10

คีไน (2)

10

คีไน (2)

 

ตกเย็นศรีนวลนำปลาที่เดวิดนำกลับมาปรุงอาหาร มีเนื้อสัตว์กับอาหารอย่างอื่นที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เกต ณลิสายืนอยู่ตรงมุมหลังแคบินมองดูเครื่องปรุงจนตาลาย ศรีนวลทำตัวสมกับเป็นเจ้าของร้านอาหารจริงๆ ดูจากขวดเครื่องปรุงที่พกมาจากที่บ้านแล้วนึกไม่ออกเลยว่าจะเลือกใช้อะไรดี

“ลิซ เจอซอสไหม” ศรีนวลตะโกนถาม

“อ๋อ ค่ะ” ณลิสาสุ่มหยิบขวดไม่มีฉลากตรงหน้าขึ้นมาขวดหนึ่ง เพราะศรีนวลบอกว่าซอสเป็นเครื่องปรุงสำหรับย่างเนื้อที่ทำขึ้นมาเอง ดังนั้นก็ควรจะเป็นขวดเปล่าที่ไม่มีฉลาก ซึ่งก็คือขวดที่เธอหยิบมา หญิงสาวเอาขวดซอสไปยื่นให้ศรีนวล แต่อีกฝ่ายกำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหารอย่างอื่น จึงบอกให้ณลิสาช่วยเอาซอสทาที่เนื้อหมูแล้วเอาไปวางไว้บนตะแกรง หญิงสาวก็ทำตามที่อีกฝ่ายว่าด้วยท่าทางเงอะงะ ถึงเธอจะไม่ใช่คนซุ่มซ่าม แต่ก็ไม่ได้คล่องแคล่วในการเข้าครัวเหมือนกับวันจันทร์ เธอเกิดมาเพื่อเป็นคนนั่งรออาหารเสร็จอย่างเดียว พอเอาซอสทาเนื้อหมูเสร็จเรียบร้อย ณลิสาก็เอาเนื้อไปวางไว้บนตะแกรง 

จากนั้นไฟก็ลุกพึ่บขึ้นมา!

แทนไทวิ่งเข้ามาประชิดตัวแล้วใช้เสื้อของเขาคลุมที่แขนของณลิสาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าที่แขนเสื้อของตัวเองติดไฟชายหนุ่มก็จัดการดับไฟให้เรียบร้อยแล้ว 

ณลิสายืนมองแทนไทที่เอาเสื้อออกจากแขนของเธอ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนเธอเองก็มองไม่ทันด้วยซ้ำ

“คุณลิซ เจ็บตรงไหนไหม” แทนไทถาม 

“ไม่ค่ะ เมื่อกี้...ขอบคุณนะคะ” ณลิสาพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ ได้ลื่นไหลกว่าทุกครั้ง เมื่อครู่เธอตกใจมากจริงๆ ถ้าไม่ได้แทนไทมาช่วยแขนของเธอก็คงไหม้ไปแล้ว

“นี่น้ำมัน” เสียงของแอนดี้ดังขึ้น เขายืนดมขวดที่ณลิสาเข้าใจว่าเป็นซอสอยู่ 

“ตายแล้ว!” ศรีนวลปราดเข้ามาหยิบขวดนั้นไปดม จากนั้นก็เอามือทาบอก ดูเหมือนว่าซอสกับน้ำมันจะไม่ได้มีป้ายสติกเกอร์ติดเอาไว้กันสับสน ตอนที่หยิบของทุกอย่างมาเธอก็ไม่ได้แยกประเภท ไม่ผิดหรอกที่ณลิสาจะหยิบผิด 

