2

บทที่ 2


คำสัญญา

กล้วยไม้สีขาว...ดอกไม้ที่วาริศาชอบที่สุด...

วิยะดาค่อยๆ บรรจงสอดมันเข้าไปในช่องสี่เหลี่ยมซึ่งกำลังร้อนระอุด้วยเปลวเพลิงที่เผาผลาญอยู่ด้านในน้ำตาไหลรินลงจากดวงตาแดงก่ำที่จ้องมองย่างเจ็บปวดอาดูลย์

นี่คือ...ดอกไม้ที่คุณแม่ฝากเธอมามอบให้กับวาริศา...

‘...ต่อไป...ถ้ายิ้มเห็นว่าอะไรดีสำหรับพี่เขา ก็จัดการไปได้เลยไม่ต้องถามแม่...รวมถึงเรื่องของเด็กคนนั้นด้วย’

นั่นคือคำพูดที่มารดาตอบแก่เธอ เมื่อเอ่ยขอให้ท่านช่วยตั้งชื่อให้กับหลานสาวตัวน้อย หลังจบพิธีสวดอภิธรรมคืนแรกเมื่อ ๓ วันก่อนอีกทั้งวิกานดายังยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่มาร่วมงานสวดในคืนต่อไป ตลอดจนพิธีฌาปนกิจ ทั้งๆ ที่ท่านเองก็ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้

‘อย่าให้แม่ต้องยืนส่งลูกของแม่อีกคนเลยนะยิ้ม...ไม่ว่ายังไงแม่ก็ทำใจไม่ได้จริงๆ...’

ในตอนที่ได้ยินนั้น วิยะดาไม่เห็นด้วย และอยากจะวอนขอให้มารดามาส่งวาริศาเป็นครั้งสุดท้าย เหมือนกับที่ท่านทำให้แก่โยธา แต่ก็ทราบและเข้าใจดีว่าในตอนนี้มารดาต้องแบกรับความรู้สึกเช่นไร

เพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังต้องใช้เวลากว่าที่จะทำใจเชื่อว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง หากจะบอกว่าตัวเธอต้องเจ็บปวดที่ได้มองเห็นและสูญเสียบุคคลที่รัก ในใจของวิกานดาคงต้องเรียกว่าโทมนัสยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี

และถึงในใจท่านจะมองว่า วาริศาเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวสุรสินทร์ต้องมีสภาพแหลกสลาย แต่วิยะดามั่นใจ ว่าการจากไปของวาริศาคงเหมือนเป็นการสร้างรอยแผลใหม่ที่ลึกลงกว่าเดิมให้กับท่าน เพราะคงไม่มีแม่คนไหนบนโลกที่จะไม่เสียใจ หากต้องสูญเสียลูกในอุทรที่ทั้งรักและทะนุถนอมมาโดยตลอดไป

ก่อนหน้านี้ หลังจากสูญเสียสามีและบุตรชาย วิกานดาก็ไม่อาจทนแบกรับความเจ็บปวดเลือกหลบหลีกผู้คนหันหน้าเข้าหาทางธรรม หลังจากเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานนับเดือนด้วยอาการตรอมใจ...เพื่อหวังจะใช้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนากล่อมเกลาจิตใจ ให้ปล่อยวางเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้ในสักวัน...

            “นี่คือดอกไม้ที่คุณแม่ตั้งใจเตรียมและฝากยิ้มมามอบให้พี่แยมค่ะ...”

หญิงสาวกล้ำกลืนความรู้สึกลงคอ ขณะที่ดวงตาแดงก่ำวาวใสด้วยหยาดน้ำยังคงจับจ้องมองเปลวไฟในช่องนั้น

เธอรู้ดีว่าหากตอนนี้ดวงวิญญาณของวาริศารับรู้ได้ คงจะสะท้านสะเทือนใจเป็นอย่างมาก กับการที่ผู้เป็นแม่ไม่ยอมมาส่งดวงวิญญาณของหล่อนไปสู่สุขติ...

“พี่แยมอย่าโกรธคุณแม่เลยนะคะ ไม่ว่ายังไง...คุณแม่ก็ยังรักพี่แยม รักพี่แยมมากเหมือนเดิม...”

หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะสอดดอกกล้วยไม้สีขาวอีกดอกหนึ่งในมือลงไปในช่องที่ระอุไปด้วยเปลวเพลิง มันคือดอกไม้ที่เธอจัดเตรียมมาเพื่อมอบให้แก่วาริศา

“...ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะพี่แยม ยิ้มจะรักษาสัญญาที่ให้กับพี่แยมด้วยชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยิ้มจะเลี้ยงดูยายหนูอย่างดีที่สุด จะรัก...ให้เหมือนกับว่าเขาเป็นลูกของยิ้มเอง และจะไม่มีวันยอมให้ใครมาแย่งเขาไป หรือใช้เขาเป็นเครื่องมือในการทำร้ายใครได้อีก...”

เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงขึ้นฉับพลันนั้น เป็นดั่งการตอบรับการทวนคำสัญญาที่วิยะดาเอ่ยออกมา

จริงอยู่ ว่าบัดนี้วิยะดายังคงมีสภาพจิตใจที่บอบช้ำกับการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนแต่...นับจากนี้ไป เธอจะเลิกร้องไห้ฟูมฟาย และลุกขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างเข้มแข็งเพื่อทำตามสัญญาที่มีให้กับพี่สาวผู้เปรียบเสมือนมารดาคนที่สอง ในการดูแลปกป้องหลานสาว ประคับประคองมารดา และกอบกู้ซากปรักหักพังของบ้านสุรสินทร์ให้กลับมาอบอุ่นและงดงามดังเดิมอีกครั้ง

‘อินทุอร’ และ ‘จินตนาการ’ ในชุดดำก้าวมาอยู่เคียงข้างเพื่อนรัก ทั้งสองต่างก็จับแขนของวิยะดาเอาไว้เพื่อช่วยพยุง และให้กำลังใจ

วิยะดาสูดลมหายใจเข้าสะกดกลั้นก้อนสะอื้นที่จุดขึ้นมา เธอหันหน้าไปมองเพื่อนรักทั้งสองที่อยู่เคียงข้างมาตลอด จนถึงวันนี้ที่กำลังเผชิญกับมรสุมชีวิตด้วยความรู้สึกขอบคุณ พร้อมกับพยักหน้าเพื่อบอกว่าเธอไม่เป็นไร แม้น้ำตาจะยังคงไหลรินลงมาไม่หยุด

ช่วงเวลาต่อจากนั้น ผู้ที่มาร่วมไว้อาลัยวาริศาเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพื่อน หรือคนใกล้ชิดก็ทยอยกันมาวางดอกไม้จันทน์

หากสังเกตให้ดีจะพบว่าจำนวนญาติที่มาร่วมงานฌาปนกิจในครั้งนี้มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งวิยะดาไม่ได้นำมาใส่ใจ และมองว่ามันคือเรื่องดี เพราะอย่างน้อย มันก็ทำให้คนที่มาส่งวาริศาเป็นครั้งสุดท้ายคือคนที่ปรารถนาดีต่อเธอจริงๆ ไม่ใช่การมาแบบแกนๆ เพราะเป็นหน้าที่หรือความจำเป็น

ก่อนจากไปวาริศาได้สั่งเสียไว้อย่างชัดเจน ว่าต้องการให้น้องสาวตั้งบำเพ็ญกุศลร่างของตนเพียง ๓ วันเท่านั้น ซึ่งโชคดีที่ตลอด ๓ วัน วิยะดาที่จัดการงานสีดำเป็นครั้งแรก พร้อมๆ กับต้องเทียวไปเยี่ยมหลานสาวซึ่งยังคงอยู่ในตู้อบของโรงพยาบาลมีคนมากมายยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะวังพยุหะมนตรีที่‘หม่อมชื่นจิต’ คุณย่าของ ‘หม่อมราชวงศ์ปราบดา’ สามีของอินทุอรได้กรุณาส่งคุณข้าหลวง ภายใต้การนำของ ‘รวินท์รัมภา’ หลานสาวอีกคนหนึ่งของท่าน มาช่วยดูแลความเรียบร้อยเรื่องพิธีการ อาหารของว่าง และเครื่องดื่ม สำหรับเลี้ยงแขกและพระสงฆ์ จนวิยะดาแทบไม่ต้องห่วงกังวลกับเรื่องจุกจิกใดๆ

