บทที่ ๒
คำพูดของเขาทำให้คนที่ก้มหน้ามองโต๊ะเม้มปาก นั่นสินะ เขามีสิทธิ์เข้ามาในห้องของหล่อนเมื่อไรก็ได้ หล่อนจึงตอบรับเสียงแผ่ว
“ค่ะ”
คีรีเลิกคิ้วน้อยๆ มองคนที่ยังนั่งทอดสายตาลงต่ำอยู่ตรงหน้าเขา ถอนใจน้อยๆ กับท่าทางหวาดกลัวของหล่อน ก่อนจะถามเปลี่ยนเรื่อง
“เธอเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วนะ”
“ม. หกค่ะ” ยิหวาตอบ
คนฟังคำตอบทอดถอนใจ หล่อนยังเด็กมากจริงๆ ชายหนุ่มอดรังเกียจตนเองไม่ได้ที่ฉวยโอกาสกับหล่อนเช่นนี้ ยิ่งมองผิวแก้มใสอย่างเด็กๆ ของหล่อนเขายิ่งรู้สึกผิด หล่อนยังเป็นเด็ก มีอนาคตรออยู่ข้างหน้า แต่เขากลับฉวยโอกาสจับหล่อนจดทะเบียนสมรส ตีตราจองตั้งแต่หล่อนยังไม่จบมัธยม
เมื่อไรนะที่ลูกสาวผู้จัดการไร่สะดุดสายตาเขา น่าจะเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว หล่อนเอารายงานผลการเรียนมาให้เขาดูอย่างที่ทำเป็นประจำทุกเทอมเหมือนกับลูกคนงานคนอื่นๆ ปกติแล้วเขาก็จะพิจารณาดู เด็กที่มีผลการเรียนดีก็ให้รางวัลตามความเหมาะสม คราวนั้นเขาจำได้ว่าหล่อนทำผลสอบได้ดีมาก เกือบเต็มทุกวิชา เขาจึงบอกจะให้รางวัลพิเศษแก่หล่อน หล่อนขอไปทัศนศึกษากับโรงเรียนไกลถึงสิงคโปร์ เขาอนุญาต และตอนนั้นเองที่เขารู้สึกราวกับเดินสะดุดจนหัวคะมำ รอยยิ้มกว้างดีใจที่สุดแสนบริสุทธิ์ของหล่อน ดวงหน้าใสกระจ่าง ฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบ ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อตามธรรมชาติ เขาเพิ่งเห็นในตอนนั้นเองว่าลูกสาวคนเดียวของผู้จัดการไร่ของเขาสวยแค่ไหน
สวยเสียจนเขาละสายตาไปจากหล่อนไม่ได้อีกเลย...
เวลาเกือบสองปี เขาได้แค่เฝ้ามองหล่อนอยู่ไกลๆ แม้จะพอใจหล่อนแค่ไหน แต่เขาจะทำอะไรได้มากกว่าแอบมอง ในเมื่อหล่อนเป็นลูกสาวคนงาน ที่อายุอานามแทบจะเป็นลูกของเขาได้หากว่าเขาแต่งงานมีลูกตั้งแต่เป็นวัยรุ่น หล่อนยังเด็ก เป็นแค่นักเรียนมัธยม ในขณะที่เขาเป็นผู้ใหญ่ อายุไม่ใช่น้อยๆ หากเขาทำอะไร หล่อนคงเห็นเขาเป็นเพียงเฒ่าหัวงูหรือไอ้แก่ตัณหากลับเท่านั้นเอง
เขาเคยคิดที่จะรอ รอให้หล่อนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รอให้ช่องว่างระหว่างวัยแคบเข้า เมื่อไม่มีคำว่าเด็กกับผู้ใหญ่มาคั่น แต่เป็นผู้ใหญ่สองคนที่อายุอาจจะต่างกันมากสักหน่อย เมื่อนั้นหากเขาลงมือจีบหล่อนก็คงจะไม่ดูน่าเกลียดจนเกินไป
แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้พ่อของหล่อนต้องฝากฝังให้เขาดูแลหล่อนให้ เขาจึงฉวยโอกาสมัดมือชก จับหล่อนจดทะเบียนสมรส พันธนาการหล่อนให้หนีไปไหนไม่ได้ ทั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น อย่างที่หล่อนบอกว่าเขาดูแลหล่อนได้โดยไม่ต้องแต่งงาน แต่ในเมื่อมีหนทางที่จะได้หล่อนมาเป็นของเขา แล้วทำไมเขาจึงจะไม่ทำเล่า
คีรีมองคนที่ก้มหน้างุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความขื่นนิดๆ หล่อนดูหวาดกลัวและระแวดระวังตัวกับเขาเหลือเกิน แต่บางทีก็เหมือนกับหล่อนจะปลง ราวกับยอมจำนนต่อชะตาชีวิตที่เขาเป็นผู้กำหนด
ชายหนุ่มทอดถอนใจ เมื่อไรหนอที่หล่อนจะเลิกมองเขาเป็นนายจ้างของพ่อ เลิกคิดว่าเขารับหล่อนเป็นภรรยาเพราะรับปากพ่อของหล่อนไว้ เลิกมองเขาอย่างหวาดกลัวและหวาดระแวงราวกับเขาเป็นไอ้บ้ากามที่ตั้งท่าจะกระโจนเข้าใส่หล่อนอยู่เสมอเสียที
เมื่อไรกัน...
