8

คนไกลบ้าน

8

คนไกลบ้าน

 

หลังจากวันนั้นแอนดี้ก็อับอายจนไม่กล้าโวยวายไปพักใหญ่ ตอนไปเรียนในช่วงเช้า ศรีนวลเป็นคนไปส่งทั้งแอนดี้ เอวา และณลิสาก่อนจะออกไปที่ร้าน ส่วนตอนขากลับณลิสานั่งรถบัสแล้วเดินต่ออีกไกลพอสมควรกว่าจะถึงบ้าน ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่นี่ถึงมีรถกันแทบทุกคน แต่ประชากรกลับน้อยมากจนไม่อาจสร้างภาวะรถติดได้เหมือนที่ประเทศไทย

ศรีนวลพาเธอไปดูรถมือสองในอีกสองวันต่อมาโดยมีเดวิดให้คำแนะนำอยู่ตลอด เธอฟังไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่พอเข้าใจว่าพวกเขากำลังต่อราคาให้ถูกลงกว่าราคาที่คนขายเสนอมา หลังจากตกลงกันแล้วศรีนวลก็บอกราคากับเธอ ซึ่งณลิสาก็ไม่ได้ขัดข้อง เมื่อจัดการเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้วเดวิดก็ขับรถคันเล็กนี้กลับบ้าน ส่วนเธอนั่งรถกลับกับศรีนวล

ระหว่างทางศรีนวลก็อธิบายเรื่องการขับรถ เครื่องหมายจราจรต่างๆ มารยาทของการขับรถของคนที่นี่ ในสายตาของณลิสานั้นผู้หญิงคนนี้เป็นคนเก่ง ยกเว้นเรื่องการเลี้ยงแอนดี้ ศรีนวลทำทุกอย่างด้วยความใจเย็น รับฟังคนอื่น ขับรถไปไหนมาไหนเอง ทำทุกอย่างให้ตัวเองและลูกๆ รวมถึงสามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ศรีนวลก็รู้หมด 

“เรื่องแอนดี้น่ะ น้าก็กลัวว่าลิซจะโมโหแล้วอยากกลับบ้านซะแล้ว” เธอว่า

“ไม่หรอกค่ะ แอนดี้จะซนแค่ไหนก็ไม่เป็นไร ถ้าน้าศรีนวลยอมให้ลิซทำตามวิธีการของตัวเอง”

“ฝากด้วยนะ ถ้ามีอะไรอึดอัดไม่สบายใจก็คุยกับน้าได้เลย”

“ขอบคุณค่ะ” ณลิสาแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่พูดคำนี้ออกมาได้ง่ายขึ้น อาจจะเป็นเพราะตอนนี้อยู่กันสองคน ไม่มีใครมาขัด แล้วศรีนวลก็ยังพูดเนิบช้า ไม่ได้ตัดบทสนทนาเร็วเกินไป ทำให้เธอพูดอย่างที่ใจอยากจะพูดได้โดยไม่อึกอัก

รถของณลิสาเป็นรถญี่ปุ่นขนาดไม่ใหญ่นัก เรียกได้ว่าค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับรถคันเดิมที่เธอเคยใช้ตอนอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นรถยุโรปที่ราคาค่อนข้างแพง อันที่จริงเธอก็ไม่ใช่พวกวัตถุนิยม แต่เพราะอาชีพที่ทำเป็นงานไม่เป็นเวลา บางครั้งมีอุปสรรคทำให้ทุกอย่างล่าช้าไปหมดก็มี ดังนั้นการซื้อรถที่ทำให้ตัวเองนั่งสบายและมีความปลอดภัยสูงจึงเป็นเหตุผลที่เธอยอมจ่าย

แต่อยู่ที่นี่คงไม่มีเรื่องอย่างนั้นแล้ว แค่ขับรถไปเรียน ซื้อของ และทำธุระเล็กน้อย ดูจากความกว้างของชุมชนเมืองนี้แล้วคงกินเวลาไม่เท่าไร อีกอย่างถ้าเธออยู่ที่นี่ไม่กี่ปี อีกหน่อยถ้ากลับบ้าน รถคันนี้ก็ต้องขายอยู่ดี จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องซื้อรถแพงๆ

