4

เด็ก+สุนัข = นรก

4

เด็ก+สุนัข = นรก

 

ณลิสาไม่เคยมีประวัติในการใกล้ชิดกับเด็กมาก่อน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกมีอคติ ก่อนหน้านี้เธอเคยต้องถ่ายละครกับนักแสดงเด็กหลายคน ซึ่งพวกเขาก็ควบคุมตัวเองและทำงานได้เป็นอย่างดี ถึงจะมีงอแงบ้างก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่ต้องมาดูแล ทำให้ณลิสาไม่อาจตอบได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเด็ก

แต่ความรู้สึกของเธอที่มีให้แอนดี้ในตอนนี้คือ...อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

ระหว่างที่ศรีนวลกำลังขับรถกลับบ้าน เด็กชายก็ปีนป่ายอยู่ในรถ ขยับไปข้างหน้าทีข้างหลังที ในขณะที่ผู้เป็นแม่ดุด่าลูกชายไปตลอดทางจนแทบไม่มีสมาธิขับรถ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่กันมาอย่างไร เคยเกิดอุบัติเหตุอะไรสักครั้งหรือเปล่า กระทั่งรถของศรีนวลเบรกกะทันหันเพราะมีรถขับตัดหน้าตรงทางแยก ณลิสาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอจับแอนดี้ที่ยืนเต้นอยู่บนเบาะไว้ก่อนจะกดให้เขานั่งลงแล้วช่วยดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้ แต่ทันทีที่ถูกบังคับ เด็กชายก็ร้องโวยวายและจะพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยออก

“นางพันธุรัต นังยักษ์ชั่ว ฉันจะฆ่าแก!!”

“ถึงบ้านก่อนแล้วค่อยฆ่า อย่าเอาเข็มขัดออก ถ้าเอาออกจะจับกินเลย” พอณลิสาพูดจบแอนดี้ก็ทำเสียงฮึดฮัดแล้วหันไปหามารดา 

ศรีนวลยิ้มเจื่อนๆ ทำเป็นไม่สนใจ 

ท่าทางของณลิสาเหมือนกับจะจับแอนดี้กินจริงๆ อุณหภูมิในรถเหมือนจะเย็นกว่าอุณหภูมิข้างนอกเสียอีก เหตุการณ์สงบอยู่สักพัก ก่อนที่แอนดี้จะเปิดกระจกรถแล้วยื่นศีรษะออกไปด้านนอก 

“แอนดี้ เอาหัวเข้ามานะ เดี๋ยวรถชน” ศรีนวลร้องเสียงดัง

“แบร่ๆ” แอนดี้แลบลิ้นปลิ้นตากับคนข้างนอก ไม่ได้สนใจเสียงของศรีนวลเลยแม้แต่น้อย 

ส่วนณลิสานั้นรู้สึกตึงเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อไม่มีใครรู้จัก ไม่ต้องรักษาภาพพจน์ จึงยื่นมือเรียวบางไปด้านหน้าแล้วจับคอเสื้อด้านหลังของเด็กชายดึงออกมาจากหน้าต่าง แล้วปิดกระจก

“น้าศรีนวลล็อกกระจกด้วยค่ะ” ณลิสาว่า

ศรีนวลเพิ่งได้สติก็รีบกดล็อกกระจกหน้าต่าง ปกติแอนดี้ไม่เคยเปิดหน้าต่างแล้วยื่นศีรษะออกไปแบบนั้น ได้แต่เต้นอยู่ในรถแล้วร้องเพลง ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดคึกอะไรขึ้นมาถึงได้เล่นแผลงๆ 

“ขอโทษทีนะลิซ ลูกน้ามันซนนิดหน่อย แต่เดี๋ยวอยู่กันไปนานๆ ก็น่าจะเข้ากันได้แหละ” ศรีนวลหัวเราะแห้งๆ แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างที่ตนเองพูดหรือเปล่าก็ตาม