สิ่งเหล่านั้นทำให้เธอเห็นว่า บางทีความเปลี่ยนแปลง และการสูญเสีย...ก็อาจจะมีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่ หนึ่งในนั้นคือ...มันช่วยคัดกรองคนในชีวิตของเธอ ว่าใครคือมิตรแท้และใครคือมิตรเทียม

วิยะดาหันไปมองเพื่อนรักทั้งสองที่ทั้งกอดและลูบหลังลูบไหล่เธออยู่อีกครั้งด้วยความซาบซึ้งเอ่อท้น สำหรับผู้หญิงสองคนนี้...บางทีคำว่าเพื่อนอาจจะน้อยเกินไป ตลอดระยะเวลา ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งสองเปรียบเสมือนพี่สาวหรือน้องสาวอีกคนหนึ่งของเธอ

หลังจากที่แขกเหรื่อวางดอกไม้จันทน์กันครบทุกคนแล้ว พนักงานจึงขึ้นมาเตรียมทำการปิดช่องสี่เหลี่ยมเพื่อเป็นการเสร็จสิ้นพิธี...แต่ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

เขา...ผู้ที่ดึงดันเป็นเจ้าภาพร่วม ทั้งๆ ที่วิยะดาปฏิเสธและไม่ต้องการ อีกทั้งยังเดินทางมาร่วมฟังสวดอภิธรรมทุกคืน ก่อนจะกลับไปโดยไม่พูดหรือทำอะไรมากกว่านั้น

“พี่เจษฎ์”อินทุอรเอ่ยชื่อผู้มาใหม่เบาๆ ก่อนจะหันมามองหน้าวิยะดาเหมือนทุกๆ ครั้งที่เห็นเพื่อนรักของหม่อมราชวงศ์ผู้เป็นสามี มาปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ ในรัศมีที่วิยะดายืนอยู่

พี่วีร์ติดธุระเพิ่งแยกออกไปตอนถวายผ้ามหาบังสกุลเสร็จเสียด้วย...แล้วใครจะมาคอยทำตัวเป็นกำแพงเสริมไยเหล็กให้ยิ้มล่ะเนี่ย

วันนี้เจษฎ์บดินทร์มาในชุดสูทแบล็กไท กับแว่นเรย์แบนสีดำสนิททำให้ความเย็นชาซึ่งมีอยู่เดิม ยิ่งทวีขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ในมือของเขาถือดอกกล้วยไม้สีขาวช่อหนึ่ง ชั่ววินาทีที่ร่างสูงเดินฝ่าแดดร้อนในยามบ่ายโมงตรงขึ้นมาบนเมรุ เขาเหมือนชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยและหันมามองวิยะดาที่หลุบตาลงด้วยใบหน้าแดงก่ำ กับน้ำตาที่ไหลอาบสองข้างแก้มเนียนใสทว่าซีดเซียว

เสียงผู้คนโดยรอบเหมือนจะหยุดสนทนาลงฉับพลันกับการปรากฏตัวขึ้นของเขา บ้างก็มองอย่างรังเกียจเดียดฉันท์แค้นเคือง บ้างก็แสดงสีหน้ากังขาหรือหันไปซุบซิบนินทา บ้างก็ทำเป็นมองไม่เห็น...เช่นทุกๆ วันในยามที่เขาปรากฏตัวขึ้นในงานบำเพ็ญกุศลศพของวาริศา

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่แค่การหักหลังคู่ค้าที่เป็นเพื่อนสนิท และยึดเอาธุรกิจของพุฒิวิริยะกุลเท่านั้น หากที่ผ่านมามันยังมีข่าวลือหนาหูอีกว่า...พ่อของลูกวาริศาอาจจะเป็นเจษฎ์บดินทร์ ที่เคยมีข่าวคล้ายกำลังคบหาดูใจกับหล่อนเมื่อ ๒ ปีก่อน ตีคู่มากับข่าว ‘เชษฐา’ พี่ชายต่างมารดาของเขา ที่มีคนแอบเห็นว่าทั้งสองมักพบปะกันในระยะ ๑ ปีให้หลัง ทั้งๆ ที่ฝ่ายชายมีคู่หมั้นอยู่แล้วในตอนนั้น และเพิ่งจัดพิธีแต่งงานกันอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อ ๔ เดือนก่อนหน้านี้!!