แม้ในหัวจะคิดอะไรวุ่นวาย แต่เมื่อเอ่ยปากคุยกับหล่อนกลับเป็น “จบ ม. หกแล้วจะเรียนอะไรต่อ”
คำถามของเขาเรียกใบหน้าก้มต่ำของคนฟังให้เงยขึ้นมอง ดวงตาเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เรียน...หนูดีเรียนได้หรือคะ” ยิหวาถามเสียงสั่น
หล่อนเคยคิดว่าหล่อนคงจะหมดหวังเรื่องเรียนต่อแล้ว ก็ในเมื่อหล่อนจดทะเบียนสมรสเป็นภรรยาเขาแล้ว จึงไม่เคยคิดว่าหล่อนจะยังมีโอกาสได้เรียนอีก คิดว่าเมื่อจบชั้นมัธยมปลายหล่อนคงต้องออกจากโรงเรียนเพื่อมาเป็นแม่บ้าน ความหวังของพ่อที่เคยอยากให้หล่อนได้เรียนสูงๆ คงจบลงตั้งแต่หล่อนจดปากกาเซ็นชื่อในใบทะเบียนสมรสเสียแล้ว
“เรียนได้สิ”
“แล้ว...คุณภู...อยากให้หนูดีเรียนอะไรหรือคะ” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ แต่ก็ปลอบใจตนเองว่า ถึงจะไม่ได้เรียนที่อยากเรียน แต่แค่เขาให้เรียนต่อก็เป็นบุญของหล่อนแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะให้เรียนอะไร หล่อนก็ควรจะยินดีทั้งนั้น
“เธออยากเรียนอะไรก็เรียนสิหนูดี” เขาบอก หางเสียงทอดอ่อนอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นสีหน้าไม่แน่ใจ คล้ายๆ ว่าอยากจะดีใจแต่ก็ไม่เต็มที่ ราวกับเด็กที่ถูกยื่นขนมให้แต่ไม่แน่ใจว่าคนยื่นจะดึงมือกลับคืนเมื่อไร ทำให้เขาอยากบอกให้หล่อนแน่ใจ ให้หล่อนดีใจได้เต็มที่ ให้หล่อนส่งรอยยิ้มที่เขาเคยเห็นมาให้
“ได้ทุกอย่างเลยหรือคะ หนูดีอยากเรียนอะไรก็ได้หรือคะ” หล่อนถามน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตายังเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
“งั้นสิ”
“โอย...จริงหรือคะคุณภู ดีใจจัง...ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมาก หนูดีสัญญาว่าหนูดีจะตั้งใจเรียน ขอบคุณนะคะ” หล่อนพูดพร่ำพร้อมยกมือไหว้ ใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้าง
คีรีถึงกับตาพร่าไปเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของหล่อน ยิ้มแรกนับตั้งแต่พ่อของหล่อนเสียชีวิต ยิ้มเดียวกับที่เขาเคยเห็นจนหัวใจสะดุด ยิ้มที่เขาปรารถนาจะได้เห็นประดับใบหน้าของหล่อนตลอดเวลา รอยยิ้มที่เขาหลงรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น
เขาต้องทำอย่างไรหนอ หล่อนจึงจะยิ้มแบบนี้ให้เขาบ่อยๆ
ยิหวาออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่เข้าไปแปรงฟันเตรียมเข้านอน วันนี้หล่อนร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับ ‘สามี’ เป็นครั้งแรก เขาไม่ได้พูดอะไรกับหล่อนมากมายนัก หลังจากที่คุยกันไปแล้วตอนบ่ายในห้องทำงานของเขา