บ้านของศรีนวลอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากนัก ขับรถไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงบ้าน ตลอดทางที่ผ่านมาณลิสามองบรรยากาศรอบข้างด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะงานที่รัดตัวทำให้เธอไม่เคยมาเที่ยวประเทศทางแถบตะวันตกเลย พอได้มาเห็นกับตาแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก ที่นี่มีต้นไม้ สนามหญ้า ไม่มีความแออัด บ้านแต่ละหลังเว้นระยะห่างกันพอสมควร ดูเป็นส่วนตัวและสงบเรียบร้อยดี 

“น้ามาอยู่ที่นี่หลายเดือนแล้ว พอดีเดวิดแฟนน้าเขาได้งานที่นี่ก็เลยย้ายกันมาหมดทั้งครอบครัว” ศรีนวลเอ่ยขึ้นในขณะช่วยณลิสายกกระเป๋าลงมาจากหลังรถ เห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็แปลกใจเล็กน้อย เมื่อก่อนเธอรู้จักนักเรียนไทยที่มาเรียนอเมริกาหลายคน ทุกคนล้วนแล้วแต่ทะมัดทะแมง น้อยคนที่จะทำเหมือนกระเป๋าเดินทางเป็นหินก้อนใหญ่ที่ยกไม่ขึ้นแบบนี้

“ลิซอายุเท่าไหร่นะ กายบอกว่าลิซเป็นพี่สาวของเพื่อน ก็น่าจะแก่กว่ากายใช่ไหม” ศรีนวลถาม

“ยี่สิบเก้าค่ะ” ณลิสาตอบ

“อ้อ” เมื่อได้รับคำตอบศรีนวลก็ไม่ได้ทำท่าทางตกใจอะไร 

ตอนแรกณลิสาคิดว่าอีกฝ่ายจะถามเสียอีกว่าทำไมเธอถึงคิดจะมาเรียนต่อตอนอายุเท่านี้ คนอายุที่ใกล้สามสิบบางคนก็แต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว 

“น้าเองก็มาเรียนต่อหลังจากมีลูกคนแรกเหมือนกัน ลำบากมากเลยนะเลี้ยงลูกแล้วเรียนไปด้วยเนี่ย อ่านหนังสืออะไรก็ไม่เข้าหัวทั้งนั้น” อีกฝ่ายพูดไปเรื่อยเปื่อย 

แต่คนฟังกลับรู้สึกว่าสบายใจขึ้นเมื่อได้ยินแบบนั้น ชีวิตที่ไม่มีใครมาตัดสินหรือจ้องจับผิดมันเป็นแบบนี้เองสินะ

ณลิสาไม่ได้พูดอะไรต่อ ศรีนวลเองก็ไม่ได้เล่าอะไรต่อเกินความจำเป็น ยังมีเวลาที่จะต้องทำความรู้จักกันอีกนาน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเล่าเรื่องของตัวเองจนหมด หลังจากเข้ามาในบ้านแล้วแอนดี้ก็เดินชนณลิสาก่อนจะหันมาแลบลิ้นแล้ววิ่งเข้าไปด้านใน หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น เธอจะทนเด็กนี่ได้ถึงวันหรือเปล่านะ

บ้านของศรีนวลเรียกได้ว่าใหญ่สำหรับณลิสา ยิ่งอยู่ในประเทศที่ค่าครองชีพสูงแบบนี้ด้วยแล้ว แต่ตอนที่นั่งรถมา บ้านของคนแถวนี้ก็มีขนาดคล้ายๆ กัน อาจจะมีบ้านบางหลังที่ใหญ่กว่านี้สักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดูแตกต่างกันจนเห็นได้ชัด

