5

5

รอยตำหนิในความสมบูรณ์แบบ

               ฤดูหนาวในปีนั้น มีบางชั่ววูบที่กุลกัลยานึกสงสัยอยู่บ้าง ว่าแท้จริงแล้วเด็กหนุ่มที่ดูสมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้านอย่างฐากรมีชีวิตครอบครัวเป็นเช่นไรกันแน่

               ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อกับแม่ไม่เคยตีเธอกับแก้วเจ้าจอมสักแปะ ไม่ว่าความผิดของกุลกัลยากับพี่สาวจะเป็นข้อหาอะไรการทำร้ายร่างกายก็ไม่เคยถูกใช้เป็นการทำโทษ ดังนั้นกุลกัลยาในวัยสิบเจ็ดปีจึงไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใดฐากรจึงยินยอมให้แฟนสาวทำร้ายร่างกายเขาได้ขนาดนี้

               เสียงฝ่ามือกระทบผิวหน้าขาวจัดของเด็กหนุ่มดังมากพอที่จะปลุกร่างเล็กที่ขดตัวอยู่ใต้กองผ้าต่วนเหลือใช้จากการจัดสแตนด์ให้ผวาตื่นด้วยความตกใจ

               ถึงจะไม่ใช่เด็กที่อยู่ในกรอบอะไร แต่ความรุนแรงไม่ใช่สิ่งที่เธอคุ้นเคยแม้แต่น้อย กุลกัลยาที่หนีงานกีฬาสีขึ้นมางีบหลับตัวสั่นนิดๆ อย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ เมื่อตื่นขึ้นมาเจอสถานการณ์ไม่คาดคิด

               ราวกับว่าตบหน้าไปทีหนึ่งแล้วก็ยังไม่สาแก่ใจ เด็กสาวคนนั้นจึงตบซ้ำๆ อีกสองทีจนคนที่ตัวสูงกว่าหน้าหันมาทางกองผ้าที่กุลกัลยาซ่อนตัวอยู่

               ใบหน้าของคนที่โดนทำร้ายทำให้ทั้งร่างชาดิก หัวใจเธอกระตุกจนเจ็บหน้าอก

               คู่รักในโรงเรียนมีตั้งมากมาย แล้วนี่มันเป็นเวรเป็นกรรมแต่ชาติปางไหนที่ทำให้เธอต้องมาเป็นพยานในการทะเลาะกันของคนคู่นี้

               “บอกว่าจะไปแคนาดานี่คือจะบอกเลิกกันเหรอ จะบอกเลิกกับฉันเหรอ!” อินทุอรเอ่ยเสียงกร้าว ใบหน้าที่กุลกัลยาเคยมองว่าน่ารักบิดเบ้จนไม่น่าดู “ตอแหล!...จะเลิกกับฉันไปหานังแพศยาตัวไหนล่ะ ฉันไม่ยอมหรอกนะ”

               มือเล็กๆ ทุบอกกว้างเต็มแรง 

               “ถ้าจะเลิกกันก็ให้ฉันตายดีกว่า ตายไปด้วยกันนี่แหละ” หยาดน้ำตาร่วงพรูบนใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความโกรธ เด็กสาวหันไปคว้าของบนโต๊ะที่ใกล้ที่สุดแล้วเริ่มปาใส่คนที่ยังยืนทื่อราวกับไร้ความรู้สึกเจ็บปวด

               กุลกัลยาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกล้าทำอะไรแบบนี้ ทว่าประโยคหลังสุดที่เอ่ยออกมาของอินทุอรทำให้เด็กสาวใจหายวาบ ตัดสินใจกดอัดเสียงการสนทนานี้ไว้ในเครื่องฟังเพลงแบบพกพา

               “ที่พูดนี่เข้าใจมั้ย ยกเลิกเรื่องลาออกซะ ไม่งั้นฉันจะตายให้ดู” เด็กสาวเอ่ยเสียงสั่นปนสะอื้น 

               “การอยู่หรือไปไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจของฉัน” 

ถ้าเทียบกับท่าทางสติแตกของอินทุอรแล้ว ความนิ่งสงบของฐากรกลับเย็นยะเยือกเสมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับทั้งความเจ็บปวดและน้ำตาของอีกฝ่าย

