7

พันธุรัต VS สังข์ทอง

7

พันธุรัต VS สังข์ทอง

 

ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้ที่ทำให้เด็กที่อยู่ห่างครึ่งโลกสามารถดูละครไทยพื้นบ้านผ่านอินเทอร์เน็ตได้ แล้วณลิสาก็ต้องขอบคุณตัวเองด้วยที่มีความอดทนต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้จนถึงตอนนี้ แม้ว่าบางครั้งจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะควบคุมอย่างตอนนี้ที่ต้องมาตามเด็กที่กำลังแต่งตัวให้สุนัขกลายเป็นม้านิลมังกร

“แอนดี้ ไปกินข้าวได้แล้ว” หญิงสาวยืนพูดอยู่หน้าห้องของแอนดี้เป็นรอบที่สิบ

“แกนี่สวยงามจริงๆ เจ้าม้านิลมังกร”  แอนดี้ทำท่าจะขึ้นไปขี่หลังของหมีควาย แต่เพราะตัวของเขาหนักเกินกว่าที่จะสุนัขตัวใหญ่วัยสองปีจะรับได้ หมีควายจึงทิ้งตัวลงไปนอนที่พื้น 

ภาพตรงหน้าทำให้ณลิสาต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มันเป็นหมา ไม่ใช่ม้า เลิกขี่มันได้แล้ว เดี๋ยวก็ตายพอดี” ณลิสาว่า

“น่าเบื่อชะมัด แกจะยอมแพ้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอหมีควาย เกิดเป็นหมาต้องสู้สิ” แอนดี้ยังคงไม่สนใจพี่เลี้ยงคนใหม่ของเขา แต่พูดกับเจ้าสุนัขพันธุ์นิวฟาวน์แลนด์สีดำที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น ในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะไม่ได้เป็นอะไรเลย แค่แกล้งหมดแรงเพราะไม่อยากเป็นม้านิลมังกรให้แอนดี้ขี่เล่นเท่านั้น หากจะถามณลิสาแล้ว หมีควายมีทักษะในการแสดงสูงมากจริงๆ ถ้าเกิดมาเป็นคนจะต้องเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงแน่

“ก็รู้นี่ว่ามันเป็นหมา มโนอยู่ได้ รีบลงมากินข้าว” หญิงสาวพูดอีกครั้งด้วยความอดทน ถ้ามีครั้งที่สามเธอคงพุ่งไปกระชากเจ้าเด็กสังข์ทองนี่แล้วลากลงไปข้างล่างแน่

“หนวกหูชะมัด รู้แล้วน่า รอแป๊บ ปิดประตูด้วย จะเปลี่ยนเสื้อผ้า มารยาทน่ะรู้จักไหม” 

พอได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับแล้วณลิสาก็เลือดขึ้นหน้า แต่ความอดทนของเธอมีมากกว่าที่คิด เธอโตพอที่จะควบคุมตัวเอง ไม่พุ่งไปจิกผมของคนตรงหน้าแล้วตบตีเหมือนที่ทำกับอนาคินแน่ อย่างไรแอนดี้ก็เป็นเด็ก แล้วก็ไม่ได้ล่อลวงน้องสาวของเธอด้วยความเจ้าเล่ห์แบบนั้น

เธอเป็นคนศิวิไลซ์แล้ว...ต้องใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

