1
ทำบุญร้อยวัน
ย้อนกลับไปเช้าวันนั้น
ไม่เคยมีวันไหนที่เธอจะโกรธเขาได้เท่านี้เลย!
‘นารา’ โยนโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งวางสายจากสามีอย่าง ‘ปรานต์’ ลงบนเตียงด้วยความหัวเสีย ไม่คิดเลยว่าการรีบร้อนออกจากห้องน้ำขณะสระผมอยู่เพื่อมารับโทรศัพท์ที่ร้องดังขึ้น จะทำให้ได้ยินประโยคเวรๆ ออกมาจากปากของผู้ชายโหลยโท่ยคนนั้น
‘พอเราทำบุญให้แม่ผมเสร็จแล้ว เราไปที่อำเภอกันนะ...ไปหย่ากัน’
มีใครบ้างที่พอแม่ตายปุ๊บ ก็หย่ากับเมียปั๊บ!
คงมีแต่ปรานต์นั่นละ ก็ตอนนี้ไม่มีใครมาคอยบงการชีวิตอย่างเคยแล้วนี่นา การแต่งงานระหว่างเขากับเธอที่เกิดขึ้นตามความต้องการของผู้ใหญ่ ทว่าเขากับเธอไม่ได้เต็มใจมันถึงเวลาต้องสิ้นสุดลงเสียที
อันที่จริง นาราก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนักหรอก เธอรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง การแต่งงานคลุมถุงชนนี่จะต้องสิ้นสุดลง เธอเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว และจะไม่รู้สึกอะไรด้วยหากการพูดเรื่องหย่านั้นมาจากฝ่ายเธอ ไม่ใช่ฝ่ายผู้ชายไม่เอาไหนอย่างปรานต์!
กล้าดีอย่างไรถึงมาขอหย่าเธอโดยไม่ให้เธอตั้งตัวน่ะ!
“ตาบ้าเอ๊ย...”
นาราหงุดหงิดจนอดสบถออกมาไม่ได้ เธอเป็นถึงผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าทั้งเก่งทั้งสวย อะไรก็เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ทำไมจะต้องให้ไอ้ลูกแหง่มาเป็นฝ่ายทำเธอเสียหน้ากัน!
ใช่ เธอเสียหน้า ยอมรับตามตรงเลย นาราตั้งใจว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเธอที่จัดการ เพราะเธอมักเป็นฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบปรานต์ ไม่เคยชอบ และไม่เคยยินดีที่จะแต่งงานด้วย รวมถึงไม่ชอบสมาชิกในครอบครัวของเขา ซึ่งก็คือ ‘ปราณี’ หรือ ‘แม่ผัวจอมจุ้นจ้าน’ เรียกได้ว่าเธอเป็นไม้เบื่อไม้เมากับปราณีเลยทีเดียวละ
คิดถึงปราณีแล้วก็ทำให้อดคิดถึงเรื่องในอดีตเมื่อสามปีก่อนที่เธอแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ของปราณีไม่ได้ ในตอนนั้น พ่อของปรานต์อย่าง ‘ประทีป’ และ ‘ณัฐฐ์’ พ่อของนาราซึ่งเป็นเพื่อนสนิทร่วมบ้านเด็กกำพร้าและโตมาด้วยกันหมายมั่นปั้นมือกันว่า จะให้ลูกชายและลูกสาวได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน นอกจากนาราที่ไม่เห็นด้วยแล้ว ก็มีปราณีนี่ละที่ยืนกรานหัวชนฝาอีกคนว่าไม่ว่าอย่างไร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอก็แต่งงานกับนาราไม่ได้
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร ประทีปและณัฐฐ์ก็ยึดมั่นในอุดมการณ์นั้นอย่างแน่วแน่ เพราะพวกเขาอยากรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน มิหนำซ้ำ ปรานต์ยังยอมให้พ่อและเพื่อนพ่อจับคลุมถุงชนหน้าตาเฉย ไม่แสดงการต่อต้านใดๆ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือแสดงความต้องการใดๆ ว่าจะแต่งงาน ทำเอาทั้งนาราและปราณีหัวเสียไปตามๆ กัน
‘พวกผู้ชายเป็นอะไรกันไปหมด อยากให้แต่งกันเหลือเกินนะ แม่นี่มีอะไรดี’
เป็นคำพูดที่ตอกหน้านาราอย่างแรงในวันที่ทุกคนยังตกลงกันเรื่องนี้ไม่ได้ ไหนจะสายตาหยามเหยียดว่าเธอจะมาเกาะลูกชายตน เหตุเพราะนาราไม่มีแม่ เป็นลูกสาวที่ณัฐฐ์เลี้ยงอย่างตามใจมาแต่อ้อนแต่ออก ไม่ว่าเธออยากได้อะไร ณัฐฐ์ก็จะประเคนให้ทุกอย่าง ยิ่งเธอเพิ่งเรียนจบกลับมาจากเมืองนอก งานการยังไม่มีทำเป็นหลักแหล่ง ปราณียิ่งดูแคลนเธอ โดยหารู้ไม่ว่าความเป็นห่วงลูกชายเกินหน้าเกินตาประหนึ่งไข่ในหินของปราณีก็สร้างความไม่พอใจให้นาราเป็นอย่างมากเช่นกัน จนทำให้นาราจำคำพูดของปราณีแม่นมาถึงทุกวันนี้
ทำอย่างกับว่าเธออยากแต่งงานด้วยตายละ!
