6
เขาควรจะรู้ตั้งแต่ตอนนั้น
ตอนที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งในความมืดใต้ผ้านวมหนากับอุณหภูมิเย็นฉ่ำ กุลกัลยาแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความฝัน เธอนอนนิ่งๆ ด้วยความรู้สึกมึนงงอยู่สักพัก กว่าสติจะกลับมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กุลกัลยากินเหล้ากับรุจิราและกลุ่มเพื่อน แต่เธอไม่เคยเมามายไร้สติจนภาพตัดแบบนี้มาก่อน และส่วนใหญ่หากไม่ใช่ตัวรุจิราเองที่ลากเธอไปนอน ก็จะเป็นเจตน์ที่สร่างเมาก่อนเสียทุกครั้งที่เห็นพี่สาวกับเพื่อนพี่สาวเมาจนรั่ว
กุลกัลยาที่นอนมองเพดานแปลกตาบนเครื่องนอนนุ่มลื่น จนให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นจากเตียง เมื่อมองไปรอบด้านก็ยิ่งใจเสีย เพราะแม้จะอยู่ในความมืด แต่ก็พอมองออกว่าเป็นสถานที่ที่ไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง
หญิงสาวก้มมองตัวเองแล้วถอนหายใจเมื่อพบว่าตนเองยังอยู่ในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มที่ใส่เมื่อเช้า และเมื่อขยับตัวก็ไม่พบความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่น่าเป็นกังวลจนต้องรีบไปโรงพยาบาล
ดวงตากลมมีแววตื่นตระหนกตอนที่เหลียวมองไปรอบกาย ไม่แน่ใจว่าสถานที่แห่งนี้คือห้องนอนของใครสักคนหรือห้องพักในโรงแรม แต่ที่แน่ๆ คือไม่ใช่ทั้งบ้านของตัวเองและบ้านของรุจิราอย่างแน่นอน
กุลกัลยาหาโทรศัพท์ของตัวเองไม่เจอ ไม่แน่ใจว่าคนที่พาเธอมาที่นี่ได้นำกระเป๋าใส่สัมภาระของเธอติดมาด้วยหรือไม่ มือเรียวตวัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกขึ้นจากเตียง เธอค้นพบว่าตนเองอยู่ในห้องนอนขนาดใหญ่บนชั้นสองของห้องชุดแบบดูเพล็กซ์ ปลายเตียงเป็นราวระเบียงกั้นยาวไปถึงบันไดโดยไร้กำแพงกั้นระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ทำให้เห็นหน้าต่างบานใหญ่ที่กินพื้นที่ด้านหนึ่งของผนังทั้งสองชั้น
คลิก คลิก
ท่ามกลางความเงียบ กุลกัลยาได้ยินเสียงบางอย่างดังอยู่ในความมืด บ่งบอกว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวในที่แห่งนี้
มีใครบางคนอยู่ชั้นล่างของห้อง หญิงสาวชั่งใจอยู่ชั่ววินาทีเมื่อพยายามคาดเดาว่าใครคือเจ้าของสถานที่แห่งนี้ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง
ร่างสูงคุ้นตานั่งอยู่บนโซฟารูปตัวแอล บนตักมีแลปทอปส่องแสงสว่างจ้า ดวงตาคมซ่อนอยู่หลังแว่นตากรองแสงเป็นภาพที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“หยา” ฐากรหันมาเห็นร่างเล็กที่ยืนอยู่ตีนบันได บรรยากาศรอบตัวกุลกัลยาดูสับสนจนเห็นได้ชัด แม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าที่อยู่ในความมืด
“ที่นี่ที่ไหน”
“ห้องฉัน”
“ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” กุลกัลยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้ถูกคนแปลกหน้าที่ไหนหิ้วกลับห้องไปตอนที่ไร้สติ
น่าประหลาดที่พอเห็นหน้าเขาก็อุ่นใจจนความกังวลหายไปหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
ฐากรวางแลปทอปบนโต๊ะกลางแล้วเดินไปเปิดไฟจนห้องสว่างจ้า ตอนที่มองออกไปนอกหน้าต่างจึงเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกมืดไปนานแล้ว
“กี่โมงแล้ว” กุลกัลยารีบค้นกระเป๋าหาโทรศัพท์มือถือเมื่อชายหนุ่มยื่นมันมาให้ ลำคอแห้งผากจนเสียงที่ออกมาแหบพร่านิดๆ
“ทุ่มครึ่ง หิวมั้ย” ร่างสูงเดินไปหลังเคาน์เตอร์ครัวพักหนึ่งก็กลับมาพร้อมแก้วใส่น้ำเย็นจัดราวกับรู้ใจ “อยากจะอ้วกหรือปวดหัวมั้ย”
“นิดนึง” ใบหน้าคนเพิ่งสร่างเมาค่อนข้างซีด
“มีกระเพาะปลา กินก่อนแล้วกัน เดี๋ยวขับรถไปส่งที่บ้าน” ฐากรทำราวกับการดูแลเธอเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“ปกติกินเหล้าหนักขนาดนี้บ่อยเหรอ” เขาถามระหว่างที่ทั้งคู่นั่งข้างกันบนเก้าอี้บาร์ที่เคาน์เตอร์ครัว ฐากรเท้าคางมองกุลกัลยาค่อยๆ เป่ากระเพาะปลาที่ถูกอุ่นจนร้อน
เพิ่งสร่างเมายังเจริญอาหารได้...
