8

ทำงาน

8

ทำงาน 

 

ภูรินท์ทั้งอึ้งทั้งตกใจเมื่อได้ยินประกาศิตจากคุณหญิงชไมพร  เงื่อนที่เขาเป็นคนผูกไว้บัดนี้พันกันยุ่งเหยิง จะคลายปมยังไงแบบไหน ผลกลับกลายเป็นว่าปมเชือกนั้นยิ่งแน่นจนยากที่จะแก้เสียแล้ว 

หลังจากที่ผู้เป็นแม่กลับไปแล้ว ภูรินท์ก็เดินหาพิมพ์พิสุทธิ์ทั่วบ้าน และพบว่าหญิงสาวมานั่งเล่นกับเจ้าตูบอยู่ที่สวนข้างบ้าน

“มาอยู่นี่เอง” 

พิมพ์พิสุทธิ์หันมองตามเสียงก็พบว่าเป็นภูรินท์นั่นเอง “คุณแม่...เอ่อ คุณน้ากลับแล้วหรือคะ”

“อืม ผมขอโทษด้วยแล้วกันนะที่ต้องเอาคุณเข้ามาเกี่ยวเรื่องนี้ด้วย”

เธอพยักหน้ารับคำขอโทษจากเขาแล้วพูดต่อ “จริงๆ คุณไม่น่าไปโกหกท่านแบบนั้นเลยนะคะ คุณอธิบายไปดีๆ ก็ได้ พริ้มเชื่อว่ายังไงท่านก็ต้องเข้าใจคุณอยู่ดี”

ภูรินท์ส่ายหัวช้าๆ ก่อนจะบอก “ไม่หรอก ผมรู้จักท่านดี”

“แต่การที่คุณไปโกหกแบบนั้น สักวันหนึ่งท่านก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี แล้วเรื่องก็จะยิ่งไม่จบ ทุกอย่างก็จะวนอยู่ในลูปเดิม ท่านก็ต้องหาทางพาคุณไปดูตัวอีกอยู่ดี ถ้าหากว่าคุณไม่ได้มีคนรักจริงๆ”

ชายหนุ่มเองก็คิดไม่ต่างไปจากหญิงสาว เพราะถ้าหากเขายังไม่มีคนรักตัวจริง ผู้เป็นแม่ก็ย่อมไม่มีทางหยุดอยู่เฉยๆ แน่

“อืม นั่นสิ ที่คุณพูดก็ถูก...แล้วถ้าหากว่าผมมีคนรักจริงๆ ล่ะ คุณคิดว่าเรื่องจะเป็นยังไง”

พิมพ์พิสุทธิ์คิดตามที่ชายหนุ่มถาม ก่อนจะแสดงความเห็นออกไป “พริ้มไม่แน่ใจ แต่คุณบอกแม่คุณว่ากำลังจะแต่งงานนี่คะ ถ้าพริ้มจำไม่ผิด” เธอมองเขาอย่างไม่มั่นใจนัก ก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วคุณมีคนที่คุณรักแล้วจริงๆ หรือคะ”

ภูรินท์สบตาเธอไม่หลบ เอ่ยต่อโดยไม่ตอบคำถามของเธอ “ผมมีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณอยู่พอดี” 

แววตาและท่าทางของชายหนุ่มดูซีเรียสและจริงจังจนพิมพ์พิสุทธิ์ไม่อยากจะรู้แล้วว่าเขาจะพูดเรื่องอะไรกับเธอ

“อะไรนะคะ! คนรัก!” ฟังเรื่องจากเขาจบ พิมพ์พิสุทธิ์ก็ตกใจมากจนต้องถามเสียงดังว่าที่เธอได้ยินจากปากเขานั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนไป

“อืม ผมอยากจะขอร้องให้คุณช่วยเล่นละครเป็นคู่รักให้ผมหน่อย”

“พริ้มเนี่ยนะคะ” พิมพ์พิสุทธิ์ทวนอย่างแผ่วเบา “คงไม่เหมาะหรอกค่ะ พริ้มว่าคุณไปวานคนอื่นอาจจะเข้าท่าและได้เรื่องมากกว่า”