เป็นประโยคเดิมๆ ที่นารามักจะสบถในใจเมื่อมีอะไรไม่ได้ดั่งใจเกี่ยวกับปราณีและปรานต์ แต่ครั้งนี้เธอใช้กับปรานต์เท่านั้น นั่นเพราะปราณีไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ใช่...ปราณีเสียชีวิตไปแล้วเมื่อเก้าสิบเก้าวันก่อน ถ้านับวันนี้ด้วยก็จะเป็นหนึ่งร้อย สาเหตุการตายคือเป็นลมลื่นล้มในห้องน้ำ ศีรษะกระแทกพื้นเสียชีวิต
ถึงจะไม่ชอบปราณีแค่ไหน แต่ความตายของหล่อนก็ทำให้นาราเศร้าสลดอยู่ไม่น้อยทีเดียว ด้วยอย่างน้อยก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าปราณีจะไม่ค่อยเอ็นดูเธอสักเท่าไรก็ตาม นั่นทำให้ในวันทำบุญครบร้อยวันตายของปราณี นาราจึงได้ตระเตรียมสะสางงานเพื่อให้มีเวลาว่างไปร่วมงานบุญนี้ด้วยความตั้งใจ แต่ลูกชายของปราณีนี่สิมาทำอารมณ์เธอเสียจนได้!
เออ! หย่าก็หย่าวะ อยากหย่านักก็จะหย่าให้!
นาราพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง แต่ลึกๆ ก็ใจหายเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าหลังจากหย่ากับปรานต์ เธอก็จะไม่มีใครที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ได้อีกแล้ว
เธอสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กด้วยโรคมะเร็ง หลังจากนั้นก็มีณัฐฐ์คอยเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีมาโดยตลอด และณัฐฐ์ก็จากไปหลังจากการแต่งงานของเธอกับปรานต์สิ้นสุดลง เหตุเพราะเขาประสบอุบัติเหตุจากการดื่มสุราแล้วขับรถ ครั้งนั้นไม่ใช่เพียงณัฐฐ์คนเดียวด้วยที่เสียชีวิต ประทีปเองที่นั่งคู่ไปด้วยก็เช่นกัน หลังจากนั้น นาราจึงมีแค่ปราณีและปรานต์เป็นครอบครัวเท่านั้น
เธอสลัดศีรษะเบาๆ เพื่อไล่ความกังวลในการสูญเสียสมาชิกครอบครัวคนสุดท้ายออกไป ไม่อยากคิดมาก เพราะการสูญเสียครั้งนี้ไม่ใช่การจากตาย เป็นเพียงการจากเป็น อย่างน้อยคนที่เธอมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวด้วยไม่ได้ตายกันหมด
พอเรียกสติกลับคืนมาได้ หญิงสาวก็ครุ่นคิดไปเล็กน้อยว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรในการหย่าบ้าง แต่นึกไม่ออกเพราะไม่เคยหย่า จึงเอาโทรศัพท์มือถือมาค้นข้อมูลดูจากอินเทอร์เน็ต
บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบสำคัญการสมรส ใบเปลี่ยนชื่อ - สกุล (ถ้ามี) หนังสือหย่า แล้วก็พยานบุคคลอีกสองคนที่อายุยี่สิบปีขึ้นไป พร้อมบัตรประชาชน
โอ๊ย! ทำไมฉันจะต้องมาเตรียมเอกสารบ้าๆ พวกนี้ด้วย!