หลังจากวันนั้นนอกจากเวลาที่ดูแลแอนดี้ให้กินข้าว ทำการบ้านตรงเวลาแล้ว ในช่วงวันธรรมดาที่แอนดี้ไปโรงเรียนเธอก็จะขับรถโดยมีศรีนวลนั่งอยู่ข้างๆ คอยบอกว่าเธอควรต้องระวังอะไร หรือควรทำอย่างไรเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์เธอก็เริ่มคุ้นชินกับที่นี่บ้างแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องของแอนดี้ที่ยังรู้สึกว่าน่าปวดหัวอยู่ไม่ใช่น้อย 

“คุณครูโทร. มาถามเหรอคะ” ณลิสาเบิกตากว้างเมื่อศรีนวลมาบอกว่าคุณครูที่โรงเรียนของแอนดี้โทร. มาถามเรื่องความเป็นอยู่ที่บ้านตอนนี้ เพราะดูเหมือนแอนดี้จะเปลี่ยนไป ไม่ค่อยร่าเริงมาหลายวันแล้ว

แน่ละ! สาเหตุที่เขาไม่ร่าเริงก็เพราะเธอนั่นเอง

“เขาไปร้องไห้กับคุณครูบอกว่าน้าใจร้าย ไม่สนใจเขาแล้ว เลยให้คนอื่นมาเลี้ยง” ศรีนวลถอนหายใจ

“อย่าเพิ่งคิดมากนะคะ เดี๋ยวลิซคุยกับแอนดี้เอง”

“แต่ว่า...ถ้าแอนดี้ไม่ชอบจริงๆ ล่ะ”

ณลิสารู้ว่าศรีนวลกังวลเรื่องอะไร เธอออกตัวไปแล้วว่าไม่ใช่คนรักเด็ก แล้วสิ่งที่เธอทำอยู่ช่วงนี้ก็คือสร้างกฎระเบียบให้แอนดี้มากกว่าจะให้เขาเล่นอะไรตามใจเหมือนเมื่อก่อน เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ชอบ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเธอไม่ใช่คนที่จะมานั่งเอาใจใคร 

งานก็คืองาน...

“ก็แล้วแต่น้าศรีนวลตัดสินใจเลยค่ะ ถ้าไม่โอเค ลิซก็อาจจะหาหอพักอยู่”

“ไม่ใช่อย่างนั้น น้าไม่ได้อยากไล่ลิซนะ แต่บางทีก็อยากให้ลิซลองถอยดูนิดนึง แอนดี้แค่สิบขวบ ลองคุยเล่นเป็นเพื่อนสักหน่อยดีไหม เผื่อจะสนิทกันมากขึ้น” ศรีนวลพูดด้วยท่าทางใจเย็น นี่คือสิ่งที่ณลิสาชื่นชม ถ้าเป็นแม่ของเด็กคนอื่นก็คงเข้าข้างลูกของตัวเองจนอัปเปหิเธอออกจากบ้านไปแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่ค่อยเข้าใจการที่ต้องตีสนิทกับแอนดี้อยู่ดี...กับเด็กคนหนึ่งจะตีสนิทด้วยได้อย่างไร ในเมื่อกับผู้ใหญ่ด้วยกันเธอยังไม่รู้สึกว่าจะสนิทกับใครได้เลย 

“ลิซจะลองดูแล้วกันค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งจนศรีนวลเกร็งตาม ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเบิกบานเพราะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ดีเลย วันแรงงานที่จะถึงนี้น้ากับเดวิดวางแผนว่าจะไปเที่ยวที่คีไน ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่เรายังไม่เคยไปเที่ยวไหนไกลเลย ให้ลิซไปด้วยกันน่าจะสนุกดี” ศรีนวลยิ้มแย้มเมื่อพูดถึงคีไน (Kenai) [A1] 

