9

คีไน (1)

9

คีไน (1)

 

เช้าวันรุ่งขึ้นณลิสากับครอบครัวของศรีนวลช่วยกันขนของขึ้นรถ ตอนแรกเธอไม่ได้คิดเลยว่าถ้าคนในบ้านออกไปเที่ยวกันหมดแล้วหมีควายจะไปอยู่ที่ไหน แต่พอเห็นว่าเจ้าสุนัขสีดำนั่งรออยู่ที่เบาะเสริมด้านหลังสุดก็เข้าใจในทันทีว่ามันคงจะนั่งรถไปด้วยแน่ๆ 

“โรงแรมที่เราจะไปพักเขาให้เอาสุนัขไปได้เหรอคะ” ณลิสาถามศรีนวล

“ได้จ้า อันที่จริงก็ไม่เชิงเป็นโรงแรมหรอก เราจะไปตั้งแคมป์กันแถวที่ตกปลาของเดวิด” ศรีนวลตอบอย่างยิ้มแย้ม ส่วนณลิสาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับหมีควาย นอกจากเรื่องที่มันเคยทำเธอตกบันไดเมื่อตอนนั้น แต่มนุษย์ที่ดีย่อมไม่หาเรื่องกับสุนัข นอกเสียจากว่าหมีควายมาล้ำเส้นเธอ

หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่เจ้าสุนัขพันธุ์นิวฟาวน์แลนด์สีดำ แม้ว่าใบหน้าของมันยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันกำลังจ้องมองกลับมาอย่างท้าทาย

“ทำหน้าเหมือนคนชั่วเลยนะ” เสียงของแอนดี้ดังขึ้นข้างๆ 

“หมายถึงใคร”

“เปล๊า!”

“พี่จะคืนไอแพดให้อยู่แล้วเชียวนะ”

“ไปเถอะเจ้าหมานิลมังกร” เขาหันไปพูดกับหมีควายแล้วไม่สนใจเธออีก 

ช่วงนี้แอนดี้สงบลงแล้วก็จริง แต่ณลิสาไม่คิดว่านี่คือความสงบที่แท้จริง ณลิสารู้สึกว่าเขากำลังรอโอกาสเพื่อที่จะแก้แค้น หรือไม่เธอก็อาจจะเล่นละครมาเยอะจนคิดมากไปเอง

หลังจากทุกคนขึ้นรถแล้วแอนดี้ก็เริ่มร้องเพลง ส่วนเอวาใส่หูฟังแล้วเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของเธอ ณลิสาที่นั่งอยู่ตรงกลางกำลังมองด้านหน้าและสองข้างทางอย่างตื่นเต้น ที่นี่ล้อมรอบด้วยสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ขนาดเป็นชุมชนเมืองก็ยังเห็นต้นไม้ สวนสาธารณะ และพื้นที่โล่งมากมาย มีหลายคนที่พาสุนัขออกมาวิ่งข้างนอก แม้จะเป็นหน้าร้อน แต่ณลิสาก็ยังรู้สึกหนาวจนไม่อยากออกไปไหนหากไม่ได้มีธุระ แต่พอเห็นทุกคนสวมเสื้อแจ็กเกตออกไปวิ่งแบบนั้นแล้วก็เกิดแรงฮึด 

“ตอนเช้าลิซพาหมีควายไปเดินเล่นได้ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น

“ได้สิจ๊ะ ทำไมจะไม่ได้”

“ไม่ได้นะ หมีควายยังไม่ตื่น” แอนดี้แทรกขึ้นมา

“แม่ไม่เห็นหมีควายมันจะนอนเลยนะ เจอทีไรก็ตื่นตลอด” ศรีนวลแย้งลูกชาย

“แต่มันเหนื่อยนะ”