               กุลกัลยารู้สึกสับสนกับภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มในมุมที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ต่อให้เป็นเขาในตอนนั้นที่บังเอิญเดินมาเจอเธอกับบุหรี่ในมือเมื่อสองสามเดือนก่อนจะไม่ได้มีรอยยิ้มสุภาพ และท่าทางที่อ่อนโยนเหมือนช่วงเวลาที่อยู่กับเด็กหรือครูคนอื่นๆ แต่เธอก็ไม่เคยเห็นเขาเย็นชาจนราวกับไร้ความรู้สึกเช่นเวลานี้

               วูบหนึ่งกุลกัลยาเกิดความลังเลในจิตใจว่าระหว่างสองคนนี้ เธอควรจะกลัวใครกันแน่

               ถ้อยคำบริภาษสลับกับการร่ำไห้ของอินทุอรยังดำเนินต่อไป ยิ่งนานบทสนทนายิ่งน่ากลัว นอกจากจะขู่ฆ่าตัวตายแล้ว ยังขู่จะฆ่าอีกฝ่ายด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย

               อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้กุลกัลยาแปลกใจไม่แพ้กัน คือฐากรไม่มีทีท่าว่าจะตอบโต้หรือปัดป้องแม้แต่น้อย ราวกับเส้นประสาทส่วนที่รับรู้ความเจ็บปวดของอีกฝ่ายบกพร่องจนใช้การไม่ได้แล้ว 

กลับกลายเป็นกุลกัลยาเสียเองที่กลัวแทนจนรู้สึกทนไม่ได้ เมื่ออินทุอรไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แถมยังกระทำการหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการคว้าที่เหลาดินสอที่ทั้งแข็งทั้งหนักบนโต๊ะเรียนของเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมา แล้วใช้มันทุบที่ศีรษะของฐากรเต็มแรงเสียงทึบๆ ของมันยามกระทบกับผิวเนื้อคนทำให้คนที่ตั้งใจจะฝังตัวอยู่ในกองผ้าจนกว่าเรื่องจะจบขนลุกไปทั้งตัว

วินาทีนั้นเธอนึกกลัวขึ้นมาว่าฐากรจะปล่อยให้แฟนสาวทำร้ายร่างกายจนตายไปจริงๆ อย่างที่อีกฝ่ายพูด

กุลกัลยาผวาลุกขึ้นจากพื้นแล้วโผเข้าไปคว้าข้อมือเล็กของเพื่อนร่วมชั้นที่เงื้ออยู่กลางอากาศ ร่างเล็กของเธอเข้าไปขวางกั้นระหว่างคนทั้งคู่ กันฐากรไว้ด้านหลัง ทั้งๆ ที่แผ่นหลังบอบบางของเธอบังเขาได้เพียงครึ่งตัวเท่านั้น

เธอไม่กล้าละสายตาจากอินทุอรกลับไปดูสภาพของเด็กหนุ่มว่าร้ายแรงเพียงใด เพราะดวงตาแดงก่ำของคนที่อยู่ตรงหน้าแลดูโหดเหี้ยมราวกับว่าสามารถฆ่าแฟนหนุ่มให้ตายได้จริงๆ

“ตีคนที่เขาไม่กล้าตีเธอกลับ คิดจะเป็นฆาตกรจริงๆ หรือไง”

“ปล่อยฉัน!” 

อินทุอรมีขนาดตัวพอๆ กับเธอ ทว่ากลับแรงเยอะอย่างน่าเหลือเชื่อ อีกฝ่ายพยายามบิดข้อมือเล็กให้หลุดจากมือของกุลกัลยาที่พยายามเกร็งยึดไว้สุดแรงเกิด แต่กลับไม่ยอมปล่อยของที่อยู่ในมือ

“ยายบ้านี่! มีสติหน่อยได้มั้ย อยากโดนจิกหัวฟาดกับโต๊ะเรอะ!” 