“เด็กเกรดหนึ่งยังแยกซอสกับน้ำมันได้เลย” แอนดี้ว่า

“เงียบน่า ควันเยอะขนาดนี้ไม่ได้กลิ่นหรอกถ้าไม่ดมดีๆ” ศรีนวลหันไปว่าลูกชาย เห็นท่าทางของณลิสาแล้วเธอก็พอจะเดาได้ว่าเป็นคนที่ไม่เข้าครัว มือไม้ก็บอบบางนุ่มนิ่ม ท่าทางเหมือนลูกคนมีเงินมากกว่าที่จะเป็นชาวไร่อย่างที่เจ้าตัวบอก แต่ถึงอย่างนั้นศรีนวลก็ไม่ได้ซักถามเพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ตอนนี้เธอใจหายมากกว่าเพราะกลัวว่าจะดูแลณลิสาได้ไม่ดี ตั้งแต่มาที่บ้านนี้หญิงสาวเกิดอุบัติเหตุสองครั้งแล้ว ยังดีที่มีแทนไทอยู่ด้วย

“เดี๋ยวน้าขอดูมือหน่อยนะว่าเป็นอะไรไหม” ศรีนวลจับมือของณลิสาแล้วดันแขนเสื้อขึ้นเพื่อตรวจดูว่ามีร่องรอยอะไรน่าเป็นห่วงหรือเปล่า เมื่อพบว่าทุกอย่างปกติดี เธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก 

“คุณลิซไปนั่งก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง” แทนไทว่า

ณลิสาทำได้เพียงพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้สนามข้างเอวาและแอนดี้ เด็กสาวข้างกายหันมามองเธอคิ้วขมวดแต่ไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นบรรยากาศก็เงียบกริบ ทุกคนต่างนั่งกินอาหารเงียบๆ ไม่มีความครึกครื้นอะไรทั้งสิ้น

“ฟังเพลงกันไหมครับ ผมเอากีตาร์มา” แทนไทเอ่ยขึ้น

“นั่นสิ ฟังเพลงกันดีกว่า” ศรีนวลรีบพูดขึ้นมาเพื่อที่จะดึงให้บรรยากาศกลับมาดีเหมือนเดิม 

ณลิสากลอกตาไปมา เธอคิดว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเองที่ทำให้ทุกอย่างติดขัด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศมากขึ้นโดยการเดินออกไปตอนนี้ 

จากนั้นอาทิตย์ก็เดินเข้าไปหยิบกีตาร์ออกมาแล้วยื่นให้พ่อของเขา ชายหนุ่มยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเล่นกีตาร์ ทุกคนนั่งฟังเขาร้องเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยเฉพาะณลิสา แสงจากกองไฟและลมหนาวเข้ากันดีอย่างเหลือเชื่อ หญิงสาวกระชับผ้าคลุมไหล่แน่น

เธอไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อน...อันที่จริงต้องบอกว่าไม่ค่อยมีเวลาฟังเพลงอะไรเลยต่างหาก 

แทนไทยังคงร้องต่อไปเรื่อยๆ แต่ทุกอย่างรอบตัวของหญิงสาวกำลังหยุดนิ่ง ทุกอย่างรอบกายเป็นภาพเบลอไปหมด ได้ยินแต่เสียงของแทนไทกับกีตาร์ เธอเผลอยิ้มออกมาน้อยๆ ตอนที่ชายหนุ่มหันมาสบตากับเธอพอดีก่อนที่เขาจะหยุดร้อง ไม่นานเสียงกีตาร์ก็หยุดลงตาม ทุกอย่างกลับมาเงียบงันอีกครั้ง หญิงสาวยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของแทนไท กระทั่งได้ยินเสียงปรบมือดังมาจากทางเดวิด เธอจึงออกมาจากภวังค์ได้ แต่พอมองไปรอบๆ ก็เห็นศรีนวลกับเอวามีอาการแบบเดียวกัน ทั้งสองคนจ้องไปที่แทนไทแล้วก็อมยิ้ม

“ไม่เคยได้ยินเลยค่ะ” เอวาเอ่ยขึ้น

“ขอโทษที เพลงเก่าน่ะ น้าชอบร้องสมัยจีบแม่ของซันใหม่ๆ” เขาเกาศีรษะท่าทางเคอะเขิน

“โห ปีไหนคะเนี่ย”