“กายบอกหรือยังว่าบ้านน้าอยู่กันสี่คน มีน้า เดวิด เอวา แล้วก็แอนดี้ น้าเปิดร้านอาหารไทยอยู่ตรงทาวน์สแควร์ ปกติก็อยู่ร้านตลอดเลยต้องเอาแอนดี้ไปเลี้ยงที่ร้านด้วย จานชามแตกไปหลายใบแล้ว เคยหาจ้างเด็กวัยรุ่นแถวนี้เป็นพี่เลี้ยง วันสองวันก็หนีหายไปหมด แต่แอนดี้มันไม่ได้ซนมากหรอกนะ” ศรีนวลหัวเราะแห้งๆ พอนึกถึงเรื่องความซนของแอนดี้ก็ลืมไปว่าคู่สนทนาของตนคือคนที่จะมาช่วยดูแลลูกชาย หากณลิสารู้วีรกรรมของเจ้าลูกชายมากเกินไปอาจจะหนีหายไปเลยก็ได้ 

“ลิซเข้าใจค่ะ ลิซก็มีน้องสาวเหมือนกัน” ณลิสาว่า

“น้องของลิซก็ซนเหรอ”

“ตอนแรกก็ซนค่ะ แต่ลิซขู่ว่าจะจับกดน้ำ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยซนเท่าไหร่” หญิงสาวพูดเสียงเรียบในขณะที่ศรีนวลขนลุกขึ้นมาทันที ในความคิดของณลิสา วันจันทร์ไม่ได้จัดการยากเท่าแอนดี้ อาจเพราะเธอคุ้นเคยกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่เกิด แต่กับเด็กคนอื่นนั้นเธอไม่แน่ใจนัก คงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะรู้ว่าควรเอาอะไรไปขู่แอนดี้ดี

“ล้อเล่นน่ะค่ะ” ณลิสาว่าเมื่อเห็นสีหน้าเจ้าของบ้านเหมือนคนกำลังกลั้นหายใจอยู่

“เฮ้อ น้าตกใจหมดเลย ว่าอยู่แล้วว่าลิซดูท่าทางใจดีแบบนี้คงรักเด็กแน่ๆ”

“ค่ะ ก็คงงั้น” 

คำตอบของณลิสาทำให้ศรีนวลกังวลขึ้นมาอีกครั้ง แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่หลานชายแนะนำมา เธอจึงคิดว่านิสัยคงไม่ผิดจากที่กวินทร์เล่ามานัก เมื่อช่วยกันนำกระเป๋าขึ้นไปบนห้องนอนที่เตรียมไว้แล้ว ศรีนวลก็อธิบายให้ฟังว่าห้องนอนไหนเป็นของใคร ข้างห้องของณลิสาคือห้องนอนของเอวา ลูกสาวคนโตวัยสิบหกปี ส่วนห้องที่อยู่ตรงข้ามติดกับห้องน้ำคือห้องของแอนดี้กับหมีควาย

‘หมีควาย’ คือใครน่ะเหรอ...

ศรีนวลอธิบายว่าหมีควายคือสุนัขพันธุ์นิวฟาวนด์แลนด์สีดำตัวใหญ่อายุสองปีที่อาศัยนอนอยู่ในห้องของแอนดี้ หมีควายเป็นเพื่อนรักของเด็กชายวัยสิบปี และแอนดี้มักจะระบายความในใจให้สุนัขตัวนี้ฟังบ่อยๆ 

“คือลิซแพ้ขนสัตว์ค่ะ” ณลิสาว่า 

“เรื่องนั้นกายบอกแล้วละ ไม่ต้องห่วงนะ หมีควายมันพูดรู้เรื่อง ห้ามอะไรก็ฟัง แล้วน้าก็ทำความสะอาดบ้านทุกวัน ห้องของลิซก็เอาเครื่องฟอกอากาศไปไว้ให้แล้ว แต่ถ้ายังมีอาการแพ้ ยังไงน้าจะลองพาไปปรึกษาหมอดู ถ้ารู้สึกไม่สบายเมื่อไหร่บอกน้าได้เลยนะ” ศรีนวลว่า 

พอฟังแบบนั้นแล้วณลิสาก็เบาใจขึ้นเล็กน้อย เธอกลัวว่าศรีนวลจะมองว่าเธอเรื่องมาก กับเรื่องอื่นยังพอปรับตัวได้ แต่เรื่องภูมิแพ้นี่คงต้องบอกไปตรงๆ

