สมัยเรียนกุลกัลยาเป็นเด็กที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยคุยกับใครยกเว้นเพื่อนสนิท จนครูประจำชั้นที่ค่อนข้างกังวลใจถึงขั้นต้องปรึกษากับพี่สาวของกุลกัลยาซึ่งเป็นผู้ปกครองของเธอในตอนนั้น เนื่องจากบิดามารดาของทั้งคู่ทำงานอยู่ต่างจังหวัด  แก้วเจ้าจอมหรือหยกผู้เป็นพี่สาวที่อายุห่างกันหกปีจึงพยายามผลักดันให้น้องสาวทำกิจกรรมที่โรงเรียน ไปจนถึงแนะนำให้ไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศในช่วงมัธยมศึกษาปีที่ห้า เพื่อให้น้องสาวออกจากเซฟโซนไปเจอผู้คนใหม่ๆ บ้าง จนน้องสาวเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เข้ากับคนได้ง่ายขึ้น 

หนึ่งในข้อดีที่หญิงสาวชมชอบในการดำน้ำคือ ทุกๆ ครั้งที่เธอมาทริปดำน้ำก็มักจะได้เพื่อนใหม่ๆ กลับไปเสมอ หลายๆ ครั้งทำให้เธอได้เจอได้ฟังประสบการณ์ที่ชีวิตนี้คงไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอกับตัวเอง แถมมารอบนี้ยังได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี ซึ่งน่าแปลกใจตรงที่ต่างคนต่างจำกันได้ทั้งๆ ที่กุลกัลยาคิดว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปจากตอนมัธยมไม่น้อย

แวบแรกก็ค่อนข้างตกใจที่อยู่ๆ คนที่นั่งอยู่แถวหน้าก็ลุกขึ้นแล้วหันมามองอย่างกะทันหัน แต่เธอจดจำแววตาคู่นั้นของฐากรได้ เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว วันสุดท้ายที่เจอกันดวงตาของเขาก็เป็นประกายแบบนี้ เหมือนมีดวงดาวอยู่ในนั้นสักล้านดวง เล่นเอาคนมองตาพร่าไปหมด

เมื่อนักดำน้ำมากันครบ พี่บีมหรือเจ้าของโรงเรียนดำน้ำก็เริ่มพูดเกี่ยวกับกฎต่างๆ แม้หลายๆ คนจะเคยใช้บริการเรือลำนี้แล้วก็ตาม แต่เพื่อทวนความจำ และมีนักดำน้ำบางคนเพิ่งเคยมาทริปแบบ Liveaboard ที่ต้องกินนอนบนเรือตลอดเวลาห้าวันเป็นครั้งแรก จึงต้องเรียนรู้กฎการใช้งานสิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกันเล็กน้อย

“...น้ำในเรือมีน้อยใช้สอยอย่างจำกัด ห้ามเปิดน้ำทิ้งไว้ ขึ้นมาจากทะเลระหว่างไดฟ์ล้างตัวพอนะครับ ไว้ไดฟ์สุดท้ายของวันค่อยอาบน้ำแบบจัดเต็ม ห้องนอนตามที่พี่โพสต์ไว้ในกรุ๊ปเลย เดี๋ยวพี่จะจัดกลุ่มดำน้ำให้ อีกสักพักค่อยไปดูที่กระดาน ก่อนลงน้ำจะมีบรีฟสำหรับไดฟ์นั้นๆ อีกที และมีเสียงกระดิ่งเตือนครับ เดี๋ยวสัมภาระมาครบให้ลงไปจัดอุปกรณ์ต่อบีซีดี10 เรกูเลเตอร์11 เช็กถังอากาศ จัดตะกั่วใส่เวตเบลต์12ให้เรียบร้อย ใครประกอบผิดพี่จะตามไปหักคะแนน” 