“จำไม่ได้แล้วละ นานมากเลย” แทนไทตอบเด็กสาว

“ก็คงไม่นานเท่าพ่อแม่หนูจีบกันหรอกเนอะ” เอวาหันมามองมารดา 

“อะไรกัน น้าเขาเด็กกว่าแม่ปีเดียวเองนะ” ศรีนวลหันมาพูดกับเอวา

“ฮะ!! น้าแทนอายุสี่สิบห้าเหรอคะ” 

ไม่ใช่เอวาคนเดียวที่ตกใจ ณลิสาเองก็รู้สึกเหมือนกัน เธอคิดว่าอย่างไรแทนไทก็คงอายุไม่เกินสี่สิบ อาจจะสามสิบสี่ สามสิบห้าเท่านั้น แต่พอนึกถึงเรื่องที่เขาเคยพูดถึงลูกชายคนโตก็เป็นไปได้ที่เขาจะอายุสี่สิบห้า 

แต่เกินไปหน่อยไหม...

“นั่นสิ ตอนแรกแม่ก็ตกใจ คุณแทนใช้สกินแคร์อะไรคะเนี่ย หรือมีวิธีดูแลตัวเองยังไง จะได้แนะนำเดวิดบ้าง” ศรีนวลจ้องเขม็งไปที่สัตวแพทย์หนุ่มรูปหล่อ ใบหน้าโกงอายุแบบนี้ต้องมีเคล็ดลับอะไรแน่

“ผมไม่ค่อยได้บำรุงอะไรหรอกครับ ออกกำลังกายกับกินอาหารดีๆ มากกว่า” เขาว่า

“โห แล้วมีฉีดโน่นนี่ไหมคะ” ศรีนวลยังไม่ยอมแพ้

“เปล่าครับ ไม่เคยฉีดอะไเลย”

ณลิสาพอจะเข้าใจการดูแลตัวเองของแทนไท เพราะเธอทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่นอกเหนือจากเรื่องพวกนั้น ชายหนุ่มคงจะเป็นพวกคิดบวกและมีความสุขกับชีวิต เพราะคนที่มีความเครียดและความกดดันสูงไม่มีทางที่ใบหน้าจะกระจ่างใสเพราะออกกำลังกายแน่

 

คืนนั้นณลิสานอนไม่หลับ ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงบ้านหรือว่าหนวกหูเสียงคุยโทรศัพท์ของเอวา กว่าที่อีกฝ่ายจะหยุดคุยก็ตอนที่เธอลุกขึ้นมาเปิดไฟนั่งอ่านหนังสือในไอแพด ราวกับว่าต่างคนต่างกำลังเล่นสงครามประสาทกันอยู่ แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ในขณะที่เอวากำลังจะทาครีมบำรุงผิว ณลิสาก็เดินไปที่เตียงของอีกฝ่ายแล้ววางขวดสกินแคร์ตัวเองไว้บนเตียง

“ให้” พูดแค่นั้นแล้วเธอก็เดินกลับไปที่เตียง แล้วล้มตัวลงนอน

เด็กสาวหยิบสกินแคร์ที่ณลิสาวางเอาไว้แล้วมองไปยังเจ้าของที่นอนหันหลังให้เธอ ของนี่ราคาไม่ใช่น้อย อันที่จริงเธอก็สังเกตมาสักพักแล้วว่าพี่เลี้ยงคนใหม่ของแอนดี้ไม่ได้มีปัญหาทางสายตา แต่เหมือนแค่สวมแว่นตากรอบดำเอาไว้ไม่ให้ตัวเองดูสะดุดตาเท่านั้นเอง มีเหตุผลอะไรที่คนสวยแบบนั้นจะพยายามทำให้ตัวเองดูธรรมดา

เอวาส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระออกจากหัว ทำไมเธอต้องไปคิดเรื่องของคนอื่นด้วย เด็กสาวเก็บข้าวของของตนเองยัดใส่กระเป๋าแล้วใช้สกินแคร์ของณลิสาแทน แค่กลิ่นก็บ่งบอกถึงความเป็นชนชั้นสูงแล้ว