“คนอื่นที่ผมรู้จัก แม่ผมก็รู้จักหมด ให้มาสวมรอยก็คงไม่เหมือนหรอก คุณเป็นคนที่ท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน ท่านอาจจะเชื่อได้ง่ายๆ”

“แต่ว่า...แต่ว่าพริ้ม...เอ่อ ไม่ถนัดเรื่องโกหกหรือเล่นละครแบบนั้นหรอกค่ะ อาจจะทำให้คุณแม่คุณจับได้ก็ได้”

“ยังไม่ลองเลยจะรู้ได้ไง” ภูรินท์บอกอย่างมีความหวัง

“แต่...”

“เชื่อผมเถอะ ไม่มีใครเหมาะกับตำแหน่งนี้เท่าคุณหรอก” ภูรินท์โน้มน้าว “อีกอย่างตอนนี้คุณเองก็ยังจำอะไรไม่ได้ทั้งหมด มาอยู่ที่บ้านผมแบบนี้ ถ้าอยู่นานไป เวลาคนอื่นถามว่าคุณเป็นใคร แล้วผมบอกว่าคุณเป็นเพื่อน ร้อยทั้งร้อยคนเขาก็คงไม่เชื่อหรอกนะคุณ”

นั่นก็จริงอย่างที่ชายหนุ่มว่า เธอลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท

“คุณแค่เล่นละครให้แม่ผมเชื่อว่าเราเป็นคู่รักกันจริงๆ ท่านจะได้ไม่มายุ่งเรื่องนี้ อีกสักพักใหญ่ๆ นั่นแหละ ไม่ยากเกินไปหรอก คุณทำได้อยู่แล้ว”

จริงๆ เรื่องก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก ถ้าเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เธอก็ยินดีที่จะช่วยเขา...น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ พริ้มจะเป็นคนรักกำมะลอให้คุณ” พิมพ์พิสุทธิ์ตอบตกลงเพราะคิดว่าคงเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กินเวลานานเท่าไรนัก

แต่ใครจะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ถ้าหากหญิงสาวรู้อนาคต วันนี้เธอก็คงจะไม่หลุดปากตอบตกลงไปเป็นแน่แท้

 

สามวันผ่านไปดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปตามปกติ ภูรินท์ก็ยังคงไปทำงานเหมือนเดิม ส่วนพิมพ์พิสุทธิ์ก็ยังคงไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเช่นเคย จนกระทั่งทนความไร้ประโยชน์ของตัวเองไม่ไหว

“คุณภูคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะกำลังกินมื้อเย็นที่บ้าน

“คือ...พริ้มอยากหาอะไรทำบ้างค่ะ อยู่แบบนี้มันเบื่อๆ ยังไงไม่รู้ คุณพอจะมีงานให้พริ้มทำมั้ยคะ”

“งานอะไร คุณหายดีแล้วเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงและสงสัยในขณะเดียวกัน

“ก็...พริ้มไม่ได้เป็นง่อยนะคะ คุณก็เห็น” เธอเริ่มหงุดหงิด “พริ้มไม่ได้เป็นผู้ป่วยโคม่าสักหน่อย อยู่เฉยๆ มันเบื่อ...เบื่อมาก” เธอเน้นคำว่ามากและลากเสียงยาว

“แล้วคุณจะทำอะไรล่ะ”

“พริ้มขอไปดูคุณทำงานได้มั้ยคะ เผื่อว่าอาจจะมีอะไรที่พริ้มพอจะทำได้บ้าง” พิมพ์พิสุทธิ์มองเขาอย่างเริ่มมีความหวัง

“งานผมงานไร่นะคุณ มีออกนอกพื้นที่ เดินตากแดดตากลม เกิดคุณไปแล้วเป็นลมเป็นแล้ง มันจะไปวุ่นวายคนทำงานเขาเปล่าๆ นะ”