พี่บีมเอ่ยปนหัวเราะ เพราะนักดำน้ำที่มาด้วยกันวันนี้ก็เป็นอดีตนักเรียนดำน้ำที่สอนมาเองกับมือทั้งนั้น

“ของมาครบแล้วคร้าบ” หนึ่งในพี่สตาฟฟ์ตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่างของเรือ

 “เอ้า ดูกลุ่มของตัวเองแล้วลงไปประกอบอุปกรณ์ได้เลยครับ เสร็จแล้วเก็บของพักผ่อนตามอัธยาศัย อีกสักพักจะมีข้าวต้มมื้อดึกนะ”

โดยปกติแล้วเรือลำนี้จะจุนักดำน้ำประมาณสามสิบคน เวลาดำน้ำจะแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณห้าถึงหกคนต่อไดฟ์ลีดหนึ่งคน และมีครูดำน้ำอีกคนปิดท้ายกลุ่มให้เสมอเพื่อความปลอดภัย

กุลกัลยาได้อยู่กลุ่มเดียวกับญาณิศาเหมือนเดิม มีพี่อีกสองคนที่คุ้นเคยกันดี ส่วนอีกสองคนเธอไม่เคยรู้จักมาก่อน หญิงสาวเลื่อนสายตาลงมาเจอกับชื่อที่อยู่ท้ายสุดซึ่งจะเป็นคนปิดท้ายกลุ่ม

‘แท็บ’

หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ส่วนญาณิศายกแขนคล้องคอเพื่อนแล้วกระซิบ

“อยู่กับพี่อาร์ทว่ะ ถ้าฉันลอยแกช่วยดึงฉันด้วยนะ”

เพื่อนเธอหมายถึงไดฟ์ลีดของกลุ่มที่ดุจนเลื่องลือ ตอนที่เรียนเธอเองก็เคยโดนดุจนเกือบน้ำตาซึม แต่ตอนนั้นสิ่งที่โดนว่าก็เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ

กิจกรรมดำน้ำลึกนั้นถ้าไม่มีสติก็เป็นกิจกรรมที่อันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน

“ไม่หรอกน่า รอบที่แล้วเขาก็ใจดีอยู่ แค่นิ่งๆ เลยดูน่ากลัวไปหน่อย”

“โอ๊ะ อยู่กับเพื่อนเธอด้วยอะ” หญิงสาวอุทานแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มเหล่มองคนผมยาว “พรหมลิขิตปะเนี่ย”

กุลกัลยากลอกตา หมุนตัวเดินลงไปชั้นล่างที่เป็นส่วนของห้องนั่งเล่น ห้องนอนอีกสี่ห้อง ห้องน้ำ ห้องครัว และในส่วนท้ายเรือของชั้นนี้จะเป็นแท่นวางถังอากาศและอุปกรณ์ดำน้ำ 

หญิงสาวหยิบอุปกรณ์ออกจากกระเป๋าแล้วประกอบเข้าด้วยกันกับถังอากาศที่ตั้งอยู่บนแท่นเงียบๆ เธอยังไม่ค่อยมีอุปกรณ์อะไรเป็นของตัวเองนัก เพราะอุปกรณ์ดำน้ำลึกส่วนใหญ่จะมีราคาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะส่วนของบีซีดีและเรกูเลเตอร์ 

มือบางจับเข็มขัดด้านหลังบีซีดีแบบแจ็กเกตคล้องเข้ากับถังอากาศ แต่ตัวล็อกกลับแข็งจนดันได้ยาก เธอจึงต้องกำไว้ทั้งอันเพื่อออกแรงดัน 

คนที่เดินผ่านมาเห็นชะโงกหน้ามามองจากด้านหลังเธอ

“เดี๋ยวได้หนีบมือ มานี่ทำให้”