“แล้วทีหลังก็ไม่ต้องแต่งหน้าหนาขนาดนั้น มันทำให้ผิวเสีย” เสียงของณลิสาดังขึ้นอีกครั้ง

“นี่พี่ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“ใครจะหลับเร็วขนาดนั้น”

“ช่างเถอะ พี่จะรู้อะไร ถ้าไม่แต่งหน้า หนูก็หน้าเป็นศพเลยนะ”

“เป็นไปไม่ได้หรอก อายุแค่นี้จะหน้าเป็นศพได้ไง” หญิงสาวผุดลุกขึ้นมาจากเตียงนอนแล้วหันไปทางเอวา บางทีเจ้าตัวอาจจะคิดไปเอง หรือมีเพื่อนคนไหนกลั่นแกล้งมาแน่ถึงได้เชื่อว่าต้องแต่งหน้าหนาๆ ไปโรงเรียนทุกวัน ณลิสาเข้าใจสังคมตะวันตกอยู่บ้าง เพราะเด็กวัยรุ่นที่นี่สวมชุดอะไรไปเรียนก็ได้ จะแต่งหน้าหรือทำผมอย่างไรก็ไม่มีใครว่า ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนรู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่กับคนที่ยังหาตัวเองไม่เจออย่างเอวาก็ค่อนข้างเป็นปัญหานิดหน่อย

“คนที่เกิดมาหน้าตาดีจะไปรู้อะไร พี่ไม่ต้องแต่งหน้าก็สวยนี่” เอวาทำน้ำเสียงตัดพ้อ

“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” ณลิสาถอนหายใจ 

“ผิดตรงไหน”

“ดูของในมือสิ รู้ไหมราคาเท่าไหร่” หญิงสาวชี้ไปที่สกินแคร์ที่ให้เอวาไปเมื่อสักครู่

“ฮะ?”

“ไม่ต้องฮะ! กว่าผิวจะดีเรียบเนียนขนาดนี้หมดไปกี่บาท กว่ารูปร่างจะดีสมส่วนต้องเสียเวลาเสียแรงออกกำลังกายไปเท่าไหร่ ต้องกินอาหารมีประโยชน์แต่ไม่อร่อยมานานขนาดไหน ไหนจะคนที่ต้องเสียเงินเข้าคลินิกความงามอีกล่ะ ถ้าคิดว่านอนเล่นโทรศัพท์อย่างเดียวแล้วแต่งหน้าเอาจะสวยได้ก็ตื่นเถอะ” 

คำพูดของณลิสาทำเอาเอวาจุก เธอคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ เพียงแต่หน้าตาธรรมดา ผิวเหลืองกระเดียดไปทางขาว เพื่อนที่โรงเรียนก็มีคนเอเชียอยู่บ้างประปราย แม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกแปลกแยกอะไร แต่ก็ใช่ว่าตัวเองภูมิใจในความเป็นเอเชียนัก เธอแค่อยากจะกลมกลืนกับเพื่อนคนอื่นเท่านั้นเอง โดยเฉพาะโรงเรียนใหม่แห่งนี้ที่ต้องเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ทั้งหมด แต่จนถึงวันนี้เธอก็ยังตัวคนเดียวอยู่

“งั้นก็เอาคืนไปเลย ถ้าหวงนัก” เด็กสาวยื่นของคืนอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก

“เก็บไว้เถอะ แค่อยากจะเปรียบเทียบเฉยๆ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ โดยไม่พยายามหรอก” ณลิสาสัมผัสได้ว่าเอวาอ่อนลงจากเมื่อตอนกลางวัน เธอยอมรับว่าตนเองใจร้อนไปหน่อยที่เข้าไปยุ่งกับเอวาตอนที่อีกฝ่ายคุยกับผู้ชายคนนั้นอยู่ แต่คนอย่างเธอมักจะเป็นอย่างนี้เสมอถ้าเจอสัญญาณอันตราย เพราะเธอมีน้องสาวถึงรู้ดีว่าผู้ชายแบบไหนไม่น่าไว้ใจ

