7

ไหลไปตามน้ำ

7

ไหลไปตามน้ำ

 

พิมพ์พิสุทธิ์ไม่คาดคิดมาก่อนว่าการที่เธอจะเดินไปยังห้องครัวเพื่อหาของว่างและน้ำหวานมากินนั้นจะเจอเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ ดูเหมือนภูรินท์กับผู้หญิงอายุราวห้าสิบนิดๆ ซึ่งชายหนุ่มเรียกว่ามารดามีเรื่องที่ต้องพูดคุยตกลงกัน แต่ไม่ค่อยลงตัวสักเท่าไร

จริงๆ เธอไม่ได้มีเจตนาจะแอบฟังเรื่องภายในครอบครัวของภูรินท์ เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอเลยสักนิด และในขณะที่พิมพ์พิสุทธิ์กำลังจะถอยหลังหมุนตัวกลับไปตามทางเดิมนั้น ตาเจ้ากรรมก็ดันสบเข้ากับดวงตาคู่คมราวกับนัยน์ตาเหยี่ยวเข้าพอดี

ไม่รู้ทำไมลางสังหรณ์ของเธอถึงสั่นเตือนว่า...กำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอแน่ๆ หญิงสาวเตรียมจะหนีไปจากตรงนี้  แต่ก็ช้าเกินไป

 

“พริ้ม อย่าเพิ่งไปครับ!” ภูรินท์ร้องเรียกเธอเสียงดัง มันดังมากในความคิดของเธอ

จากที่เตรียมจะเดินหนี ร่างบางจึงได้แต่หยุดนิ่งอยู่กับที่ราวกับรอฟังคำพูดต่อไป

“พริ้มมาก็ดีแล้ว มานี่ก่อนสิ” ไม่เพียงแค่พูดเปล่า แต่ภูรินท์กลับเดินมาหาเธอที่มุมห้องโถงของบ้าน 

เธอเดินไปหาเขาด้วยสีหน้ามึนงง เมื่อเขาเข้ามาใกล้ก็กระซิบประโยคหนึ่งที่พอให้เธอได้ยิน 

“ช่วยผมก่อนแล้วกันนะคุณ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

เธอยังคงมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยอมเดินไปตามการจับจูงของเขา มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ชายหนุ่มพาเธอมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหญิงวัยกลางคนแล้ว

“พริ้ม นี่คุณแม่ของผมเอง” ภูรินท์แนะนำให้เธอรู้จักกับแม่ของเขาอย่างเป็นทางการ 

เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวก็รีบยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างอ่อนน้อม

ไม่รู้ทำไมพิมพ์พิสุทธิ์ถึงรู้สึกว่าตัวเองประหม่ายังไงชอบกล อาจจะเป็นเพราะสายตาจากผู้อาวุโสที่มองมาอย่างตำหนิติเตียนละมั้งถึงทำเอาเธอหนาวๆ ร้อนๆ แปลกๆ 

“คุณแม่ครับนี่พิมพ์พิสุทธิ์หรือพริ้มครับ พริ้มเป็นคนที่ผมรักครับ เรารักกันมาก และวางแผนกันไว้ว่าจะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้” ภูรินท์แนะนำอย่างไม่มีสะดุดหรือขัดเขิน

คุณหญิงชไมพรอึ้งตั้งแต่เห็นกับตาว่ามีหญิงสาวหน้าตาสะสวยอยู่ในบ้านไร่ของลูกชายแล้ว ยังไม่ทันได้ซักถามรายละเอียด เจ้าลูกชายก็เล่นแนะนำเสร็จสรรพ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธอตกใจจนแทบช็อกได้อย่างไร 

“อะไรนะ!”

“พริ้มเป็นคนรักของผมครับ” ภูรินท์ย้ำอีกครั้ง   ก่อนจะเอื้อมมือหนามากุมมือเรียวบางไว้แน่น ที่ชายหนุ่มต้องทำแบบนี้ก็เพราะเกรงว่าหญิงสาวจะแย้งหรือพูดความจริงออกไปซะก่อน

“ผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้ว ทีนี้แม่พอจะเข้าใจใช่มั้ยครับว่าทำไมผมถึงต้องปฏิเสธการดูตัวหรือการคลุมถุงชนของแม่” ภูรินท์อธิบายให้คุณหญิงชไมพรฟังยาวเหยียด ก่อนหันกลับไปมองร่างบางข้างๆ ที่ตอนนี้ตกใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

“คุณ...” พิมพ์พิสุทธิ์ครวญเสียงแผ่ว ตอนแรกหญิงสาวตกใจเพราะคิดว่าเขาจับได้ที่เธอนิสัยไม่ดีที่มาแอบฟังคนอื่นพูด แต่ที่เขากำลังอธิบายให้ผู้เป็นแม่ของเขาฟังนั้นน่าตกใจยิ่งกว่า บอกว่าเธอเป็นคนรัก บอกว่ารักเธอมาก และก็กำลังจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้เนี่ยนะ มันใช่เรื่องจริงซะที่ไหนเล่า

ภูรินท์เห็นพิมพ์พิสุทธิ์มีท่าทีเตรียมพูดแย้งก็โน้มตัวลงไปใกล้แล้วกระซิบให้ได้ยินเพียงสองคน “ตามน้ำไปก่อนนะคุณ ถือว่าผมขอร้อง” 