ณลิสายังมึนงง ตอนนี้เธอช่วยศรีนวลดูแลแอนดี้ช่วงสุดสัปดาห์กับตอนเย็น ตอนเช้าศรีนวลไปส่งลูกทั้งสองคนที่โรงเรียน จากนั้นก็ไปส่งเธอที่โรงเรียนสอนภาษา ช่วงบ่ายเธอนั่งรถกลับมาพร้อมเพื่อนชาวจีนชื่อ ‘เถียนเถียน’ เพราะเห็นว่าบ้านอยู่ละแวกนี้พอดีจึงนั่งรถบัสกลับมาด้วยกัน รอแอนดี้นั่งรถบัสของโรงเรียนกลับมาที่บ้านแล้วก็เปิดฉากรบกันต่อ

พูดถึงเถียนเถียน ณลิสาก็ขมวดคิ้วพลางคิดว่าตั้งแต่เจอกันที่โรงเรียนวันแรกจนถึงตอนนี้คุยกันไม่ถึงสิบประโยค ซ้ำยังเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ จากนั้นก็ต่างคนต่างตกอยู่ในสภาวะเงียบงันเพราะไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันดี ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นเพื่อนหรือเปล่าเธอก็ไม่แน่ใจ

หญิงสาวสั่นศีรษะเบาๆ ก่อนจะกลับมาสนใจเรื่องไปเที่ยวของศรีนวลต่อ 

“คีไนนี่เป็นที่แบบไหนเหรอคะ ไกลหรือเปล่า”

“เป็นเมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากแองเคอเรจมาก ขับรถไปทางใต้สักสองชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว เห็นว่ามีพวกอุทยานกับอควาเรียม แต่ที่ตั้งใจไปที่นี่เพราะแฟนน้าเขาชอบตกปลา มาอยู่ที่นี่ก็ถูกใจเขาแหละ ธรรมชาติสวย อากาศดี หนาวหน่อย แต่ก็สวยมาก ทุกอย่างช้าลงกว่าตอนอยู่ซานฟรานเยอะ” ศรีนวลพูดด้วยน้ำเสียงพออกพอใจ 

สิ่งที่ได้ยินทำให้ณลิสานึกภาพตามไม่ค่อยออก ความโล่งสบายเดียวในชีวิตของเธอคือรีสอร์ตของพ่อกับแม่ที่เชียงราย

“น่าสนุกนะคะ” 

“นั่นสิ ไปเที่ยวกับแอนดี้อาจจะสนิทกันขึ้นมาก็ได้นะ”ได้ยินคำพูดที่ฟังดูรื่นหูของศรีนวลแล้วณลิสาก็ได้แต่ยิ้ม เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่คนโง่หรือไร้สาระอย่างที่ศรีนวลบอกเลย แอนดี้ฉลาดมาก ตอนที่เธอเห็นเขาเล่นกับเพื่อนบนรถบัสนั้นก็สังเกตได้ว่าเขาไม่ได้ทำตัวเหมือนตอนอยู่ที่บ้าน 

เธอมองว่าสิ่งที่เขาทำคือการเรียกร้องความสนใจ อาจจะเพราะไม่อยากมีพี่เลี้ยง หรือต้องการให้คนที่บ้านคอยตามใจ ซึ่งก็ได้ผลค่อนข้างดี ก่อนที่จะมีเธอเข้ามาแทรกแซง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามองเธอตาขวางแบบเงียบๆ ไม่ได้ทำตัวป่วนหรือโวยวายเสียงดังเหมือนตอนแรก ในสายตาคนที่เล่นละครมาเกือบทั้งชีวิตแบบเธอ ลักษณะนิสัยแบบแอนดี้ไม่เรียกว่า ‘แอ็กติง’ แล้วจะเรียกว่าอะไรได้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ณลิสากับศรีนวลหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าศรีนวลกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ ณลิสาจึงอาสาไปเปิดประตูให้เอง

แขกที่มาก็คือแทนไทกับอาทิตย์ สองพ่อลูกยืนยิ้มอยู่หน้าประตู ในมือของแทนไทมีถุงกระดาษอยู่ เขายื่นให้ณลิสาทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูมา

“ขนมน่ะครับ พอดีช่วยกันทำกับซัน สองคนกินไม่หมดเลยแบ่งมาให้” 

“ขอบคุณค่ะ เข้ามาก่อนไหม น้าศรีนวลอยู่ข้างในค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ” เขาว่าก่อนจะจูงมืออาทิตย์แล้วทำท่าจะเดินกลับไป

“คุณแทนเหรอ เดี๋ยวๆ นะ เข้ามาก่อนค่ะ” ศรีนวลตะโกนออกมาจากด้านใน 

ณลิสาหลีกทางแล้วผายมือเชื้อเชิญแขกให้เข้าไปในบ้าน 

แทนไทกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าไปด้านใน ดูเหมือนศรีนวลมีของที่อยากจะให้เขา เธอหยิบกล่องใส่อาหารออกมาแล้วบอกให้แทนไทกับอาทิตย์นั่งรอสักครู่ เพราะอยากจะเอาอาหารไทยที่เพิ่งทำให้สองพ่อลูกกลับไปกินที่บ้าน

ก่อนจะกลับศรีนวลก็ชวนคุยเรื่องกิจกรรมที่สองพ่อลูกจะทำกันในวันหยุดที่จะถึงปลายสัปดาห์นี้ แทนไทตอบกลับมาว่าเขาไม่มีแผนอะไร อาจจะพาลูกชายไปเที่ยวเล่นที่ตลาดนัดในเมือง

“คุณแทนเคยไปคีไนแล้วใช่ไหมคะ” ศรีนวลถาม

“เคยไปนานแล้วครับ สมัยยังไม่มีซัน” เขาว่า

“สนใจไปด้วยกันไหมคะ แอนดี้จะได้มีเพื่อนเล่น”

“จะดีเหรอครับ ผมไม่อยากรบกวน”

“ไม่รบกวนเลยค่ะ เราต่างหากที่รบกวนคุณแทนบ่อยๆ” ศรีนวลว่าก่อนจะพูดต่อไปเรื่อยๆ จนแทนไทหมดหนทางปฏิเสธ ส่วนอาทิตย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เขาจะได้ไปเที่ยวนอกเมืองบ้าง 

หลังจากที่สองพ่อลูกกลับบ้านไปแล้ว ณลิสาก็ยังแอบชื่นชมศรีนวลที่มีน้ำใจกับเพื่อนบ้านขนาดนี้ แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เปลี่ยนใจเมื่อได้ยินเจ้าของบ้านพูดออกมาว่า

“ดีจังเลยที่ชวนคุณแทนไปได้ เขาจะได้ช่วยดูแอนดี้ด้วย คุณพ่อมือโปรแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ”

ณลิสายิ้มแห้งๆ ไม่แปลกใจเลยว่าแอนดี้ฉลาดเหมือนใคร

“ซันมีพี่เลี้ยงหรือเปล่าคะ” ณลิสาถามด้วยความสงสัย

“ไม่มีหรอก คุณแทนเขาเลี้ยงของเขาคนเดียว”

“ได้เหรอคะ แล้วตอนที่เขาไปทำงานล่ะ”

“ก็เอาลูกไปด้วยนะ” ศรีนวลตอบแล้วก็เดินไปทำอย่างอื่นต่อ 

ณลิสานึกชื่นชมที่แทนไทดูแลลูกชายได้ขนาดนั้น แค่ก็อีกนั่นละ อาทิตย์กับแอนดี้ไม่เหมือนกัน 

ในชีวิตของณลิสาเจอผู้ชายไม่มากนัก คนที่ใกล้ชิดที่สุดคือบิดาของเธอ เพราะลักษณะนิสัยใจดีอบอุ่นของผู้เป็นพ่อนี่เองที่ทำให้หญิงสาวยึดติดกับผู้ชายนิสัยดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอชอบอนาคิน ว่าที่น้องเขยของตัวเอง และเรื่องนี้ทำให้เธอได้เรียนรู้อยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือคนเราไม่ทางที่จะได้สิ่งที่ต้องการหากไม่ลงมือทำอะไรเลย เรื่องที่สองคือต่อให้เป็นผู้ชายแสนดีอบอุ่นอย่างไรก็อาจจะมีอีกมุมที่เธอคิดไม่ถึงก็ได้ 