“ก็ไม่...”
“ผู้ชายคนนั้น...น้องชายจีดูคุ้นกับการที่เจอเธอตอนเมามากเลยนะ”
แววตาของคนพูดมีรอยประหลาดตอนที่จ้องริมฝีปากสีชมพูฉ่ำน้ำงับช้อนใส่กระเพาะปลา
“ก็...จีมันเมาแล้วรั่ว ถ้าภีมไม่ว่าง เจตน์มันก็ต้องมาตามเก็บ” กุลกัลยายอมรับ “แต่ปกติฉันไม่เคยเมาจนภาพตัดขนาดนี้หรอกนะ”
“แล้วปกติเธอกลับบ้านยังไง”
“ปกติไม่เจตน์ก็ภีมไปส่งที่บ้าน จริงๆ ไม่ต้องลำบากนายก็ได้ ปล่อยไว้เดี๋ยวเจตน์มันก็หิ้วไปส่งบ้านเอง”
มุมปากของคนฟังกดลงเล็กน้อย
“ไว้ใจเขาขนาดนั้นเลยเหรอ”
“รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กนี่นา แล้วปกติฉันก็ไม่ใช่คนที่เมาแล้วระรานใครซะหน่อย”
คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มลึกลับ ดวงตาวาวแสงขึ้น
“สรุปว่าจำไม่ได้เลยจริงๆ สินะ ว่าตอนเมาทำอะไรไปบ้าง”
“ไม่จริง ฉันไม่ได้...”
“กุลกัลยา...”
เสียงทุ้มลากยาวชวนให้เจ้าของชื่อใจสั่น ร่างสูงโน้มเข้าไปใกล้คนที่ทำตาค้างโดยไม่ให้ทันตั้งตัว นัยน์ตาหลุบต่ำมองริมฝีปากเล็กที่เผยออ้าอย่างมีความหมาย
ชื่อจริงของเธอที่ออกจากปากเขาให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในอกจนลมหายใจของหญิงสาวขาดห้วง หัวใจเต้นโครมครามจนเหมือนจะพุ่งออกมาข้างนอกให้ได้
“เธอสารภาพว่าเธอชอบฉัน...”
กุลกัลยาช็อก!
