7

7

หัวใจที่ปั่นป่วนยิ่งกว่า Drake passage

               แก้วเจ้าจอมนั่งขดตัวบนโซฟา มือจ้วงไอศกรีมอยู่หน้าโทรทัศน์ตอนที่กุลกัลยาเข้าไปในบ้าน สองพี่น้องมีรูปร่างและหน้าตาเหมือนกันราวกับฝาแฝดแม้จะมีอายุห่างกันหกปี แต่แก้วเจ้าจอมมักใส่แว่นสายตาเป็นนิจ ในขณะที่กุลกัลยาเลือกใช้คอนแทกต์เลนส์มากกว่าด้วยเหตุผลที่ว่า รำคาญเวลาแว่นชนขนตาที่ทั้งหนาทั้งยาว

               “กินมั้ย” แก้วเจ้าจอมเอ่ยชวน

               กุลกัลยาหรี่ตามองข้างกล่องไอศกรีมแล้วถลึงตาใส่

               “รสนี้ของหยานี่!” 

               “ก็ของพี่มันหมดแล้ว” แก้วเจ้าจอมมองน้องสาวด้วยแววตาใสซื่อ กัดช้อนดังกึก 

               อาทิตย์ก่อนเธอกับพี่สาวสั่งไอศกรีมมาสี่กระปุกใหญ่ๆ แบ่งกันคนละสองรส ผ่านมาไม่กี่วันทำไมส่วนของแก้วเจ้าจอมถึงได้หมดแล้ว

               “พี่กินไอติมแทนข้าวรึไง”

               “งานมันเครียด ได้โปรดเห็นใจ” คุณหมอสาวโบกช้อนไปมา

               หญิงสาววางกระเป๋าแล้วรับช้อนมาตักไอศกรีมจากกระปุกบนตักของพี่สาวกิน ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นพอดี

               “ฮัลโหล...” กุลกัลยาใช้มือหนึ่งรับโทรศัพท์ อีกมือจ้วงไอศกรีมเข้าปาก 

               “โอ๊ย เจ๊!” เสียงโวยวายของเจตน์ดังลอดออกมาจนแม้แต่แก้วเจ้าจอมยังได้ยิน “ทำไมไม่รับโทรศัพท์วะ ผมจะแจ้งตำรวจแล้วเนี่ย!”

               “ฉันเพิ่งถึงบ้าน มีไร” 

               “เจ๊ถึงบ้านปลอดภัยดีใช่มั้ย พี่ผู้ชายหน้าตาน่ากลัวคนนั้นอุ้มเจ๊กลับไป ผมก็กลัวเขาจะทำมิดีมิร้ายเจ๊น่ะสิ เพิ่งมานึกได้ทีหลังว่าไม่น่าปล่อยไปเลย”

               พี่ผู้ชายหน้าตาน่ากลัว? ฐากร?

               ฐากรอาจจะไม่ได้หล่อใสวัยรุ่นชอบ ติดจะคมคายสูงใหญ่ผิวคล้ามแดด แต่ถึงอย่างไรก็ห่างไกลจากคำว่าหน้าตาน่ากลัวมากโข

               “ไม่มีอะไร เพื่อนพี่เอง กลับถึงบ้านปลอดภัยดี ขอบใจนะ” เกรงว่าเมื่อกลางวันฐากรเองก็คงไม่วางใจปล่อยให้เธออยู่กับเจตน์เช่นเดียวกัน

               “แล้วรถเจ๊?”

               “ฝากไว้นั่นก่อน พรุ่งนี้ไปเอา” 

               กุลกัลยาล่ำลาน้องชายเพื่อนสนิทอีกสองสามคำค่อยวางสาย มือเรียวแย่งช้อนจากมือพี่สาวที่ตักไอศกรีมจ้วงเอาๆ ระหว่างที่เธอคุยโทรศัพท์

               “เอาจริงๆ น้องชายจีคนนี้ก็ดูโอเคอยู่ อายุก็ห่างจากแกแค่ไม่กี่ปี ถ้าต่างคนต่างไม่มีใครทำไมไม่คบกันล่ะ” 

               “เอาอีกแล้ว” กุลกัลยากลอกตา 

               “ก็จริงๆ นี่นา มีคนอยู่ด้วยตอนแก่ก็ไม่เลวหรอกนะ เหมือนพ่อกับแม่ไง”