“ห้านาทีนะ” เธอบอกกับแอนดี้ก่อนจะลงไปชั้นล่าง ที่บ้านหลังนี้กินอาหารเย็นกันตอนหนึ่งทุ่มโดยพร้อมหน้าพร้อมตา สามีของศรีนวลนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะกินข้าว สักพักก็ลุกไปที่ห้องนั่งเล่น บนโต๊ะตรงนั้นมีคอมพิวเตอร์แลปทอปวางอยู่ เขาดูเหมือนหัวหน้าครอบครัวที่งานยุ่งตลอดเวลา ตั้งแต่มาที่นี่ณลิสาเจอเขารวมเวลาแล้วไม่ถึงสิบนาที คือเมื่อเช้ารวมกับตอนนี้ด้วย นอกจากศรีนวลที่พูดคุยกับสามีบ้างสองสามประโยคแล้วก็มีเอวาที่ถูกดุเมื่อเช้าตอนที่ใส่หูฟังกินข้าว ส่วนแอนดี้นั้นเธอยังไม่เห็นว่าเขาได้พูดอะไรกับพ่อเลย เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะทำตัวหยาบคายได้

อยู่ๆ หญิงสาวก็สะดุดใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด เธอเองก็ทำตัวหยาบคายกับคนอื่นเหมือนกัน แม้จะอยู่ในขอบข่ายของการทำงานแต่ก็ต้องยอมรับว่าหลายสิ่งที่เธอพูดออกไปอาจกระทบจิตใจของคนฟังมากกว่าที่ความคิดในตอนนั้นจะนึกได้

สิบห้านาทีต่อมา...

“งั้น...หนูกินก่อนแล้วกันนะ หิวจะตายแล้ว” เอวาพูดขึ้น

“ไม่ได้ รอแป๊บนึง เดี๋ยวพี่ไปตามแอนดี้อีกที” ณลิสาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง 

หญิงสาวเคาะประตูแล้วยืนรอสักพัก แอนดี้ก็ไม่เปิดประตู พอร้องเรียกก็ไม่ตอบรับ ดังนั้นเธอจึงเปิดประตูเข้าไปเลย โชคดีที่เขาไม่ได้ล็อกประตู

ในห้องมืดสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นของสุนัขมากกว่าของคน ในเวลาแค่สิบห้านาทีไม่มีทางที่แอนดี้จะนอนหลับได้แน่ ในขณะที่ณลิสาเดินเข้าไปในห้องก็พยายามจะควานหาสวิตช์ไฟที่จำได้ว่าเคยเห็นอยู่ข้างๆ ผนังห้องใกล้กับประตู พอเธอคลำเจอสวิตช์นั้นแล้วก็รับกดเปิดทันที ไฟสว่างขึ้นพร้อมๆ กับที่สายตาของเธอสะดุดเข้ากับร่างของแอนดี้ที่นอนอยู่บนพื้น

ณลิสาตกใจรีบปรี่เข้าไปหาแอนดี้ เรียกชื่อเขาแล้วใช้มือตบที่ใบหน้าอย่างแรง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบรับก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

“ช่วยด้วยค่ะ!! ช่วยด้วย” 

เพียงไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ศรีนวลกับเดวิดพุ่งเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังนอนอยู่บนพื้นก็ยืนมองอยู่อย่างนั้น เอวาเดินขึ้นมาทีหลัง เธอเอาตัวพิงกับขอบประตูแล้วถอนหายใจ

“พาแอนดี้ไปโรงพยาบาลเลยไหมคะ” ณลิสายังคงตกใจที่แอนดี้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เธอไม่กล้าจับเขาให้ขยับตัวเพราะกลัวว่าจะทำผิดวิธี

“ไม่ต้องหรอก แอนดี้มันแกล้งตาย เดี๋ยวดูนะ” เอวาเดินเข้ามาแล้วใช้นิ้วจิ้มที่เอวของน้องชาย ทันใดนั้นแอนดี้ก็ขยับก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาด้วยท่าทางสุขใจ หมีควายเดินเข้ามาเลียหน้าเด็กชายราวกับจะบอกว่าแผนการสำเร็จแล้ว แต่ใบหน้าของคนที่ถูกหลอกกลับไม่มีความขบขันใดๆ 

“ไปเถอะแอนดี้ กินข้าว หิวจะตายอยู่แล้ว” เอวาว่า

เมื่อเห็นว่าศรีนวลกับเดวิดไม่พูดหรือต่อว่าอะไรลูกชายสักคำ ณลิสาก็หงุดหงิดใจ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเพิกเฉย อย่างน้อยก็ควรตักเตือนเสียหน่อย 