ญาณิศาที่ประกอบอุปกรณ์อยู่ข้างกันอมยิ้มกับถังอากาศ

ที่ฐากรบอกว่าทำให้กุลกัลยาก็นึกว่าจะแค่ดันล็อกให้ ที่ไหนได้ พอล็อกบีซีดีให้เสร็จก็หันไปหยิบเรกูเลเตอร์มาประกอบแถมให้อีกต่างหาก หญิงสาวมองคนตัวสูงด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างประจบประแจงจนคนที่ประกอบเสร็จหันมามองถึงกับชะงัก แล้วเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ

“ขอบคุณนะ”

“อย่าลืมเอาไฟฉายชาร์จแบต พรุ่งนี้มีไนต์ไดฟ์13ด้วยนะ”

“อื้อ”

ฐากรมองคนที่หันไปรื้อของในกระเป๋าต่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเลยไปทางอื่น อีกคนที่รอจังหวะอยู่แล้วจึงหันมาตั้งท่าจะแซวเพื่อน

“หยุด!” คนที่นั่งยองๆ กับพื้นดักคออย่างรู้ทัน

“เบื่อคนรู้ทัน ฉันละอยากจะแหมให้ถึงดาวอังคาร”

กุลกัลยาประกอบอุปกรณ์เสร็จก็ลากกระเป๋าขึ้นไปเก็บในห้องพักที่อยู่ชั้นบน ภายในห้องพักค่อนข้างแคบชนิดที่คนเข้าไปสองคนหันไปหันมาก็แทบชนกันแล้ว มีเตียงแคบๆ สองเตียงอยู่ชิดผนังสองข้าง และโต๊ะหัวเตียงสำหรับวางของ แต่โดยรวมก็นับว่าสะอาดสะอ้านดี ตัวหญิงสาวเองไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องกินอยู่เท่าไหร่นัก จึงใช้ชีวิตอยู่บนเรือห้าวันได้อย่างสบายๆ

คนที่เข้าไปถึงก่อนจับกระเป๋ายัดเข้าไปในช่องว่างใต้เตียง แล้วขึ้นไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนผ้าปูเตียงขาวสะอาด หยิบหมอนมากอดมองเพื่อนสนิทที่เพิ่งถึงห้องค้นเสื้อผ้าในกระเป๋าเตรียมไปอาบน้ำ

ก็ห้องมันเล็กเสียจนกางกระเป๋ารื้อได้ทีละคนน่ะนะ

“อาบน้ำเลยเหรอ”

ญาณิศาหันไปมองคนถาม

“ไม่อาบน้ำเหรอ รอลงน้ำเลยพรุ่งนี้?”

“จะบ้าเหรอ อาบสิ แต่เอาไว้ดึกๆ หน่อย ตอนนี้คนอาบเยอะ ขี้เกียจแย่งห้องน้ำ” 

บนเรือลำนี้ไม่มีห้องอาบน้ำในตัวห้องพัก แต่จะเป็นห้องน้ำที่ใช้ร่วมกันซึ่งมีเพียงเจ็ดห้อง ถ้าขืนไปตอนนี้คงต้องไปยืนรอคิวกันจนเมื่อย

“ฉันง่วงอะ อาบน้ำแล้วจะนอนเลย มึนๆ ด้วย”

“ขึ้นรถเมารถ ขึ้นเรือเมาเรือ โชคดีแค่ไหนแกไม่เมาเครื่องบิน”

“เออ ว่าจะถาม” 

ญาณิศามองเพื่อนเขม็ง ทำเอาอีกคนร้อนตัว ตั้งแต่เจอฐากร เพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยคนนี้ก็ตั้งท่าแซวเธอซะจนแทบเขว

“อะไร”

“กับแท็บนี่แต่ก่อนเคยกิ๊กกันปะ ทำไมสปาร์กแปลกๆ”

“ไม่เคย!”