เหมือนกับความคิดของเธอส่งตรงถึงปรานต์ได้ เพียงคิดเท่านั้น เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือทันที
เตรียมมาแค่ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน แล้วก็ใบทะเบียนสมรสพอ ที่เหลือผมเตรียมไว้ให้หมดแล้ว
อ่านแล้วก็ได้แต่เบ้ปาก
เตรียมพร้อมดีจังเลยนะ คงอยากหย่าจนตัวสั่น!
อดไม่ได้จริงๆ ที่จะแดกดัน นาราพ่นลมหายใจเต็มแรง พยายามไม่สนใจ แต่ก็ไม่เลิกหงุดหงิดเสียที ความหงุดหงิดนั้นเกาะกุมจิตใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงปรานต์บอกเรื่องหย่า จนกระทั่งเธออาบน้ำแต่งตัว เตรียมเอกสารเสร็จ และขับรถออกนอกคอนโดเพื่อไปที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เธอก็ยังไม่หายหงุดหงิด
“ทำบุญแถวๆ บ้านไม่ได้หรือไงเนี่ย”
ริมฝีปากอิ่มที่เคลือบไปด้วยลิปสติกสีสวยขยับขึ้นบ่นขณะที่เท้าเหยียบคันเร่งออกจากชานเมืองกรุงเทพฯ ไปยังจุดหมาย นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้นาราอารมณ์ไม่ดี
ทำไมจะต้องไปทำบุญที่สระบุรีด้วย ทำไมไม่ทำใกล้ๆ บ้าน!
ทั้งๆ ที่บ้านหลังที่นาราเคยอาศัยร่วมกับปราณีและปรานต์เองก็อยู่เขตปริมณฑลแท้ๆ แต่พอตาย ปรานต์กลับเลือกที่จะจัดงานศพที่สระบุรี ครบรอบวันตายหนึ่งร้อยวันก็ไปทำบุญที่นั่น มันเป็นอะไรถึงต้องให้เธอถ่อไปอย่างนี้!
จริงๆ แล้ว นาราไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่แรก ด้วยเธอเข้าใจว่าสระบุรีนั้นเป็นจังหวัดบ้านเกิดของพ่อและแม่ของปรานต์ ทั้งคู่พบรักกันที่นั่น และได้สร้างธุรกิจเอาไว้ด้วยกัน นั่นคือธุรกิจฟาร์มโคนมและไร่ผลไม้ ‘ไร่ปานดวงใจ’ รวมถึงปรานต์ก็เคยอาศัยอยู่ที่นั่น จะผูกพันและอยากให้พ่อแม่ได้มาอยู่ในสถานที่ที่เคยเป็นที่ของพวกเขาก็ไม่แปลก ที่ปราณีและเขามาอาศัยอยู่ที่ปริมณฑลใกล้กรุงเทพฯ มีเหตุผลเดียวเท่านั้น
เพื่อการงานของนารา...
นาราตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ ด้วยในตอนนั้น เธอยืนกรานว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ไปอยู่ที่ไร่ปานดวงใจ แม้ว่างานของเธอจะเป็นพวกฟรีแลนซ์ออกแบบเครื่องประดับต่างๆ แต่เธอก็ยังต้องเข้าออฟฟิศเพื่อเอางานไปนำเสนอบริษัทเป็นประจำ การไปอยู่ที่ไร่ปานดวงใจทำให้เดินทางไปมาไม่สะดวก ปรานต์จึงยอมให้เธออยู่ใกล้เมืองหลวง โดยตัวเองก็มาอยู่ด้วย เพราะเกรงว่านาราจะมีปัญหากับปราณีถ้าได้อยู่ด้วยกันสองคน แต่เขาหารู้ไม่เลยว่าการที่ผู้หญิงต่างวัยสองคนนี้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเขาเป็นกรรมการห้ามมวยอย่างไรก็มีปัญหากันอยู่ดี
มีปัญหาหนักมากจนถึงขั้นที่นาราหนีออกจากบ้านไปอยู่คอนโดที่ณัฐฐ์ซื้อทิ้งไว้ให้ ที่ทำอย่างนี้เป็นเพราะทนความจู้จี้จุกจิก เจ้ากี้เจ้าการของปราณีไม่ไหว
รักแต่ลูกตัวเอง ลูกคนอื่นไม่รัก!