ฐากรสัมผัสได้ว่ากุลกัลยาพยายามจะหลบหน้าเขาตั้งแต่เช้า
ร่างแบบบางในชุดสีน้ำเงินเข้มตัดกับผิวขาวจัดจนเรืองแสงเน้นเอวคอด เรือนผมดำขลับเป็นเงามันถูกตลบขึ้นเป็นมวยต่ำ และประดับด้วยดอกกล้วยไม้สีขาวประณีตเหนือลำคอเรียวเล็กน่าทะนุถนอม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นกุลกัลยาในวันนี้งดงามจนน่าตื่นตะลึง แต่ฐากรรู้ดีว่าหญิงสาวพร้อมจะกระโดดหนีราวกับกระต่ายน้อยขี้ตกใจเมื่อไรก็ตามที่เขาเข้าใกล้อีกฝ่ายมากเกินระยะสามเมตร
จะบอกว่าไม่กังวลเลยก็นับได้ว่าเป็นการโกหก แต่ชายหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่า การเจอกันครั้งล่าสุดเป็นเขาเองที่ผลักดันให้กุลกัลยาสับสนว้าวุ่นอย่างจงใจ
ฐากรไม่ต้องการเป็นแค่เพื่อนชายที่น่าสงสารจนเธอต้องก้าวเข้ามาช่วยเหลือ แต่ต้องการแทรกตัวเองเข้าไปในทุกอณูความคิดของกุลกัลยา
ดังนั้นความสับสนของเธอจึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายนัก
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสายตาของกุลกัลยาที่เหลือบมองมาเป็นระยะระหว่างที่นั่งข้างกันบนโต๊ะยาวในงานเลี้ยงฉลองพิธีสมรสของรุจิรากับภีมวัจน์ เขาไม่รู้ว่าเธอคอแข็งขนาดไหนถึงได้กินไวน์เข้าไปเยอะขนาดนั้น ไม่รวมถึงตอนหลังที่แขกเริ่มทยอยกลับ แล้วกลุ่มเพื่อนเจ้าสาวหาเหล้าดีกรีแรงมาแกล้งมอมเหล้าเจ้าสาวที่ดูจะไม่แคร์ภาพลักษณ์เลยแม้แต่น้อย
ซึ่งฐากรจะไม่เป็นห่วงเลย ถ้าคนข้างๆ เขาไม่ได้ดื่มเข้าไปเยอะจนเหมือนจะฟุบลงกับโต๊ะได้ทุกเมื่อ
“ไหวมั้ยเนี่ย พอได้แล้วมั้ง” ถึงใบหน้าแดงก่ำและดวงตากลมโตฉ่ำเยิ้มของเธอจะดูน่ารัก แต่กินเข้าไปเยอะขนาดนี้ก็ชักจะน่าเป็นห่วง “กลับบ้านกันเถอะ”
ไม่ทันขาดคำ กุลกัลยาก็พึมพำอะไรสักอย่างในลำคอแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ทั้งฐากรและน้องชายของเจ้าสาวที่ชื่อเจตน์ต่างหันมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายด้วยสายตาหวาดระแวงทันที
นับหนึ่งไม่ถึงสาม ร่างเล็กที่โงนเงนไปมาก็ร่วงผล็อยราวกับถูกดึงปลั๊กออก ชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งขนาบข้างยื่นมือเข้าไปหาเกือบจะพร้อมกัน
คนที่ช้ากว่าเพียงเสี้ยววินาทีคือเจตน์
ฐากรโอบไหล่เล็กให้ทิ้งน้ำหนักมาทางตนเองทั้งหมด แก้มเนียนถูกับอกกว้างจนรองพื้นเลอะเสื้อสูทสีเข้มเป็นปื้น แต่ชายหนุ่มไม่นึกใส่ใจ สายตาคมปลาบเป็นประกายวาบถูกส่งไปยังชายอีกคนที่ยังยกมือค้าง
เจตน์รับรู้ถึงแววตาอันตรายของอีกฝ่าย ราวกับมีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในหัว ท่าทีหวงแหนเหมือนเจตน์เผลอไปแตะของรักทำให้เขาหดมือกลับโดยอัตโนมัติ ได้แต่มองคนตัวสูงถอดเสื้อสูทตัวนอกพันสะโพกของเพื่อนพี่สาวที่เมาพับอย่างใส่ใจ แล้วช้อนอุ้มออกไปจากงานต่อหน้าต่อตา
ฐากรกระชับร่างในอ้อมกอด หมดความสนใจในตัวเจตน์ทันทีที่อีกฝ่ายปล่อยมือ และมองเขาพากุลกัลยาจากมาด้วยสายตาทึ่มทื่อ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าบ้านของกุลกัลยาอยู่ที่ไหน จึงขับรถพาเธอกลับไปที่คอนโดของตัวเองก่อน กุลกัลยาหลับยาวจนถึงที่หมาย หญิงสาวเพิ่งจะงัวเงียรู้สึกตัวตื่นตอนที่เขาช้อนร่างเธอขึ้นจากเบาะรถ
การรับมือกุลกัลยาตอนไร้สติไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเมื่อใจเขาไม่ได้ราบเรียบไร้ความรู้สึก และร่างกายของเขาไม่ได้สร้างจากอิฐและปูน
