8
ขอกวนใจหน่อยนะ
ก้องบดินทร์ขลุกตัวอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างเช่นเคยในวันทำงาน วันนี้เขามาดูโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ซึ่งดำเนินการไปมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
หลังจากเดินตรวจตราและพูดคุยกับหัวหน้าวิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างอยู่กว่าหนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มจึงขับรถกลับเฮดออฟฟิศของกุลธร ดีเวลลอปเมนต์ที่อโศก เพื่อประชุมเกี่ยวกับแผนการตลาดต่อในช่วงบ่าย
ก้องบดินทร์เข้ามารับตำแหน่งประธานบริหารบริษัทหลังจากที่คุณก้องเกียรติ พ่อของเขาเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน ในตอนนั้นวัยยี่สิบห้าปีถือว่าเด็กมากสำหรับตำแหน่งที่ได้รับ ทำให้บอร์ดบริหารหลายๆ คนรวมทั้งผู้ถือหุ้นไม่ค่อยเชื่อใจฝีมือของชายหนุ่มนัก แต่ก้องบดินทร์ก็พิสูจน์ความสามารถให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเขาเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นเลย
ตลอดสองปีที่ผ่านมา กุลธร ดีเวลลอปเมนต์ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องภายใต้การกุมบังเหียนของ ก้องบดินทร์ กุลธร และผลประกอบการก็เพิ่มขึ้นทุกไตรมาสจากแนวคิดของผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างเขา ทำให้ทุกคนยอมรับในตัวชายหนุ่มในท้ายที่สุด
ติ๊ง!
เสียงเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ดังขึ้นระหว่างที่รถจอดติดไฟแดง เมื่อหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดูก็พบว่ากิรฏาส่งรูปมาให้เขา ดวงตาคมหรี่ลงอย่างสงสัย ขณะที่นิ้วเรียวยาวแตะหน้าจอเพื่อเปิดดูว่าเป็นภาพอะไร
คนหล่อทำหน้าเพลียเมื่อเห็นรูปหญิงสาวถือเค้กมะพร้าวทำท่าเหมือนกับจะยื่นให้เขาพร้อมทั้งยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันขาวๆ ครบทุกซี่ จากนั้นเจ้าตัวก็ส่งข้อความตามเข้ามาว่า
Koryaa : บ่ายๆ แบบนี้รับของหวานไปเพิ่มน้ำตาลในเลือดหน่อยไหมคะ ขนมว่าอร่อยแล้ว แต่คนทำอร่อยกว่าอีก ไม่เชื่อลองชิมได้ค่ะ ^^
ก้องบดินทร์กลอกตาพร้อมกับกดส่งสติกเกอร์รูปหมีบราวน์เตะกระต่ายโคนี่กลับไป
Koryaa : พี่ก้องไม่อ่อนโยนกับน้องเลยอ้ะ
กิรฏาโอดครวญและส่งสติกเกอร์กระต่ายสีขาวนอนดิ้นเร่าร้องไห้น้ำตาเป็นสายกลับมา
Gong : ไม่ทำงานหรือไง ถึงได้มีเวลามากวนคนอื่น
Koryaa : ทำค่า แต่ตอนนี้ว่าง คิดถึงพี่ก้องเลยแวะมากวน ยุ่งอยู่เหรอคะ หญ้าไม่กวนก็ได้
Gong : กำลังขับรถกลับไปประชุมที่บริษัท
Koryaa : งั้นขอให้โชคดีกับการประชุมนะคะ หญ้าไม่กวนละ
Gong : อืม
ชายหนุ่มตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะวางเครื่องมือสื่อสารไว้ในช่องเก็บของ ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป ยายกอหญ้าก็ยังน่ารำคาญไม่เปลี่ยนเลย นี่เขาจะต้องแต่งงานกับยายนี่จริงๆ เหรอวะเนี่ย แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
ก้องบดินทร์เข้าใจความรักและความหวังดีของแม่ที่มีต่อเขามาโดยตลอด แต่เขาไม่ได้รักยายนั่นจริงๆ แล้วจะให้แต่งงานกันไปได้ยังไง
เขารู้ว่าการจากไปด้วยอุบัติเหตุของพ่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แม่กลัวเมื่อหมอดูทักว่าเขามีดวงจะเสียชีวิตในแบบเดียวกัน และเมื่อรู้ว่าวิธีแก้เคล็ดคือต้องแต่งงานภายในสามเดือน ท่านเลยไม่รอช้าที่จะทำตามคำแนะนำของแม่หมออย่างเคร่งครัด
ผู้บริหารหนุ่มพรูลมหายใจยาวพลางนึกย้อนกลับไปในวันแรกที่พบกิรฏา วันที่ทำให้ชีวิตแสนสุขของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
...