เธอไม่คิดว่าตัวเองจะยอมรับตัวตนของผู้ชายคนไหนได้อีก...มันเหนื่อยเกินไปที่จะหวัง ยิ่งกับคนเรื่องมากอย่างตัวเองด้วยแล้ว

 

ณลิสาเก็บเสื้อผ้าตั้งแต่วันศุกร์ตอนเย็น หลังจากวันหยุดแรงงานเธอต้องไปสอบใบขับขี่แล้ว แม้จะรู้สึกยังไม่ค่อยมั่นใจ แต่เธอก็ฝึกขับรถกับศรีนวลจนชินกับรถพวงมาลัยซ้ายแล้ว  หากได้ใบขับขี่มาแล้วเธอก็จะไม่ต้องรบกวนให้ศรีนวลไปส่งหรือพาไปซื้อของอีก

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ณลิสาที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ตกใจเล็กน้อย นานมาแล้วที่เธอไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเอง เมื่อหญิงสาวดูที่หน้าจอก็เห็นว่าเป็นวันจันทร์วอยซ์คอลมา

“พี่ลิซจ๋า เป็นยังไงบ้าง” เสียงสดใสของวันจันทร์ทำให้ณลิสารู้สึกสบายใจอย่างประหลาด

“ฉันสบายดี แล้วแกไม่ไปเรียนหรือไง ที่นั่นน่าจะ...เก้าโมงเช้านี่” ณลิสาทักน้องสาว

“หนูไม่ได้เรียนแล้ว ตอนนี้แอบฝึกงานอยู่ เดี๋ยวเดือนหน้าก็กลับแล้วละ” 

“กลับแล้วแกจะแต่งงานเลยหรือเปล่า”

“เดี๋ยวๆ ทำไมคุยเรื่องแต่งงานหนูล่ะ”

“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้ว ลอยไปลอยมาอยู่นั่นแหละ แกเป็นฝ่ายเสียหายนะ ถ้าวันนึงแฟนแกไม่ยอมแต่งงานหรือมีผู้หญิงอื่นขึ้นมาจะทำยังไง” ณลิสาคิ้วขมวดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จะว่าเธอเป็นคนหัวโบราณก็คงไม่ผิด เธอคิดขนาดที่ว่าตัวเองก็จะทำแบบมารดาตอนคบหากับบิดาของเธอ คือเข้าหอในวันแต่งงาน แต่ในกรณีของวันจันทร์ที่ข้ามขั้นตอนกับแฟนหนุ่มไปแล้ว เธอคิดว่าควรจะรีบแต่งงานไปเสียดีกว่า แต่ปัญหาอยู่ที่น้องสาวของเธอที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย นอกจากสิ่งที่ตัวเองอยากทำ

“ไม่ต้องรีบแต่งงานขนาดนั้นหรอกค่ะ หนูป้องกันนะ ไม่ท้องก่อนแต่งแน่นอน” อีกฝ่ายว่า

“โอ๊ย! ฉันไม่รู้จะด่าแกว่าอะไรดีแล้ววันจันทร์” ณลิสาอารมณ์เสียกับความดื้อรั้นของน้องสาว ทัศนคติของเธอกับวันจันทร์แตกต่างกันมาก บางทีน้องสาวก็แอบบ่นให้เธอได้ยินบ่อยๆ ว่าเธอทำตัวเหมือนวัตถุโบราณที่เก่าแก่และเลอค่าจนใครก็ไม่กล้าจับต้อง แล้วตัวเธอเองก็ไม่คิดจะลดตัวลงไปให้ใครจับต้องง่ายๆ แม้ว่าจะอยากทำก็ตาม 