“พูดเป็นคนแก่เลยนะ” เอวาทิ้งตัวลงนอน 

“อายุมากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า” ณลิสาว่า

“ประสบการณ์แฟนสี่คนของพี่น่ะนะ”

“ใช่”

“ลองเล่าหน่อยสิว่าแต่ละคนเป็นยังไง” คำพูดของเอวาทำให้คนขี้โม้ตาแข็งค้าง ตอนที่พูดออกไปก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องเล่ารายละเอียดด้วย แต่คนที่มีประสบการณ์การแสดงมาโชกโชนแบบเธอมีหรือจะยอมแพ้ ในเมื่อไม่มีเรื่องจริง เธอก็ยังมีละคร ดังนั้นเธอจึงเล่าให้เอวาฟังเรื่องแฟนคนแรกถึงแฟนคนที่สี่ โดยเอาพระเอกละครที่เธอเล่นด้วยมาเป็นตัวละครในเรื่องโกหกของตัวเอง ซึ่งเรื่องน่าสนใจพวกนี้ทำให้เอวาถึงกับลุกขึ้นมาฟังอย่างตั้งใจ

“แล้วไอ้คนที่ชื่อคุณเทิดภพมันก็เชื่อว่าผู้หญิงที่ชื่อสาริณีท้อง แล้วก็ทิ้งพี่น่ะเหรอ” เอวาเม้มปากแน่น รู้สึกขัดใจที่แฟนทุกคนของณลิสาด้อยสติปัญญา เชื่อมือที่สามบ้าง หรือไม่ก็เชื่อมารดาตัวร้ายที่จ้องจะหาสะใภ้ร่ำรวยมาให้ลูกชายแทนณลิสาที่เป็นลูกสาวชาวไร่

“ผู้ชายก็เป็นแบบนั้นแหละ” 

“แต่คนดีๆ ก็ยังมีอยู่นะคะ” เอวาแย้ง

“ใครล่ะ”

“น้าแทนไง เท่าที่เห็น เขานิสัยดีมากเลยนะคะ แม่อีฟชมตลอดว่าน้าแทนดีเพียบพร้อม เสียดายที่เป็นพ่อม่ายลูกติด” เด็กสาวพูดโดยไม่เข้าใจว่าพ่อม่ายลูกติดนั้นน่าเสียดายยังไง ได้ยินมารดาพูด เธอก็พูดตามนั้น

“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย น่าชื่นชมเสียอีก ผู้ชายที่มีความรับผิดชอบแบบนี้” ณลิสาพูดในฐานะคนนอกที่ปราศจากอคติ กลับคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีความรับผิดชอบ และเก่งมากที่เลี้ยงลูกมาคนเดียวโดยไม่มีภรรยา 

“ก็จริงนะ” เอวาพูดก่อนจะอ้าปากหาว

“นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” ณลิสาพูดจบก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ศรีนวลบอกว่าให้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน แต่อากาศเย็นขนาดนี้ เธอจะมีอารมณ์ดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือเปล่า ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขาเรียกช่วงนี้ว่าฤดูร้อน 

ไม่เห็นจะร้อนตรงไหนเลย!

 

เช้ามืดวันรุ่งขึ้นศรีนวลก็ลากลูกสองคนกับณลิสาไปดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นริมแม่น้ำ ตอนแรกณลิสาง่วงจนไม่อยากจะลืมตา แอนดี้กับเอวาก็เช่นกัน แต่พอเห็นแสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มสะท้อนเป็นเงาสวยในแม่น้ำคีไนแล้ว ทำให้หญิงสาวตื่นเต็มตา ยิ่งได้มองภาพธรรมชาติที่สวยงามตรงหน้าแล้วเธอก็ยิ่งมีพลังใจในการต่อสู้กับเจ้าเด็กสังข์ทองที่นอนหงายอยู่บนตักของมารดา