ย้อนกลับไปมองเหตุการณ์นั้นครั้งใด กุลกัลยาก็คิดทุกครั้งว่าตัวเองออกจะบ้าบิ่นเกินไปหน่อย 

นอกจากอินทุอรที่ไร้สติ ฐากรเองก็เหมือนจะเสียสติไปแล้ว ถึงได้คิดว่าเธอจะเอาอินทุอรอยู่ จึงเอาแต่ตะลึงงันมองพวกเธอสองคนเหมือนคนสติหลุดอยู่อย่างนั้น หากไม่ใช่ว่ามีคนผ่านมาได้ยินเสียงกรีดร้องของอินทุอรเข้าพอดี ก็ไม่แน่ว่ากุลกัลยาอาจได้ไปเย็บศีรษะเป็นเพื่อนเขาอีกคน

คนปกติเวลาโดนทุบตี ก็มักจะยกมือขึ้นปัดป้องตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ แต่ไม่ใช่กับฐากร

ความประหลาดใจเพียงชั่ววูบของกุลกัลยาเลือนหายไปเมื่อมีปัญหาใหญ่กว่าเข้ามาแทรก กว่าจะจบเรื่องได้ก็ยุ่งวุ่นวายกันไปหมด ลงท้ายด้วยการแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง 

กระทั่งในวินาทีที่ภาพของคนตัวสูงคุ้นตาโดนตบจนหน้าหันบนทางเชื่อมตึกอันร้างไร้ผู้คนปรากฏขึ้นตรงหน้า ความรู้สึกประหลาดใจจนสมองคาดเดาไปต่างๆ นานาก็กลับมาอีกครั้ง 

...และทุกความเป็นไปได้ที่เธอนึกออกก็ทำให้หัวใจเจ็บปวดจนอยากจะร้องไห้ออกมา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนที่โดนทำร้าย

ในปีนั้น...เด็กคนหนึ่งต้องเจออะไรมามากมายขนาดไหนกัน ถึงได้ทำท่าเหมือนเคยชินเวลาที่ถูกทุบตี

กุลกัลยามองฐากรก้มลงไปพูดอะไรบางอย่างกับหญิงวัยกลางคนตรงหน้า ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะเงื้อมือจนเธอรู้สึกราวกับเห็นภาพช้า

หญิงสาวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเข้าไปถึงตัวคนที่น่าจะอ่อนกว่ามารดาของเธอไม่กี่ปีตอนไหน แล้วทำอย่างไรถึงได้คว้ามือของอีกฝ่ายไว้ก่อนที่มันจะตกกระทบบนใบหน้าที่เริ่มแดงเป็นปื้นของชายหนุ่มได้ทัน

สีหน้าของคนมาใหม่เลื่อนลอยนิดๆ เมื่อภาพเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วซ้อนทับกับปัจจุบัน

“ปล่อย!”

กุลกัลยาสะดุ้งโหยงเมื่อถูกกระชากให้ตื่นจากภวังค์ ทั้งๆ ที่เคยคิดตลอดมา ว่าวันนั้นเธอไม่น่าทำตัววู่วามขนาดนั้น แต่วันนี้เธอก็ยังทำทุกสิ่งซ้ำรอยเดิม

ไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่ของฐากรหรือเปล่า ถ้าเกิดโดนตอกหน้าว่าเสนอหน้าเข้าไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านทำไม จะตอบว่าอย่างไรดี

วิญญาณฮีโรเข้าสิงกะทันหัน?

ถึงกระนั้นเมื่อเห็นริมฝีปากที่แตกจนเลือดซิบกับริ้วแดงๆ บนใบหน้าหล่อเหลาของคนตัวสูงที่จับจ้องเธอไม่วางตา กุลกัลยาก็บอกตัวเองว่าเธอทำถูกแล้ว

“ฉันบอกให้ปล่อยฉัน!” รสรินกรีดเสียงออกมาพร้อมทั้งสะบัดมือออกจนร่างเล็กของหญิงสาวที่เข้ามาขวางเซถลา

ครั้งนี้ฐากรไม่ได้ยืนทื่ออย่างโง่งมเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาผวาเข้าไปรับกุลกัลยาเข้ามาในอ้อมกอด แล้วเอาตัวเองบังเธอไว้เมื่อแม่เลี้ยงทำท่าจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น

“ใคร!” มือของรสรินฟาดโดนต้นแขนแข็งแรงของคนที่เข้ามาโอบเธอไว้ “อ๋อ แฟนแกเหรอ ไปซะ ไสหัวไปเลย จะไปตายที่ไหนก็ไป อย่ามาให้พวกฉันเห็นหน้าอีก”

แม่เลี้ยงของฐากรตีไม่ยั้งเหมือนตอนที่อีกฝ่ายเป็นเด็กๆ 

กุลกัลยาเหลือบมองใบหน้าเผือดสีกับแววตาหม่นแสงเหมือนเขาในเวลานั้นแล้วรู้สึกทนไม่ได้ 

“อย่า...อย่า!” 