‘ตั้งใจเรียนให้ดี อยากเรียนมหาวิทยาลัยที่ไหนก็สอบให้ได้ละกัน ฉันจะส่งเธอเรียน แต่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้นนะ ฉันจะไม่ส่งเธอไปเมืองนอก หวังว่าเธอคงเข้าใจ’
เขาบอกหล่อนเช่นนั้น และยิหวาก็เข้าใจดี หล่อนไม่เคยคาดหวังแม้แต่มหาวิทยาลัยในเมืองไทย จึงไม่เคยคิดถึงเมืองนอกอยู่แล้ว แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ที่เขาพูดตอกย้ำกับหล่อนว่าเขาไม่มีวันส่งหล่อนเรียนเมืองนอก แม้ว่าเขาจะทำได้ก็ตาม
ก็ใครจะจ่ายเงินเป็นล้านๆ ส่งลูกสาวผู้จัดการไร่เรียนต่อเล่า แค่ยอมให้หล่อนเรียนระดับมหาวิทยาลัยในเมืองไทยก็ถือว่าเป็นพระคุณมากแล้ว
หญิงสาวถอนหายใจยาว พยายามเลิกคิดถึงเขา แต่เมื่อสายตาคอยแต่เหลือบมองประตูที่กั้นระหว่างห้องของเขากับห้องของหล่อน ยิหวาก็หยุดคิดไม่ได้
แม้บ่ายวันนี้จะพูดคุยตกลงกันมากมาย ทั้งหน้าที่ของหล่อนในบ้านหลังนี้ หน้าที่ที่ต้องตั้งใจเรียนให้จบชั้นมัธยม ต้องช่วยเขาทำงานเอกสารบางอย่าง ต้องเรียนภาษาอังกฤษเสริม ต้องร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเช้าและเย็นกับเขา ส่วนกลางวันหล่อนไปโรงเรียน และเขาก็กินกับคนงานในไร่ ดูเหมือนเขาจะวางแผนจัดการกับชีวิตหล่อนเป็นฉากๆ แต่กับหน้าที่หนึ่งเขายังไม่เคยพูดถึงสักคำ
หน้าที่ของภรรยา...
หล่อนไม่กล้าถามเขา หล่อนไม่อยากทำ แต่เมื่อไม่มีความชัดเจน เขาไม่เคยบอกว่าเขาจะเรียกร้องหน้าที่นั้นจากหล่อนเมื่อไร ก็ทำให้หญิงสาวหวาดผวา หล่อนหวาดกลัว กลัวว่าเวลานั้นจะมาถึงโดยที่หล่อนยังทำใจไม่ได้
บางที...อาจจะเป็นคืนนี้ก็ได้...
‘โอย...จะทำยังไงดี’ ยิหวารำพันในใจ หล่อนไม่พร้อม ไม่มีวันยินยอมพร้อมใจกับเขาเด็ดขาด หล่อนยังเด็กอยู่เลย เขาจะกล้าล่วงเกินเด็กอย่างหล่อนเชียวหรือ
หญิงสาวมองประตูที่ไม่มีล็อกนั้นอีกครั้ง ความคิดกระหวัดไปถึงละครที่เคยดู เวลาที่นางเอกอยู่ในสถานการณ์แบบหล่อน ยิหวาเห็นทุกคนลากเก้าอี้หรือโต๊ะหนักๆ มาขวางประตูไว้ หรือหล่อนจะทำเช่นนั้นบ้าง
คิดแล้วก็มองหาโต๊ะหรือเก้าอี้ในห้อง ‘โต๊ะเครื่องแป้งนั่นน่าจะใช้ได้’ หล่อนคิด ทำท่าจะลุกขึ้นไปลากโต๊ะเครื่องแป้งไม้สักหนาหนักมาขวางประตู แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาหล่อนก็เปลี่ยนใจ
หล่อนอยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะอะไร หล่อนมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือหากเขาจะ ‘เข้าหา’ หล่อน ไม่...หล่อนไม่มีสิทธิ์ และถ้าเขาพยายามจะเปิดประตูแต่ติดโต๊ะเครื่องแป้ง เขาอาจจะโกรธหล่อน และสุดท้ายก็คงสั่งให้หล่อนดึงโต๊ะออกอยู่ดี
แต่หล่อนยังไม่อยากมีอะไรกับเขา สมองคิดหาเหตุผลที่จะทำให้หล่อนไม่ต้องตามใจเขาหากเขาต้องการ แล้วก็นึกถึงนิยายที่เคยอ่าน
มีประจำเดือน...