“ไม่จริง”

“จริง!” กุลกัลยายืนยันหนักแน่น “คุยกันนับคำได้”

“งั้นก็กิ๊กกันซะสิ เชื่อฉัน เคมีแกสองคนดีมาก โสดมาเกือบสามสิบปี แกควรหาผัวได้แล้ว อย่างน้อยถ้าไม่ได้จริงจังแกก็ควรเก็บประสบกามไว้นะ ฉันสแกนหุ่นแล้ว น่าโดนกอดมาก”

แต่ละอย่างที่เพื่อนพูดออกมา กุลกัลยาแทบจะเอามือปิดหูแล้วกรีดร้องอย่างรับไม่ได้ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ถลึงตาใส่ทั้งๆ ที่หน้าร้อน

“หยุด! พอเลย จะไปอาบน้ำก็ไป” หญิงสาวว่าแล้วหันไปค้นกระเป๋าสะพาย คว้าหูฟังกับโทรศัพท์แล้วเปิดประตูออกไปด้านนอก

“แน่ะ นัดใครไว้ปะเนี่ย”

“บ้านแกสิ”

เกือบทั้งคืนนี้เรือจะใช้เวลาทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังจุดหมายในการดำน้ำพรุ่งนี้เช้า ซึ่งอีกไม่นานสัญญาณโทรศัพท์จะหายไปจนกว่าจะเข้าใกล้เกาะที่มีนักท่องเที่ยวอยู่เยอะอย่างเกาะหลีเป๊ะ เมื่อกุลกัลยาเดินไปที่หัวเรือจึงเจอนักดำน้ำหลายคนนั่งก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ หญิงสาวเลือกที่จะนั่งหันออกไปทางด้านหน้าของเรือ แล้วสอดขาห้อยออกไประหว่างช่องว่างของราวกั้น แกว่งเท้าไปมาเบาๆ

ลมที่ค่อนข้างแรงพัดผมยาวปลิวไสวจนเธอต้องเอายางมัดผมรวบไว้ก่อนจะใส่หูฟัง แล้วเปิดเพลงคลอเสียงเรือปะทะกับคลื่น กุลกัลยาไม่ได้ทักทายใคร และไม่ได้สังเกตเห็นใครบางคนที่นั่งเอกเขนกอยู่บนแนวที่นั่งด้านหลัง

ฐากรกอดอกมองแผ่นหลังเล็กของคนที่นั่งฟังเพลงไม่สนใจใครแล้วเผลอยิ้ม

ช่างเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ตอย่างคงเส้นคงวา เคยเป็นอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น แบบนี้เขาสามารถคาดหวังได้หรือไม่ว่านิสัยช่างปกป้อง รักความยุติธรรมเสียเหลือเกินจะคงอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน กุลกัลยาก็มีนิสัยชอบอยู่ในโลกส่วนตัวแบบนี้ มีเพื่อนสนิทก็ไม่กี่คน นิสัยติดจะค่อนข้างเงียบ น้อยเรื่องที่จะทำให้โมโหได้ เป็นคนใจเย็น แต่บทจะใจร้อนขึ้นมาก็ร้อนถึงห้องปกครองต้องเรียกผู้ปกครองมาคุย

เรื่องที่จะทำให้เด็กสาวในตอนนั้นหัวร้อนขึ้นมาได้ก็คงมีแค่เรื่องที่เกิดกับคนสำคัญและเรื่องที่เธอรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับฐากรเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนจนทำให้คนที่คุยกับเขาแบบนับคำได้เลือกข้างอยู่ข้างเขา ทั้งที่ใครๆ เกลียดเขาชนิดแทบไล่ไปตายคงเป็นอย่างหลังมากกว่าจะมองเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญ

ชายหนุ่มลอบยิ้มแล้วก้มหน้ามองโทรศัพท์ เพราะการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันสีฟ้าเด้งขึ้นมาบอกเขาว่า อีกฝ่ายยอมรับการขอเป็นเพื่อนของเขาแล้ว ชายหนุ่มจึงเลื่อนดูรูปของเธอเป็นอย่างแรก