 อย่าตีเขา! 

มือเล็กกำเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่น เธอโดนจับหมุนให้หันหนีฝ่ามือของหญิงวัยกลางคนเจ้าอารมณ์ ก่อนที่ชายหนุ่มจะผลักอีกฝ่ายออกไปเต็มแรงอย่างไม่ไว้ไมตรี

เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน ฐากรที่เกือบทั้งชีวิตไม่เคยได้สัมผัสการถูกทะนุถนอม พอได้รับการปกป้องอย่างแข็งกร้าวที่แฝงความอ่อนโยนแบบนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง จนเกือบปล่อยให้เธอโดนลูกหลงจากแรงอารมณ์ที่เธอไม่ได้ก่อ

มาวันนี้ต่อให้เป็นเพราะเขาเองที่จงใจยั่วยุรสรินเพราะโหยหาความรู้สึกของการถูกปกป้องจากเธออีกครั้งจนยอมวางเดิมพันที่มีราคาต้องจ่าย แต่เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายแตะต้องกุลกัลยาแม้แต่ปลายผมเป็นอันขาด

“พอได้แล้ว!” 

เสียงตวาดของฐากรดังก้องทางเดินที่มีเพียงพวกเขา

“ไม่ว่าจะบริษัท จะบ้าน หรือทรัพย์สมบัติอะไรของพ่อ ผมก็จะไม่แตะ คุณวางใจได้ ที่มาวันนี้แค่มาดูว่าเขาปลอดภัยดีแล้วก็เท่านั้น จากนี้ต่อไปไม่ว่าพวกคุณจะพูดยังไง ผมก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่ใกล้เผาก็ไม่ต้องตามผมมาอีก”

รสรินที่ถูกผลักจนเซออกไปหลายก้าวกรีดเสียงด่าทอออกมาหลายคำถึงขนาดไม่เผาผี แต่ฐากรที่มีร่างเล็กบางอยู่ในอ้อมกอดไม่ได้ให้ความสนใจอีกฝ่ายไปมากกว่าการพากุลกัลยาออกจากพื้นที่ตรงนั้นที่เต็มไปด้วยมลพิษ

แม้จะใจหายอยู่บ้างที่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไปดูว่าธนาปลอดภัยแล้วจริงๆ ทว่าฐากรเลือกความอ่อนโยนของกุลกัลยาที่แม้จะไม่มีความหมายแต่จับต้องได้จริง มากกว่าความสัมพันธ์ปลอมเปลือกที่มีเพียงความว่างเปล่า  

  

               ตอนที่ลากกุลกัลยามาถึงหน้าลิฟต์ ฐากรเพิ่งนึกแปลกใจที่จู่ๆ ก็ได้เจอหญิงสาวในสถานการณ์ไม่คาดคิด

               กุลกัลยาโผล่มาจากความว่างเปล่าราวกับความฝัน

               “เดี๋ยวนะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ทำงานเธอนี่นา”

               “ก็ไม่ใช่น่ะสิ ฉันมาเจอเพื่อน” หญิงสาวขืนตัวออกจากอ้อมกอดแข็งแรงเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว “กำลังจะไปนั่งรอที่ร้านกาแฟใต้ตึกนู้น ก็ดันเจอนายซะก่อน”

               สีหน้าของกุลกัลยาเหมือนมีคำถาม แต่กำลังชั่งน้ำหนักในใจว่าควรพูดออกไปหรือไม่ สุดท้ายเธอก็ถอนหายใจแล้วหันมองไปทางอื่นเหมือนตัดใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะปรายตามองเขาอีกครั้ง 

ฐากรที่จับจ้องอากัปกิริยาของอีกฝ่ายอย่างไม่คลาดสายตาจึงส่งยิ้มให้ โดยไม่ลืมที่จะใส่แววตาน่าสงสารเหมือนลูกหมาถูกทิ้งให้มนุษย์จิตใจดีชอบช่วยเหลือสัตว์โลกอย่างกุลกัลยาได้เห็น

ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขามาพิจารณาดูคำพูดของเธอแล้ว การเป็นสุนัขที่เธอช่วยไว้อันที่จริงก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ อย่างน้อยถ้าถูกเก็บไปเลี้ยง เธอก็คงไม่ทิ้งขว้าง

อีกอย่าง การที่กุลกัลยายังไม่ได้มีความรู้สึกอะไรให้เขาในตอนนี้ไม่ได้หมายความว่า เขาจะค่อยๆ ก่อร่างสร้างมันขึ้นในใจเธอไม่ได้นี่นา

มุมปากที่บวมช้ำมีรอยเลือดซิบกับรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาช่างขัดตาจนเปลือกตาคนมองกระตุก

กุลกัลยาก้มมองพื้นแล้วลูบหน้าผากตัวเองด้วยความรู้สึกปลงไม่ตก แล้วตัดสินใจคว้าข้อมือแข็งแรงให้เดินตามราวกับอีกฝ่ายไม่ได้ตัวใหญ่กว่าตนเองเกือบเท่าตัว

ชายหนุ่มเงยหน้ามองป้าย ‘แผนกทันตกรรม’ ของโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่บิดาของเขาเข้ารักษาตัวอยู่ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ หญิงสาวลากเขาเข้าไปในห้องที่ติดป้ายด้านหน้าว่า ‘เฉพาะเจ้าหน้าที่’ อย่างคุ้นเคย

ห้องนั้นน่าจะเป็นห้องพักของทันตแพทย์ เพราะพอเปิดประตูเข้าไปก็พบหญิงสาวในชุดสีเขียวใส่หมวกคลุมผมและหน้ากากอนามัยยืนอยู่หลังโต๊ะกลางที่มีของกินวางอยู่ ครึ่งหน้าที่โผล่พ้นหน้ากากดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด

“ทำไมมาเร็ว ฉันเหลือคนไข้อีกสองคน...อ้าว!” คนพูดทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นร่างสูงที่เดินตามเพื่อนเข้ามา “เอ๊ะ! แท็บ?”

ฐากรเพิ่งนึกออกก็ตอนนี้เอง ว่าหญิงสาวในชุดเขียวคือรุจิรา เพื่อนซี้ที่ตัวแทบจะติดกันตลอดเวลาของคนที่ลากเขาเข้ามาในห้องนี้ 

“ไปเจอมาพอดี มีน้ำแข็งมั้ย” กุลกัลยาดึงแขนคนตัวโตให้ลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง 

“ทำไมมาด้วยกันได้วะ” สีหน้าของคนที่เดินไปเปิดตู้เย็นแลดูสับสนสุดๆ “ไม่เจอแกเดือนเดียว ฉันพลาดข่าวอะไรไป”

“ไม่ได้พลาดอะไรทั้งนั้น...ห่อผ้าด้วยสิ” คนเป็นเพื่อนขมวดคิ้วใส่เมื่อไอซ์แพ็กถูกยื่นให้ทั้งอย่างนั้น 

รุจิรามองคนที่จัดผ้าห่อไอซ์แพ็กอย่างใส่ใจแล้วเดินกลับไปประคบข้างแก้มของอดีตเพื่อนร่วมชั้นตาค้าง

“เย็นไปมั้ย” 

เจ้าของเสียงใสที่เอ่ยคำถามทำให้คนที่ยืนงงอยู่ที่เดิมเกือบลืมคนไข้อีกสองคนที่ยังรออยู่

“อะไรวะเนี่ย...”

               “จี แกดูให้หน่อยดิ ปากมีเลือดออกด้วยอะต้องทำอะไรมั้ย”

               รุจิราเดินเข้ามาพิจารณาซีกหน้าที่แดงเป็นปื้นของฐากรแล้วก็ต้องหันไปถามเพื่อนสนิท

               “แกตบแท็บเหรอหยา”

               “จะบ้าเรอะ!”