วันนั้นแม่พาเขาไปที่บ้านของป้าพิสมัย เมื่อมาถึงท่านก็เดินนำเข้าไปในห้องที่มีกลิ่นแป้งเด็กหอมฟุ้ง กำแพงโดยรอบตกแต่งด้วยรูปต้นไม้ ดอกไม้ และสิงสาราสัตว์แสนน่ารัก ภายในห้องมีข้าวของเครื่องใช้เด็กมากมาย และมีคอกกั้นเด็กอยู่ตรงมุมหนึ่ง
ป้าพิสมัยกำลังนั่งไกวเปลอยู่ตรงกลางห้อง เมื่อเห็นก้องบดินทร์และแม่ ท่านก็ยกมือขึ้นจุปากเป็นสัญญาณ
‘เบาๆ นะ ยายหนูหลับอยู่’
‘หวัดดีครับป้าพริ้ม’ เด็กชายยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม
‘หวัดดีลูก’ หญิงวัยกลางสามสิบยกมือขึ้นรับไหว้ ก่อนหันไปบอกเพื่อนสนิท ‘พาตาก้องมาดูน้องสิ’
แม่พยักหน้ารับและจูงมือเขาไปยังเปลสี่เหลี่ยมที่มีโมไบล์ปลาตะเพียนแขวนอยู่
เมื่อก้องบดินทร์มองเข้าไปภายในเปลก็เห็นเด็กหญิงตัวผอมในชุดนางฟ้าสีชมพูกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ ใบหน้าเล็กกว่าฝ่ามือระบายไปด้วยรอยยิ้มคล้ายกำลังฝันหวาน
‘นี่น้องกอหญ้า หลานของป้าพริ้ม น่ารักไหมจ๊ะ’ แม่ถามเขาเบาๆ
‘ตัวเล็กเหมือนลูกแมวเลยครับ’ เด็กชายวัยสี่ขวบครึ่งเอ่ยออกมาอย่างพาซื่อ
คุณพิสมัยยกมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะเบาๆ ‘เข้าใจเปรียบเทียบจริงๆ’
‘ดีนะที่ไม่บอกว่าลูกหมา’ คุณมลฤดีส่ายหน้าไปมาอย่างเพลียๆ
‘แอ๊ะ’ เสียงเล็กๆ ดังออกมาจากปากจิ้มลิ้มของหนูน้อยวัยหนึ่งขวบกว่าที่ยังคงหลับสนิท
‘น้องพูดว่าหวัดดีค่ะพี่ก้อง’ ป้าพิสมัยบอกเขา
‘ป้าพริ้มรู้ได้ไงครับ แค่ร้องแอ๊ะคำเดียวเอง’ เด็กชายขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย
‘ป้าพริ้มเขาเลี้ยงน้องมา แปลออกหมดแหละว่าน้องพูดอะไร’ คุณมลฤดีว่าพลางยิ้ม
‘แอ๊ะ’ คราวนี้ก้องบดินทร์ลองพูดกับน้องบ้าง เพราะอยากรู้ว่ายายลูกแมวจะตอบหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าเงียบสนิท ‘ไม่เห็นตอบผมเลยครับ’
‘น้องนอนหลับอยู่ เดี๋ยวตื่นขึ้นมาก้องค่อยคุยกับน้องนะ’ คุณพิสมัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื้ออารี
‘ตื่นขึ้นมาแล้วน้องจะร้องไห้หรือเปล่าครับ ผมไม่ชอบเด็กขี้แย’
คุณมลฤดีได้ยินอย่างนั้นก็อธิบายให้ลูกชายตัวแสบฟัง ‘เด็กยังพูดไม่ได้ เวลาหิว ปวดฉี่ หรือปวดอึเลยต้องร้องไห้แทน เป็นเรื่องปกตินะจ๊ะ ตอนก้องอายุเท่าน้องก็ร้องไห้บ่อยๆ เหมือนกัน’