               บิดามารดาของกุลกัลยากับแก้วเจ้าจอมเป็นแพทย์ที่เกษียณอายุราชการแล้วทั้งคู่ ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวก็ใช้ชีวิตหลังเกษียณอยู่ด้วยกันที่บ้านในต่างจังหวัด ถึงจะไม่ใช่ว่าไม่เคยทะเลาะกันเลย แต่ก็นับว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกันดีอย่างที่หญิงสาวมองว่าหาได้ยาก

               “จะเจอคู่ชีวิตแบบพ่อกับแม่ได้ก็เหมือนซื้อหวย เคยถูกซะที่ไหน”

               “ไม่เคยซื้อหวยแล้วทำมาพูด ชาตินี้ฉันจะได้อุ้มหลานมั้ย” คนแก่กว่าหกปีทำหน้าจริงจัง

               “อยากอุ้มก็มีเองเถอะ”

               “ผัวยังหาไม่ได้เลย” 

               “เจตน์ไง ไหนบอกว่าดูดี ไม่รับไว้พิจารณาบ้างล่ะ” กุลกัลยาสวน

               สีหน้าของแก้วเจ้าจอมเหมือนคนตีลูกกอล์ฟขึ้นเนินแล้วมันไหลกลับมาที่เดิม

               เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด กุลกัลยาจึงไปเอารถที่บ้านของรุจิราตอนช่วงสาย พอเจอหน้าอีกฝ่ายที่เดินลงมาเปิดประตูให้ หญิงสาวก็ทักอย่างแปลกใจ

               “ทำไมแต่งตัวเหมือนจะออกไปไหน”

               “ติดรถไปคืนชุดหน่อยสิ ขากลับแกเอาฉันไปหย่อนไว้ที่โรงพยาบาล เดี๋ยวกลับกับภีมเอง” ภีมวัจน์เป็นแพทย์ทำงานที่เดียวกับรุจิรา

               “ภีมไปทำงานเหรอ” กุลกัลยาอ้าปากค้างด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “ทำไมขยันนักวะ”

               “ขยันที่ไหน” รุจิราเบ้ปาก “ลางานมาร่วมงานแต่งงานตัวเองได้ก็บุญละ”

               บางครั้งโลกก็โหดร้ายแบบนี้ กุลกัลยาที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์เหมือนกันพอจะเข้าใจอยู่ มือเรียวตบไหล่เพื่อนอย่างเห็นใจ

               “เออ เมื่อวานเจตน์บอกว่าแกกลับไปกับแท็บ”

               “อืม” กุลกัลยาลูบใบหูที่ร้อนขึ้นนิดๆ เมื่อนึกถึงฐากรกับคำถามของเขาเมื่อวาน

               “น้องฉันบอกว่าแท็บมันดุอย่างกับหมาหวงถิ่น”

               ‘ถิ่น’ หญิงสาวทั้งฉุนทั้งขัน นึกสงสัยว่าฐากรไปทำอะไรไว้กับเจตน์ เดี๋ยวก็บอกว่าหน้าตาน่ากลัว เดี๋ยวก็บอกว่าดุเหมือนสุนัข

               “ถามจริง แกยังชอบแท็บอยู่ใช่มั้ย”

               คำถามที่มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้หัวใจของกุลกัลยาเต้นผิดจังหวะ มือที่ลูบใบหูตกลงข้างกาย 

               รุจิรามองพวงแก้มขึ้นสีของเพื่อนแล้วอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปาก

               “หมดวันของฉันแล้ว ตกลงแกจะเล่าได้ยัง”

   

               รุจิราเป็นผู้ฟังที่ดีสำหรับกุลกัลยาเสมอมา อีกฝ่ายนิ่งฟังเธอพูดจนจบระหว่างที่ขับรถมายังร้านให้บริการชุดแต่งงาน จนมาถึงร้านแล้วก็ยังไม่ลงจากรถกันเพราะคุยจนติดพัน

               “คือเขาก็ทำท่าเหมือนจีบ แต่บางทีก็เหมือนหยอกไปอย่างนั้น ฉันมองไม่ออกว่าเขาจริงจังแค่ไหน” กุลกัลยาเอ่ยถึงความกังวลของตนเองออกมา “ฉันกลัวจะคิดไปเองแล้วสุดท้ายก็ต้องมานั่งเสียใจ” 

               “อืม ฉันเข้าใจความกังวลของแกนะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่แกอาจจะเข้าใจผิดไป”

               “?”