หลังจากที่ฐากรปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าห้องน้ำด้วยตัวเองโดยไม่ยอมให้ล็อกประตู หญิงสาวก็หายเข้าไปนานจนเขากังวล แต่จะเปิดประตูเข้าไปก็ไม่กล้า ได้แต่ยืนฟังเสียงอยู่อย่างนั้นจนเธอออกมาด้วยตัวเอง
ร่างนุ่มหอมของกุลกัลยาทิ้งตัวใส่อกกว้างของเขาทั้งตัว น้ำหนักที่ได้รับอย่างกะทันหันฉุดทั้งคู่ให้ลงไปกองกับพื้นด้วยกัน
“โอ๊ะ!” ฐากรรั้งคนในอ้อมกอดให้ลงน้ำหนักมาทางเขาเพื่อกันไม่ให้เข่าของเธอกระแทกกับพื้นกระเบื้อง ใบหน้าเล็กถูไถกับเสื้อเชิ้ตสีขาวของชายหนุ่ม คลอเคลียราวกับลูกแมว ทิ้งคราบเครื่องสำอางไว้เป็นทาง
ฟืด!
ร่างสูงสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกได้ถึงการสูดลมหายใจเข้าลึกเหนือตำแหน่งหัวใจ
นี่เธอ...ดมเขาเหรอ
“นี่!” มือใหญ่ช้อนใต้รักแร้ของคนที่ตัวอ่อนปวกเปียกแล้วดันเธอออกห่าง ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวราวกับอังด้วยไฟ
ฐากรมองใบหน้าแดงก่ำและดวงตารื้นน้ำ ฉ่ำราวกับผลไม้เคลือบน้ำตาลด้วยความรู้สึกกึ่งขันกึ่งเขิน
“ทำไมเป็นแบบนี้ได้เนี่ย!”
“ฮี่ๆๆ”
เสียงหัวเราะลอดจากปากเล็กๆ ให้ความรู้สึกราวกับมีผีเสื้อขยับปีกอยู่บนหัวใจของฐากร จมูกเล็กเชิดพยายามยื่นเข้ามาที่อกเขาอีกครั้ง
“หอม...”
“หยา!” มือใหญ่เลื่อนมาตะครุบหน้าคนที่ยังยืนยันจะลวนลามเขาด้วยจมูก ความรู้สึกที่ทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กันเป็นอย่างไร ชายหนุ่มเพิ่งเข้าใจก็ตอนนี้เอง
แววตาของฐากรเข้มข้นขึ้นเมื่อก้มมองดวงหน้าที่เขากอบกุมไว้ระหว่างสองมือ
“อยู่กับคนที่ชอบ ฉันก็ไม่ได้อดทนเก่งขนาดนั้นหรอกนะ รู้มั้ย หืม...”
ริมฝีปากชุ่มชื้นเคลือบด้วยลิปสติกสีพีชยื่นออกมาเมื่อถูกขัดใจ
ฐากรมองตามแล้วก็ต้องกัดริมฝีปากจนเจ็บเพื่อให้ตนเองรู้สึกตัว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีกันให้วุ่นอยู่ในหัว
เขาอยากจูบเธอ...ฐากรกดนิ้วโป้งลงบนริมฝีปากล่างนุ่มนิ่ม เกลี่ยไล้บนความชุ่มชื้นจนสีลิปสติกติดนิ้ว
กลีบปากของเธอบอบบางจนแม้แต่การใช้ปลายนิ้วหยาบกร้านของเขาสัมผัสก็ดูจะรุนแรงเกินไป ดวงตารื้นน้ำที่ช้อนมองปรือปรอยจนฐากรต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีในการยั้งตัวเองไม่ให้ทำตามอำเภอใจ
กุลกัลยาในตอนนี้น่ารังแกอย่างที่เขาเองก็ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด
ในจินตนาการของฐากร เขาบดขยี้ลงบนกลีบปากนุ่มละมุนของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลิ้มเลียความหอมหวานทั้งนอกและในโพรงปากอย่างไม่รู้จักพอ รุกไล่ลิ้นฉ่ำชื้นจนได้ยินเสียงสะอื้นอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ลมหายใจร้อนผ่าวขาดห้วง เขารู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ในตอนที่อยู่ห่างจากเธอเพียงลมหายใจกั้น
“อา...” ฐากรถอนใบหน้าออก กดนิ้วลงบนปากของกุลกัลยาจนเป็นรอยบุ๋ม ทิ้งน้ำหนักไปทั่วกลีบปากนุ่มอย่างจงใจ ทดแทนสิ่งที่เขาไม่อาจทำได้ในตอนนี้
เขายอมแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้เพื่อจูบของเธอ แต่ฐากรต้องการความเต็มใจจากกุลกัลยา
ภาพของกุลกัลยาในความทรงจำของฐากรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขาเสมอมา ทำให้เขาเองก็ต้องการจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเธอด้วย เพราะฉะนั้นฐากรจึงต้องการให้กุลกัลยามีสิทธิ์เต็มที่ที่จะปฏิเสธหรือตอบรับความต้องการของเขา
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อาจฉวยโอกาส...