ได้ยินแบบนั้นพิมพ์พิสุทธิ์ก็หน้ามุ่ย แต่ยังไม่ยอมแพ้ “พริ้มสัญญาว่าถ้าคุณอนุญาต พริ้มจะดูแลตัวเองอย่างดีเลยค่ะ นะคะๆ” 

ภูรินท์ครุ่นคิดตามคำขอของคนตรงหน้า เมื่อเห็นท่าทีรับปากเขาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ[M1] ชายหนุ่มก็พอจะรู้ว่าหญิงสาวคงเบื่อที่ต้องอยู่แต่ที่เดิมๆ ทุกวัน โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

“ก็ตามใจ” ภูรินท์อนุญาตในที่สุด ทำให้หญิงสาวตรงหน้ามีรอยยิ้มเปื้อนดวงหน้า

“คุณอนุญาตแล้วนะคะ ไชโย!” 

“แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ” ภูรินท์รีบเบรกเมื่อเห็นอาการดีใจของคนตรงหน้า

“พรุ่งนี้เลยค่ะ!” พิมพ์พิสุทธิ์ตอบอย่างกระตือรือร้น 

ภูรินท์ส่ายหน้าเบาๆ อย่างขันความเป็นเด็กของเธอ

 

รุ่งเช้าพิมพ์พิสุทธิ์เตรียมตัวเสร็จตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันขัน หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตลายสกอตสีเขียวเข้ม กับกางเกงยีนขายาว พร้อมหมวกปีกกว้างอีกใบหนึ่งที่ไปขอยืมคนงานในบ้านมา เรียกว่าพร้อมออกไปไร่ไปสวนมากจนภูรินท์อดแซวไม่ได้

“พร้อมเกินไปหรือเปล่าคุณ”

“ก็นิดหน่อยค่ะ” เธอยอมรับตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม ก็เธอพร้อมมากจริงๆ นี่ ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ออกไปข้างนอกนี่ช่างหอมหวานน่าดู

“นี่คุณจะไปเที่ยวหรือจะไปทำงานกันแน่ ผมเริ่มแยกไม่ออกแล้วนะนี่”

“ก็ทั้งสองอย่างนั้นแหละน่าคุณ ไปเรียนรู้งานด้วย เปิดหูเปิดตาด้วยไง” เธอสรุปก่อนจะส่งยิ้มต้อนรับเช้าที่แสนสดใสให้เขา 

ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีแล้วเดินตัวปลิวนำไปที่โต๊ะรับประทานอาหาร

 

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ภูรินท์ก็พาพนักงานกิตติมศักดิ์นั่งรถกระบะสี่ประตูไปยังบริเวณไร่ พิมพ์พิสุทธิ์มองนั่นมองนี่อย่างตื่นตาตื่นใจไปหมด สองข้างทางโอบล้อมด้วยสีเขียวขจีของพืชพรรณนานาชนิด ทั้งไร่องุ่นที่ปลูกเรียงรายกันเป็นแนวยาว กินพื้นที่กว้างหลายไร่ ไหนจะต้นไม้อื่นๆ อีกมากมายที่เธอไม่รู้จักว่าเป็นต้นอะไรกันแน่

ไม่นานภูรินท์ก็พาเธอมาหยุดอยู่ที่อาคารแห่งหนึ่งซึ่งสูงห้าชั้น เป็นสถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัยแนวลอฟต์ ถ้าเดาไม่ผิดที่นี่คงเป็นสำนักงานหรือออฟฟิศของเขา

หลังจากภูรินท์จอดรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินตามชายหนุ่มอย่างสำรวมไปตลอดทาง พอเข้ามาในตัวตึกจึงเห็นว่ามีพนักงานเข้ามาทำงานบ้างแล้ว

“ออฟฟิศคุณเริ่มงานกี่โมงเหรอคะ”

“แปดโมงครึ่ง”