               “หยา...ตมิศามันแต่งงานแล้วป่าววะ” 

               “อะไรนะ” สีหน้าของหญิงสาวตกใจอย่างเห็นได้ชัด

               “วันๆ แกทำอะไรอะหยา ปลูกผักเหรอ นี่ถ้าแกมีสกิลเสือกให้ได้อย่างฉันนี่ก็ไม่ต้องมานั่งเครียดแล้วมั้ย” รุจิราไถหน้าจอโทรศัพท์หาหน้าโพรไฟล์ของตมิศาให้คนที่เครื่องรวนกะทันหันดู

               “ฉันไม่ได้เป็นเฟรนด์กับเขา...”

               “อะดู” เจ้าสาวหมาดๆ ยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อน “ลูกเขาจะเดินได้แล้วมั้ง”

               “ฉันไม่รู้เลย” กุลกัลยายิ่งดูยิ่งรู้สึกผิดทั้งกับตมิศาและฐากร 

               ยิ่งฐากร...วันนั้นที่สนามบินเธอไม่น่าพูดจากับเขาแบบนั้นเลย

               “ทำไงดีอะแก...” 

               “ก็ขอโทษเขาซะสิ” รุจิราเท้าคางกับพวงมาลัยรถแล้วเอียงหน้ามองเพื่อนยิ้มๆ “ถ้าแท็บไม่ได้โกรธ พวกแกจะคบกันมั้ย”

               กุลกัลยางันไป

               “ฉันว่านะ...ปัญหาไม่ใช่ว่าแกไม่รู้หรอกว่าเขาคิดยังไง แต่แค่ไม่มั่นใจเพราะเขาไม่พูดออกมาใช่มั้ยล่ะ”

               “...” คนโดนแทงใจดำถึงกับพูดไม่ออก

               “ถ้าปัญหามันอยู่ตรงนั้น ทำไมไม่ถามออกไปตรงๆ ล่ะหยา...สิบปีผ่านไปแกยังชอบผู้ชายคนเดิม ไม่รู้สึกว่านี่เป็นสัญญาณหรืออะไรสักอย่างเหรอ” รุจิรากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันรู้ว่าแกเป็นพวกกลัวความเจ็บปวด แต่ถ้าปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป อีกสิบปีข้างหน้าที่ข้างๆ เขาอาจจะไม่ว่างแล้วก็ได้นะ”

               คำพูดของรุจิรายังดังอยู่ในหัวตอนที่กุลกัลยาขับรถออกจากโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่เธอมาส่งอีกฝ่าย

               ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีใครมาก่อน บางทีการใช้ชีวิตโสดมานานเกินไปทำให้กุลกัลยารู้สึกกลัวที่จะเริ่มความสัมพันธ์ 

               ยิ่งกับคนที่กุลกัลยายอมรับว่าอยู่ในใจเธอมานานอย่างฐากร การกลับมาของเขาและความใกล้ชิดในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา แม้จะสั่นสะเทือนความรู้สึกของเธอได้จริง แต่มันจะมากพอที่จะทำให้เธอก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตนเองได้หรือไม่ กุลกัลยายังนึกสงสัย

               วันนี้แก้วเจ้าจอมลงเวรตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับบ้านก็หลังเที่ยงคืน หญิงสาวจึงแวะซื้ออะไรง่ายๆ หน้าหมู่บ้านเข้าไปกิน ระหว่างที่ค้นกระเป๋าถือเพื่อหาเศษเหรียญมาจ่ายค่าบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงก็บังเอิญเจอสิ่งแปลกปลอมในช่องข้างกระเป๋าที่เธอมักจะใส่เศษเหรียญไว้

               มันคือแผ่นคีย์การ์ดสีขาวหุ้มด้วยซองพลาสติกใส สกรีนโลโก้ที่ใช้สำหรับเครือคอนโดมิเนียมที่ฐากรพาเธอไปนอนพักในวันนั้น