               “เลือดนี่น่าจะเผลอกัดปากตัวเองเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก” ฐากรรีบห้าม เมื่อรุจิราทำท่าจะเข้ามาดูให้จริงๆ “จีไปทำงานต่อเถอะ”

               หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าอย่างลังเล

               “ก็ได้ งั้นรอแป๊บนะ เหลือคนไข้อีกสองคนก็เสร็จแล้ว”

               คล้อยหลังเพื่อนสนิทที่เดินลับไป กุลกัลยาก็หันกลับมามองมุมปากซึ่งมีคราบเลือดที่แข็งตัวแล้วอย่างเป็นกังวล

               “ไม่เป็นไรจริงดิ เสียงตบดังมากเลยนะ มีเลือดด้วย”

               “ไม่เป็นไรจริงๆ ดูสิ” เขาวางมือบนมือเล็กที่ประคบเย็นข้างแก้มให้ตนเอง แล้วเอียงหน้าให้ดูว่าในปากไม่เป็นอะไรจริงๆ     

 ฐากรมองใบหน้าเนียนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยสายตาพิจารณาเงียบๆ 

“นี่คือการช่วยเหลือหมาข้างถนนอีกหรือเปล่า”     

               เสียงทุ้มมีรอยขบขันกับแววตาเปื้อนยิ้มของเขาทำให้คนฟังเกือบกัดกระพุ้งแก้มตัวเองบ้าง

               ตั้งแต่วันนั้นมาเธอก็เสียใจกับคำพูดตัวเองมาโดยตลอด ต่อให้ผิดหวังอย่างไรก็ไม่ควรพูดจากับเขาแบบนั้น แต่ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากขอโทษ ประโยคต่อมาของเขาก็ทำให้เธอกลืนคำพูดพวกนั้นลงคอแทบไม่ทัน

“แล้วถ้าหมาเลียปากนี่จะถือสามั้ย” 

“อะไรนะ!”

“ถ้าหมาขอจูบจะได้หรือเปล่า...” 

ใบหน้าคมคายเคลื่อนเข้ามาใกล้คนที่ตกตะลึงกับคำพูดแทะโลมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนตาค้าง 

ความใกล้ชิดอย่างกะทันหันทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะก่อนจะกระแทกโครมอยู่ในช่องอก จนเธอกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน มาถึงตอนนี้กุลกัลยาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองปล่อยให้มือที่จับห่อผ้าเย็นจัดตกอยู่ในอุ้งมือใหญ่ที่วางทาบทับไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ 

“ไม่!” เธอผงะถอยหลังพลางดึงมือตัวเองกลับจนไอซ์แพ็กที่ถือไว้หลุดมือตกลงไปที่พื้น

               “โอเค” 

จู่ๆ เขาก็รับคำอย่างว่าง่าย ฐากรก้มเก็บไอซ์แพ็กที่ห่อด้วยผ้ากลับขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

               “เข้าใจแล้ว” พูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มก็หันหลังแล้วเดินจากไป

               กุลกัลยามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกราวกับเดจาวู ในหัวมีแต่ประโยค ‘อะไรเนี่ย’ วนไปมาอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาชีวิตไม่เคยสับสนขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งฐากรออกจากห้องไปแล้วเธอยังไม่เข้าใจเลยว่า สถานการณ์เมื่อครู่มันคืออะไรกันแน่

               แต่ที่แน่ๆ คือเธอรู้สึกหลอนกับคำพูด ‘เข้าใจแล้ว’ ของเขาไปแล้ว เพราะพอได้ยินอีกครั้งก็ใจหายวาบเหมือนวันนั้นที่สนามบินภูเก็ตไม่มีผิด

               “อะไรวะเนี่ย” หญิงสาวพึมพำด้วยประโยคเดียวกับรุจิราเมื่อครู่ 

               ความจริงแล้ววันนี้กุลกัลยานัดกับรุจิราที่ที่ทำงานของอีกฝ่าย เพื่อไปลองชุดแต่งงานของทันตแพทย์สาวที่ร้านเพิ่งแก้เสร็จและต้องใช้ในงานอีกไม่กี่วันนี้ 

               และถือว่าเป็นความโชคดีของกุลกัลยาที่ฐากรกลับไปก่อน เพราะพอเคลียร์คนไข้เสร็จ รุจิราที่เดินกลับมาที่ห้องพักก็มองเธอด้วยแววตาขบขันเหมือนญาณิศาเวลาพยายามจะชงเข้มให้เธอคบกับฐากรไม่มีผิด