“งั้นก็ไปด้วยกันไหมล่ะ จะได้รู้ว่าเหนื่อยจริงหรือเปล่า” ณลิสาหันไปถามเด็กชาย

“ไม่เอา” พูดจบเด็กชายก็ร้องเพลงต่อ 

เห็นท่าทางเฉไฉไปเรื่อยของแอนดี้แล้วหญิงสาวก็ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ถ้าเด็กคนนี้ไม่ได้ทำตัวน่ารำคาญก็คงจะน่ารักไม่แพ้กับอาทิตย์เลย ใครๆ ก็ชอบเด็กน่ารักกันทั้งนั้น ความรู้สึกแบบนี้คงเหมือนผู้ชายที่ชอบผู้หญิงอ่อนหวานน่ารัก 

ศรีนวลบอกกับสมาชิกในบ้านว่าจะพักกันในแคบินที่จองเอาไว้ ส่วนแทนไทจะขับรถตามมาทีหลังเพราะมีเคสด่วนตอนเช้า ระหว่างที่กำลังพูดนั้นมีณลิสาคนเดียวที่สนใจฟังคำพูดของศรีนวล ในขณะที่เด็กทั้งสองคนข้างกายเธอยังคงอยู่ในโลกส่วนตัวเหมือนเดิม

แคบินที่ว่านั้นคือกระท่อมไม้ชายป่าที่ณลิสาเคยเห็นในหนังสยองขวัญ ยังดีที่รอบข้างมีกระท่อมลักษณะนี้อยู่ไม่ห่างจากกันมากจึงลดความน่ากลัวลงไปได้นิดหน่อย ใกล้กับตรงนั้นมีแหล่งน้ำ ส่วนด้านข้างเป็นร้านขายอุปกรณ์ตกปลา นี่เป็นบรรยากาศที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทุกคนนั่งคุยกันอย่างไม่เร่งรีบ แขกที่มาพักค่อยๆ ทยอยขนของเข้าไปในแคบิน บางคนทักทายกันราวกับรู้จักกันเป็นอย่างดี ในขณะที่เธอกำลังมองสิ่งต่างๆ รอบกายอยู่ ศรีนวลก็สะกิดที่แขนเบาๆ แล้วบอกว่า

“รีบเข้าไปเก็บของเถอะ เสร็จแล้วเราจะได้ไปเที่ยวกัน” ศรีนวลยิ้มแป้น 

ทุกคนดูตื่นเต้นกับการออกมาเที่ยวนอกบ้าน ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหมีควายที่กำลังนั่งเลียต้นไม้หน้าแคบินอยู่ หญิงสาวเบะปากเมื่อนึกถึงวันที่ตัวเองถูกเจ้าหมีควายเลียหน้า ใบหน้าที่เธอเฝ้าทะนุถนอมมาตลอดชีวิตต้องถูกย่ำยีโดยสุนัขตัวหนึ่ง ถ้าสมพงษ์รู้คงต้องสั่นเป็นเจ้าเข้า เธอถูกสอนมาตลอดว่าต้องรักษาใบหน้ายิ่งชีพ ถ้าไม่มีมัน เธอก็ไม่มีอนาคต ทั้งซื้อครีมบำรุงราคาแพง เข้าคลินิกดูแลผิวหน้า สิว ฝ้า กระ และยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้ถูกท่า และใช้ปลอกหมอนผ้าไหมเพื่อไม่ให้ใบหน้าเกิดรอยยับ ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกจะต้องแต่งหน้าแต่งตัว ทำให้ตัวเองดูดีตลอดเวลา

แต่ทุกวันนี้น่ะเหรอ...เธอสลัดมันทิ้งเกือบหมด นอกจากเรื่องการดูแลตัวเองแบบคนทั่วไปแล้วเธอก็ไม่ได้ใส่ใจทุกอย่างแบบเดิม ทำให้รู้สึกว่ามีเวลาเหลือเยอะขึ้น แม้จะต้องไปเรียนภาษาและเลี้ยงแอนดี้ไปด้วยก็ยังว่างกว่าเมื่อก่อน ตอนที่ต้องทำงานเจ็ดวันต่อสัปดาห์ โดยที่ชินชาไปกับความเหนื่อยจนไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่