“ค่ะ” หญิงสาวว่า

ศรีนวลมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ ดูจากใบหน้าหวานภายใต้กรอบแว่นสีดำนั่น ถ้าเพื่อนของหลานชายคนนี้ยิ้มสักหน่อยคงดูสวยขึ้นเป็นกอง หรือบางทีเจ้าตัวอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ถึงได้ทำหน้าเหมือนไม่ชอบทุกอย่างบนโลกเหมือนที่ทำอยู่ 

เมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง ณลิสาก็รีบเดินไปนั่งบนเตียงของตนเองแล้วทำท่าจะเปิดกระเป๋า 

เมื่อเห็นแบบนั้นศรีนวลก็ไม่กล้ารบกวน เธอบอกว่าให้ณลิสาจัดการข้าวของ นอนพักให้เรียบร้อยแล้วจะมาปลุก

ณลิสานำเสื้อผ้ากับของใช้ออกมาบางส่วนแล้วก็รู้สึกง่วงนอน เธอล้มตัวบนที่นอนแล้วเผลอหลับไปเลย จากที่ตอนแรกคิดว่าจะบอกคนในครอบครัวเสียก่อนว่ามาถึงแล้ว แต่เพราะต้องนั่งเครื่องบินมาอย่างยาวนานทำให้รู้สึกอ่อนเพลียจนไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้ 

เวลาผ่านไปณลิสาได้ยินเสียงเรียกของใครบางคน แต่หนังตาของเธอก็ยังปิดสนิท กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะ ตามมาด้วยแรงยุบของเตียง ในขณะที่เธอกำลังตั้งสติว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้ยินเสียงเล็กๆ ดังอยู่ข้างหู

“นางยักษ์ๆ แกจะต้องตายด้วยเกราะกายสิทธิ์ของข้า เปรี้ยงๆ” 

จากนั้นณลิสาก็รู้สึกว่าเหมือนกำลังถูกทับ มีบางอย่างกำลังขย่มอยู่บนร่างของเธอ 

“แอนดี้!! ลงมาเดี๋ยวนี้ พี่เขาเจ็บนะลูก” เสียงของใครอีกคนดังแทรกขึ้นมา 

ตอนนี้เธอเริ่มนึกออกแล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่ณลิสาเพลียเกินกว่าจะลุกขึ้นมาปกป้องตัวเอง ผ่านไปสักพักเธอจึงได้ยินเสียงปิดประตู จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงแรงมือที่จับตรงไหล่ของเธอแล้วเขย่าเบาๆ

“น้องลิซ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาหารเช้าแล้วจ้า” เสียงของศรีนวลทำให้ณลิสาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา 

“ยังไม่เช้าเลยค่ะ”

“เช้าแล้วจ้า ลิซนอนตั้งแต่บ่ายเมื่อวานจนถึงเช้าแล้ว ต้องรีบปรับเวลา” 

ศรีนวลรู้สึกเหมือนได้ลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เรื่องเวลาเป็นเรื่องที่ณลิสาต้องปรับตัวเป็นอย่างแรก ถึงจะรู้สึกเพลีย แต่ก็ต้องฝืนตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน ณลิสาพยายามฝืนแรงโน้มถ่วงหยัดกายขึ้นมาจากที่นอน แต่พอลืมตาได้สักพักก็ล้มลงไปบนเตียงอีก ศรีนวลส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเริ่มปลุกอีกครั้ง 

ในที่สุดณลิสาก็ตื่นขึ้นมาในบ้านที่ไม่คุ้นเคย อากาศที่แตกต่าง ประเทศที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เธอเดินงัวเงียออกจากห้องนอนแล้วเข้าไปยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ 

สวมแว่นแบบนี้ก็ไม่ได้แย่มาก ดูฉลาดน่าเชื่อถือ ใครจะมาว่าเธอสมองกลวงคงต้องคิดดูใหม่...