หลายๆ คนเห็นใจกึ่งเวทนาวาริศาที่ถูกทำให้แปดเปื้อนและถูกหลอกใช้ หากหลายๆ คนก็ด่าทอต่อว่าในความไม่รักนวลสงวนตัวของหล่อน ที่แอบมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับผู้ชายถึงสองคน อีกทั้งทั้งคู่ยังเป็นพี่น้องต่างมารดากัน จนกระทั่งตั้งครรภ์ก็ยังระบุไม่ได้ว่าใครคือพ่อของเด็ก

ความจริงเรื่องนี้ยังไม่ถูกพิสูจน์ออกมาว่าเป็นจริงหรือไม่ และใครคือพ่อของเด็ก เพราะทั้งสองตระกูลยังไม่มีใครออกมาชี้แจง หรือแสดงท่าทีต่อเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ดี แม้ว่าเรื่องการล้มลงของสุรสินทร์จะเป็นเรื่องของธุรกิจ แต่สังคมก็อดที่จะมองตระกูลพุฒิวิริยะกุลอย่างกังขาและติฉินนินทาไม่ได้ หลายๆ กระแสปักใจเชื่อว่าที่พุฒิวิริยะกุลสามารถฮุบสุรสินทร์ได้ในเวลาอันสั้น เพราะใช้วิธีสกปรก อย่างการหลอกใช้วาริศาผู้วายชนม์ จนรวบกิจการที่มั่นคงมายาวนานนี้เป็นของตนเองได้ในที่สุด

จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เจษฎ์บดินทร์เท่านั้นที่สร้างปฏิกิริยาเช่นนี้จากผู้คนโดยรอบ ต้องเรียกว่าตลอดเวลา ๓ วันที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพนั้นยามมีอะไรเกี่ยวข้องกับพุฒิวิริยะกุลมาปรากฏในงาน ก็ล้วนแต่สร้างความรู้สึกหลากหลายจากทุกคนได้เสมอ

ยกตัวอย่างเช่น พวงหรีดดอกไม้ไว้อาลัยจาก ‘เจ้าสัวบวร’ ปู่ของเจษฎ์บดินทร์และเชษฐา ‘บพิตร’ พ่อของพวกเขา และ ‘เพ็ญพักตร์’ แม่ของเชษฐา หรือมารดาเลี้ยงของเจษฎ์บดินทร์ ที่ทยอยให้ผู้แทนส่งมาแสดงความเสียใจอย่างขอไปที ก็เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนรายล้อม

แน่นอนว่าวิยะดาจำต้องกัดฟันรับเอาไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เช่นเดียวกับซองร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพ ที่เธอหยอดลงตู้บริจาคให้กับทางวัดในทันที โดยไม่เคยเปิดหรือแยแสว่าเช็คเงินสดในซองนั้นระบุจำนวนเงินเอาไว้เท่าไหร่ และคนที่นำซองเงินนั้นมาจะคิดหรือรู้สึกเช่นไรต่อการกระทำของเธอ

“มาทันเวลาพอดี”หม่อมราชวงศ์ปราบดารับหน้าที่เชิญแขกซึ่งเป็นเพื่อนรักของเขา หลังจากที่เห็นว่าวิยะดาเอาแต่เงียบ พลอยพาให้อินทุอรกับจินตนาการที่โกรธแทนเพื่อนเงียบตามไปด้วย...เหมือนทุกๆ วัน

เจษฎ์บดินทร์พยักหน้า ขณะที่หิรัญเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งมาร่วมงานนี้ด้วยเดินเข้ามาตบไหล่เป็นเชิงทักทาย

ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูเหล็กที่กำลังระอุไปด้วยเปลวเพลิง ในตอนนั้นทุกคนรับรู้ว่าเจษฎ์บดินทร์ได้พูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ได้ยินไม่ชัดเจนนัก หากฉับพลันนั้นสายลมหอบใหญ่ก็พัดผ่านเข้ามาอย่างรู้สึกได้ มันไม่แรงนัก แต่เย็นสดชื่นอย่างประหลาด

ทว่า...ผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นอย่างวิยะดา จินตนาการ อินทุอร หม่อมราชวงศ์ปราบดา และหิรัญ กลับได้ยินคำพูดของเจษฎ์บดินทร์ชัดเจน...

