6

ชีวิตก็ต้องมีขวากหนามเล็กน้อย

6

ชีวิตก็ต้องมีขวากหนามเล็กน้อย

 

หลังจากแทนไทมาส่งณลิสากับแอนดี้ที่บ้านแล้ว หญิงสาวก็ใช้เวลาช่วงที่ไม่มีคนอยู่สำรวจรอบๆ บ้าน ตอนที่อยู่บริเวณโบสถ์ตัววัดอุณหภูมิที่นาฬิกาข้อมือของเธอแสดงอยู่ที่สิบสี่องศาเซลเซียส ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วง...ฤดูร้อน! ณลิสาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้วเธอจะขยับตัวเวลาอยู่นอกบ้านได้หรือเปล่า

“หิวแล้ว” แอนดี้เอ่ยขึ้นพร้อมเอามือลูบท้องแล้วจ้องมองมาที่พี่เลี้ยงคนใหม่

“แล้ว...จะกินอะไร”

“ไข่เจียว”

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ แอนดี้กินง่ายขนาดนี้เชียว แม้ว่าเธอจะถนัดเอาอาหารสำเร็จรูปอุ่นในไมโครเวฟมากกว่า แต่แค่ไข่เจียวน่ะตอนประถมเธอก็เคยทำให้วันจันทร์กินอยู่หรอก

ในเมื่อเจ้าของบ้านฝากลูกชายเอาไว้กับเธอแล้ว ณลิสาก็ถือโอกาสใช้ครัวบ้านของศรีนวลรังสรรค์อาหารที่ใช้วัตถุดิบน้อยและทำง่ายที่สุดในโลกอย่างไข่เจียวขึ้นมา แต่ทุกอย่างต่างจากที่เธอคิดนิดหน่อย เพราะไข่สีขาวที่หาเจอนั้นไม่ใช่ของที่คุ้นเคย ในขณะที่เธอกำลังพยายามทอดไข่ในกระทะ แอนดี้ก็เดินวนเวียนอยู่รอบๆ ไม่หยุด ซึ่งทำให้เธอเสียสมาธิ จึงลืมว่าต้องใส่เครื่องปรุงเข้าไปในไข่ รู้ตัวอีกทีเธอก็นำไข่เจียวเหี่ยวแห้งสุกด้านถูกนำมาวางไว้ในจานแล้ว

“หิวมากไหม ถ้ารอได้จะทำใหม่” 

แอนดี้มองหน้า แต่ไม่ตอบ เขาหยิบช้อนมาแล้วตักไข่ของเธอเข้าปากเคี้ยวด้วยสีหน้าปกติ เห็นแบบนี้แล้วณลิสาก็รู้สึกว่าเด็กชายน่ารักขึ้นมานิดหน่อย จึงเผลอยิ้มภูมิใจฝีมือทำอาหารของตัวเอง ไม่ใส่เครื่องปรุงก็คงไม่ได้แย่ กินจืดก็ดีต่อสุขภาพ

“รสชาติเหมือนอาหารหมาของหมีควาย แต่จะกินกันตายหรอกนะ” เขาพูดขึ้นหลังจากเห็นเธอยิ้ม

ณลิสาเม้มปากแน่น พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างเต็มที่ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยต้องเป็นคนรองรับอารมณ์ของใครมาก่อน แต่มาที่นี่ยังไม่ข้ามวันกลับถูกเด็กนี่ทำให้หงุดหงิดใจทั้งวัน ไม่รู้ว่าวันไหนเธอจะตบะแตกจับคนตรงหน้ากดน้ำ

“เคยกินอาหารหมาเหรอถึงได้รู้ว่ารสชาติเหมือนกัน” ณลิสาถามกลับ

“ที่ว่าจะพาไปหารจนาน่ะ โกหกใช่ไหม” แอนดี้เอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย 

ณลิสายืนอึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายว่าอะไร เธอจำได้ว่าพูดกับแอนดี้ตอนที่จะหลอกให้ขึ้นรถ ป่านนี้แล้วยังไม่ลืมอีก...