ระหว่างที่กำลังจ้องมองตัวเองในกระจกอยู่นั้น ด้านหลังของเธอก็มีเงาสะท้อนของเด็กสาวคนหนึ่งที่สวมแต่ชุดชั้นในเดินเข้ามานั่งลงบนชักโครกทั้งที่ยังหลับตา เมื่อเด็กสาวคนนั้นลืมตาขึ้นมาก็มีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด ก่อนจะกรีดร้องดังลั่น

“แม่!!! มีโจรเข้าบ้าน” ถึงจะร้องเสียงดังด้วยความตกใจระดับสิบ แต่เด็กสาวก็ขยับตัวไปไหนเพราะยังทำธุระไม่เสร็จ ในขณะที่ศรีนวลกับแอนดี้ที่วิ่งเข้ามาในห้องน้ำพร้อมกันก็ต้องเอามือปิดจมูก

ณลิสาเองก็ด้วย เธอตกใจเหมือนกัน แต่มากกว่าความตกใจคือเด็กสาวคนนี้กำลังถ่ายหนักโดยไม่สวมเสื้อผ้าและไม่ปิดประตู เมื่อได้สติหญิงสาวก็รีบแทรกตัวออกไปยืนหน้าห้องน้ำแทน ในขณะที่ศรีนวลยังหน้าตาตื่น

“ทำไมแกเข้าห้องน้ำไม่ลืมตาดูก่อนว่ามีคนอยู่ พี่เขาไม่ใช่โจร” ศรีนวลว่าก่อนจะดึงแอนดี้ออกมาแล้วปิดประตู เมื่อเห็นสายตางุนงงของผู้มาใหม่แล้วเธอก็หัวเราะแห้งๆ เพราะบางครั้งเอวาจึงชอบเดินใส่ชุดชั้นในเข้าห้องน้ำบ่อยๆ สำหรับคนบ้านนี้นี่เป็นเรื่องที่ชินตากันแล้ว 

“หนูจะไปรู้ได้ไง” เอวาตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ

“นั่นอีฟ ลูกสาวน้าเอง เดี๋ยวออกมาค่อยคุยกันดีกว่าเนอะ” ศรีนวลว่าก่อนจะจูงแอนดี้เดินลงไปชั้นล่างด้วยกัน 

ส่วนณลิสายังยืนอยู่ที่เดิม มองเจ้าสุนัขที่ชื่อ ‘หมีควาย’ กำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู

“สวัสดี” นี่เป็นครั้งแรกที่ณลิสาทักทายสัตว์เลี้ยงด้วยคำว่า ‘สวัสดี’ เมื่อก่อนเธอคิดว่าคนที่ชอบคุยกับสัตว์เลี้ยงเป็นพวกเพ้อเจ้อ อย่างอนาคินกับวันจันทร์ที่ชอบคุยกับแมวขี้โมโหตัวนั้น เธอจำชื่อแมวของว่าที่น้องเขยไม่ได้ แต่จำได้ว่ามันดุยิ่งกว่าสุนัขพันธุ์พิตบูลเสียอีก เธอแค่แอบมองนิดเดียว มันก็แยกเขี้ยวขู่ทันที แต่เจ้าสุนัขตัวนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน เธอไม่รู้ว่ามันอันตรายหรือไม่ มันแค่จ้องเธออยู่อย่างนั้นเงียบๆ ไม่ยอมขยับไปไหน

ณลิสาตัดสินใจที่จะเดินเลี่ยงผ่านมันไปเงียบๆ แต่แล้วเจ้าสุนัขสีดำก็ล้มตัวลงนอนกะทันหัน จนณลิสาร้องกรี๊ดเสียงดังลั่นเพราะคิดว่ามันจะพุ่งเข้ามากัด ศรีนวลรีบวิ่งขึ้นมาดูก็เห็นหมีควายกำลังนอนอย่างสบายใจ ในขณะที่แขกของเธอล้มลงไปนั่งอยู่กับพื้น

“หมีควายมันไม่ดุ ไม่กัดใครหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” นั่นดูเป็นคำปลอบที่ไม่ได้ช่วยสักเท่าไร 