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะแยม พี่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้อย่างดีที่สุด”

ในวินาทีนั้น ไม่มีใครรู้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจของวิยะดาได้ เพราะไม่มีใครทราบว่าก่อนที่วาริศาจะเสียชีวิตได้พูดสิ่งใดกับเจษฎ์บดินทร์เหมือนกันกับเธอ

 

‘...ฝากยายหนูด้วย...ฝากยายหนูด้วย...อย่าให้ใครมาแย่งแกไปจากยิ้ม...ปกป้อง...ยิ้มกับยายหนูด้วย...’ นั่นคือคำพูดที่ถูกเปล่งออกมาอย่างยากลำบากด้วยเสียงแหบพร่า วาริศากำชายเสื้อสูทของเจษฎ์บดินทร์ที่โน้มตัวลงไปฟังใกล้ๆ แน่น และนั่นคือการเน้นย้ำสัญญาครั้งสุดท้าย ก่อนที่วาริศาจะสิ้นใจ ท่ามกลางเสียงร้องไห้โฮของวิยะดา...

 

อีกทั้งก่อนที่จะเดินทางมาที่วัดในวันนี้ เธอได้รับเอกสารหนึ่งจากทนายความ เรื่อง ‘สิทธิ์ในการเลี้ยงดู’ ยายหนู ที่วาริศาได้ให้ทนายความทำเรื่องเอาไว้ก่อนที่หล่อนจะเสียชีวิต

มันเป็นเอกสารที่วิยะดาไม่คิดฝันว่าจะมี เพราะเธอไม่อยากเชื่อว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต วาริศาจะเชื่อใจเจษฎ์บดินทร์ขนาดนี้! ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมีความจริงใจต่อหล่อนเลย!

เอกสารนั้น คือเอกสารมอบสิทธิ์ในการปกครองยายหนูให้กับเจษฎ์บดินทร์...ร่วมกันกับเธอ!

หลังจากเสร็จพิธีการทุกอย่าง และบรรดาแขกผู้มาร่วมไว้อาลัยเริ่มทยอยกลับ หม่อมชื่นจิตคุณย่าของหม่อมราชวงศ์ปราบดาก็เดินเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ และเอ่ยปลอบโยนวิยะดา เช่นเดียวกับท่านอรรถคุณปู่ และพิมพ์อรคุณแม่ของอินทุอร

ไม่ถึงสิบห้านาทีแขกเหรื่อก็เริ่มบางตา จนสุดท้ายเหลือเพียงเพื่อนรักทั้งสอง หม่อมราชวงศ์ปราบดา หิรัญ และเจษฎ์บดินทร์

วิยะดาพยายามระงับความเศร้าโศกเสียใจ เธอเช็ดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า และเดินไปยกรูปหน้าศพของวาริศามากอดเอาไว้แนบอกเตรียมจะเดินทางกลับ

ในตอนนั้นเองที่รับรู้ได้ถึงการเดินเข้ามาใกล้ของเจ้าของร่างสูงใหญ่ ไออุ่น และกลิ่นกายของเขายังคงเดิม...หากมันไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจะจดจำอีกต่อไป

บัดนี้...ความรัก ความเทิดทูน ที่เธอเคยมีให้เขาในอดีตมันได้สูญสลายลงไปหมดแล้ว...

อย่าว่าแต่มองหน้าหรือพูดคุยเลย แม้แต่จะอยู่ใกล้ๆ ก็ยังเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับเธอ

แต่วิยะดาก็ทราบว่า แม้จะอยากหนีไปให้ไกลเพียงใด สุดท้าย...เธอก็ต้องเผชิญหน้าและพูดคุยกับเขาในเรื่องที่รอการสะสางต่อจากนี้...โดยเฉพาะเรื่องของหลานสาว ที่มีชื่อเจษฎ์บดินทร์เป็นเจ้าของไข้ และผู้บริบาลร่วมกัน...

ลึกๆ แล้ว วิยะดายอมรับว่าเธอกลัวเหลือเกิน ในทุกๆ ครั้งที่เห็นเขามาเยี่ยมหลานสาวที่โรงพยาบาล

เธอกลัว...ว่าที่เขาทำอยู่นี้ ก็เพื่อแสดงเจตนาว่าจะแย่งยายหนูไป!

เพราะในตอนนี้เธอยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่จะสามารถรับบุตรบุญธรรมได้[1] และด้วยอำนาจที่เขามี หากเขาต้องการแย่งยายหนูไปจริงๆ...เธอคงไม่อาจปกป้องและยื้อแย่งหลานมาได้โดยง่าย

“ยิ้ม...”