“แล้วทำไมคุณมาเช้าจังเลยล่ะ ที่ทำงานคุณก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง นี่ยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะนี่เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเอง อีกอย่างเขาเป็นเจ้าของบริษัท มาสายนิดหน่อยก็น่าจะได้

“ผมเป็นเจ้าของบริษัทก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะทำตัวขี้เกียจให้ลูกน้องเอาเป็นตัวอย่าง ทำแบบนั้นบริษัทไม่เจ๊งพอดีเหรอ” ภูรินท์บอกเธอด้วยสายตาตำหนิหน่อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพอใจเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วนี่คุณจะพาพริ้มไปเดินดูรอบๆ มั้ยคะ” เธอถามอย่างมีความหวัง แต่แล้วภูรินท์ก็ดับฝันเธอทันที

“เช้านี้ผมมีงานที่ต้องเคลียร์ด่วน เอาไว้ว่างๆ ค่อยไปก็ได้ ไร่มันไม่หนีคุณไปไหนหรอก” ชายหนุ่มบอกเหมือนรู้ทันเธอ

“ไปนั่งที่โต๊ะนู่นเลยไป เดี๋ยวผมจะให้คนเอาเอกสารตั้งแต่นโยบายบริษัท ประวัติการจัดตั้งมาให้คุณอ่านไปพลางๆ แล้วกัน” ภูรินท์บอกพร้อมกับชี้นิ้วสั่งให้เธอไปนั่งที่โซฟา

พิมพ์พิสุทธิ์แอบหน้ามุ่ยใส่เขาเล็กน้อยที่เล่นบทขรึม เปลี่ยนโหมดเป็นเจ้านายกับลูกน้องทันที

...

ครู่ใหญ่ต่อมาเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับที่บุคคลหนึ่งเดินเข้ามา “สวัสดีครับคุณภู”

พิมพ์พิสุทธิ์หันไปมองตามเสียงก็เห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นชายหนุ่มอายุไม่น่าจะเกินสามสิบห้าปี สวมแว่นกรอบหนา ร่างสูงกำยำสวมเสื้อเชิ้ตสีพื้นกับกางเกงยีน

“ขอโทษทีครับ ผมไม่รู้ว่าคุณภูกำลังมีแขก”

“ไม่เป็นไรหรอกเดช เข้ามาสิ” ภูรินท์รีบบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะปลีกตัวออกไป

“มีอะไรหรือเปล่า”

“คือผมจะเข้ามาถามว่าคุณภูจะรับกาแฟสักแก้วมั้ยครับ เดี๋ยวผมจะชงมาเผื่อ”

“อืม ก็ดีเหมือนกัน แต่ขอเพิ่มเป็นสองนะ” ภูรินท์บอกก่อนจะแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน

“นายมาก็ดีเหมือนกัน มีคนจะแนะนำให้รู้จัก นี่พิมพ์พิสุทธิ์ เป็นเพื่อนของฉัน กำลังจะมาทำงานที่นี่ ฉันอาจจะต้องรบกวนนายให้ช่วยสอนงานเธอหน่อย” ภูรินท์กล่าวเสร็จก็หันไปทางหญิงสาวที่กำลังส่งยิ้มทักทายชายหนุ่มอยู่ 

“พริ้ม นี่คุณอัครเดชหรือว่าเดช เป็นเลขาฯ ของผม แล้วก็เป็นผู้จัดการไร่ด้วย มีอะไรสงสัยหรืออยากเรียนรู้งานในไร่เพิ่มเติมก็ถามเขาได้เลยนะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณพิมพ์พิสุทธิ์”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะคุณอัครเดช ถ้ายังไงต่อไปนี้พริ้มขอรบกวนด้วยนะคะ” เธอฝากเนื้อฝากตัวกับชายหนุ่มแว่นหนาเตอะที่ส่งยิ้มมาทักทายเธอเช่นกัน ดูท่าการออกจากบ้านมาทำงานในครั้งนี้คงจะคุ้มค่าและไม่เงียบเหงาอีกต่อไปแล้ว เพราะยังไม่ทันไร เธอก็ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น