“พี่ไง...รจนา” หญิงสาวชี้ที่ตัวเอง

“ขี้เหร่”

“ฮะ!? ว่าอะไรนะ” 

“ขี้เหร่ขนาดนี้จะเป็นรจนาได้ไง”

“ห้ามพูดอย่างนี้นะ ขอโทษเลย” ณลิสาเริ่มโมโห เกิดมาไม่เคยมีใครมาด่าว่าเธอขี้เหร่มาก่อนในชีวิต เจ้าเด็กนี่มันวอนหาเรื่องเสียแล้ว กินอาหารที่เธอทำเสร็จก็พ่นพิษใส่ทันที 

“ทำไมต้องขอโทษ ก็ขี้เหร่จริงๆ แบร่!!” แอนดี้แลบลิ้นใส่แล้วลงจากเก้าอี้วิ่งหายขึ้นไปชั้นบนทันที 

หญิงสาวรีบวิ่งตามขึ้นไปก็เจอกับเจ้าหมีควายยืนกั้นอยู่หน้าบันไดชั้นสอง เธอกลอกตาไปมา พยายามทำท่าทีเป็นมิตรกับเจ้าสุนัขยักษ์สีดำสนิท แต่พอจะก้าวผ่านไปมันกลับทิ้งตัวลงนอนกั้นเอาไว้

“ออกไปนะ ฉันแพ้ขนหมา”

เจ้าหมีควายยังเหลือบตามองเธอ แต่ไม่ยอมขยับไปไหน ช่วงที่ณลิสาคิดว่าจะก้าวข้ามเจ้าสุนัขร่างใหญ่นี่ไปนั่นเอง มันก็ลุกขึ้นมากะทันหันทำให้เธอเสียหลักล้ม เธอร่วงลงกระแทกกับขั้นบันไดทีละขั้น ไหลลงไปถึงชานพักบันไดตรงมุม ณลิสาอาจจะยังมีสติอยู่ถ้าหากไม่ได้เห็นว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตสีดำตัวใหญ่ไม่ได้หล่นตามมาจนกระทั่งมาทับอยู่ที่ตัวเธอ ท่าทางของมันไม่ได้เจ็บปวดเท่าไร อย่างน้อยก็ยังมีร่างของเธอคอยรองรับอยู่ แต่คนที่แพ้ขนสัตว์มาตั้งแต่เด็ก การสัมผัสกับขนสีดำของหมีควายทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย

“กรี๊ด!!”

จากนั้นณลิสาก็สลบไป...

 

หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของแทนไทอีกครั้ง ทำไมเธอถึงต้องมาฝันถึงเขากันนะ คนเพิ่งเคยเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว ในขณะที่กำลังแปลกใจกับความฝันของตัวเอง เสียงของแทนไทก็ดังขึ้นเสมือนจริง

“ไม่เป็นอะไรนะครับ” 

“ขอบคุณมากเลยค่ะคุณแทนไท พี่นี่ตกใจหมดเลย” เป็นเสียงของศรีนวล

“ลิซอยู่ที่ไหนคะ” หญิงสาวที่เพิ่งลืมตาถามขึ้น 

“ที่บ้านนี่แหละจ้า อีฟโทร. ไปบอกว่าเห็นหนูนอนสลบอยู่ตรงบันได หมีควายกำลังเลียหน้าอยู่” 

คำบอกเล่าของศรีนวลไม่ได้ทำให้ณลิสารู้สึกดีขึ้นเลย นอกจากความเจ็บที่หลังกับก้นแล้ว โรคภูมิแพ้ขนสัตว์ของเธอจะต้องทำให้ทั่วกายของเธอเป็นผื่นแดงน่าเกลียดแล้วแน่ๆ 