               “อาทิตย์ก่อนภีมเพิ่งบอกว่าจะเพิ่มแท็บในลิสต์รายชื่อแขกไป เพราะเพื่อนอีกคนไม่ว่างพอดี ที่แท้คือเธอจะควงแท็บมางานสินะ ฉันพลาดอะไรไปจริงๆ ด้วย”

               “ใช่ที่ไหนล่ะ” กุลกัลยากลอกตา “เพิ่งเจอกันตอนดำน้ำเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่แล้ว”

               “แล้ววันนี้ล่ะ” รุจิราที่กำลังเก็บของเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วใส่

               “บังเอิญเจอเฉยๆ” พูดถึงเรื่องนี้ เธอเองยังไม่รู้เลยว่าตกลงเขามาที่นี่ทำไม แล้วผู้หญิงคนนั้นที่ตบหน้าเขาคือใคร แต่เท่าที่จับใจความจากที่พวกเขาเถียงกัน กุลกัลยาก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องในครอบครัว จึงไม่กล้าเอ่ยปากถาม

               “แก...” รุจิราลากเสียง “บังเอิญสองครั้งนี่ตกลงคือพรหมลิขิตใช่มั้ย”

               ถ้าเป็นเวลาปกติกุลกัลยาคงหัวเราะไปแล้วที่อีกฝ่ายทำหน้าตาล้อเลียนดูน่าขันใส่แบบนี้ แต่เป็นเพราะภาพที่เห็นในร้านกาแฟที่ภูเก็ต ทำให้กุลกัลยาไม่อยากจะเผลอใจจนต้องเจ็บปวดอีกครั้ง

               รอยยิ้มบนใบหน้าของว่าที่เจ้าสาวจางลงเมื่อเห็นแววตาหม่นแสงของเพื่อนที่รู้จักกันมากกว่าสิบปี

               “อยากเล่ามั้ย” รุจิราเอียงคอมองเพื่อน

               “เอาไว้ก่อน” กุลกัลยาเดินเข้าไปกอดคอเพื่อนแล้วลากออกจากห้องพัก “วันนี้เป็นวันของแก เอาไว้วันหลังค่อยเล่าให้ฟัง”

               จนกระทั่งถึงวันแต่งงานของรุจิรา กุลกัลยาก็ยังคิดไม่ตก เธอไม่เข้าใจฐากรเลยแม้แต่น้อย 

               ท่าทางเหมือนมีใจ แต่ภาพของเขากับตมิศาก็บอกกับกุลกัลยาว่าทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นเธอที่คิดไปเอง และด้วยสัญชาตญาณ กุลกัลยารู้ดีว่าตนเองไม่อาจผ่านความเจ็บปวดในครั้งนี้ไปได้อย่างง่ายดายเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วแน่นอน

               ดังนั้นในตอนที่เห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่ม กุลกัลยาจึงเผลอหลบหน้าเขาโดยอัตโนมัติก่อนที่สมองจะสั่งการเสียอีก

               งานแต่งงานของรุจิราเป็นงานเล็กๆ ที่มีแต่ญาติและเพื่อนสนิท จัดขึ้นในคาเฟ่เล็กๆ ใกล้บ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายด้วยกัน ดังนั้นแขกส่วนใหญ่ในงานจึงล้วนแล้วแต่เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี 

               ช่วงเช้าของงานเป็นพิธีสู่ขอและรดน้ำสังข์ ขั้นตอนต่างๆ ในงานแต่งงานถูกลดทอนลงไปมากด้วยความอินดี้ของเจ้าสาว หลังเสร็จพิธีช่วงเช้าก็จะเป็นมื้อเที่ยงและการเลี้ยงฉลองเล็กๆ ในกลุ่มเพื่อนที่รุจิราประกาศกร้าวว่าไม่เมาไม่เลิก

               และกุลกัลยาที่ทั้งหลบทั้งเลี่ยงฐากรมาได้ทั้งวันก็จนมุมเอาตอนนั้น เมื่อถูกจัดตำแหน่งให้นั่งข้างชายหนุ่มบนโต๊ะอาหารแบบยาวที่วางเป็นรูปตัวยูในสวนสวย โดยมีน้องชายของเจ้าสาวที่ค่อนข้างสนิทกันนั่งอีกฝั่ง