ระหว่างที่เขากดท้องนิ้วหยาบบนริมฝีปากนุ่มอย่างเกินจะตัดใจ ลิ้นเล็กๆ ก็ยื่นออกมาจากริมฝีปากฉ่ำ แตะปลายนิ้วของเขาเบาๆ ราวกับสัมผัสของขนนก
แผล็บ...
ฐากรอึ้ง ลมหายใจสะดุด ทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่กับสัมผัสเพียงแผ่วเบาราวกับไม่มีอยู่จริง
“ให้ความร่วมมือกันหน่อยได้มั้ย” ลำคอของชายหนุ่มแห้งผาก การห้ามใจตัวเองทำได้ยากยิ่งขึ้นเมื่ออีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ “มีสติเมื่อไหร่ฉันจะขอจูบ ถึงตอนนั้นก็ตอบตกลงด้วยล่ะ”
“ตกลง” เธอตอบกลับทันที
“เดี๋ยวสิ!” ฐากรทั้งฉุนทั้งขัน แต่เห็นท่าทางของหญิงสาวในตอนนี้ก็นึกขึ้นได้ “เวลาเมาเธอเป็นแบบนี้เหรอเนี่ย โสดมาได้ยังไงกันทุกวันนี้”
กุลกัลยาในยามไร้สติน่ารัก น่ารังแกจนใครก็ยากจะปล่อยมือ
“เป็นเพราะอีตานั่น!...ฉันชอบใครไม่ได้เลย”
ริมฝีปากเล็กยื่นออกมาจนน่าบีบ แม้แต่ท่าทางตอนโมโหยังน่าเอ็นดู
กรามแกร่งขบเข้าหากันจนขึ้นเป็นสัน ดวงตาเป็นประกายวาบ หลุบลงมองใบหน้าของคนพูดด้วยสีหน้าอึมครึม ชายหนุ่มเผลอบีบพวงแก้มนิ่มจนคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันนิดๆ
“ใคร”
ดวงตาเลื่อนลอยของกุลกัลยาค่อยๆ เลื่อนมาจับภาพที่จุดเดียว
“นายไง”
“...”