 

“ยิ้ม”

เสียงราบเรียบของเจษฎ์บดินทร์ถูกแทรกขึ้นด้วยเสียงเข้มจัดของใครคนหนึ่งที่เดินขึ้นมาบนเมรุ

วิยะดาหันไปมองร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิทนั้นเช่นเดียวกันกับทุกคนชายหนุ่มผู้มาใหม่ยิ้มบางๆ ในหน้าขณะยกมือไหว้ทักทายหม่อมราชวงศ์ปราบดา หิรัญ และเจษฎ์บดินทร์ซึ่งเป็นรุ่นพี่ ก่อนจะรับไหว้อินทุอร และจินตนาการ

“พี่วีร์”

“เสร็จแล้วใช่ไหมจ๊ะ”

วิยะดานิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า ไม่นำพาต่อสายตาจับจ้องของเจษฎ์บดินทร์ ที่ไม่ได้หันไปมองผู้มาใหม่เหมือนคนอื่นๆ

“ค่ะ”

“งั้นกลับกันเลยนะ”

“...ค่ะ”

วิยะดารับคำก่อนจะหันไปหาจินตนาการซึ่งต้องกลับด้วยกัน เพราะหลังจากเกิดเรื่องกับพ่อและพี่ชาย ก็ไม่มีใครทนอยู่ที่บ้านสุรสินทร์ได้อีก มารดาหันหน้าเข้าวัด พี่สาวล้มป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลจนกระทั่งคลอดและเสียชีวิต ส่วนเธอก็ย้ายไปพักที่คอนโดมีเนียมของจินตนาการ โดยมีอินทุอรแวะเวียนมาค้างด้วยเกือบทุกคืนเพียงแต่วันนี้อินทุอรต้องเดินทางกลับพร้อมสามี เพื่อไปเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ และสำรับอาหารจากที่วัง จึงไม่ได้กลับพร้อมพวกเธอ

หากก่อนที่จะเดินจากไป วิยะดาก็ไม่ลืม...

“ฉันรู้ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน แต่...รอให้งานของพี่แยมผ่านไปก่อนเถอะนะคะ” เธอหลุบตาลงและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เจษฎ์บดินทร์คงได้ยินถนัด

เมื่อพูดจบ วิยะดาก็ขยับตัวเดินไปยกมือไหว้ลาหม่อมราชวงศ์ปราบดา และหิรัญ

“ขอบพระคุณมากนะคะพี่ชาย พี่หิรัญ ที่ช่วยเหลือ และมาร่วมไว้อาลัยพี่แยม”

ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้ารับ โดยไม่ตอบว่าอะไร

“ขอบใจมากนะอิน จิน...”

อินทุอรกับจินตนาการมองหน้ากันอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แล้วหันไปยิ้มให้กับเพื่อนรักที่เอาแต่พูดคำว่าขอบใจอยู่อย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน

“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องขอบใจ นี่ถ้าพูดอีกทีจะโกรธจริงๆ แล้วนะ” จินตนากรแกล้งทำหน้าดุ

“ใช่! พี่สาวตัวก็เหมือนพี่สาวพวกเรา ครอบครัวตัวก็เหมือนกัน ถ้าเห็นว่าเป็นคนอื่นอีกจะงอนจริงๆ ด้วย” อินทุอรเสริมอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะคลี่ยิ้ม และเอื้อมมือมาจับแขนของวิยะดาที่น้ำตาคลอขึ้นมาอีก

“เดี๋ยวเรากลับไปเอาเสื้อผ้าที่วังแล้วจะตามไปนะ แล้วก็...อย่าลืมกินข้าวล่ะเข้าใจไหม ถ้ารู้ว่าไม่ยอมกินล่ะ...น่าดู”

หญิงสาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแรกที่ออกมาจากใจตั้งแต่เกิดเรื่อง แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะเจือไว้ด้วยความหม่นเศร้าก็ตามที แล้วเดินตรงไปหาชัชวีร์พร้อมกับจินตนาการ ไม่หันไปมองเจษฎ์บดินทร์แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

หิรัญที่มองตามทั้งสาม เลื่อนสายตากลับมามองเจษฎ์บดินทร์ที่หลุบตาลงด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขายกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อเห็นว่าหม่อมราชวงศ์ปราบดาก็ทำเช่นเดียวกันกับตน



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น