หล่อนเห็นนางเอกบอกพระเอกแบบนี้ทุกที หล่อนน่าจะเอามุกแบบนี้มาใช้ได้ คิดแล้วก็เหมือนจะโล่งใจที่มองเห็นแสงสว่างของทางออก แต่...ถ้าเขาไม่สนล่ะ โอย หล่อนต้องตายแน่ๆ ถ้าเขายินดีจะฝ่าไฟแดง!
เมื่อคิดไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน ในที่สุดยิหวาก็ยอมแพ้ หญิงสาวก้าวขึ้นเตียงแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมถึงอก ปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบๆ หล่อนทำอะไรไม่ได้ บางที...หล่อนอาจจะขอร้องเขาตรงๆ ว่าหล่อนยังไม่พร้อม เขาใจดียอมให้หล่อนเรียนต่อ บางทีเขาอาจจะใจดีเรื่องนี้ด้วยก็ได้
เมื่อมีความหวังอย่างนั้นหล่อนก็สบายใจขึ้น แม้น้ำตาจะยังคงไหลไม่หยุด แต่หล่อนก็รู้สึกสงบลง ไม่ร้อนรนด้วยความหวาดกลัวดังเช่นเมื่อเข้ามาในห้องนอนใหม่ๆ และหลังจากนอนหลับตา พยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างที่พ่อเคยสอนเวลาที่หล่อนนอนไม่หลับหรือฝันร้าย หญิงสาวก็เคลิ้มเกือบหลับ หากไม่ได้ยินเสียงประตูห้องติดกันเปิดเสียก่อน
เขาเข้าห้องนอนแล้ว...
หญิงสาวนอนลืมตาโพลงในความมืด ได้ยินเสียงกดสวิตช์ไฟในห้องของเขา มองเห็นแสงไฟลอดใต้บานประตูเข้ามาในห้องหล่อน หูฟังเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินไปมาในห้อง หล่อนกลั้นหายใจเมื่อได้ยินเหมือนเขาเดินมายังประตูที่เปิดเข้ามาในห้องหล่อนได้ แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินผ่านไป สักครู่ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลซู่ในห้องน้ำ
เขาคงจะอาบน้ำ ยิหวาคิดขณะเหลือบตามองนาฬิกาปลุกบนโต๊ะหัวเตียง
ตีหนึ่ง...เขาเพิ่งกลับเข้าห้องนอนหลังจากเช้าวันใหม่ และหล่อนก็ยังไม่ได้นอนเลย ยิหวาได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้หล่อนจะไม่นั่งหลับในห้องเรียนให้เสียชื่อเด็กเรียนอย่างหล่อนและต้องถูกทำโทษ
เสียงน้ำในห้องน้ำเงียบไปแล้ว สักพักหล่อนก็ได้ยินเสียงเขาเดินกลับเข้าไปในห้อง เดินไปมาราวกับหาอะไร จากนั้นก็มีเสียงเหมือนที่เป่าผมดังขึ้น
‘เป่าผมตอนตีหนึ่งเนี่ยนะ’ ยิหวาแอบค่อนในใจ อดนึกขำคนตัวโตๆ หนวดเขียวๆ แต่นั่งเป่าผมก่อนนอนไม่ได้ แต่เสียงนั้นกลับดังเพียงชั่วอึดใจก่อนจะเงียบลง
‘เป่าแค่นั้นจะทันแห้งอะไร’ คนค่อนยังหาเรื่องค่อนไม่เลิก หล่อนยังนอนฟังเสียงกุกกักจากห้องข้างๆ ต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่เข้านอน หล่อนก็คงจะนอนหลับอย่างสบายใจไม่ได้
ยิหวาโล่งใจเมื่อได้ยินเสียงกดสวิตช์ในห้องนอนอีกครั้ง แสงไฟที่ลอดผ่านบานประตูกลายเป็นความดำมืด เขาปิดไฟแบบนี้หมายความว่าคงเตรียมเข้านอนแล้วกระมัง และหล่อนก็จะได้นอนเสียที
ความคิดเห็น |
---|