ฐากรสูดลมหายใจเข้าลึก หัวใจเต้นคร่อมจังหวะ แต่เขายังต้องการการยืนยันจากปากกุลกัลยา
“ฉันคือใคร”
ใบหน้าของกุลกัลยาเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับฝ่ามือของเขา ทว่ารอยยิ้มจนตาหยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยวบนนั้นกลับมีอิทธิพลต่อโลกทั้งใบของใครบางคน จุดประกายทางเดินที่มืดมนให้สว่างไสว
“แท็บบี้ ฮี่ๆๆ”
ชื่อของเขาที่ดังออกจากปากเล็กๆ พร้อมเสียงหัวเราะราวกับพลุไฟระเบิดขึ้นในใจจนสะท้านไปทั้งร่าง
วินาทีนั้นฐากรค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่ รางวัลของการอดทนมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง
กระบอกตาร้อนผ่าว มือใหญ่กดศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มลื่นให้เข้ามาแนบอก หัวใจเต้นแรงจนเธอน่าจะได้ยิน แขนอีกข้างกอดกระชับไหล่บางแน่นด้วยความรู้สึกคล้ายกับว่าใกล้กันเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ
เวลาผ่านไปนานเท่าใดก็สุดจะรู้ ฐากรกอดกุลกัลยาไว้อย่างนั้นเพราะไม่อาจตัดใจปล่อยมือ จนกระทั่งเสียงสูดจมูกแอบดมตัวเขาของอีกฝ่ายเงียบไป กลายเป็นเสียงลมหายใจยาวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ชายหนุ่มจึงได้ช้อนร่างคนที่หลับไปอีกรอบอุ้มขึ้นไปนอนบนเตียงเพราะกลัวเธอจะเมื่อย โดยไม่ลืมที่จะปลดช่อดอกไม้ออกจากมวยผมก่อนวางศีรษะเล็กลงบนหมอน
ภาพของกุลกัลยาที่อยู่ข้างกายสร้างความรู้สึกสุขสงบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฐากรนึกสงสัยว่าหากเขารู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้อีกนิด ระหว่างเขากับเธอจะเป็นอย่างไร
ช่วงเวลาอันยาวนานอาจไม่ทรมานนักถ้ามีเธออยู่ และทั้งสองคนคงไม่ต้องโดดเดี่ยวอย่างที่ผ่านมา
เขาควรจะรู้ตั้งแต่ตอนนั้น...
ร่างสูงนอนตะแคงหนุนแขนตัวเอง จับจ้องใบหน้าของกุลกัลยาในยามหลับใหลอย่างละโมบเพราะไม่รู้ว่าเมื่อสติกลับคืน เขาจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดเธอแบบนี้อีกเมื่อไหร่
ตื่นมากุลกัลยาจะจำสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ได้หรือเปล่า ฐากรยังกังขา
แต่ถ้าให้เดา เขาคิดว่าเธอคงจำไม่ได้ หรือต่อให้จำได้ก็คงแกล้งลืมอยู่ดี...
ซึ่งฐากรเดาถูกอย่างน่าโมโห
กุลกัลยาจำไม่ได้สักอย่าง
พอเขาลองพูดถึงเรื่องที่เธอสารภาพกลายๆ ว่ามีเขาอยู่ในใจ ปฏิกิริยาของกุลกัลยาหลังจากความตกใจคือความโกรธ คิดไปว่าเขาแกล้งแหย่เล่นเสียอย่างนั้น
“ตลกมาก” พอปรับสีหน้าได้เธอก็กล่าวประชด แววตามีรอยกรุ่น และวางช้อนลงทันใด
“คิดว่าโกหกหรือไง” เขาเอียงคอมองด้วยความรู้สึกกึ่งฉุนกึ่งขัน
“แน่นอนอยู่แล้ว” กุลกัลยายืนยันอย่างมั่นใจขัดกับแววตาวูบไหว
ไม่น่าใช่หรอก...มั้ง?
“อยากกลับบ้านแล้ว”
“เดี๋ยวไปส่ง” ฐากรขยับตัว พอเห็นเธอถือชามใส่กระเพาะปลาอย่างลังเลก็รีบบอก “วางไว้นั่นแหละ เดี๋ยวกลับมาล้างเอง”
“แต่...”
เมาจนเขาอุ้มกลับมานอน แถมยังหาอะไรให้กินก่อนกลับบ้าน แล้วถ้าจะให้เขาล้างชามอีกมันก็ออกจะ...