ณลิสาถอนหายใจก่อนจะพยายามยันกายลุกขึ้น เจ้าหมีควายที่นอนอยู่บนพื้นก็พุ่งเข้ามางับที่ข้อเท้าของเธอราวกลับจะแกล้ง หญิงสาวไม่ได้รู้สึกเจ็บ แต่เพราะความกลัวทำให้เธอสะบัดขาออกแล้วก็เตะเข้าที่ปากของเจ้าหมีควายอย่างจัง

“ว้ายตายแล้ว!” ศรีนวลร้องอุทาน 

หมีควายลงไปนอนหงายที่พื้นแล้วร้องเสียง อิ๋ง อิ๋ง

แอนดี้วิ่งขึ้นบันไดมาทันที เมื่อเห็นเจ้าสุนัขสีดำตัวใหญ่กำลังนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้นก็ร้องไห้เสียงดัง ศรีนวลหัวหมุนทำอะไรไม่ถูก สักพักเอวาก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำแล้วดึงเสื้อแอนดี้

“แอนดี้ แกเอาแปรงล้างหน้าพี่ไปแปรงฟันหมีควายอีกแล้วใช่ไหม!” 

“หมีควาย ฮือ ฮือ อย่าตายนะ” 

แอนดี้ไม่ได้สนใจฟัง เขากอดหมีควายแน่น ในขณะที่ศรีนวลเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพยายามโทร. หาใครบางคน ส่วนณลิสายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มองเจ้าสุนัขเจ้าเล่ห์ที่กลอกตาไปมาแต่ไม่ยอมลุก แรงที่เธอเตะปากของเจ้าหมีควายนั้นไม่ได้หนักขนาดที่จะบาดเจ็บขนาดนั้น

เธอนึกว่ามนุษย์เสแสร้งเก่งเผ่าพันธุ์เดียวเสียอีก ที่แท้สุนัขก็เล่นละครเก่งเหมือนกัน!!

“น้องลิซช่วยน้าอุ้มหมีควายไปที่รถหน่อยได้ไหม” ศรีนวลว่า พอพูดจบเธอก็วิ่งออกไป ไม่รอให้ณลิสาตอบด้วยซ้ำ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากชั้นล่าง 

เอวายังคงเขย่าตัวน้องชายให้ตอบเรื่องแปรงล้างหน้า

“ฮือ หมีควาย ชาติหน้าเกิดใหม่ขอให้แกเป็นพี่สาวของฉัน” แอนดี้ว่า

“นี่แกจะเอาหมามาเกิดแทนฉันเหรอ”

“ฮือ ฮือ”

“เงียบนะแอนดี้ หนวกหู!” เอวาพยายามจะเอามือปิดปากน้องชายในขณะที่ตัวเองเสียงดังกว่าเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอีก

ยิ่งเห็นสภาพไม่ปกติของคนบ้านนี้แล้วณลิสาก็ยิ่งเวียนหัว

“พอได้แล้ว!! เงียบทั้งคู่แหละ แยก!!” ณลิสาตวาดเสียงดัง นี่เป็นเรื่องปั่นป่วนที่สุดในชีวิตของเธอแล้ว ครอบครัวของเธอไม่มีใครโวยวายเละเทะแบบนี้ กับวันจันทร์เองแค่เธอพูดว่า ‘อย่า’ หรือ ‘หยุด’ ทุกอย่างก็จบ ไม่มีการโต้เถียงหรือใช้กำลัง 

“ชื่ออีฟใช่ไหม ช่วยอุ้มหมาไปที่รถหน่อย พี่แพ้ขนสัตว์” คำพูดของณลิสาเปรียบเสมือนลมพัดสำหรับเอวา 

“ฮะ!! ตัวใหญ่ขนาดนี้อีฟอุ้มไม่ไหวหรอก หมาแกไม่ใช่เหรอแอนดี้ ช่วยเขาอุ้มไปสิ” เอวาส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง 

ณลิสามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างงงๆ เธออาจจะปฏิบัติกับวันจันทร์ไม่ดีนัก แต่หากมีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้น เธอจะไม่ลังเลเลยที่จะช่วยเหลืออีกฝ่าย

แต่ถึงจะพูดไปก็เท่านั้น คนมาใหม่ต้องใจเย็น...