‘จริงเหรอครับ’ เด็กชายทำหน้าไม่อยากเชื่อ
‘จริงสิ แม่ต้องคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ เช็ดอึ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้เราตลอดจนโตมาพูดกับแม่ได้นี่ละ เพราะงั้นก้องต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังแม่นะจ๊ะ’
‘ไหลไปได้นะเธอเนี่ย’ คุณพิสมัยแอบขำเพื่อนที่พูดเรื่องหนึ่ง แต่ไปจบอีกเรื่องหนึ่งได้แบบเนียนๆ
‘แน่นอนจ้ะ’ คุณมลฤดีไหวไหล่ไปมา
‘เดี๋ยวเราออกไปคุยกันข้างนอกดีไหม มีเรื่องจะเมาท์เยอะเลย เมาท์ในนี้เสียงดังไม่ได้’
‘ไปสิ’ แม่พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น แล้วหันมาบอกเขา ‘ก้องไกวเปลให้น้องก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่กับป้าพริ้มกลับมา’
‘เอ่อ...’
‘ดูแลน้องให้ดีๆ นะ อย่าแกล้งน้องล่ะ ป้ากับแม่ของเราจะไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่น มีอะไรก็วิ่งไปเรียกได้เลยนะจ๊ะ’ ป้าพิสมัยเอ่ยฝากฝังพร้อมยิ้มละไม
‘เอ่อ...’ เด็กชายจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่ทัน เพราะผู้ใหญ่ทั้งสองคนออกจากห้องไปแล้วพร้อมกับปิดประตู
ก้องบดินทร์รู้สึกเซ็งขึ้นมาทันทีเมื่อต้องอยู่กับยายลูกแมวแค่สองคน เขาปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้แทนที่ป้าพิสมัยและดึงเชือกไกวเปลไปมาเบาๆ อย่างไม่มีทางเลือก
‘เฮ้อออ น่าเบื่อจริง!’ เขาบ่นและถอนหายใจพรืด ขณะนั้นเองที่เสียงเล็กๆ จากเปลดังขึ้น
‘แอ๊ะ’
ก้องบดินทร์กระโดดลงจากเก้าอี้และเดินไปดูภายในเปล ยายลูกแมวยังหลับตาพริ้มเหมือนเดิม เขาจ้องมองใบหน้าเล็กนั้นอยู่นานจู่ๆ ก็นึกอยากจะเอานิ้วไปจิ้มแก้มยายลูกแมวเล่นขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ว่าแล้วก็เขย่งเท้าขึ้นและค่อยๆ ยื่นมือลงไปในเปลพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่วางแผน คนตัวเล็กก็ลืมตาขึ้นเสียก่อน
เขาชักมือกลับมาขณะที่ประสานสายตากับยายลูกแมว ดวงตากลมโตแป๋วที่ล้อมรอบด้วยแพขนตายาวจ้องมองเขาอย่างสนใจเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
‘มองอะไร ยายลูกแมว!’ ก้องบดินทร์ทำหน้าโหดใส่
และทันใดนั้นเอง...