“เถอะน่า...” ชายหนุ่มดึงชามออกจากมือเรียวได้รูป อยากวางมือตัวเองให้เธอจับแทน แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่ดี
ถ้าเขาเข้าหาเธอมากเกินไปในตอนนี้กุลกัลยาน่าจะกระโดดหนี ต้องอาศัยจังหวะที่เธอตายใจค่อยๆ ต้อนทีละนิด กว่าจะรู้ตัวตอนนั้นก็หนีเขาไม่พ้นแล้ว
“ไปส่งที่บ้านจีก็ได้ ฉันจอดรถไว้บ้านจีเมื่อเช้า”
“เพิ่งสร่างเมาแล้วจะขับรถเหรอ” ฐากรขมวดคิ้ว ขณะเดินนำเธอไปที่ประตู “ฉันจะไปส่งที่บ้าน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเอารถมาให้ โอเคมั้ย”
“ได้ยังไงล่ะ” กุลกัลยาเกรงใจมากแล้วจริงๆ “ใครจะกล้าใช้เพื่อนขนาดนั้น ไปส่งที่บ้านก็ได้ แต่พรุ่งนี้ฉันไปเอารถที่บ้านจีเอง”
“ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้วเกรงใจก็เป็นแฟนกันมั้ยล่ะ” ว่าจะไม่แต่ก็อดไม่ได้
คนฟังเกือบสะดุดขาตัวเอง สมองเหมือนลัดวงจรไปชั่วขณะ พอตั้งตัวได้ก็นึกสงสัยว่าระหว่างเธอกับฐากร ใครกันแน่ที่เมาค้าง
กุลกัลยาคิดว่าเขาหยอกเล่น จึงพ่นลมหายใจออกจากจมูกแรงๆ แววตาขุ่นขึ้งด้วยความไม่พอใจ เดินนำออกจากห้องเขาโดยไม่ตอบคำ
“นี่” เขาแตะข้อศอกของหญิงสาวเบาๆ ให้หันมามอง “ดูนี่หน่อย”
กุลกัลยาก้มมองมือเขาที่กดเลขหกหลักปลดล็อกประตูหลังจากที่เพิ่งปล่อยให้มันล็อก แล้วเงยขึ้นมองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตางุนงง
“จำได้มั้ย”
“ก็วันเกิด...” กุลกัลยารีบหุบปากฉับหลังจากเผลอตอบ แต่ก็ไม่ทันแล้ว
คนที่จับได้ว่าอีกฝ่ายจำวันเกิดตัวเองได้กระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มขัน แววตามีรอยเอ็นดู
“เผื่อไว้วันหลังจะเข้ามาพัก ที่นี่ติดรถไฟฟ้า ห่างจากที่ทำงานเธอแค่สองสถานี”
“ใครเขาจะมา” เจ้าของเสียงใสพึมพำ เร่งฝีเท้าไปตามทางเดินทั้งๆ ที่สุดท้ายก็ต้องรอเขาอยู่ดี
อีกอย่าง ประตูด้านล่างกับลิฟต์ของที่นี่ใช้ระบบคีย์การ์ด กุลกัลยารู้รหัสเข้าห้องไปก็ไร้ประโยชน์
“วิวตอนกลางคืนที่นี่ดีมากนะ”
คนตัวเล็กเอียงหน้ามองด้วยสายตาเอือมระอา
“คิดอะไร ฉันไม่ค่อยอยู่ห้องหรอก บินไปนู่นมานี่ บางทีก็ไปทำงานต่างประเทศเป็นเดือน ถ้าไม่สะดวกใจก็มาตอนฉันไม่อยู่ก็ได้นี่...ถึงจะอยากอยู่ด้วยก็เถอะ” ประโยคหลังฐากรเบาเสียงลง แต่ที่แค่นี้ยังไงคนอยู่ด้วยก็ต้องได้ยิน
กุลกัลยาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอีกครั้ง
อันที่จริงบ้านของหญิงสาวก็อยู่ไม่ไกลจากทั้งที่ทำงานของเธอและคอนโดมิเนียมของฐากรเท่าไหร่ การให้เขาไปส่งที่บ้านนับว่าถูกต้องแล้ว
ระหว่างทางกลับบ้าน กุลกัลยาสำรวจรถเอสยูวีสัญชาติยุโรปของชายหนุ่มอย่างสนใจ ตอนที่บังเอิญสบสายตาเข้ากับคนขับเข้าพอดีหญิงสาวก็รีบดักคอ
“ห้ามบอกว่าจะทิ้งรถไว้ให้ใช้ล่ะ”
“รู้ได้ไงเนี่ย!”