“พาลิซไปโรงพยาบาลได้ไหมคะ ป่านนี้หน้าคงเละหมดแล้ว” เธอว่า

“ไม่เป็นอะไรนะครับ เห็นพี่ศรีนวลบอกว่าคุณลิซแพ้ขนสัตว์ แต่ไม่มีอาการแพ้เลย เกิดอาการครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ครับ” แทนไทถาม

“นานแล้วค่ะ ตอนเด็กๆ”

“น้ำลายก็ไม่น่าจะใช่ เพราะก่อนหน้านี้พี่ศรีนวลบอกว่าหมีควายเลียหน้าคุณลิซอยู่ใช่ไหม แต่ไม่เกิดอาการแพ้นะ ตอนนี้ก็ยังปกติดีใช่ไหมครับ ปวดหรือชาตรงไหนไหม” แทนไทถามต่อ

“ไม่ค่ะ ปกติดี”

“งั้นก็มีอยู่สองอย่างคือเพราะแพ้สะเก็ดผิวหนังของสัตว์ แค่ไม่มีของพวกนี้มาโดนตัวก็ไม่เป็นไร”

“แต่ลิซแพ้ขน...สัตว์นะคะ”

“ไม่ได้แพ้ขนหรอกครับ ขนสัตว์ไม่ได้ทำให้คนแพ้ แต่เป็นน้ำลายกับสะเก็ดผิวหนังที่ตกค้างอยู่ในขน แสดงว่าหมีควายสะอาดมากนะครับเนี่ย” ชายหนุ่มหันไปพูดประโยคหลังกับศรีนวลผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน

“แหม อาบน้ำบ่อยค่ะ ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็พาไปที่ร้าน อีกอย่างหมีควายมันเป็นหมาเรียบร้อย” ศรีนวลว่า

ณลิสาอยากจะหัวเราะเสียงดังให้เพราะคำว่า ‘หมาเรียบร้อย’ ไม่ว่าจะเด็กหรือสัตว์เลี้ยงของบ้านหลังนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ห่างไกลจากความเรียบร้อยหรือความปกติ

“ตอนนี้ก็โอเคแล้วเนอะ แต่ถ้ารู้สึกเจ็บตรงไหนขึ้นมาต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลนะครับ อย่าปล่อยเอาไว้” แทนไทบอกกับศรีนวลแล้วหันมามองณลิสาเพื่อตรวจเช็กด้วยสายตาอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง

“ขอบคุณนะคะคุณแทน ถ้าไม่ได้คุณแทนช่วยอุ้มน้องลิซขึ้นมา พี่ต้องแย่แน่เลย”

“ไม่เป็นไรครับ เพื่อนบ้านกัน คนไทยเหมือนกัน เแล้วผมก็เต็มใจทำด้วยครับ”

“งั้นนี่จะกลับเลยใช่ไหมคะ”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนทำท่าจะเดินออกไป 

หญิงสาวที่หาจังหวะแทรกขึ้นมาไม่ได้ตั้งแต่เมื่อครู่นี้ก็ได้แต่พยายามหาจังหวะ พอเขาจะไปแล้วเธอถึงได้พูดออกมา “คุณแทนไทคะ ขะ...คุณเป็นสัตวแพทย์ไม่ใช่เหรอคะ” ทั้งที่ตั้งใจจะพูดว่า ‘ขอบคุณ’ แต่ไม่รู้ทำไมถึงถามออกไปอย่างนั้น ณลิสาอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดใหญ่ 

“อ้อ จริงด้วย ไม่เป็นไรหรอกน้องลิซ คล้ายๆ กันแหละ คนกับสัตว์ เนอะคุณแทน” ศรีนวลเป็นคนพูดขึ้น 

“ถ้าบาดเจ็บทั่วไปผมก็ช่วยได้อยู่นะครับ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม 

จากนั้นศรีนวลกับชายหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตู ณลิสานอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม พอครุ่นคิดถึงเรื่องที่จะต้องเจอต่อจากนี้ก็ปวดศีรษะขึ้นมา การที่ต้องมาอยู่ในสถานที่ใหม่แวดล้อมไปด้วยคนแปลกหน้าทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อนึกได้ว่าตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้โทร. คุยกับใครเลยก็รีบลุกขึ้นจากเตียง เดินไปยังกระเป๋าสะพายแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

คนแรกที่เธอนึกถึงคือวันจันทน์...

...แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะนึกถึงเธอมากกว่า เพราะเมื่อเปิดโทรศัพท์มาก็พบกับข้อความที่ฝ่ายนั้นฝากไว้ในโปรแกรมแชตเต็มไปหมด เทียบกับมารดาแล้ววันจันทร์เป็นห่วงเธอมากกว่า ทั้งที่ทุกคนเห็นเธอเป็นผู้หญิงแข็งแกร่ง ดูแลทุกคนในครอบครัวได้ มีเพียงน้องสาวของเธอเท่านั้นที่ยังเป็นห่วงและกลัวโน่นนี่แทนเธอไปหมด เธอนั่งตอบข้อความของวันจันทร์ทีละเรื่องอย่างใจเย็น เวลาที่แองเคอเรจช้ากว่าปารีสสิบชั่วโมง ในช่วงนี้วันจันทร์อาจจะยังนอนอยู่ ดังนั้นเธอจึงคิดว่าไม่โทร. ดีกว่า 

แต่นอกจากข้อความของวันจันทร์แล้วยังมีข้อความของกวินทร์ที่ส่งมาสอบถามความเรียบร้อย ซึ่งณลิสาก็คิดอยู่นานว่าจะตอบกลับเขาไปอย่างไรดีให้แสดงถึงความขอบคุณที่เธอมีให้

Nalisa : โอเค ถึงแล้ว

หญิงสาวขมวดคิ้วแน่นแล้วตัดสินใจลบข้อความ แล้วส่งอีกครั้ง

Nalisa : ถึงแล้ว โอเค 

จากนั้นก็พิมพ์คำว่า ‘ขอบคุณ’ เตรียมจะส่งไป แต่กวินทร์ตอบกลับมาเสียก่อน

Sky_walker : อ้อ โอเคครับ มีปัญหาอะไรก็บอกผมแล้วกัน

หญิงสาวลบแล้วตอบกลับแค่ว่า

Nalisa : อืม

หญิงสาววางโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงแล้วถอนหายใจ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองก็มีปัญหา เหมือนกับที่แอนดี้ไม่ยอมพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ เธอก็มีปัญหากับการพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ เหมือนกัน หมายความว่า...

เธอเป็นแบบแอนดี้น่ะเหรอ!!??

ไม่เอานะ...

ณลิสารีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้งแล้วส่งคำว่า ‘ขอบคุณ’ ยาวเหยียดติดต่อกันนับสิบคำให้กวินทร์ อย่างน้อยนี่คือจุดเริ่มต้นที่ดี

Sky_walker : โดนแฮ็กเหรอเนี่ย

หญิงสาวไม่ได้ตอบกวินทร์ เธอได้พิมพ์สิ่งที่อยากจะพูดออกไปแล้ว เท่านี้ณลิสาก็นอนหลับได้อย่างสบายใจ โดยลืมไปว่าวันนี้ทั้งวันเธอยังไม่ได้กินอะไรเลย ไม่รู้เป็นเพราะอากาศหนาวหรือเปล่าจึงทำให้เธอไม่รู้สึกหิวเลย 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะค่อยๆ ถูกดันเข้ามาด้านใน ใบหน้าของเอวาโผล่มาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องยังไม่นอน เธอจึงเดินเข้ามา ในมือข้างหนึ่งของเด็กสาวถือจานที่ด้านบนมีขนมปัง อีกข้างเป็นขวดนมขนาดสี่ร้อยห้าสิบมิลลิลิตร