“น้าศรีนวลไม่ว่าเหรอคะที่แอนดี้แกล้งนอนนิ่งให้คนเข้าใจผิดแบบนี้” ณลิสาถามไปต่อหน้าตรงๆ

“แอนดี้ทำแบบนี้บ่อย เราชินกันแล้วละ เป็นเด็กขี้เล่นน่ะ”

“แล้วถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ แล้วทุกคนคิดว่าเขาแกล้งล่ะคะ” หญิงสาวถามกลับ

“คือ...”

“อย่าหาว่าลิซสอนเลยนะคะ  แต่น้าศรีนวลต้องการให้ลิซมาเป็นพี่เลี้ยงช่วยดูแอนดี้ เพราะฉะนั้นก็ต้องให้สิทธิ์ในการสั่งสอนด้วย ถ้าน้าศรีนวลไม่ชอบที่ลิซจะทำแบบนี้ เราคงต้องคุยกันใหม่” 

หลังจากณลิสาพูดจบ ศรีนวลกับเดวิดก็หันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติ 

“โอเคนะ ผมเห็นด้วย” เขาพูดกับภรรยาเป็นภาษาอังกฤษ

“แต่ว่า...”

“ลิซไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน ไม่ได้รักเด็ก ไม่ได้รักสัตว์ แต่ก็ไม่ได้เกลียดหรือมีอคติแน่นอน ถ้าน้าศรีนวลรับไม่ได้ ลิซก็คงดูแอนดี้ให้ไม่ได้หรอกค่ะ” ณลิสาทำสีหน้าจริงจัง เธอเป็นคนประเภทยอมหัก ไม่ยอมงอ ถ้าศรีนวลไม่พอใจในการทำงานของเธอแล้วละก็ เธอพร้อมที่จะหาที่อยู่ใหม่และยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้น

“แต่น้าไม่ตีลูกนะ”

“ลิซไม่ตีแอนดี้หรอกค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นน้าก็ให้ลิซดูแลเลย ถ้าคิดว่าอยู่ในขอบเขตที่แอนดี้จะไม่เจ็บตัวหรือเป็นอันตราย น้าเข้าใจได้” ศรีนวลว่า ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนเลี้ยงลูกตามใจ อาจจะเพราะทำงานจนไม่มีเวลาดูแลสั่งสอนแอนดี้ จึงอยากชดเชยให้ด้วยการยอมให้ลูกทำอะไรตามอำเภอใจ

“งั้นเริ่มจากเรื่องนี้ก่อนเลยค่ะ แอนดี้ต้องบอกว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก ถ้าเล่นแบบนี้อีกครั้งก็ห้ามใช้อินเทอร์เน็ต” ณลิสาว่า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครแย้ง ยกเว้นเอวา

“เดี๋ยวก็หูแตกกันหรอก” 

“หมายถึงอะไร” ณลิสาถามกลับ

“รอฟังเอาเองแล้วกัน เดี๋ยวไปหาอะไรอุดหูก่อน” พูดจบเด็กสาวก็เดินออกไปทันที 

ส่วนศรีนวลกับเดวิดยิ้มเจื่อนๆ แล้วเดินออกไปเหมือนกัน เหลือเพียงณลิสากับแอนดี้ที่ยืนมองหน้ากันอยู่ในห้อง

“เอาละ บอกมาว่าจะไม่ทำอีก” 

“ไม่บอก” แอนดี้เบ้ปาก 

นี่ไม่ใช่เรื่องผิดคาดอะไรสำหรับเธอ หญิงสาวเดินไปบนเตียงแล้วหยิบไอแพดของเด็กชายขึ้นมาถือเอาไว้ ในเมื่อไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับรหัสไวไฟ เธอจึงคิดว่ายึดเครื่องเอาไว้ก่อนก็เป็นความคิดที่ดี

“เอามานะ!!”