ทั้งคู่เรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่มัธยมต้นก็จริง แต่เพิ่งมาอยู่ห้องเดียวกันตอนมัธยมศึกษาปีที่สี่ หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้นตอนปลายเทอมสองของมัธยมศึกษาปีที่ห้า ครอบครัวของฐากรก็ส่งเขาไปอยู่กับป้าที่แคนาดาเพราะพ่อกับแม่เขาต่างแต่งงานใหม่มีครอบครัวและลูกใหม่ ไม่มีใครว่างพอจะดูแลลูกชายวัยก่อเรื่องอย่างเขา และเป็นช่วงเดียวกับที่กุลกัลยาไปโครงการแลกเปลี่ยนที่อเมริกา

เขาเผลอเม้มปากเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้นของชีวิต นิ้วเลื่อนดูรูปอย่างตั้งใจ หญิงสาวไม่ค่อยลงรูปตัวเองนัก ส่วนมากจะเป็นคนอื่นแท็กมา ปากที่เม้มแน่นคลายออกเมื่อเห็นรูปรับปริญญา บัณฑิตสาวกอดคอเพื่อนยิ้มใส่กล้องจนตาหยี

คณะเภสัชศาสตร์แฮะ

เลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนรูปสุดท้าย ภาพเด็กสาวหน้าเรียวเล็กผมสั้นแค่ปลายคาง ดวงตากลมโตมองกล้องนิ่งๆ เป็นคนเดียวกับคนที่อยู่ในความทรงจำของเขามาเนิ่นนาน แทบไม่ต้องใช้ความคิดหรือการตัดสินใจอะไรมากมาย ชายหนุ่มก็รู้ตัวดีว่าควรจัดการอย่างไรกับความรู้สึกที่เหมือนมีฝูงผีเสื้อโบยบินอยู่ในอกแบบนี้

ฐากรเงยหน้ามองภาพร่างบอบบางที่นั่งหันหลังพาดแขนกับราวกั้น เสี้ยวหน้าอ่อนหวานมีแสงจันทร์ตกต้องราวกับรูปวาด ดวงตาโตใต้แว่นตาเหม่อมองทะเล แทบไม่ต้องคิด เขายกโทรศัพท์มือถือในมือขึ้นมาถ่ายรูป มองผลงานตัวเองอย่างชั่งใจ ก่อนจะลุกขึ้นย้ายไปนั่งข้างเจ้าตัวที่ยังตกอยู่ในภวังค์

“หยา” เขาเรียกเสียงไม่เบานัก เพราะเสียงเครื่องยนต์เรือกับคลื่นค่อนข้างดัง แต่ก็ทำให้คนที่นั่งคิดอะไรเงียบๆ สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจอยู่ดี

“โอย ตกใจหมด” กุลกัลยาดึงหูฟังออก แล้วเลิกคิ้วมองหน้าคนเรียกเป็นการถามแทนคำพูด

“เมื่อกี้ถ่ายรูป สวยดี เดี๋ยวส่งให้นะ” อยู่ๆ จะส่งไปเลยโดยไม่บอกก่อนก็กลัวจะดูเหมือนพวกสตอล์กเกอร์แอบถ่าย

“ไหน” หญิงสาวชะเง้อมองอย่างสนใจแล้วก็เงยหน้ามองคนถ่ายอย่างประทับใจ “ถ่ายรูปสวย ส่งให้หน่อยสิ จะตั้งเป็นรูปโพรไฟล์อะ”

ฐากรกดส่งให้เจ้าตัวผ่านแชตซึ่งเชื่อมกับแอปพลิเคชันที่หญิงสาวเพิ่งกดรับการขอเป็นเพื่อนของเขาเมื่อครู่

“ไม่เจอกันตั้งสิบเอ็ดปี เป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยถามอย่างสนใจ ใคร่จะรู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอมีชีวิตอย่างไร