“แม่ให้เอามาให้พี่ เขาจำได้ว่าพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย” เธอวางของเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้อง 

“ขอบ...คุณ”

“ก็แค่ขอบคุณ ทำไมต้องลากเสียงยาวขนาดนั้น นี่ตกบันไดจนสมองเสื่อมไปแล้วเหรอ” เอวายืนกอดอกมองไปยังสมาชิกใหม่ในบ้านด้วยท่าทางอวดดี 

ส่วนณลิสาที่เพิ่งกล่าวขอบคุณเด็กสาวไปก็แทบอยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบวินาทีที่แล้ว ณลิสาสงสัยว่าทำไมลูกบ้านนี้ถึงได้เป็นศูนย์รวมของความไม่น่ารักเข้าไว้ด้วยกันแบบนี้ ถ้าสองคนนี้เป็นน้องของเธอรับรองว่าจะต้องถูกสั่งสอนด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างของเธอแน่

“เอาเถอะ ยังไงพี่ก็อยู่ไม่รอดหรอก เตรียมจองตั๋วเครื่องบินกลับได้เลย เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน” พูดจบเอวาก็หมุนกายออกไปโดยที่เปิดประตูห้องทิ้งไว้อย่างนั้น 

ณลิสาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่มีแรงจะโมโหต่อเพราะหิวจนตาลาย เธอลุกขึ้นไปกินขนมปังที่เอวาเอามาให้ จากนั้นก็ต้องคายออกอย่างรวดเร็วเพราะสิ่งที่คิดว่ามันเป็นน้ำตาลนั้นคือ...เกลือ!!!

“ไอ้เด็กเวร...” หญิงสาวพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตนเองเอาไว้ มองไปทางขวดนมแล้วหยิบขึ้นมาดม เมื่อไม่พบกลิ่นประหลาดจึงลองชิมไปนิดหน่อย นมเป็นสิ่งเดียวที่เอาเข้าปากได้ในตอนนี้ ดังนั้นเธอจึงกระดกดื่มจนหมดขวด 

ขอให้รอดวันนี้ไปได้ก็พอ!!

 

เช้าวันรุ่งขึ้นณลิสาบอกเรื่องขนมปังทาเกลือกับศรีนวล เมื่อได้ยินเรื่องราวแล้วเจ้าของบ้านก็ทำท่าทางตกใจ เธอหันไปต่อว่าเอวา แต่อีกฝ่ายสวมหูฟังแล้วตักอาหารเช้า ไม่ได้สนใจสิ่งที่มารดาพูด ณลิสาที่เป็นคนนอกเห็นแล้วก็เลือดขึ้นหน้า ถ้าเป็นที่บ้านของเธอ เด็กอย่างเอวาจะต้องโดนทุบสักทีสองที แต่ศรีนวลไม่ได้เลี้ยงลูกแบบนั้น

“อีฟ ได้ยินหรือเปล่า เอาหูฟังออก” เดวิด สามีของศรีนวลเดินมาพูดกับลูกสาวเป็นภาษาอังกฤษ

เอวาดึงหูฟังออก แต่ยังทำหน้าไม่สนใจใครเหมือนเดิม

ณลิสาเพิ่งเจอเดวิดเมื่อสักครู่ เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ มีผมสีน้ำตาลเข้ม ผิวขาว สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่ดูเหมือนจะเป็นยูนิฟอร์มของบริษัทที่ทำงานอยู่ เขาเอ่ยทักทายผู้มาอยู่ใหม่ด้วยรอยยิ้มไม่กี่คำ ก่อนจะเตรียมตัวออกไปทำงาน

“ปรับตัวได้หรือยัง ง่วงนอนอยู่หรือเปล่า” ศรีนวลถามขึ้น

“โอเคแล้วค่ะ วันนี้น้าศรีนวลจะไปที่ร้านหรือเปล่าคะ”