               กุลกัลยานิ่งงันไปจนแม่ค้าร้านบะหมี่ต้องเรียกซ้ำสองรอบเธอถึงจะได้ยิน ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋า แววตาของหญิงสาวมีรอยอ่อนอกอ่อนใจ

               จากที่คิดว่ารู้รหัสเข้าห้องอีกฝ่ายไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้กุลกัลยาจะขโมยกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพใต้น้ำราคาหกหลักของอีกฝ่ายไปขายก็ทำได้แล้ว

               Yha : ฉันจะขโมยกล้องนายไปขาย

               กุลกัลยาถ่ายรูปคีย์การ์ดและส่งข้อความไปบอกอีกฝ่าย ซึ่งฐากรอ่านข้อความและตอบกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับจ้องอยู่ก่อนแล้ว

               Thakorn : ฉันสามารถโอนเงินเท่าราคากล้องเข้าบัญชีเธอได้ ได้โปรดเก็บเครื่องมือทำมาหากินฉันไว้ด้วยเถอะ

               กุลกัลยาตากระตุก ส่งสติกเกอร์รูปตัวการ์ตูนมองบนจนตากลับไปให้เขา

               Thakorn : ไปเอารถมาหรือยัง

               Yha : ไปมาแล้ว กำลังจะเข้าบ้าน นายมาเอาคีย์การ์ดตัวเองคืนไป

            Thakorn : ที่ทำงานเธอ? พรุ่งนี้?

               กุลกัลยาชะงักกึก เมื่อชายหนุ่มถามกลับมาทันทีโดยไม่อิดออดหรือง้องอนอะไรทั้งสิ้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียเซลฟ์อยู่หน่อยๆ ปนกับความโมโหที่อีกฝ่ายเล่นกับความรู้สึกของตนเอง

               Yha : พรุ่งนี้อยู่เวร ว่างวันพุธเลย 

            Thakorn : งั้นเจอกันที่ทำงานเธอวันพุธ

               เป็นเขาเองที่อุตริเอาคีย์การ์ดมาใส่ไว้ในกระเป๋าของเธอ เพราะฉะนั้นการให้เขาไปรับมันคืนที่ทำงานของกุลกัลยาจึงไม่นับว่าน่าเกลียด อีกอย่าง คอนโดของชายหนุ่มก็อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของกุลกัลยา ห่างออกไปแค่สองสถานีก็คงไม่ลำบากลำบนอะไร

               ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน คืนนั้นกุลกัลยานอนไม่หลับ จนต้องลุกขึ้นมาหยิบคีย์การ์ดใบนั้นที่ตนเองเอาออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงกลับไปเก็บในกระเป๋าให้พ้นสายตา ก่อนจะพบว่าเป็นการกระทำที่ช่างไร้ประโยชน์ เพราะไม่ว่าคีย์การ์ดจะอยู่ที่ไหน ภาพที่เห็นหลังเปลือกตาก็ยังเป็นใบหน้ายิ้มๆ กับแววตาพราวระยับของเจ้าของมันอยู่ดี

               ช่วงบ่ายสามของวันธรรมดา ห้องจ่ายยาผู้ป่วยนอกที่ญาณิศากับกุลกัลยาทำงานอยู่ไม่มีคนไข้เหลือแล้ว ยิ่งใกล้เวลาเลิกงาน เพื่อนของเธอก็ดูจะหันมองโทรศัพท์ถี่ยิ่งขึ้น

               “ในเวลาสิบห้านาทีแกดูโทรศัพท์แล้วห้าสิบรอบได้ วันนี้มีนัดเหรอ”

               “ฮะ...เอ้อ ใช่” กุลกัลยาที่กำลังไล่เช็กสต๊อกยาสะดุ้งนิดๆ แต่ยังตีหน้านิ่งสนิท

               “ใครอะ ผู้เหรอ แกเอาแท็บแท็บของฉันไปไว้ไหน” 

               กุลกัลยาปรายตามองเพื่อน

               “เป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่”

               “อ๋อ” ญาณิศาลากเสียง “จะบอกว่าเป็นของแกเหรอ”

               “ไม่ใช่!”

               “แกนี่ขี้หึงว่ะ”

               “ก็บอกว่าไม่ใช่ไง!” 

               กุลกัลยาปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่พอทั้งคู่เดินลงมาชั้นล่างสุดของโรงพยาบาลเมื่อถึงเวลาเลิกงาน แล้วเจอร่างสูงใหญ่ของใครบางคนนั่งเล่นแท็บเล็ตอยู่ในร้านกาแฟติดกับบันไดเลื่อนชั้นหนึ่ง ญาณิศาก็หันมาทำสายตาล้อเลียนใส่คนที่เดินข้างๆ

               “เฮ้อ ยินดียิ่งแล้ว เพื่อนแก้วจะออกเรือน”

               “หยุด!” คนที่ไม่ได้กำลังจะออกเรือนหันไปถลึงตาใส่

               ฐากรเงยหน้ามาเจอหญิงสาวทั้งสองเข้าพอดี จึงปิดหน้าจอแท็บเล็ตแล้วลุกขึ้นเดินตรงมาหา

               “สวัสดีครับ”

               “ไปเดตกันเหรอคะ”

               ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวผมยาวในชุดกระโปรงสอบแคบข้างๆ คนพูดแวบหนึ่งแล้วยิ้มขัน

               “ครับ”

               “เดี๋ยวนะ...” กุลกัลยาพยายามจะเบรก

               ญาณิศาเกือบหลุดเสียงกรี๊ด ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นขำจนหน้าแดงแล้วรีบบอกลาเพื่อปล่อยให้คนทั้งคู่ได้ใช้เวลาด้วยกัน

               “งั้นฉันไปละ ต้องไปรับเวรต่อ เจอกันพรุ่งนี้นะ ไว้เจอกันนะคะ” ประโยคสุดท้ายเธอหันไปบอกฐากรแล้วเดินทำหน้ากรุ้มกริ่มจากไป ทิ้งเพื่อนที่ทำหน้าไม่ถูกยืนอยู่ที่เดิม

               ฐากรไม่พูดถึงเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ เปลี่ยนเรื่องคุยไปอีกทาง

               “ตรงถนนที่ขนานกับสายหน้าโรงพยาบาลมีร้านอาหารอิตาเลียนเปิดใหม่ เคยไปกินหรือยัง”

               กุลกัลยามองดวงตาพราวระยับของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ จากที่คิดว่าจะคุยดีๆ และขอโทษอีกฝ่ายที่พูดจาแย่ๆ ในวันนั้น แต่คีย์การ์ดที่อยู่ในกระเป๋ากับใบหน้าระรื่นจนเกินเหตุทำให้เธอเอ่ยตัดรอนคนที่อุตส่าห์หาข้อมูลร้านอาหารเปิดใหม่ที่หญิงสาวน่าจะยังไม่เคยไปด้วยสีหน้านิ่งสนิท 

               “เคยแล้ว” 

               “ดีจัง” มุมปากของเขาไม่แม้แต่จะกระตุก “ฉันยังไม่เคยกินเลย ช่วยแนะนำหน่อยสิ”              

               สุดท้ายกุลกัลยาก็ตามอีกฝ่ายมาที่ร้านอาหารที่เขาพูดถึง โดยทิ้งรถตัวเองไว้ที่ทำงาน ทั้งๆ ที่ถ้าจะคืนคีย์การ์ดก็ทำได้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว หญิงสาวมองเมนูอย่างตั้งใจ กำลังคิดว่าจะเลี้ยงอาหารฐากรเพื่อเป็นการขอโทษเรื่องเมื่อตอนอยู่ภูเก็ต และขอบคุณที่เขาช่วยดูแลตอนที่เธอเมามายไร้สติในวันแต่งงานของรุจิรา

               ร้านอาหารที่มามีจุดเด่นเรื่องพาสตาเส้นสด รอบที่แล้วเธอกินซีฟูดเพสโตแล้วถูกใจ มารอบนี้เลยลองสั่งคาโบนารามากิน ส่วนฐากรเลือกเป็นซีฟูดอาร์ราเบียตาที่กุลกัลยาสองจิตสองใจอยู่ในตอนแรก เมนูของคาวของที่นี่มีให้เลือกไม่เยอะ แต่ของหวานมีเค้กที่เป็นของขึ้นชื่ออีกอย่างของร้าน หญิงสาวแอบหมายตาไว้บางชิ้นระหว่างที่เดินผ่านตู้เค้กตอนเดินเข้ามา