“ก็ดีนะ ตอนช่วง ม. ห้าเราไปแลกเปลี่ยน กลับมาเลยต้องเรียน ม. หกซ้ำกับรุ่นน้อง เหมือนตอนนั้นแท็บจะไปเรียนเมืองนอกแล้ว”

“อืม ไปแคนาดาน่ะ ย้ายไปอยู่กับป้า พร้อมๆ กับที่เธอไปแลกเปลี่ยนแหละ” คนตัวสูงส่งยิ้มจางๆ ให้ในความมืด

หญิงสาวเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมคายแล้วดึงสายตากลับ เรื่องเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนแวบเข้ามาในหัว แต่ไม่อยากจะพูดถึงเพราะคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับอีกฝ่าย เลยถามเรื่องอื่นแทน

“แล้วนี่แต่งงานยัง” 

คนโดนถามหันขวับมามองกึ่งตกใจกึ่งขัน คนถามเองก็เพิ่งนึกได้ว่าถามอะไรออกไป เลยออกอาการลนลานเล็กน้อย

“ยัง แล้วเธอล่ะ”

“ยังอะ”

“แล้วแฟนอะ”

“ไม่มี” ไม่มีเลย ไม่เคยมีด้วย โสดมายี่สิบแปดปีแล้ว

“อ้อ” ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง

กุลกัลยาอยากจะถามกลับเหมือนกันว่าแล้วตัวเองน่ะมีหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้า กลัวคำตอบขึ้นมาเสียอย่างนั้น จำได้ว่าสมัยเรียนฐากรเนื้อหอมสุดๆ มีทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องมาสารภาพรักให้วุ่นไปหมด พอปพิวลาร์มากในหมู่สาวๆ

ยอมรับว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอแอบปลื้มเขานิดๆ แต่คิดว่าหน้าตาธรรมดาๆ บุคลิกไม่ค่อยสนโลกแบบเธอเขาไม่น่าจะหันมาสนใจ แถมยังขี้เกียจเกินกว่าจะลุกขึ้นไปตั้งหน้าตั้งตาจีบใคร แค่แอบปลื้มอยู่ห่างๆ ก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว

ตอนช่วงขึ้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ มีเพื่อนคนหนึ่งในห้องให้เธอช่วยเลือกกำไลข้อมือหนังแบบถัก พอมารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วเพื่อนคนนั้นเลือกให้ฐากรที่กำลังคบหากันอยู่ก็อึ้งไปเหมือนกัน ใจหายแบบแปลกๆ แต่จะว่าอกหักก็ไม่เชิง เธอไม่เสียน้ำตาสักหยดด้วยซ้ำ แค่รู้สึกว่าโลกหม่นหมองไปอาทิตย์สองอาทิตย์ก็เท่านั้น

แต่เธอไม่มีทางบอกเขาหรอกว่าเคยแอบปลื้ม ปล่อยให้เป็นความลับที่ตายไปกับเธอเถอะ ผู้ชายที่ดูดีจนไม่น่าจะมีอยู่จริงแบบเขามีไว้มองให้ชุ่มชื่นหัวใจก็พอแล้ว

“แล้วตอนนี้ทำงานอยู่ที่ไหนอะ” เธอถามอย่างสนใจ ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าเป็นช่างภาพ

“จริงๆ ตอนนี้ทำอิสระ แต่ก็มีเข้าไปช่วยพี่บีม” เขาหมายถึงเจ้าของโรงเรียนดำน้ำ “พี่เขาทำเกี่ยวกับโพรดักชันใต้น้ำ แบบทำฉากพวกหนังละครที่ต้องถ่ายทำใต้น้ำอะไรประมาณนั้น”

“โห เท่มาก” กุลกัลยามองคนพูดอย่างทึ่งจัด

คนโดนชมยิ้มมุมปากแล้วหลุบสายตามองมือตัวเอง

“แล้วหยาล่ะ ตอนนี้ทำที่ไหน”

“เราเป็นเภสัชอยู่โรงพยาบาล...น่ะ”

“หืม อย่างนี้เวลาป่วยก็โทร. หาหยาได้สิ”

กุลกัลยาชะงัก

“ก็โทร. ได้แหละ แต่เราไม่ใช่หมอ ถ้าดูเป็นเยอะก็หาหมอดีกว่านะ”

“งั้นขอเบอร์หน่อยสิ ยังไม่มีเบอร์เลย”

เอ๊ะ! 