“ไปค่ะ วันนี้ลิซไปกับน้านะ จะได้ไปเที่ยวแถวทาวน์สแควร์ด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้เริ่มเรียนคอร์สอีเอสแอล4” เจ้าของบ้านพูดก่อนจะรินน้ำจากเหยือกให้ณลิสา 

หญิงสาวยิ้มน้อยๆ กำลังจะกล่าวขอบคุณ ศรีนวลก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

“แล้วก่อนหน้านี้ลิซทำงานอะไรเหรอ”

“ก็...ทำไร่ค่ะ ช่วยพ่อกับแม่ทำไร่อยู่เชียงราย” หญิงสาวตอบ

“อ๋อ ดีจังเลย น้าก็คิดถึงเมืองไทยเหมือนกัน ร้อนหน่อย แต่ก็อบอุ่นดี”

“น้าศรีนวลมาอยู่ที่นี่นานแล้วเหรอคะ”

“ที่นี่ไม่นานหรอก ไม่กี่เดือนเอง แต่ถ้าถามว่ามาอยู่อเมริกานานหรือยัง ก็นะ...สักยี่สิบกว่าปีได้แล้วมั้ง ก่อนหน้านี้อยู่ซานฟรานซิสโกแถวๆ บ้านแม่ของคินกับกายนั่นแหละ พอดีเดวิดแฟนน้าต้องย้ายมาทำงานที่นี่ก็เลยขนกันมาหมด” เธอเล่าเสียงเรียบ 

คนฟังอย่างณลิสาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าตกใจอะไร ชีวิตของศรีนวลที่นี่คงเรียกได้ว่าเป็น ‘บ้าน’ ทว่าสำหรับเธอนี่ไม่ใช่แค่ต่างประเทศ แต่เป็น ‘ต่างดาว’ ที่มีมนุษย์ต่างดาวอย่างแอนดี้ เอวา และเจ้าหมาสีดำนั่น จากที่เธอเฉยๆ กับเด็กและสัตว์เลี้ยง กลับกลายเป็นตอนนี้เธอไม่ถูกชะตากับสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ทั้งสามเสียแล้ว

“แอนดี้มันซน แต่ก็น่ารักนะ พูดดีๆ ก็เชื่อ ว่าไหมล่ะจ๊ะ” 

พอศรีนวลพูดจบแล้วณลิสาก็แทบสำลักน้ำ แต่มาคิดอีกทีก็เป็นปกติที่ผู้เป็นแม่จะคิดอย่างนั้น ใครๆ ก็ต้องมองลูกตัวเองน่ารักที่สุดอยู่แล้ว แม้ว่าในความเป็นจริงจะไม่ได้ใกล้เคียงเลยก็ตาม ณลิสายังพอทำใจกับเรื่องนั้นได้ แต่เรื่องที่เธอต้องจัดการคือทำให้แอนดี้กับเอวารู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวกับเธออย่างไร

“น้าศรีนวลคะ แอนดี้มีอะไรที่กลัวหรือไม่ชอบบ้างไหมคะ ลิซจะได้จำเอาไว้” หญิงสาวถามขึ้น

“แอนดี้เหรอ เขาชอบสัตว์นะ ไม่เคยเห็นเขากลัวอะไรเลย ของกินก็ไม่ได้แพ้อะไร กินได้ทุกอย่าง เรื่องเรียนก็...เห็นอย่างนั้นแต่เรียนเก่งนะ เล่นกีฬาก็ได้ มนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับเพื่อนได้ แต่ค่อนข้างจะจินตนาการสูงและเอเนอร์จีเยอะไปหน่อย” 

คำบอกเล่าของศรีนวลทำให้ณลิสาแปลกใจมากขึ้นไปอีก ที่อีกฝ่ายพูดมาทั้งหมดนั่นเหมือนเรื่องที่ถูกเขียนขึ้นมาจากความจริงแค่สามในสิบส่วน เธอไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะคิดว่าคงไม่ได้ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์จากแม่ของเด็กแน่