“แอนดี้ ช่วยพี่อุ้มหมีควายหน่อย” ณลิสาตัดสินใจเจรจากับแอนดี้แทน

“แกมันฆาตกร นางพันธุรัต แกคิดจะกินหมีควายใช่ไหม”

ณลิสาหันซ้ายหันขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ด้วยแล้วก็ย่อกายลงแล้วจับไหล่ทั้งสองข้างของแอนดี้เอาไว้ เธอพูดด้วยเสียงกระซิบทุ้มต่ำ ฟังดูน่าขนลุกว่า

“เออ ถ้าเจ้าไม่ช่วยแบกหมาตัวนี้ลงไปจะแหวกท้องกินไส้ กินหัวใจให้หมดเลย เอาไหม...” 

เมื่อฟังแล้วเด็กชายก็ตัวแข็งทื่อ นึกถึงยักษ์ในละครไทยพื้นบ้านที่ตัวเองชอบดู พวกนางยักษ์ชอบแฝงตัวมาในร่างของมนุษย์ผู้หญิงหน้าตาดี พอสบโอกาสก็จะแปลงร่างแล้วจับคนกิน

“จะเอาไง” ณลิสากดดันเด็กชายต่อ

แอนดี้เม้มปากแน่นก่อนจะพยายามยกร่างของหมีควายขึ้น ณลิสาเองก็ช่วยด้วย แต่ออกแรงได้ไม่เท่าไรเธอก็ประเมินได้ว่าไม่ไหวแน่ๆ  ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจลงไปด้านล่าง บอกกับศรีนวลว่ายกหมีควายลงมาไม่ไหว

“ตายแล้ว! น้าก็ลืมเลยว่ามันตัวหนัก ปกติเดวิดจะเป็นคนอุ้มลงมา” ศรีนวลเลิ่กลั่ก พยายามโทร. หาเดวิด แต่เหมือนอีกฝ่ายจะทำงานอยู่จึงไม่ได้รับสาย

“หรือจะรอแฟนน้านวลดีคะ ลิซว่าหมีควายน่าจะไม่เป็นอะไรมาก” หญิงสาวเสนอ

“แต่เดวิดจะกลับเมื่อไหร่ไม่รู้ สมมุติว่าอาการหนักแล้วโรงพยาบาลปิด เฮ้อ ทำยังไงดี” ขณะที่ศรีนวลกำลังครุ่นคิดอยู่ก็มีผู้ชายเอเชียคนหนึ่งกำลังวิ่งผ่านหน้าไป เขาหันมายิ้มให้ศรีนวลก่อนจะค่อยๆ วิ่งห่างออกไป

“ตายแล้ว!! คุณแทน วันนี้หยุดเหรอคะ” ศรีนวลตะโกนทักผู้ชายคนนั้นเป็นภาษาไทย 

เขาหยุดวิ่งแล้วเดินกลับมา เมื่อมองเห็นใบหน้าอย่างชัดเจนแล้วณลิสาก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ดูดีมากทีเดียว ถ้าจะให้เธอเดาอายุก็คงจะสักประมาณสามสิบกลางๆ ละมั้ง

“ครับ พอดีต้องพาเจ้าซันไปสวนสาธารณะครับ ที่โรงเรียนเขาจัดกิจกรรมให้เด็กไปวาดรูปธรรมชาติกับพ่อแม่” อีกฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้ม

“ตายแล้ว!! ทำยังไงดีคะเนี่ย” ศรีนวลเอามือกุมขมับ

“หมีควายเป็นอะไรเหรอครับ ยังไม่ถึงกำหนดฉีดวัคซีนนี่” 

“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ นี่สลบอยู่ชั้นบน”

“สลบ?” เขาทำท่าทางแปลกใจก่อนจะวิ่งพรวดเข้าไปในบ้าน 

ในขณะที่ณลิสากำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ศรีนวลก็คว้ามือของเธอแล้วจูงให้เดินตามไปด้วยกัน ก่อนจะอธิบายไปด้วยว่า