“ไม่!!” เธอเบ้ปากใส่แบบเดียวกับที่แอนดี้ทำเมื่อครู่ ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องของแอนดี้แล้ววิ่งเข้าห้องของตัวเอง ไม่นึกว่าเซเลบอันดับต้นๆ ของวงการบันเทิงเมืองไทยจะต้องมาตีกับเด็กสิบขวบที่แองเคอเรจ แต่ในเมื่อไม่มีใครเห็นก็ไม่เป็นไร แค่ทำสิ่งที่ควรทำก็พอ เมื่อคิดได้ดังนั้นณลิสาก็ล็อกประตูห้องเรียบร้อย จัดการซ่อนไอแพดเสร็จ เธอก็ได้ยินเสียงเพลงดังลั่นชนิดที่บ้านใกล้เรือนเคียงต้องหนวกหูแน่

ณลิสาเปิดประตูออกมาแล้ววิ่งไปที่ห้องของแอนดี้ เสียงเพลงดังมาจากห้องนี้ไม่ผิดแน่ ทว่าเขาล็อกประตูอยู่ ไม่ว่าเธอจะเรียกหรือเคาะประตูก็ดูเหมือนว่าเสียงทั้งหมดจะถูกกลืนหายไปกับเสียงเพลงในห้อง ศรีนวลวิ่งขึ้นมาจากชั้นล่างพร้อมกุญแจห้องในมือราวกับนี่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ พอไขเข้าไปก็เห็นแอนดี้กำลังเต้นอยู่อย่างเมามัน

พี่เลี้ยงสาวมือใหม่กำหมัดแน่น ถ้าเจ้าเด็กนี่เป็นลูกหลานของเธอจะต้องถูกทุบแน่นอน แต่ในเมื่อกฎของศรีนวลคือการไม่ใช้กำลังกับแอนดี้ เธอจะต้องใช้วิธีการอื่นแทน หญิงสาวเดินเข้าไปที่ลำโพงต้นเสียงแล้วชักปลั๊กออกทันที ทุกอย่างเงียบโดนพลัน เจ้าหมีควายวิ่งเข้าไปมุดอยู่ใต้เตียง ส่วนเจ้าของห้องชี้นิ้วมาทางเธอแล้วพูดว่า

“คืนไอแพดมาถ้าไม่อยากถูกตำรวจจับ” เขาข่มขู่

“ตำรวจจะจับพี่ทำไม” ณลิสาถามกลับ

“ก็บ้านไหนเปิดเพลงเสียงดัง ตำรวจก็ต้องมาจับไง”

“ก็ตอนนี้เสียงไม่ดังแล้ว ไม่ดังตลอดไป” พูดจบหญิงสาวก็ดึงสายไฟทั้งหมดออกให้เหลือแต่ตัวลำโพงไว้อย่างเดียว ถ้าเขาทำเสียงดังจากลำโพงนี่ได้ เธอคงต้องยอมแพ้แล้ว

“แม่ ไม่เอายายนี่นะ ไล่กลับไปเลย”

“ไม่เอาก็ต้องเอา ทำตามที่พี่เขาบอก” ศรีนวลแข็งใจพูดกับลูกชายไปแบบนั้น ความจริงเธอก็จนปัญญาที่จะหาพี่เลี้ยงมาดูแลแอนดี้แล้ว แทบไม่มีใครทนลูกชายของเธอได้เกินสองสัปดาห์ เก่งหน่อยก็อยู่เป็นเดือน ที่ผ่านมาพี่เลี้ยงที่มาทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นยังทนกันไม่ได้ ส่วนณลิสาที่ต้องอยู่ที่นี่ตลอดคงต้องใช้ความอดทนมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่า ดังนั้นเมื่อช่วยเหลืออะไรได้ เธอก็ต้องทำ จะมัวตามใจแอนดี้อย่างที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว

ณลิสาหันไปยิ้มให้แอนดี้อย่างผู้ชนะ ในขณะที่เด็กชายผู้ถูกเหยียดยามโมโหสุดๆ แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเก็บงำความแค้นเอาไว้ในใจ 

“เดี๋ยวลิซจัดการเองค่ะ” ณลิสาหันไปพูดกับศรีนวล

ศรีนวลมองสลับไปมาระหว่างลูกชายกับพี่เลี้ยงคนใหม่ ก่อนจะถอนใจแล้วเดินลงไปข้างล่าง มีเพียงแอนดี้กับณลิสาที่ยืนมองหน้ากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“ลงไปกินข้าว”

“ไม่กิน พรุ่งนี้ก็ไม่กิน”

“งั้นตามใจนะ” หญิงสาวเดินลงไปชั้นล่าง 

“แอนดี้ล่ะลิซ” ศรีนวลถาม

“เขาบอกไม่อยากกินค่ะ ไหนอาหารของแอนดี้คะ” 

เมื่อได้ยินณลิสาถาม ศรีนวลก็ชี้ไปที่จานเปล่าที่อยู่ข้างเอวา 

พี่เลี้ยงมือใหม่เดินไปหยิบจานนั้นมาแล้วมองไปที่โต๊ะ “แอนดี้ชอบกินอะไรคะ”

“อ้อ เดี๋ยวน้าเอาใส่จานให้เอง” ศรีนวลหยิบจานจากมือของณลิสาแล้วเอาเนื้อชิ้นเล็ก ขนมปัง เนย กับผลไม้วางไว้ในจานเสร็จเรียบร้อยจึงห่อด้วยพลาสติกถนอมอาหาร แล้วยื่นให้ณลิสาเอาไปใส่ในตู้เย็น

“ไปทำแบบนั้นแอนดี้มันจะเกลียดเอานะ จะอยู่ด้วยกันได้เหรอ” เอวาเอ่ยขึ้นขณะกำลังจับจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์บนโต๊ะ

“อยู่ด้วยกันต้องชอบด้วยเหรอ ทำหน้าที่ของตัวเองไปให้ดีก็พอแล้ว” ผู้มาใหม่หันไปพูดกับเด็กสาววัยรุ่นที่ตอนนี้ละสายตาจากโทรศัพท์มามองเธอได้แล้ว

“พี่ดูเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีใครคบนะ” 

“อีฟ!!” ศรีนวลร้องปรามลูกสาว

“ก็จริงนี่คะ ไหนแม่ว่าพี่เลี้ยงใหม่ของแอนดี้ใจดีรักเด็ก ดูยังไงก็ไม่เหมือนเลย” 

“ใช่ค่ะ พี่ไม่ได้รักเด็ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ดูแลแอนดี้ไม่ได้” สายตาของณลิสาแน่วแน่ไม่ไหวติง ไม่ได้สนใจว่าใครจะพอใจในสิ่งที่เธอพูดหรือไม่ 

“พอแล้วน่าอีฟ ถ้าแกยังพูดต่อ แม่จะให้แกดูแลแอนดี้อีก เอาไหม” 

พอศรีนวลพูดจบ เอวาก็เงียบลงทันที 

การกินอาหารเย็นที่บ้านของศรีนวลยังไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไรสำหรับณลิสา แต่เธอไม่ได้สนใจเรื่องอื่น นอกจากว่าจะทำอย่างไรให้แอนดี้เลิกทำตัวมีปัญหา เธอคงจะบ้าตายแน่ถ้าต้องอยู่กับเด็กที่เอาสุนัขมาขี่แล้วจินตนาการว่าเป็นม้านิลมังกร ไหนจะอาการเรียกร้องความสนใจโดยการเปิดเพลงดังลั่นเพื่อให้เพื่อนบ้านแจ้งตำรวจนั่นอีก

น่าจับหักคอนัก!