เป็นคำพูดที่นาราพูดใส่ปรานต์บ่อยๆ เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร นอกจากฟังนิ่งๆ แล้วทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น
คิดถึงเรื่องเก่าแล้วนาราก็ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ปลายนิ้วกดไปยังปุ่มที่อยู่บนพวงมาลัย เพิ่มเสียงเพลงในรถให้ดังขึ้น จะได้ไม่คิดวกวนอยู่กับเรื่องในอดีตอีก พลางขยับตัวบิดไล่ความเมื่อยขบออกจากกายด้วย เพราะตั้งแต่ที่ออกจากคอนโดมา เธอก็ขับรถยาวมุ่งหน้าไปสระบุรีเลย ไม่จอดพักที่ไหนทั้งสิ้น ในใจคิดแต่อยากจะจบเรื่องราวทั้งหมดให้เร็วๆ อย่างเดียว
ทว่าดูเหมือนรถคันหน้าที่เป็นรถบรรทุกฟางจะไม่เป็นใจสักเท่าไรนัก หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าคันข้างหน้าขับช้าเป็นเต่าคลาน
ขับช้าขนาดนี้ พี่เข็นไปเถอะ!
เธอพึมพำในใจ มือทุบไปที่แตรรถสองสามครั้งเพื่อส่งสัญญาณว่าให้เร่งความเร็วหน่อย แต่...
ปี๊นนน!
...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รถขนฟางก็ยังคงขับเคลื่อนดุจเต่าคลานหลายล้านปีอยู่อย่างนั้น นาราชักหัวเสียมากกว่าเดิม และพระเจ้าคงจะเกลียดเธอเอามากๆ ด้วย เพราะจู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเธอก็มีข้อความเข้า
ข้อความนั้น...มาจากปรานต์
ถึงไหนแล้ว ถ้าคุณมาไม่ทันเวลา ผมทำบุญแม่ไปก่อนเลยนะ คุณไม่ต้องทำก็ได้
จะให้เธอไปเสียเที่ยวหรือไงยะ!
นาราไม่ยอมหรอก เธอตั้งใจมาทำบุญให้ปราณีแล้ว จะยอมให้ปรานต์ชิ่งทำไปก่อนโดยไม่รอเธอได้อย่างไร ไม่อย่างนั้น เธอก็ลางานมาเสียเที่ยวสิ
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปให้ทัน!
หญิงสาวหมายมั่นปั้นมืออย่างนั้น จากนั้นเหลือบมองนาฬิกา เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงฤกษ์ทำบุญ เธอคิดว่าขับไปทันแน่ๆ ถ้าเร่งความเร็วอีกหน่อย เพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเต็มแก่แล้ว
นาราตัดสินใจเหยียบคันเร่งมากขึ้นแล้วหักพวงมาลัยออกไปเลนรถสวนเพื่อที่จะแซงรถขนฟางคันหน้า แต่พอเธอเร่งเครื่องขึ้นไป รถพ่วงจากไหนไม่รู้ก็สวนเข้ามาด้วยความเร็วพอดี ทำให้นาราที่เร่งเครื่องขึ้นไปแล้วหักหลบหรือเบรกไม่ทัน
เอี๊ยดดด! โครม!
เสียงรถประสานงากันดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ชาวบ้านละแวกนั้นพากันแตกตื่นมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการใหญ่ จะมีก็แต่นาราเท่านั้นที่ร่างถูกเบียดอัดจนแนบชิดกับพวงมาลัย แรงกระแทกนั้นทำให้เธอหมดสติไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าใบหน้าของตนเต็มไปด้วยหยาดเลือด รวมถึงขยับไปไหนไม่ได้อีกด้วย แม้แต่ปลายนิ้วก็ยังขยับไม่ได้
กว่าความช่วยเหลือจะมาถึงเธอก็ช่างเป็นเวลาที่เนิ่นนาน นาราซบหน้ากับพวงมาลัย ไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวแม้แต่น้อย รู้แต่เพียงว่าเสียงหัวใจของเธอเต้นดังมาให้ได้ยินและเว้นจังหวะเต้นช้าลงทุกที
เธอ...กำลังจะตาย
นารารู้ตัวทันที ก่อนที่ความหวาดกลัวจะคืบคลานเข้ามาครอบงำไปทั่วร่าง
ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับนาราจริงๆ เธอเผชิญหน้ากับความตายมาหลายครั้ง และทุกครั้งความตายจะพรากเอาสิ่งที่เธอมีไป ทั้งแม่ ทั้งพ่อ และตอนนี้...คือตัวเธอเอง
มะ...ไม่...ฉันยังไม่อยากตาย...