หลังจากเก็บของเสร็จแล้วเดวิดก็ถืออุปกรณ์ตกปลาของตัวเองเดินหายไปแถวริมน้ำ ศรีนวลบอกว่านี่เป็นเรื่องปกติ พอได้ตกปลาแล้วสามีของเธอก็จะไม่พูดไม่จากับใคร ยกเว้นเพื่อนที่นั่งตกปลาด้วยกัน 

ณลิสาเดินออกมาจากแคบินแล้วมายืนรอศรีนวลกับเด็กๆ ตรงข้างรถ ระหว่างที่กำลังหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป เธอก็เห็นใบหน้าที่คุ้นตาผ่านกล้องไป เจ้าของใบหน้านั้นหยุดกึกเพื่อมองเธอกลับมาเหมือนกัน พอเขาอ้าปากราวกับนึกได้ว่าจะพูดอะไร เธอก็เก็บโทรศัพท์แล้วทำท่าจะเดินหนี

“คุณคนไทย!!”

ภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ แบบนี้กับท่าทางเป็นมิตรเกินเหตุนั่นทำให้ณลิสานึกถึงเรื่องที่ต้องฟังบนเครื่องบิน ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เอาอะไรมาเล่านักหนา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้สงสัยเรื่องนั้นเท่ากับความบังเอิญที่มาเจอผู้ชายคนนี้ที่นี่ ไม่รู้ว่าอะแลสกาเล็ก หรือคนคนนี้ชอบอยู่ไปทั่วทุกที่กันแน่

“สวัสดี” เมื่อรู้ว่าหนีไม่พ้นแล้วณลิสาจึงหันหน้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ

“ได้มาเจอกันอีกเหมือนพรมประดิษฐ์เลยนะครับ” แอรอนยิ้มแย้ม

ณลิสาทำใบหน้าเหยเกก่อนจะแก้คำให้ “พรหมลิขิต”

“ใช่ๆ ว่าแต่มาตกปลาเหมือนกันเหรอครับ”

“มาเฉยๆ แต่ไม่ได้ตกปลา”

“อ๋อ...มาเที่ยวกับที่บ้าน” เขาสรุปเองเสร็จสรรพ 

ณลิสาจึงได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้า สักพักศรีนวลก็เดินออกมา เมื่อเห็นว่าพี่เลี้ยงแอนดี้กำลังคุยอยู่กับหนุ่มหล่อก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วเดินเข้ามาทัก

“สวัสดีจ้ะ” เธอทักแอรอนเป็นภาษาอังกฤษ

“สวัสดีครับคุณแม่” แอรอนทักกลับเป็นภาษาไทยพร้อมยกมือไหว้ 

ศรีนวลกำลังอึ้งเพราะคำว่า ‘แม่’ ที่อีกฝ่ายเรียก ลูกสาวคนโตของเธออายุแค่สิบหกปีเท่านั้น หน้าของเธอดูแก่ขนาดเป็นแม่ของณลิสาได้เลยหรือ

“นี่น้าฉัน” ณลิสาว่า

“อ้อ ขอโทษครับ ถึงว่าหน้าเด็กมาก” ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นคำชมในชั่วพริบตา 

ณลิสาหัวเราะในลำคอ ไม่คิดว่าศรีนวลจะดีใจเพราะคำพูดที่ฟังก็รู้ว่าประจบแบบนี้หรอก แต่เมื่อเธอหันไปเห็นคนได้รับคำชมกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนกับลืมเรื่องเมื่อหนึ่งนาทีก่อนไปหมดแล้วก็ต้องหันไปทางอื่นเพื่อถอนหายใจ

“เพื่อนที่โรงเรียนเหรอลิซ” ศรีนวลถาม

“เปล่าค่ะ เจอกันบนเครื่องบินตอนมาที่นี่ แล้วคุณ...” ดูสิเธอนึกชื่อเขาไม่ออกด้วยซ้ำ

“แอรอนครับ”