               “เอ้านี่ เอาคืนไป” มือเรียวบางเลื่อนคีย์การ์ดไปตรงหน้าอีกฝ่าย ฐากรก็รับกลับคืนไปโดยไม่อิดออด “ของแบบนี้อยู่ๆ เอามาให้คนอื่นได้ยังไง”

               “เธอไม่ใช่คนอื่นนี่นา” คนตัวสูงเอียงคอมองร่างแบบบางที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้ม

               ใบหน้าคนฟังร้อนผ่าว ในใจมีคำถามที่ต้องการคำตอบ แต่พอนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงเอ่ยถึงเรื่องนั้นก่อน

               “วันนั้นที่สนามบิน ฉันขอโทษนะ...ที่พูดแบบนั้น” ดวงตากลมโตของกุลกัลยาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

               “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่โกรธหรอก ก็แค่เสียใจนิดหน่อย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่องเล็ก

               กุลกัลยาหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม

               ทำคนอื่นเสียใจมันแย่ยิ่งกว่าโกรธไม่ใช่หรือไง...

               “ว่าแต่ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ดูเหมือนโกรธฉันขึ้นมา วันนั้นฉันทำอะไรผิดไปเหรอ”

               กุลกัลยาอึ้งเพราะไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่า ถ้าเขาถามถึงต้นสายปลายเหตุเธอจะตอบว่าอะไร 

จะให้บอกเขาตรงๆ ว่าไม่พอใจที่เห็นเขาอยู่กับแฟนเก่าอย่างนั้นหรือ

               เหตุผลแบบนั้นก็เหมือนบอกว่าเธอคิดกับเขาเกินเพื่อนไม่ใช่หรือไง

               ปัญหาของกุลกัลยาคือไม่รู้ว่าฐากรจริงจังกับเธอแค่ไหน หรือทั้งหมดเป็นเพียงการหยอกเล่นตามประสาคนเจ้าชู้ หากคำตอบไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดหวัง อาหารที่สั่งไปคงกินไม่ลง และคงฝังใจจนไม่กล้ามาร้านนี้ไปตลอดชีวิตทั้งๆ ที่พาสตาเส้นสดที่นี่อร่อยมาก

               ดังนั้น ถ้าจะพูดเรื่องนี้ก็กินให้เสร็จก่อนดีกว่า 

               ความโชคดีเป็นของกุลกัลยา เพราะเครื่องดื่มที่สั่งมาเสิร์ฟพอดี ขัดจังหวะบทสนทนาจนหญิงสาวแกล้งเนียนพูดไปเรื่องอื่น

               “ปีหน้าตกลงพี่บีมไม่ไปมาลาปัสกัว เธอจะไปกับเจ้าอื่นหรือเปล่า”

               สีหน้าของกุลกัลยาดูลังเล เธอไม่เคยไปดำน้ำกับโรงเรียนดำน้ำที่อื่นมาก่อน บรรยากาศเหมือนไปเที่ยวกับเพื่อนพี่น้องเวลาไปกับโรงเรียนของพี่บีมทำให้หญิงสาวติดใจ

               “งั้นรอดีกว่า แยมคงไม่ไปด้วย กลัวไม่มีเพื่อนคุย”

               “มีฉันไง” 

               กุลกัลยาชะงักกึก ดวงตากลมโตหลบสายตาคมวูบ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ทว่าผิวบริเวณพวงแก้มขึ้นสีนิดๆ 

               สำหรับคนที่รู้ความในใจของอีกฝ่ายอย่างฐากร อาการมองเมินเหมือนไม่ได้ยินของหญิงสาวกลายเป็นความเก้อเขินที่น่าเอ็นดูจนไม่สามารถละสายตา  

               พาสตาสองจานมาพอดีราวกับรู้ใจ กุลกัลยาชิมสปาเกตตีคาโบนาราสูตรอิตาเลียนแท้ ตัวเส้นเคลือบไข่แดงหอมกลิ่นชีสและเบคอนสร้างความรู้สึกพึงพอใจจนตาพริ้ม

               “อื้ม” ดวงตาคู่สวยเบิกโตนิดๆ “อร่อย!”

               ฐากรมองแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่ดูน่าอร่อยกว่าคือคนพูด 

               “ชิมอันนี้ด้วยสิ” เขาเลื่อนจานพาสตาซอสอาร์ราเบียตาไปตรงหน้าอีกฝ่าย

               “ให้นายเปิดก่อน”

               ฐากรม้วนเส้นพาสตาเข้าปากคำหนึ่ง แล้วทำตาโตพยักพเยิดให้อีกฝ่ายลองชิม

               หญิงสาวทำเสียงเหมือนเมื่อครู่ไม่มีผิด แววตาที่มองจานพาสตาของเขาอย่างเสียดายทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม แล้วหันไปขอจานแบ่งจากพนักงานในร้าน

               “อยากชิมของเธอด้วย แบ่งกันมั้ย”

               “เอาสิ” กุลกัลยาทำตาเป็นประกาย

               จบจากมื้ออาหารหญิงสาวก็ชวนไปเลือกเค้กอีกสามชิ้น เป็นแบล็กฟอเรสต์ชุ่มฉ่ำด้วยช็อกโกแลตและเชอร์รี เค้กแคร์รอต และพีชชีสเค้กอมเปรี้ยวอมหวานตัดเลี่ยน โดยปกติฐากรไม่ค่อยชอบกินของหวานนัก แต่ร้านนี้ทำออกมาได้ดีจนเขาช่วยกุลกัลยากินได้จนหมด

               “โอ๊ย อิ่ม” กุลกัลยาลูบพุงตึงๆ ของตัวเองเบาๆ

               “กินของหวานเยอะกว่าของคาวอีก” ฐากรว่าขำๆ

               “จริงๆ ก็อยากกินเค้กแทนข้าวอะ แต่เกรงใจ”

               “งั้นวันหลังจะได้ดูร้านที่ขนมอร่อยๆ”

               หูของกุลกัลยาเหมือนจะดับกะทันหัน 

               “มื้อนี้ฉันเลี้ยงนะ” หญิงสาวรีบบอกเมื่อเห็นเขาเรียกพนักงานมาเก็บเงิน

               “ไม่เอา ไม่ต้อง” ฐากรปฏิเสธ

               “ให้ฉันเลี้ยงเถอะ ถือเป็นคำขอโทษ”

               “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ” ชายหนุ่มทำเสียงอ่อนใจ

               “ทำให้นายเสียใจมันแย่ยิ่งกว่าเสียอีก ไม่ต้องถือเป็นคำขอโทษก็ได้ ให้ฉันเลี้ยงเถอะ”

               “งั้นสัญญามาก่อนว่ามื้อหน้าให้ฉันจ่าย แล้วจะยอมให้เลี้ยง” ฐากรจับถาดไม้ที่พนักงานยื่นให้ไว้ ทำท่าจะไม่ยอมยื่นให้กุลกัลยาง่ายๆ หากหญิงสาวไม่รับปาก “ภายในอาทิตย์นี้ด้วย”

               “อะไรกัน” คนอยากจ่ายค่าอาหารอ้าปากค้าง 

               “ยากตรงไหน รับปากมาเร็ว ไม่งั้นฉันจ่าย”

               “อย่างนี้มันก็เจ๊ากันน่ะสิ”

               “งั้นเธอก็เลี้ยงอีกมื้อถัดไป”

               “...”

               “ว่าไง” เขาหยิบกระเป๋าใส่บัตรเครดิตของตัวเองขึ้นมา

               “เออๆ ก็ได้ๆ” ใบหน้าขาวเนียนบึ้งตึง แต่พวงแก้มแดงก่ำ

               ฐากรขับรถกลับไปส่งกุลกัลยาที่อาคารจอดรถของโรงพยาบาล และยืนยันจะเดินไปส่งที่ลานจอดรถของเจ้าหน้าที่ เพราะกว่าจะกลับมาถึงก็มืดมากแล้ว ถึงลานจอดรถจะค่อนข้างสว่างและมีหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็ยังดูอันตรายสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อยู่ดี

               “ว่างอีกทีวันไหน” ชายหนุ่มเอ่ยถามระหว่างที่เดินไปที่รถ

               “ก็จะรีบไปมั้ย”

               “บอกว่าภายในอาทิตย์นี้ไงล่ะ”

               “นี่ ฉันสงสัย” กุลกัลยาทำท่าเหมือนกลั้นหายใจกว่าจะเอ่ยออกมาได้

               “หืม” ฐากรเอียงคอมองหน้าอีกฝ่ายอย่างตั้งใจฟัง

               “ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ” สุดท้ายเธอก็ไม่กล้าพอ การถามคำถามทั้งๆ ที่กลัวในคำตอบไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

               “อะไรเล่า! ถามมาสิ!”