ข้อหลังนี้เธอยอมรับ...ดูจากตอนที่แอบชอบอนาคิน เธอก็ไม่ทำอะไรเลย นอกจากสั่งวันจันทร์ อะไรที่ไม่ได้ลงแรงก็ไม่สมควรจะได้มา นั่นเป็นเรื่องธรรมดา

“ไม่เห็นต้องด่าเลย นานๆ คุยกันดี คุยเรื่องพี่ลิซดีกว่า อยู่ที่นั่นทำอะไรบ้างคะ”

“ก็ไปเรียน เลี้ยงเด็ก แล้วก็ขับรถ”

“ทำไมมันสั้นจัง”

“แค่นั้นแหละ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปเที่ยวกับที่บ้านของน้าศรีนวล กลับมาก็เตรียมตัวไปสอบใบขับขี่”

“หือ? ก็หลายอย่างอยู่นะคะ ดูน่าสนุกจัง แล้วพี่ลิซสนุกไหมอยู่ที่นั่น”

“ก็ดี ฉันมาเรียน ไม่ได้มาเล่น จะสนุกอะไรล่ะ”

“เฮ้อ พูดเป็นวัตถุโบราณอีกแล้ว”

“อะไรนะ!?”

“เปล่าจ้า งั้นพี่ลิซพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวไว้หนูโทร. มาหาใหม่นะ บาย” 

“เดี๋ยว!”

“หืม?”

“แล้วแก สบายดีไหม” ณลิสาถาม

“สบายดีค่ะ คิดถึงพี่ลิซมากเลย สบายเกิน ไม่มีใครใช้งานเยอะ” วันจันทร์หัวเราะ

“อย่างกับเดี๋ยวนี้ใช้ได้นะ แกมีแฟนแล้วนี่ ฉันคงไม่สำคัญอะไรแล้ว”

“โอ๋ พี่ลิซจ๋าจะไม่สำคัญได้ไง วันนี้ยังไม่โทร. หาพี่คินเลยนะ โทร. หาพี่สาวก่อนเลย”

“โอ๊ยจะอ้วก วางไปได้แล้ว ฉันจะนอน”

“จ้า คิดถึงนะ”

“คิดถึงเหมือนกัน ฉันหมายถึงพ่อกับแม่นะ ฝากบอกเขาด้วย” ณลิสารู้สึกขัดเขินที่ต้องพูดจาหวานๆ แบบนี้กับวันจันทร์ จะให้บอกไปตรงๆ ว่าคิดถึงก็น่าอายอย่างไรชอบกล ดังนั้นเธอจึงเฉไฉไปแบบนั้น

“แปลกใจนะเนี่ย บ๊ายบายค่ะ” วันจันทร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางสายไป 

จากนั้นณลิสาก็วางโทรศัพท์ไว้บนเตียงแล้วหันมาจัดกระเป๋าต่อด้วยรอยยิ้ม เธอไม่ได้เจอหน้าวันจันทร์มาสักพักใหญ่แล้ว ล่าสุดน่าจะเป็นปีที่แล้วตอนที่น้องสาวกลับจากต่างประเทศในวันหยุด ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกตัวว่าคิดถึงวันจันทร์มากแค่ไหน ทั้งเป็นห่วงและกังวลแต่ก็ไม่กล้าโทร. หาบ่อยเพราะกลัวจะรบกวน ตอนนี้เธอมาอยู่ที่นี่และอาจจะต้องอยู่อีกนาน ในขณะที่น้องสาวกำลังจะกลับบ้าน เรื่องดีก็คือมีคนหนึ่งกลับไปอยู่ใกล้ๆ พ่อกับแม่ ส่วนเรื่องร้ายก็คือตอนนี้เธอกำลังร้องไห้

เธอไม่เคยอยู่ไกลครอบครัวหรือสิ่งที่คุ้นเคยนานขนาดนี้เลย

 


 

 [A1]ตรงนี้ตัดออกไปเลยก็ได้ค่ะ ไปเพิ่มในบทสนทนาข้างล่างที่ไฮไลท์เอา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น