“คุณแทนไทเขาอยู่แถวบ้านเรานี่แหละน้องลิซ เป็นคนไทยเหมือนกัน ทำงานเป็นสัตวแพทย์ในโรงพยาบาลสัตว์ไม่ไกลนี่เอง น้าพาหมีควายไปหาประจำ” เป็นคำอธิบายสั้นๆ ที่ชัดเจนดี 

ณลิสาขึ้นมาที่ชั้นสองก็เห็นสัตวแพทย์เพื่อนบ้านกำลังดูอาการของหมีควายอยู่ สักพักเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ดีนะครับที่ไม่ได้พาไปโรงพยาบาล สงสัยหมีควายแค่อยากแกล้งแอนดี้เล่น” เขาว่าก่อนจะยกมือขึ้นวางบนศีรษะของเจ้าสุนัขสีดำตัวเขื่องที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเลียมืออีกข้างของหมอด้วยความระริกระรี้ 

ในขณะที่ศรีนวลผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะบ่นนิดหน่อย

“ขอโทษนะคะคุณแทนที่ต้องรบกวนแบบนี้ ทานข้าวเช้ามาหรือยังคะ ทานด้วยกันไหม” ศรีนวลชวน

“ผมต้องกลับไปทานกับลูกที่บ้านน่ะครับ ไม่รบกวนดีกว่า” เขาปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนจะลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินกลับไป ระหว่างนั้นศรีนวลก็นึกขึ้นได้ว่าในฐานะคนบ้านเดียวกันก็ควรต้องแนะนำสมาชิกใหม่ของบ้านให้แทนไทรู้จักเสียก่อน

“อ้อ คุณแทน นี่น้องลิซค่ะ เป็นเพื่อนของหลานพี่ มาเรียนภาษาเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ แนะนำให้รู้จักกันไว้ คนไทยเหมือนกัน เผื่อเจอที่ไหนจะได้ทักทายกันนะคะ” หลังจากศรีนวลพูดจบก็หันมาทางณลิสา 

เธอมีมารยาทพอที่จะยกมือไหว้คนตรงหน้า แม้ว่าปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยสนใจคนที่ไม่รู้จัก แต่มาอยู่ต่างถิ่นแบบนี้ รู้จักคนอื่นบ้างก็ไม่เสียหาย ใช่ว่าบังเอิญเดินผ่านกันจริงๆ แล้วต้องทักสักหน่อย

“สวัสดีครับ” เขาทักทาย

“สวัสดีค่ะ”

“ผมชื่อแทนไท เป็นสัตวแพทย์ประจำตัวของหมีควาย” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ 

ณลิสารู้สึกว่าคนที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีใครถามเรื่องส่วนตัวของกันและกันเกินความจำเป็น แค่ทักทายแล้วก็แนะนำตัวเท่านั้น เธอไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้ม

“อ้อ แล้วแอนดี้ไม่ได้ไปกิจกรรมวาดรูปที่สวนเหรอ” แทนไทหันไปหาลูกชายเจ้าของบ้านที่ตอนนี้กำลังแหย่หูเจ้าหมีควายเล่นอย่างอารมณ์ดี

“ว้ายตายแล้ว จริงด้วย แต่ว่าพี่ต้องไปดูร้าน คงพาลูกไปไม่ได้ เอิ่ม...” ศรีนวลหันหน้ามาทางสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเดินทางมาถึงยังไม่ถึงหนึ่งวันดีด้วยซ้ำ แค่การปรับตัวกับสภาพอากาศและเวลาก็ลำบากแล้ว จะให้ออกไปร่วมกิจกรรมกับเจ้าเด็กที่คิดว่าตัวเองเป็นสังข์ทองนี่น่ะเหรอ

ณลิสาหงุดหงิดสุดๆ...แต่ก็พูดออกไปว่า “ลิซช่วยดูแอนดี้ให้ได้ค่ะ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น