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จศรีนวลก็ขับรถพาณลิสาไปยังร้านอาหารของตัวเอง ระหว่างทางก็พูดเรื่องความเป็นอยู่ที่นี่ ของที่จะหาซื้อได้แถวนี้ รวมถึงเมืองใกล้เคียงที่น่าเที่ยว ซึ่งณลิสาไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไรเพราะเธอคิดว่าตัวเองไม่ได้มาเที่ยว แต่มาเรียนให้จบเพื่อลบปมด้อยของตัวเองเท่านั้น

“เดี๋ยวเราต้องหารถสักคันให้ลิซเอาไว้ใช้ ที่นี่มีรถบัสอยู่ แต่ไม่ได้วิ่งถึงถนนบ้านเราหรอก ยังไงก็ต้องมีรถเอาไว้ขับ” 

“แล้วลิซต้องทำยังไงบ้างคะ” ณลิสาถามขึ้น

“ลองขับพวงมาลัยซ้ายก่อนแล้วกัน ฝึกให้ชิน หารถมือสองสักคันได้แล้วก็ค่อยไปสอบใบขับขี่ ถ้าเราไม่ถอดใจอยากกลับบ้านก่อน ก็ต้องสอบผ่านให้ได้ จะได้ไม่ลำบากเวลาเดินทาง น้าเองก็ต้องทำงานตลอด ไม่มีเวลาไปรับไปส่งหรือพาเราไปทำธุระทุกครั้ง” ศรีนวลว่า 

ณลิสาพยักหน้าบ่งบอกว่ารับรู้สิ่งที่อีกฝ่ายบอกเรียบร้อยแล้ว ความจริงหญิงสาวไม่ใช่พวกอ่อนต่อโลกหรือต้องการให้ใครมาประคับประคองอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะเธอโตมากับการที่คนรอบกายให้ความสำคัญอยู่ตลอด ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง แต่ที่นี่...หลังจากได้ฟังที่ศรีนวลพูดแล้วเธอก็ตระหนักได้ว่าต้องปรับตัว

ตอนที่ไปถึงร้านอาหารของศรีนวลแล้วเธอก็เห็นว่ามีคนไทยทำงานอยู่ที่นี่สองคน ศรีนวลแนะนำสองคนนี้กับเธอ คนแรกเป็นผู้ชายตัวสูง ผิวขาว ตาชั้นเดียว ชื่อว่า ‘อาคม’ เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ความสูงของเธออยู่แค่ระดับไหล่ของณลิสา ศรีนวลแนะนำว่าเธอชื่อ ‘วิมาลา’ เป็นหญิงสาวผิวสีแทน ใบหน้าคมคาย ในสายตาของณลิสานั้นวิมาลาถือว่าเป็นคนสวยจัดคนหนึ่งเลย เธอเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งมหาวิทยาลัยเดียวกันกับอาคม โดยสองคนนี้มีชื่อเล่นอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘อาตี๋’ กับ ‘วีวี่’

“ตอนที่มาเปิดร้านใหม่ๆ สองคนนี้ก็รีบมาสมัครงานเลย ใช้ความเป็นคนไทยเข้ามากดดันน้า” ศรีนวลพูดด้วยท่าทางเอ็นดู 

“ทำงานได้ด้วยเหรอคะ” ณลิสาถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะตอนขอวีซ่ามาที่นี่เธอก็อ่านรายละเอียดมาว่าวีซ่า F-15 ไม่สามารถทำงานนอกแคมปัส6 ได้ ซึ่งตอนนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นักเพราะไม่ได้คิดจะทำงานอะไรระหว่างเรียนอยู่แล้ว เธอต้องการแค่ประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องที่อยู่แลกกับการช่วยศรีนวลดูแลแอนดี้และความเรียบร้อยของบ้านเท่านั้น