“พูดไทยเก่งเชียว ไปเรียนมาจากไหนเนี่ย” 

“เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนน่ะครับ แล้วก็มีเพื่อนคนไทยสอน” แอรอนยิ้มแป้น อันที่จริงเรื่องที่เขาพูดภาษาไทยได้ก็น่าทึ่งสำหรับณลิสาเหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เป็นลูกครึ่ง ไม่มีคนในครอบครัวเป็นคนไทย ที่เขาพูดได้ขนาดนี้นับเป็นเรื่องที่น่าตกใจไม่น้อย 

“แล้วที่พักอยู่ตรงไหนล่ะ ค่ำๆ มานั่งกับพวกเราก็ได้นะ” ศรีนวลชวน

“ผมมากับพ่อครับคุณน้า ไม่รบกวนดีกว่า” เขาว่าก่อนจะหันไปทางณลิสา เธอเพิ่งสังเกตว่าดวงตาสีเขียวของเขาเป็นประกายแวววาวยามที่ต้องกับแสงแดดอ่อนๆ ดูสวยงามจนผู้หญิงอย่างเธอยังอิจฉา 

“เราเจอกันสองครั้งแล้ว อย่างนี้ควรแลกเบอร์โทรศัพท์หรืออะไรเอาไว้ไหม” ชายหนุ่มถาม

ณลิสามองซ้ายขวาแล้วชี้ที่ตัวเอง ยิ่งเห็นศรีนวลอมยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเดินออกไปก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กวัยรุ่นที่กำลังถูกหนุ่มรุ่นน้องจีบ ไม่ใช่ว่ารู้สึกไม่ดี แต่เธอยังไม่รู้สึกอะไรเลยต่างหาก คนที่จะให้เบอร์โทร. ติดต่อกันได้ต้องรู้สึกอะไรหรือมีเงื่อนไขอะไรบ้างแต่นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่เคยสนใจมาก่อน

“เอาไว้เจอกันโดยบังเอิญครั้งที่สามก่อนแล้วกัน” หญิงสาวว่า

แอรอนยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ “โอเคครับ น่าจะเจอกันไม่ยาก” เขาว่า จากนั้นก็โบกมือให้เธอแล้วเดินออกไป 

เธอไม่เข้าใจคำพูดของเขาเท่าไรนัก แต่ก็ชอบปฏิกิริยาตอบกลับแบบนั้น ถือว่าใช้ได้ทีเดียว ถ้าเขาทำสีหน้าไม่พอใจหรือว่าพูดอะไรมากกว่านี้ เธอคงจะหมดความอดทนแล้วด่ากลับไปแน่

“มีแต่ผู้หญิงสวยเท่านั้นนะที่ทำแบบนั้นได้” เสียงของเอวาดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“เกี่ยวอะไรกับความสวย”

“ก็ผู้หญิงสวยทำเรื่องบ้าบออะไร ผู้ชายก็ชอบอยู่ดี”

“ช่วงแรกเท่านั้นแหละ” ณลิสาตอบกลับ

“พี่เคยมีแฟนมากี่คนแล้วล่ะ”

ณลิสาเม้มปากแน่น ยายเด็กนี่กำลังล้วงความลับของเธอ จะตอบไปว่าไม่เคยมีเลยก็ไม่เชิงแบบนั้น แต่ครั้งล่าสุดที่ชอบใครสักคน ผู้ชายคนนั้นก็ดันกลายเป็นว่าที่น้องเขยของตัวเอง แต่ถ้าตอบว่ามีก็จะเป็นการโกหก

เธอต้องเลือกระหว่างศักดิ์ศรีกับความจริง

“สี่คนแล้ว” หญิงสาวตอบ

เธอเลือกศักดิ์ศรี!