 ไม่มีบทสนทนาอะไร แค่คนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกันสี่คนกำลังซึมซับความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้น น่าแปลกที่เธอไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ที่ขึ้นและลงทุกวันสวยขนาดนี้ 

หลังจากที่ท้องฟ้าสว่างขึ้นแล้วศรีนวลก็พาณลิสากับเด็กๆ ไปพายเรือ วันนี้เดวิดไม่ได้ตกปลา ทุกคนรวมถึงแทนไทกับอาทิตย์ก็มาด้วย ซึ่งการพายเรือที่ว่านี้ก็เป็นการล่องเรือชมธรรมชาติแบบน่ารักๆ โดยเรือยางขนาดใหญ่แถมคนดูแลที่จะคอยอธิบายเรื่องต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวฟัง มองไปรอบข้างก็เห็นสัตว์นานาชนิด ทั้งปลาแซมอนที่ว่ายอยู่ในน้ำ หมี บีเวอร์ แล้วก็เจ้าสิ่งที่ทุกคนเรียกมันว่า ‘คาลิบู’ ผู้ที่ดูแลเรือบอกว่าอีกชื่อหนึ่งของมันก็คือกวางเรนเดียร์ สุดท้ายคือเจ้าแกะเขาใหญ่ที่เป็นสัตว์พื้นเมืองของทวีปอเมริกาเหนือ ด้วยความที่ผู้ดูแลเห็นว่าเกือบทั้งลำเรือเป็นคนเอเชียเขาจึงเล่าเรื่องอย่างช้าๆ ว่าสัตว์ชนิดนี้เคยมีเยอะมาก แต่ตอนนี้กลับน้อยลง เหตุผลมาจากโรคระบาดและการล่าสัตว์ ดังนั้นการที่ได้เห็นเจ้าตัวนี้ถือว่าโชคดีมาก ณลิสาพยักหน้าขึ้นลงตอนที่อีกฝ่ายกำลังอธิบาย ตอนที่เธอหันไปสบตากับแทนไทก็เห็นเขามองมาที่เธอแล้วหัวเราะน้อยๆ 

ปกติณลิสาไม่ชอบให้ใครหัวเราะต่อหน้าเธอแบบนั้น อาจจะเพราะความที่จริงจังกับทุกเรื่องจึงทำให้ไม่ค่อยเข้าใจคนอื่น โดยเฉพาะคนที่อยู่ๆ ก็มาหัวเราะคนอื่นแบบนี้

“ขอโทษนะครับ ผมเสียมารยาท แต่เห็นคุณลิซแล้วนึกถึงเจ้าซันเลย เวลาตั้งใจฟังอะไรก็จะทำหน้าแบบนี้” แทนไทเอ่ยขึ้นเพราะกลัวจะเสียมารยาทกับณลิสาถ้าหากอยู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมาโดยไม่บอกเหตุผล 

หญิงสาวไม่ได้ติดใจอะไร แค่อายนิดหน่อยที่ถูกอีกฝ่ายมอง

หลังจากผ่านไปสองถึงสามชั่วโมงพวกเขาก็ขึ้นจากเรือ เพราะการล่องเรือยางต่อจากนี้จะเป็นพื้นที่ที่น้ำไหลเชี่ยว ศรีนวลกลัวว่าจะอันตรายต่อเด็กเล็กสองคนจึงไม่อยากให้ไปต่อ ตรงข้ามกับเดวิดที่อยากให้ลูกได้ลองเล่นอะไรสนุกๆ บ้าง เถียงกันอยู่นาน แทนไทจึงบอกว่าให้ถามแอนดี้ เอวา และอาทิตย์ดู มติสองในสามของผู้เยาว์ทั้งสามคนคือ แอนดี้อยากไปต่อ แต่เอวากับอาทิตย์ไม่อยากไป การล่องเรือจึงจบลงแค่นั้น

ณลิสาอาสาพาแอนดี้กับอาทิตย์ไปเข้าห้องน้ำหลังจากนั้น เธอให้เด็กชายสองคนเดินเข้าไปในห้องน้ำชาย ส่วนตนเองก็ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ สักพักก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา พวกเขาหันไปซุบซิบอะไรบางอย่างกัน แล้วก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ

“สนใจไปด้วยกันไหม” เขาเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ 

ณลิสาแกล้งทำเป็นไม่สนใจ

“สงสัยฟังไม่ออกว่ะ” อีกฝ่ายหันไปพูดกับเพื่อน

“งั้นก็จับมาเลย ไม่มีใครเห็นหรอก” เพื่อนในกลุ่มนั้นว่า 

น่าเสียดายที่หญิงสาวเรียนรู้คำด่ามาน้อยเกินที่จะพูดออกไป เธอมองคนพวกนั้นด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ในขณะอีกฝ่ายกำลังจะยื่นมือเข้ามา อยู่ๆ ก็มีรองเท้าข้างหนึ่งลอยละลิ่วมากระแทกที่ใบหน้าของคนที่กำลังคุยอยู่กับเธอพอดี เมื่อณลิสาหันไปมองก็พบว่าเป็นแอนดี้ที่ขว้างรองเท้าผ้าใบของตัวเองมา

“ออกไปเลย!! อย่ายุ่งกับเธอ” แอนดี้ว่า

“ไอ้เด็กบ้า อยากตายใช่ไหม” คนที่โดนรองเท้าปาใส่หน้าเดินไปที่แอนดี้แล้วขยุ้มคอเสื้อด้านหลังของเด็กชาย พยายามจะลาก แต่แอนดี้ใช้ปากงับข้อมืออีกข้างของคนที่จับเขาอยู่ ชายหนุ่มคนนั้นร้องเสียงหลงก่อนจะยกมือขึ้นเตรียมจะตบไปที่หน้าของเด็กชาย ทว่าณลิสาจับที่ข้อมือของเขาเอาไว้ก่อน ไม่มีคำพูดอะไรต่อจากนั้นเพราะหญิงสาวนึกประโยคตอบโต้ไม่ทัน เธอยกมือขึ้นจิกทึ้งศีรษะของเขาจนอีกฝ่ายเสียหลัก จังหวะนั้นเองเธอก็ขยับไปที่ด้านหลังแล้วเตะที่ข้อพับขาของชายหนุ่มอย่างแรงจนเขาทรุดลงไปที่พื้น

ณลิสารู้สึกว่ามีบางอย่างกระแทกเข้าที่หางคิ้วของตัวเอง พอมองดูสิ่งที่ตกอยู่บนพื้นก็พบว่าเป็นก้อนหินขนาดเล็ก ระหว่างที่เธอกำลังเผลอ กลุ่มของผู้ชายคนนั้นก็รีบมาลากเอาเพื่อนของเขาออกไป แต่แทนที่จะหนี ดูเหมือนพวกนั้นจะเข้ามาหาเรื่องต่อ

“เกิดอะไรขึ้น” เสียงของแทนไทดังมาก่อนที่ตัวเขาจะปรากฏตัว

พอหันมาอีกทีพวกที่หาเรื่องเธอก็หนีหายไปหมดแล้ว ณลิสารีบจับแอนดี้หมุนไปมาแล้วมองสำรวจที่ใบหน้าของเขา พบว่าไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ หญิงสาวก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก 

“คุณลิซเลือดออก” แทนไทว่าก่อนจะชี้ที่ขมับของตัวเองเพื่อบอกจุดให้หญิงสาว

“เหรอคะ” ณลิสารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องหน้าเพื่อดูบาดแผลของตัวเอง ใบหน้าที่เธอเพียรดูแลรักษามาอย่างดี ไร้รอยขีดข่วนกลับต้องมาเป็นแผลเพราะเด็กนิสัยเสียพวกนั้น

“เดี๋ยวผมพาไปทำแผลครับ” แทนไทว่า

จากนั้นเขาก็พาแอนดี้ไปหาศรีนวลกับเดวิด แล้วขออนุญาตพาณลิสาไปทำแผลในห้องพยาบาลของทางบริษัทนำเที่ยว เขาให้หญิงสาวนั่งบนเตียงแล้วตัวเองก็ลากเก้าอี้เล็กๆ ออกมานั่งแล้วทำแผลให้เธอด้วยท่าทางชำนาญ