เธออุทานในใจอย่างสับสน แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเก็บหมายเลขจำนวนสิบตัวนั้นเป็นความลับจากคนที่กำลังปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์อย่างตั้งใจ

คืนนั้นกุลกัลยาคิดว่าหลังจากอาบน้ำแล้วเข้านอนคงต้องหลับเป็นตาย แต่ที่ไหนได้ เธอกลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น ทั้งแปลกที่ ทั้งคลื่นสูงจนเรือโคลงเคลง ไหนจะเสียงเครื่องยนต์ที่ดังจนเกือบตีสอง แถมช่วงเคลิ้มหลับตอนเช้ามืดยังฝันเห็นภาพชายหนุ่มร่างสูงผิวขาว ใบหน้าคมคายที่ได้เจอกันเป็นครั้งแรกในรอบสิบเอ็ดปีอีก

เธอแทบจะได้ยินเสียงกระซิบทุ้มนุ่มและลมหายใจร้อนผะผ่าวที่ชิดใบหูบอบบาง ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นตอนเกือบหกโมงเช้า

กุลกัลยายันตัวลุกขึ้นนั่งซบหน้ากับฝ่ามือทั้งสองข้าง ยังรู้สึกง่วงอยู่นิดๆ แต่ไม่อยากนอนต่อแล้ว

หญิงสาวยังจำความฝันเมื่อครู่ได้ จะว่ารู้สึกดีก็ใช่ แต่อีกใจก็กลัวว่าความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นจะทำให้เธอมีความคาดหวังแล้วต้องมานั่งเสียใจเพราะความผิดหวังในภายหลัง แสงแดดที่ลอดผ่านม่านเข้ามาทำให้เธอตัดสินใจคว้าโทรศัพท์มือถือออกไปถ่ายรูปหน้าห้องพัก ยืนมองพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นอย่างเหม่อลอย

ดูเหมือนว่าเรือจะพาเธอมาถึงจุดหมายในวันแรกแล้ว นั่นก็คือหมู่เกาะห้าที่อยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ เรือเข้ามาหลบคลื่นอยู่ภายในอ่าวเล็กๆ ทำให้เมื่อเช้ามืดคนบนเรือสามารถนอนได้อย่างไม่ต้องทรมานเกินไปนัก

ญาณิศาเปิดประตูตามออกมาด้านหลังอย่างงัวเงียพลางเอ่ยปากถามเพื่อน

“ถึงแล้วเหรอ นอนไม่หลับเลย จะอ้วก ฉันว่าฉันเมาเรืออะ”

นักดำน้ำหลายๆ คนยอมทรมานกับการเมาเรือเพื่อออกไปสำรวจโลกของสิ่งมีชีวิตในทะเล ญาณิศาเป็นหนึ่งในนั้น ของสำคัญที่เพื่อนเธอมีไม่เคยขาดคือยาแก้เมาเรือทั้งแบบเม็ดและแผ่นแปะ กุลกัลยาเท้าคางมองเพื่อนแจกจ่ายแผ่นแปะรูปวงกลมเล็กๆ สีน้ำตาลให้เพื่อนร่วมทริปด้วยความขบขันปนสงสาร

เป็นโชคดีของเธอจริงๆ ที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการเมาเรือหรือเมารถอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าเรือจะโคลงเคลงแค่ไหนก็ไม่เคยมีผลกับกุลกัลยา เวลาเห็นเพื่อนเมาคลื่นอย่างหนักก็สงสารทุกที

สิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคือเวลามาดำน้ำทีไร กุลกัลยาก็เจริญอาหารทุกที ยิ่งหลังดำน้ำขึ้นมายิ่งหิวโซเพราะเผาผลาญพลังงานออกไปเยอะ กินอะไรก็อร่อย แม้กระทั่งตอนนี้ที่ยังไม่ทันได้ลงน้ำ กุลกัลยาก็ยังเคี้ยวขนมปังราดนมข้นหวานในปากขณะฟังเสียงคลื่นเคล้าอย่างสบายอารมณ์ เตรียมพร้อมสำหรับการดำน้ำไดฟ์แรกก่อนจะขึ้นมารับประทานอาหารเช้า

ขนมปังคำสุดท้ายหายเข้าไปในปาก พี่บีมเดินขึ้นบันไดมาเห็นหน้าเธอเป็นคนแรกก็พยักพเยิด

“เฮ้ย หยาเอากระดิ่งไปปลุกซิ” 

กุลกัลยาปิดปากเคี้ยวพลางลุกไปหยิบกระดิ่งที่เจ้าของโรงเรียนดำน้ำว่า แล้วลงโหนตัวเองลงไปชั้นล่าง สั่นกระดิ่งปลุกนักดำน้ำให้ทำธุระส่วนตัวก่อนจะฟังบรีฟสำหรับไดฟ์แรก แล้วกลับขึ้นมาชั้นบนที่หลายคนกำลังหาของกินรองท้องกันอยู่

หญิงสาวเดินวนพลางสั่นกระดิ่งไปทางด้านขวาของเรือ แล้วอ้อมหน้าห้องควบคุมไปทางด้านซ้าย ประจวบเหมาะกับมีคนเปิดประตูห้องพักออกมาพอดี ร่างเล็กบางที่เดินอยู่หยุดฝีเท้าไม่ทันจนเกือบพุ่งเข้าไปชน หากไม่ได้มีใครบางคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องด้านหลังคว้าแขนเล็กเอาไว้ก่อน

แรงรั้งทำให้ร่างแบบบางที่สูงแค่ไหล่ถูกดึงไปด้านหลัง ไม่ต้องปะทะเข้ากับร่างของเพื่อนนักดำน้ำที่เปิดประตูออกมาอย่างกะทันหัน แต่ก็ผวาเข้าไปในอ้อมอกของคนตัวสูงที่เข้ามาช่วยไว้

อีกแล้ว!

กุลกัลยาดีดตัวเองออกอย่างรวดเร็วเหมือนเคย แล้วหันไปขอบคุณโดยไม่สบตา

“ขอบคุณนะ”

เมื่อคืนอยู่ดีๆ บรรยากาศก็กระอักกระอ่วนจนทนไม่ไหว หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนเพราะจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ การตกหลุมเสน่ห์ผู้ชายแบบฐากรไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย แต่ถ้าคาดหวังว่าเขาจะใจตรงกันก็ออกจะเพ้อฝันเกินไปหน่อย

เพราะฉะนั้นการขีดเส้นให้ชัดเจน หยุดความใกล้ชิดอันเกินควรนี้ไว้จึงน่าจะเป็นการกระทำที่ฉลาดที่สุดแล้ว

“เมื่อคืนหลับสบายมั้ย” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นในตอนที่ละมือจากต้นแขนเล็ก

“นอนไม่ค่อยหลับ เรือโคลงมาก แปลกที่ด้วย” คนตัวเล็กกว่าเงยหน้ายิ้มจางๆ ให้ “ไปสั่นกระดิ่งต่อละนะ”

เสียงกระดิ่งดังห่างออกไป แต่ฐากรยังยืนอยู่ที่เดิม

ท่าทางดูเป็นมิตร แต่ให้ความรู้สึกเหมือนโดนขีดเส้นขวางบนพื้นตรงหน้าแล้วกำกับไว้ว่า ‘เขตอันตราย ห้ามผ่าน’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น