“แล้วเราล่ะ มีแฟนหรือยัง” ณลิสาถามกลับ

“ยุ่ง” เอวาตอบแค่นั้นแล้วก็วิ่งขึ้นรถไปทันที 

ณลิสาได้แต่เม้มปากแน่นด้วยความโมโห เธอรู้ว่าเด็กอายุสิบหกสมัยนี้มีแฟนไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งเอวาเกิดและเติบโตในต่างประเทศด้วยแล้ว แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าปฏิกิริยาแบบนั้นคืออีกฝ่ายยังไม่มีแฟน...ถ้าถามคนหัวโบราณอย่างเธอคงต้องบอกว่า ‘ก็ดี’ 

เมื่อทุกคนขึ้นมาบนรถแล้วศรีนวลก็ขับรถไปในเมือง ที่นี่ต่างจากแองเคอเรจพอสมควร เพราะแทบไม่มีตึกหรือสิ่งก่อสร้างที่สูงเกินกว่าสองชั้นเลย ทั้งบ้านและร้านค้าอยู่ห่างกันพอสมควร ข้างทางมีต้นไม้แทบจะตลอดทาง ที่เหลือเป็นที่โล่งกว้าง มองเห็นทัศนียภาพด้านหลังได้ทะลุปรุโปร่ง 

“ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแด๊ดดี้คนเดียวที่สนุก” เอวาบ่นขึ้นมา 

“ไม่มีอะไรที่ไหน นี่ไงธรรมชาติ” ศรีนวลว่า

“ไม่ใช่ว่าทุกคนชอบธรรมชาติสักหน่อย แค่หนูต้องย้ายโรงเรียนก็แย่พออยู่แล้ว วันหยุดยังต้องถูกลากมาทำอะไรแบบนี้อีก” เด็กสาวถอนหายใจ 

ณลิสาที่นั่งอยู่ข้างศรีนวลที่เบาะหน้าฟังแล้วก็ไม่ชอบใจนัก ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เอวาก็ทำหน้าเบื่อโลกตลอด เธอเข้าใจว่านี่เป็นธรรมดาของวัยรุ่น ตอนที่ยังเด็กกว่านี้เธออาจจะเจ้าอารมณ์มากกว่าเอวาเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ใส่อารมณ์กับคนอื่นมั่วซั่ว โดยเฉพาะกับมารดา

“ก่อนหน้านี้น้าศรีนวลทำอะไรคะ หรือเปิดร้านอาหารเหมือนกัน” ณลิสาถามขึ้น

“ใช่จ้า แต่เป็นหุ้นส่วนกับเพื่อนนะ พอย้ายมาอยู่นี่ถึงได้มาเปิดเป็นของตัวเอง ส่วนร้านเดิมก็ขายให้เพื่อนไป พอเดวิดได้งานก็ตัดสินใจย้ายกันมาเลย เอวากับแอนดี้ก็ต้องย้ายโรงเรียนกะทันหัน มาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังปรับตัวกันไม่ค่อยได้ ทั้งเอวาแล้วก็แอนดี้” ศรีนวลว่า

ณลิสายิ้มแห้ง เธอไม่คิดว่าแอนดี้เพิ่งจะมาเป็นแบบนี้เพราะยังปรับตัวกับบ้านใหม่โรงเรียนใหม่ไม่ได้ กับเอวายังจะพอฟังขึ้นเพราะนอกจากทำหน้ามุ่ยทั้งวันกับเอาแต่อยู่ในโลกส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้เรียกร้องความสนใจอะไร แต่กับแอนดี้เธอคิดว่าเขาตั้งใจทำตัวให้มีปัญหา หลังจากที่แอบหันไปมองเด็กชายที่นั่งอยู่เบาะหลัง เธอก็เห็นเขากำลังเกาะขอบหน้าต่างรถแล้วมองไปยังข้างทาง 

ตอนอยู่เฉยๆ ก็น่ารักดี...