“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมทำแผลบ่อย” 

“สุนัขเหรอเหรอคะ” 

“เปล่าครับ คนนี่แหละ ลูกชายคนโตน่ะ เขาเล่นกีฬาตั้งแต่เด็กๆ เจ็บตัวกลับบ้านทุกวัน” เขาว่า

“พี่ชายของซันน่ะเหรอคะ”

“ครับ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน เขาโตแล้วก็ย้ายเมืองไปทำตามความฝันของตัวเอง อีกหน่อยซันไม่อยู่แล้วผมคงจะเหงาแน่เลย” 

คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะพูดไปเรื่อยเปื่อยนั้นสร้างความเห็นใจให้ณลิสาเป็นอย่างมาก เธอเองก็ไม่ค่อยพูดเรื่องความรู้สึกของตัวเองกับใคร แต่พอได้ยินเรื่องของแทนไทแล้วเธอก็นึกถึงตัวเอง

“ลิซก็มีน้องสาวคนนึงค่ะ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้เขาโตแล้ว อีกหน่อยก็คงจะแต่งงานแยกครอบครัวออกไป ทั้งที่เมื่อก่อนอยู่ด้วยกันตลอด บางทีก็ใจหายค่ะที่ต่อไปนี้จะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันแบบตอนเด็กๆ แล้ว” ณลิสาว่า ในสายตาคนอื่นเธออาจจะเป็นพี่สาวที่จู้จี้ขี้บ่น ทั้งเรื่องมากและขี้โวยวายกับวันจันทร์ แต่ลึกๆ แล้วเธอรักและเป็นห่วงน้องสาวมาก พอไม่มีวันจันทร์ เธอก็เหงา เพียงแต่ด้วยนิสัยของตัวเองทำให้ไม่เคยพูดจาอะไรเลี่ยนๆ แบบนี้ให้ใครฟัง

“แต่ยังไงเราก็ห้ามเขาเติบโตไม่ได้ แค่มองเขามีความสุขก็มีความสุขไปด้วย” แทนไทว่า เขาทำแผลไปด้วยพูดไปด้วยโดยที่ไม่ได้มองเธอ แต่ณลิสากลับละสายตาจากภาพตรงหน้าไม่ได้ พอได้ยินเขาพูด ใจก็อุ่นวาบไปหมด ราวกับว่าคนตรงหน้ามีชุดความคิดเดียวกับเธอ วิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนอื่น สายตาที่เขามองทุกคนทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นคนดีแค่เปลือกนอก

“ขอบคุณมากนะคะ” เธอพูดกับเขาหลังจากที่ทำแผลเสร็จ

“ไม่เป็นไรครับ รอยนี่อีกไม่กี่วันก็หาย แต่ถ้าเป็นแผลเป็นขึ้นมา ปรึกษาหมอผิวหนัง เขาน่าจะมีวิธีลบรอยออกนะครับ” ชายหนุ่มว่า

ณลิสาแตะที่ผ้าก๊อซบนหน้าผากของตัวเอง น่าแปลกที่ตอนนี้เธอไม่ได้โมโหเท่าที่ควร หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะต้องเอาเรื่องคนทำให้ถึงที่สุด ใบหน้าเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเธอ ไม่ใช่เพราะเธอหลงใหลมัน แต่มันเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำมาหากิน ทำให้ที่บ้านได้มีที่ดินเป็นของตัวเอง ทำให้น้องสาวได้เรียนต่อจนจบ ทำให้เธอได้มาเรียนที่นี่โดยไม่ต้องทำงานอะไรให้เหนื่อยได้ตั้งหลายปี แต่ตอนนี้เธอกลับมองแต่ใบหน้าของแทนไทแทนที่จะโมโหโวยวายเรียกร้องค่าเสียหาย


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น