นารารำพันในใจ อยากร่ำไห้ออกมา แต่กลับไม่มีแรงแม้กระทั่งจะกะพริบตา
เธอต้องตายจริงๆ แน่...
ถ้าไม่เป็นเพราะผู้ชายคนนั้น ฉันก็คงจะไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้...
ปรานต์...คุณมันโหลยโท่ย! ฉันจะจำเอาไว้ให้แม่นเลยว่าฉันตายเพราะคุณ!
ถ้าคุณไม่หย่า...ไม่โทร. มาบอกเรื่องหย่า ฉันก็คงจะไม่...
‘อย่ามาโทษลูกฉันนะ!’
มีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท นาราไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสียงอะไรหรือของใคร และเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่เธอเคยได้ยินหรือเปล่า กระนั้นเธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะมาค้นหาคำตอบแล้ว ได้แต่นอนนิ่งๆ ปล่อยให้มัจจุราชได้มารับเอาดวงวิญญาณของเธอไปสู่สัมปรายภพ
ทว่า...
ฉันตายเพราะคุณ...ปรานต์...
‘บอกแล้วไงว่าอย่ามาโทษลูกฉัน! เธอมันประมาทเอง!’
เป็นน้ำเสียงของหญิงวัยกลางคน มันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร กระทั่ง...
‘ฮึ! ประมาทเองแล้วจะมาโทษลูกฉัน จะให้ลูกชายฉันมีมลทินติดตัวไปตลอดชีวิตเพราะเธออย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางซะหรอก ฉันไม่ยอมแน่’
คุ้น...คุ้นมาก คุ้นจริงๆ
‘ฉันจัดการต่อรองกับท่านยมให้เธอแล้ว เธอไม่ตายแน่นอน อย่ามาทำสำอิดสำออยนะ...นี่! ฉันบอกว่าอย่ามาทำสำอิดสำออยไง!’
เสียงนั้นยังคงดังแหวใส่ไม่หยุด หญิงสาวเริ่มคุ้นกับเสียงนั้นมากขึ้นทุกที
เสียงนั้น...เหมือนกับเสียงของ...
‘เฮอะ! เอาเถอะ ในเมื่อเธอไม่มีแรงจะฟังที่ฉันพูดพร่ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้อีก กลับไปเลย’
กลับไป?...กลับไปไหน
คนฟังคิดในใจ โดยหารู้ไม่เลยว่าความคิดของเธอจะถูกส่งต่อถึงคู่สนทนา
‘ก็กลับไปก่อนหน้านี้อีกร้อยวันน่ะสิ ถามอะไรมากมายฮะแม่คุณ’
กลับไปก่อนหน้านี้อีกร้อยวัน?
‘นี่ เลิกถามได้แล้ว ตั้งสติแล้วอยู่นิ่งๆ ฉันจะได้พากลับไปสักที เอ้า เตรียมตัว…’
เตรียมตัวอย่างไร หญิงสาวไม่รู้เลยสักนิด เธอได้แต่นอนพังพาบอยู่ตรงนั้น พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ เลือนรางไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเสียงของหญิงวัยกลางคนคนนั้นก็ดังขึ้นไม่หยุด ก่อนท่อนแขนขวาของหญิงสาวจะรู้สึกถึงความเย็นวาบจากฝ่ามือของคู่สนทนาที่มาจับเอาไว้
‘กลับไปก่อนหน้านั้นหนึ่งร้อยวัน...’
และนั่น...ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่หญิงสาวได้ยิน ก่อนจะไม่รับรู้อะไรได้อีกแม้เพียงกระผีกเดียว
ความคิดเห็น |
---|