               “ไม่เอาไม่ถามแล้ว”

               “ได้ไงล่ะ ทิ้งไว้แบบนี้ฉันก็นอนไม่หลับพอดี”

               “ก็ไม่อยากถามแล้วนี่ ถึงรถแล้วด้วย” นิ้วเรียวเล็กชี้ไปที่รถตัวเองพร้อมสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

               ฐากรตาขุ่น มองอีกฝ่ายด้วยแววตาไม่พอใจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เจอกันอีกครั้งในรอบสิบกว่าปี 

               ข้อมือเรียวข้างที่ยกขึ้นมาโดนกุมกระชับ ฉุดดึงร่างเล็กให้เข้าไปในซอกข้างบันไดหนีไฟที่ลับสายตาผู้คน แขนแข็งแรงข้างที่ว่างกักเรือนร่างหอมกรุ่นไว้ระหว่างแผงอกกว้างร้อนระอุกับผนังปูนเปลือยเย็นเฉียบ ความแตกต่างของอุณหภูมิทำให้คนที่อยู่ตรงกลางสะท้านไปทั้งร่าง

               “ทำอะไร...” เสียงของกุลกัลยาสั่นเล็กน้อย ท่าทางคุกคามของเขาทำให้เธอถึงกับผวา

               “ถามมา”

               “ไม่ถามแล้ว”

               “คำถามคืออะไร”

               หญิงสาวไม่ตอบ หัวใจสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย บรรยากาศกดดันจนเกินจะทานทน สองมือยกขึ้นเตรียมผลักร่างสูงใหญ่ที่กำลังบีบให้เธอจนมุม แต่สิ่งที่ออกจากปากเขาทำให้มือทั้งสองข้างอ่อนแรง วางแปะอยู่บนอกกว้าง

               “ชอบฉันหรือเปล่า” 

คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก เผลอกลั้นหายใจ เงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยแววตาตกตะลึง ก่อนจะผงะไปเมื่อพบว่าระยะห่างระหว่างคนทั้งสองน้อยกว่าที่คิด ใบหน้าคมคายโน้มลงมาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะจูบในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า 

“...จีบฉันหรือเปล่า ใช่คำถามพวกนี้มั้ย”

“...” กุลกัลยายังไม่ตอบ ความกดดันที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศทำให้เธอไม่มีแรงแม้แต่จะขยับริมฝีปาก

“เพราะถึงจะไม่ใช่ แต่ฉันก็อยากตอบจะแย่อยู่แล้ว...” เสียงทุ้มพร่าแทบเป็นกระซิบ ฐากรแนบหน้าผากของตนเองเข้ากับหน้าผากโค้งนูน จุมพิตปลายจมูกเชิดเบาๆ ราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ แล้วจับตามองท่าทางของอีกฝ่าย 

คนที่โดนกักไว้ระหว่างร่างสูงใหญ่กับกำแพงช้อนตาขึ้นมองเหมือนรอคำตอบเมื่อเขาเงียบไปนาน แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่ยอมพูดต่อจนกุลกัลยาต้องเอ่ยถามเสียงเบา สบสายตากับดวงตาที่อยู่ในความมืดนิ่งๆ

“ถ้าใช่...แล้วคำตอบล่ะ” 

ผิวเนื้อหลังเสื้อยืดตัวบางใต้ฝ่ามือกุลกัลยาร้อนผ่าว มือเล็กเผลอขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ ระหว่างรอคำตอบ

“คำตอบของทุกข้อคือใช่ ฉันจีบเธอ ฉันชอบเธอ เธอคือคำตอบในใจฉันมานานแล้วหยา” 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น