“ทำไมเป็นคนแบบนี้ ถามจริงเวลาจีบใครก็ทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่มตลอดเลยเหรอ”
ฐากรหลุดขำ คิดว่าถ้าเป็นคนอื่นกุลกัลยาน่าจะใช้คำว่าอวดรวยไปแล้ว
“สรุปคือก็รู้สินะว่าจีบ” เรียวปากสีสดกระตุกเป็นรอยยิ้ม ดวงตาพราวระยับ
พอโดนถามอะไรที่มีแววจะโดนต้อนให้จนมุม กุลกัลยาก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเอาดื้อๆ
“วันนั้นไปที่โรงพยาบาลทำไมน่ะ”
ดวงตาคมเหลือบมองคนที่รีบเปลี่ยนเรื่องด้วยสายตารู้ทัน
“ฉันชวนพ่อทะเลาะจนเขาเข้าโรงพยาบาล นิสัยไม่ดีเลยใช่มั้ย” เขาเอียงคอเป็นเชิงถามด้วยเสียงขบขัน แต่คนที่มองเห็นแววตาไร้รอยยิ้มขัดกับสีหน้าเลื่อนสายตากลับไปมองถนนโดยไร้เสียงหัวเราะ
“เพราะแบบนั้นเลยถูกตีเหรอ”
“อืม ประมาณนั้นแหละ ผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียใหม่พ่อ เอาจริงๆ พอโตมาก็รู้สึกว่าแรงเขาไม่ได้เยอะขนาดนั้นแล้ว ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอก” ฐากรมีสีหน้าลังเลก่อนเอ่ยต่อ “ฉันชอบนะ เวลาที่โดนเธอปกป้องแบบนั้น แต่วันหลังหลบอยู่ข้างหลังฉันเถอะ เธอตัวนิดเดียว ถ้าโดนตีต้องเจ็บมากแน่ๆ”
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าถูกจ้อง กุลกัลยาเงียบไปนานจนฐากรที่ขับรถเข้าไปในหมู่บ้านของเธอต้องเอ่ยถามตำแหน่ง เสียงแปร่งแปลกที่ตอบกลับมาทำให้เขาหันไปมอง
“ตรงไปเรื่อยๆ เลี้ยวซอยแรก บ้านอยู่หัวมุมทางซ้าย”
หญิงสาวยังจับจ้องใบหน้าเขาด้วยแววตาตกตะลึง แต่พอเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเธอก็หลบสายตา
การที่บอกว่าพอโตมาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้แรงเยอะขนาดนั้น ก็แสดงว่าโดนตีแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ งั้นเหรอ...
ที่รู้ว่าต้องเจ็บมากๆ เป็นเพราะตอนที่ยังเล็กๆ เขาเองก็เจ็บมากๆ ใช่หรือเปล่า
ภาพฐากรในวัยสิบเจ็ดปีที่ปล่อยให้แฟนสาวทุบตีจนศีรษะแตกที่ผ่านเข้ามาในความทรงจำทำให้ก้อนเนื้อในอกบีบรัด
กุลกัลยาจิกเล็บบนฝ่ามือตัวเองจนรู้สึกเจ็บ
แล้วแม่ของเขาล่ะ ตอนนั้นแม่ของเขาอยู่ที่ไหน
มือเย็นจัดเพราะโดนลมที่ช่องแอร์ด้านข้างพวงมาลัยเป่าเป็นเวลานานแตะลงบนพวงแก้มของหญิงสาวเบาๆ จนเจ้าตัวสะดุ้ง แววตาของคนที่ก้มลงมามองราวกับอ่านใจเธอได้
“หยา...”
“หืม” เธอทำเสียงตอบรับในลำคออย่างเผลอไผล
“ตอนเธอเมา มีอยู่คำถามหนึ่งที่ฉันบอกไปว่าจะรอถามอีกครั้งตอนที่เธอมีสติ”
“อะไร...”
“ขอจูบได้มั้ย”
ดวงตากลมโตที่ล่องลอยนิดๆ แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นขึ้งทันที ใบหน้าน่ารักบึ้งสนิท
“ไม่ได้” มือเรียวปัดฝ่ามือใหญ่ออกจากพวงแก้ม หญิงสาวหันไปคว้ากระเป๋าแล้วเปิดประตูรถออกไปทันที “ขอบใจที่มาส่ง กลับไปได้แล้ว”
“ตอนมีสติไม่น่ารักเท่าตอนเมาจริงๆ อยากรู้มั้ยว่าตอนนั้นตอบฉันไว้ว่าไงน่ะฮึ!”
กุลกัลยากระแทกประตูรถหรูปิดดังปัง
ความคิดเห็น |
---|