“สองคนนี้สัญชาติอเมริกันน่ะ เกิดที่นี่ โตที่นี่ เป็นญาติกันด้วย” ศรีนวลอธิบาย

“ญาติกัน?” ณลิสาพูดทวนอีกครั้งก่อนจะมองหนุ่มสาวตรงหน้า สองคนนี้ไม่มีตรงไหนเหมือนกันเลย ทั้งหน้าตาและสีผิว แต่ก็อย่างว่า ลูกพี่ลูกน้องมีหน้าตาไม่เหมือนกันเยอะแยะ

“ค่ะ พ่อเราเป็นพี่น้องกัน” วิมาลาว่า

“ว่าแต่พี่ลิซจะมาทำงานที่นี่ด้วยกันเหรอครับ” อาคมถาม เขามองไปที่หญิงสาวผู้มาใหม่ด้วยตาเป็นประกาย เวลาเขาเจอคนไทยที่เพิ่งมาอยู่ที่นี่ทำให้เลือดในกายสูบฉีด อยากจะเป็นที่ปรึกษาและแนะนำทุกอย่างในเมืองนี้ด้วยประสบการณ์ที่ตัวเองมี

“เปล่าหรอก ลิซเขาจะมาช่วยน้าเลี้ยงแอนดี้” ศรีนวลตอบแทน

“ฮะ!?” เสียงของอาคมกับวิมาลาดังขึ้นพร้อมกัน

“ไหวเหรอคะ” วิมาลาถามขึ้นหลังจากที่ตั้งสติได้

“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะวีวี่” เจ้าของร้านถามกลับ

“อ๋อ กลัวว่าเรียนไปเลี้ยงแอนดี้ไปจะเหนื่อยค่ะ ไม่ได้ว่าแอนดี้เป็นเด็กมโน ชอบเอาต้นไม้ตกแต่งมาวางเรียงกันแล้วบอกว่าเป็นป่าหิมพานต์อะไรพวกนั้นนะคะ น้องปกติดี วีวี่รู้สึกได้” ยิ่งวิมาลาพูด ยิ่งทำให้ศรีนวลขมวดคิ้ว 

ณลิสาที่กำลังฟังอย่างตั้งใจยังจับประเด็นที่หญิงสาวตรงหน้าพูดไม่ได้ ไม่รู้ว่าวิมาลากำลังชมแอนดี้หรือด่าอยู่กันแน่

“ไปดูในครัวกันดีกว่าเนอะ” เจ้าของร้านตัดบทก่อนจะพาณลิสาเดินเข้าไปด้านใน ร้านของศรีนวลมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีโต๊ะสำหรับนั่งไม่เกินสิบโต๊ะ วิมาลาบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบมาซื้ออาหารกลับไปกินที่บ้านมากกว่า เพราะตอนค่ำนั้นอากาศหนาวมาก ถ้าไม่ได้มีโอกาสพิเศษจริงๆ หรือมีงานที่สวนสาธารณะก็จะไม่ค่อยมีลูกค้ามานั่งตอนกลางคืนเท่าไร 

“เดี๋ยวน้าจะดูบัญชีสักหน่อย ลิซออกไปเดินเล่นข้างนอกก็ได้นะ จำหน้าร้านไว้ดีๆ ” ศรีนวลว่า

ณลิสาพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปนอกร้าน ตรงหน้าเธอนี้คือสวนสาธารณะ มีดอกไม้หลากหลายสีปลูกเรียงรายตามทางอย่างสวยงามและเรียบร้อย ตามทางเดินกับที่นั่งมีคนนั่งอยู่ประปราย บ้างก็เป็นคู่รัก บ้างก็เป็นแม่พาลูกเล็กๆ มาเดินเล่น มีลมหนาวพัดมาเบาๆ ให้ความรู้สึกเย็นสบายไร้ความกังวล ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอรู้สึกแบบนี้

เป็นอิสระ...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น