               “มึงเป็นเจ้าสาวนะเจ๊ ใจเย็นก๊อน” เจตน์ร้องเสียงหลง ตอนเห็นพี่สาวกรอกไวน์เข้าปากท่ามกลางสีหน้าปลงตกของเจ้าบ่าวหมาดๆ

               “ปล่อยมัน” เจ้าบ่าวอย่างภีมวัจน์กล่าวด้วยสีหน้านิ่งสนิท “เกิดมาชีวิตนึงจีมันจะได้แต่งงานก็แค่ครั้งเดียว อยากจะทำอะไรก็ให้ทำไปเถอะ”

               “นี่ก็ตามใจเมียตะพึดตะพือ” น้องชายเจ้าสาวมองค้อนใส่พี่เขย

               “แล้วแกจะให้ภีมมันตามใจใคร” กุลกัลยาว่า ดวงตาเผลอเหลือบมองคนนั่งข้างๆ แล้วก็พบว่าดวงตาคู่คมจับจ้องที่เธออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวเลยเสยกแก้วไวน์กระดกตามรุจิราไปอีกคน

               “เชี่ย! เจ๊หยา!” เจตน์หันมองแล้วอุทาน 

               มื้ออาหารเที่ยงเรียบง่ายหลังพิธีในช่วงเช้ากินเวลาไม่นาน ญาติผู้ใหญ่และแขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับ เหลือแต่แก๊งเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน งานเลี้ยงฉลองหลังจากนั้นเป็นความชุลมุนย่อมๆ เมื่อแอลกอฮอล์เข้าปากเกินสามแก้ว โดยเฉพาะเมื่อเจ้าสาวของงานเริ่มเมาแล้วชวนคนอื่นชนแก้วไปทั่ว แน่นอนว่าคนที่โดนหนักสุดคือกุลกัลยา 

               “ทำไมมีโซจูด้วยวะ ใครซื้อมา” เจ้าบ่าวงง มือยื้อยุดแขนเรียวของภรรยาที่ถือขวดแก้วสีเขียวไว้ แล้วรบเร้าให้เพื่อนสาวกระดกเหล้าในแก้วใบเล็กในรวดเดียว

               “อ่า...เหมือนอมสำลีแอลกอฮอล์” สีหน้าของหญิงสาวเหยเกสุดๆ เมื่อของเหลวใสรสชาติบาดคอไหลลงท้อง ความรู้สึกร้อนวูบวาบลามไปถึงสมองที่มึนเบลอจนแทบจะไม่รู้เหนือรู้ใต้ 

               “ใครให้แกอม กระดกแล้วกลืนสิ!”

               “เจ๊จีพอก่อน เพื่อนเจ๊จะวาร์ปแล้ว” เจตน์ที่นั่งติดกับกุลกัลยาพยายามจะห้าม สีหน้าอึมครึมของผู้ชายที่เขานึกสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าตัวกับเพื่อนพี่สาวทำให้เขาขนลุกวาบด้วยความกดดัน  

               “ไหวมั้ยเนี่ย” ฐากรมองใบหน้าแดงจัดของคนที่นั่งข้างๆ ด้วยแววตาเป็นกังวล “พอได้แล้วมั้ง กลับบ้านกันเถอะ” 

“จะเข้าห้องน้ำ” กุลกัลยาพึมพำ ไม่ได้ยินสิ่งที่เขากล่าว ร่างโงนเงนพยายามจะยันตัวลุกขึ้น

ผลของการกินทั้งไวน์ทั้งเหล้ามั่วซั่วไปหมดสำแดงทันที ต่อให้กุลกัลยาเชื่อฟังคำห้ามปรามของชายหนุ่มก็ไม่ทันแล้ว ทันทีที่ลุกจากเก้าอี้ได้ก็เหมือนโลกพลิกคว่ำคะมำหงาย หมุนคว้างจนทรงตัวไม่อยู่ ก่อนภาพจะตัดหญิงสาวรู้สึกได้แค่ว่าตัวเองทิ้งตัวลงในอ้อมกอดอบอุ่นของใครคนหนึ่ง 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น