หลังจากทุกคนกินข้าวเย็นเสร็จก็แยกย้ายกันไปทำกิจกรรมของตัวเอง ศรีนวลกับเดวิดนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เอวาขึ้นไปเก็บตัวอยู่บนห้องแล้วไม่ได้ออกมาอีก ส่วนณลิสาก็เข้าไปจัดของในห้องนอนที่ยังเอาออกมาไม่หมด เธอได้รับข้อความจากวันจันทร์ยาวเหยียดจึงค่อยๆ ตอบไปทีละเรื่อง พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแล้ว ศรีนวลบอกว่าเธอมีเวลาเรียนภาษาประมาณหกเดือนก่อนที่จะสอบวัดระดับภาษา ซึ่งอีกฝ่ายแนะนำว่าให้ลองไปสอบก่อนที่จะหมดคอร์ส ถ้าสอบไม่ผ่าน การยื่นเอกสารเพื่อสมัครเรียนมหาวิทยาลัยก็ต้องเป็นอันล้มเลิก เพราะเธอต้องใช้ผลการตอบรับของมหาวิทยาลัยเพื่อยื่นขยายเวลาวีซ่า 

แต่คนอย่างณลิสา...เธอไม่ยอมกลับไปให้ยายเจสซีและแอนตี้แฟนทุกคนหัวเราะเยาะแน่!!

หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมหยิบเอาหนังสือเตรียมสอบที่หอบหิ้วมาด้วยมานั่งอ่าน ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงก็รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมา ตั้งแต่มาที่นี่เธอดื่มน้ำน้อยมาก กว่าจะรู้ตัวว่าหิวน้ำก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อลงมาข้างล่างก็นำเหยือกน้ำที่ศรีนวลตั้งเอาไว้บนโต๊ะเทลงในแก้ว แต่ดื่มไปแค่สองสามอึกก็ไม่อยากดื่มต่อ ระหว่างที่กำลังจะเก็บแก้วเธอก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เธอเห็นเจ้าสิ่งนั้นไม่ชัดเจนนัก เพราะตอนนี้ที่ครัวมีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟติดผนังเท่านั้น

เธอเพิ่งมาอยู่บ้านหลังนี้ทำให้ไม่รู้ว่าสวิตช์ไฟอยู่ตรงไหน จึงได้แต่เดินเข้าไปใกล้เจ้าสิ่งที่ขยับอยู่นั้นทีละน้อย ไม่นึกว่ามาไม่กี่วันก็จะเจอเข้ากับโจรเสียแล้ว โชคดีที่เธอเรียนศิลปะการต่อสู้มาพอสมควรตอนที่ต้องรับบทตำรวจสาวที่สู้กับโจรพร้อมกันสิบคนยังชนะ นี่แค่คนเดียวเอง...

แม้จะเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง แต่เพื่อความไม่ประมาท เธอหยิบกระทะเล็กๆ สำหรับทอดไข่บนเคาน์เตอร์มาด้วย หญิงสาวเตรียมเงื้อมือหมายจะตีเจ้าของเงาตะคุ่มนั่น แต่แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงพูดที่คุ้นหู

“ไงหมีควาย อร่อยไหม” 

นี่เสียงแอนดี้!

“ทำอะไรน่ะ!?” ณลิสาร้องถามก่อนจะวางกระทะลงบนเคาน์เตอร์ 

แอนดี้ลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ ถึงแสงไฟจะไม่สว่างพอที่จะทำให้เห็นอะไรได้ชัดเจน แต่ณลิสาค่อนข้างแน่ใจว่ารอบปากของแอนดี้เขรอะไปด้วยเศษอาหาร

เขาแอบมากินอาหารนี่เอง...

“ไหนบอกไม่กินข้าวตลอดไป” ณลิสากอดอกแล้วยิ้มเยาะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น