‘แงๆ’ คนตัวเล็กร้องไห้จ้าขึ้นเสียงดัง
เด็กชายกดดันขึ้นมาครามครัน สีหน้าจากเจ้าเล่ห์เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ‘เฮ้ย หยุดๆๆ อย่าร้องสิ’
‘แงๆๆ’
‘โอ๊ย บอกว่าอย่าร้องไง แกล้งแค่นิดหน่อยเอง’
‘แงๆๆ’
‘แม่กับป้าพริ้มต้องดุเราแน่เลย ทำไงดีวะ’ ก้องบดินทร์คิดอย่างกระวนกระวาย ป้าพิสมัยบอกว่าถ้ามีอะไรให้วิ่งไปเรียกได้ แต่ใครจะไปล่ะ ถ้าพวกท่านรู้ว่าเขาทำน้องร้องไห้ต้องดุและทำโทษแน่
แล้ววินาทีนั้นเด็กชายก็นึกอะไรดีๆ ออก เขายกมือสองข้างขึ้นมาปิดหน้า ก่อนจะเปิดออกพร้อมกับเอ่ยเสียงหยอกเย้า ‘จ๊ะเอ๋’
ไม่น่าเชื่อ แค่จ๊ะเอ๋ครั้งแรกก็ได้ผลชะงัด ยายลูกแมวหยุดร้องไห้ทันที และเปลี่ยนมาจ้องมองเขานิ่งๆ แทน
‘จ๊ะเอ๋’ เด็กชายทำเหมือนเดิมอีกรอบ คราวนี้ดวงตากลมโตเป็นประกายร่าเริงขึ้นเล็กน้อย แต่คิ้วยังขมวดเข้าหากันอยู่ อาจเพราะยังไม่แน่ใจว่าเขาจะเล่นด้วยหรือจะแกล้งกันแน่ ‘จ๊ะเอ๋!’
ริมฝีปากแดงย้อยของคนตัวเล็กเริ่มคลี่ยิ้มบางๆ
และพอจ๊ะเอ๋รอบสี่ กิรฏาก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างชอบใจ
‘ชอบเล่นจ๊ะเอ๋เหรอยายลูกแมว’ ก้องบดินทร์ได้ยินเสียงหัวเราะแล้วก็ยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว และเล่นกับน้องต่ออย่างเพลิดเพลิน ‘จ๊ะเอ๋!’
เด็กน้อยหัวเราะร่วนจนน้ำลายไหลย้อย เขาจึงช่วยเอาผ้าอ้อมมาเช็ดน้ำลายออกให้ ก่อนจะเล่นจ๊ะเอ๋ต่อ ขณะนั้นแม่กับป้าพิสมัยก็กลับเข้ามาพอดี
เมื่อเห็นภาพนั้นพวกท่านก็ยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจที่พี่น้องรักกัน
‘ป้ายกน้องให้ก้องดูแลเอาไหมจ๊ะ’ ป้าพิสมัยถามทีเล่นทีจริง
ก้องบดินทร์ส่ายหน้าทันที ‘ไม่เอาครับ’
‘ทำไมล่ะก้อง น้องกอหญ้าน่ารักออก เมื่อกี้แม่ยังเห็นเราเล่นจ๊ะเอ๋กับน้องอยู่เลย’
‘ผมเห็นน้องตื่นแล้วไม่รู้จะทำอะไร เลยเล่นไปงั้นๆ แหละครับ’
‘แต่น้องชอบเราน้า พี่ก้องเล่นด้วยแล้วหัวเราะใหญ่เลย’
‘ไม่เอา ผมไม่ชอบเด็ก’
‘อย่าไปแกล้งลูกสิมล ตาก้องเครียดแล้วนั่น’ ป้าพิสมัยเอ่ยเคล้ายิ้ม
แม่หัวเราะคิกและหันมาบอกเขา ‘ไม่ต้องเครียดหรอก ถึงไม่ดูแลตอนนี้ แต่ต่อไปพอน้องเข้าโรงเรียน ก้องก็ต้องดูแลน้องอยู่ดี’
‘กอหญ้าจะเข้าโรงเรียนเดียวกันกับผมเหรอครับ’ ก้องบดินทร์ทำหน้าตื่นเหมือนได้ยินว่าระเบิดกำลังจะลง
‘ใช่จ้ะ แม่กับป้าพริ้มคุยกันว่าพอน้องจบอนุบาลแล้วจะให้เข้าเรียนชั้นประถมที่เดียวกับก้องจะได้สบายใจว่าน้องจะมีคนคอยดูแลปกป้อง ไม่ให้ใครมารังแกได้’
‘แต่ผม...’
‘แม่กับป้าพริ้มขอมอบหมายตำแหน่งองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิงกอหญ้าให้ก้องตั้งแต่วันนี้เลยนะจ๊ะ’
‘ว่าไงนะครับ!!!’ อะไรของแม่เนี่ย ใครอยากจะเป็นองครักษ์ของยายลูกแมวกัน
ความคิดเห็น |
---|