ศรีนวลพาเธอมาซื้อวัตถุดิบที่จะใช้ปรุงอาหาร รวมถึงขนมและเครื่องดื่มต่างๆ ระหว่างที่กำลังเลือกซื้อของ เธอก็เห็นเด็กวัยรุ่นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นพนักงานของที่นี่กำลังยืนคุยกับเอวาอยู่ตรงชั้นวางของที่หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น อาจจะเพราะความเคยชินที่มีน้องสาวทำให้ณลิสารู้สึกหวาดระแวง ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด เธอก็ยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้

“อีฟ ซื้อของเสร็จหรือยัง” เธอเดินเข้าไปคุยกับเอวาเพื่อขัดจังหวะ

“ยัง”

“จะซื้ออะไร เดี๋ยวช่วยดู” ณลิสายังยืนขวางอยู่ตรงนั้นจนพนักงานผู้ชายที่คุยกับเอวาค่อยๆ เดินถอยออกไป ส่วนคนที่ถูกขัดจังหวะทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก 

“อะไรเนี่ย”

“ก็จะช่วยหาของไง” 

“ถ้าว่างมากพี่ก็ตามดูแอนดี้เถอะ” เอวาพูดจบก็เดินออกไป 

ณลิสายืนกอดอกมองตาม นอกจากเด็กกับสัตว์เลี้ยงแล้วเธอก็ยังไม่ค่อยถูกชะตากับพวกวัยรุ่นนัก หรือความจริงแล้วเธออาจจะเข้ากับใครไม่ได้เลยสักประเภท แต่ใครจะสน! หน้าที่หลักของเธอคือการเอาใบปริญญาไปตีแสกหน้าพวกที่มาว่าเธอไม่มีการศึกษา 

หลังจากซื้อของเสร็จ ณลิสาก็ช่วยศรีนวลยกของขึ้นรถ ก่อนจะถลึงตามองแอนดี้ที่เดินมาก่อกวนด้วยการขวางทาง มีบางช่วงที่เธอแกล้งทำเป็นเดินเตะโดนขาของเด็กชาย อีกฝ่ายหันมาแยกเขี้ยวใส่ เธอก็ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วรีบเปิดประตูขึ้นรถไป

เมื่อกลับมาถึงแคบินที่พัก ณลิสาก็พบว่าแทนไทกับอาทิตย์มาถึงแล้ว สองพ่อลูกกำลังเดินออกมาจากแคบินหลังเล็กข้างๆ ชายหนุ่มสวมแจ็กเกตกันลมสีฟ้ากับกางเกงยีน สวมหมวกเบสบอลแคปสีดำ มือหนึ่งอยู่ในกระเป๋าเสื้อแจ็กเกต ส่วนอีกมือจูงมือของอาทิตย์อยู่ เมื่อเห็นเธอ เขาก็ยกมือข้างที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโบกไปมา

อยู่ๆ ณลิสาก็รู้สึกว่าภาพที่เห็นช้าลงเรื่อยๆ รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของแทนไททำให้อุณหภูมิห้าสิบเก้าองศาฟาเรนไฮต์ที่แสดงอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของเธอดูอุ่นขึ้นมาทันที แต่ก็แค่ชั่ววูบเดียวเท่านั้น เธอมีบทเรียนและจะไม่ยอมไขว้เขวให้เกิดปัญหาอีก 

“อ้าว จันทโครพ เราซื้อขนมมาเยอะเลย ไปกินด้วยกันไหม” แอนดี้คุยกับอาทิตย์ 

นี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวที่ณลิสาเห็นว่าเขาทำดี อย่างน้อยเขาก็ไม่แกล้งป่วนอาทิตย์เหมือนที่ทำกับคนอื่น แต่ความมีน้ำใจของแอนดี้ก็ยังไม่ทำให้เธอใจละลายเท่ากับความน่ารักของอาทิตย์ เขาเดินมาจับมือของเธอแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาของลูกหมาน้อย

“พี่ลิซไปด้วยกันนะครับ” เขาว่า

ณลิสาค่อยๆ ระบายยิ้มออกมา แต่ยังไม่ทันไรก็มีเหตุให้ต้องชะงักค้างอีก

“ไม่ต้องชวนหรอก ยายนี่อ้วนจะตาย เดี๋ยวก็แย่งกินขนมหมด”

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น