เมื่อมองจากสายตาคนนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่างคุณชไมพรแล้ว ก็เห็นเพียงแค่ลูกชายคอยให้กำลังใจหญิงสาวคนรักไม่ห่าง

เมื่ออีกฝ่ายขอร้องขนาดนี้แล้ว มีหรือที่เธอจะกล้าหักหน้าเขา จึงได้แต่ยอมรับสมอ้างตามที่ชายหนุ่มพูดปดไป “เอ่อ...ค่ะ”

“คนรัก? นี่ลูกพูดเรื่องจริงหรือตาภู” คุณหญิงชไมพรลมจับ อาการหน้ามืดเริ่มคุกคาม ยืนซวนเซจนหญิงสาวรุ่นลูกที่ยืนอยู่ข้างบุตรชายต้องรีบเข้ามาประคอง ก่อนที่นางจะเป็นลมล้มพับไป

หลังจากที่ได้ยาดมและอากาศจากแรงพัดจากหญิงสาวรุ่นลูกแล้ว ชไมพรที่นั่งพักอยู่ตรงโซฟาไม้ก็อาการดีขึ้น

เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสกว่าอาการดีขึ้นแล้ว พิมพ์พิสุทธิ์จึงถอยกลับไปอยู่ข้างภูรินท์ แต่ก็ยังไม่ชินกับการถูกมองไม่วางตาอยู่ดี

ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ว่าเป็นยังไง ชไมพรก็ไม่รู้จะตอบยังไง นอกจากตกใจมากที่บุตรชายตัวแสบพาคนรักมาแนะนำตัวอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังประกาศด้วยว่ากำลังจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ ความดันของนางไม่ขึ้นจนต้องหามส่งโรงพยาบาลก็ดีแค่ไหนแล้ว

พอเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาหน่อย ชไมพรจึงมีโอกาสได้สำรวจเด็กสาวตรงหน้า หน้าตาสะสวย มีเสน่ห์จนขนาดนางเองที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังนิยมชมชอบ แบบนี้สินะเจ้าภูมันถึงหลงรัก ผิวพรรณก็ผุดผ่อง รูปร่างก็สมส่วน แต่งกายไม่วาบหวิวเหมือนแฟชั่นนิยมสมัยนี้ โดยรวมด้านบุคลิกภาพก็ถือว่าผ่าน โล่งใจไปบ้างที่ลูกชายเธอไม่ไปคว้าเอาแหม่มผมทองมา ไม่เช่นนั้นนางคงได้เป็นลมจริงๆ แน่ 

“ชื่ออะไรนะเราน่ะ” ชไมพรเริ่มสอบถามหญิงสาวที่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างบุตรชาย

“เธอชื่อพริ้มครับแม่” ภูรินท์รีบตอบแทน 

“แม่ไม่ได้ถามเรา” นางดุบุตรชาย ก่อนจะหันไปถามหญิงสาวอีกครั้ง “ว่ายังไงล่ะเรา ชื่ออะไร”

พิมพ์พิสุทธิ์เสียวสันหลังวาบ กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอก่อนจะตอบ “พิมพ์พิสุทธิ์ค่ะคุณน้า เรียกพริ้มก็ได้ค่ะ”

รูปก็งาม นามก็เพราะ ถ้าจะให้ประเมินรสนิยมในการเลือกคนรักของบุตรชายแล้ว โดยรวมนางถือว่าผ่าน 

“แล้วนี่เราเป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะ ที่บ้านทำอะไร” นางถามต่อราวกับซักประวัติอาชญากร

พิมพ์พิสุทธิ์ได้แต่อึ้งและไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จึงหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนข้างๆ แทน 

“โถ่! แม่ครับ เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะครับ”

ชไมพรส่งค้อนวงใหญ่ให้บุตรชาย ก่อนจะประกาศเสียงดังฟังชัด “แม่จะพูดตอนนี้ให้รู้เรื่อง แล้วเราก็อยู่เฉยๆ เงียบๆ ไปเลยนะ แม่ไม่ได้ถาม” ว่าแล้วก็หันไปรอคำตอบจากปากคนที่ลูกนางบอกว่ารัก

“...” 

 พิมพ์พิสุทธิ์รู้สึกอึดอัดมาก คุ้นๆ แปลกๆ เหมือนกับว่าเธอเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว...แต่นี่เป็นครั้งแรกไม่ใช่หรือ แต่ด้วยความกดดันหรืออะไรก็ไม่ทราบ หญิงสาวจึงตอบออกไปราวกับว่ามันมาจากจิตใต้สำนึก 

“ไม่ได้เป็นลูกสาวของผู้มีชื่อเสียงโด่งดังหรือทำกิจการใหญ่โตหรอกค่ะ” หญิงสาวบอกด้วยรอยยิ้มนิดๆ “ไม่ใช่ลูกคนใหญ่คนโตที่ไหนเลยด้วยค่ะ เป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ ที่ค่อน...ไปทางจนก็ว่าได้ค่ะคุณน้า”

สีหน้าและรอยยิ้มของผู้พูดไม่ได้มีแววประชดหรือดูถูกตัวเองเลยสักนิด แต่กลับภาคภูมิใจด้วยซ้ำในความรู้สึกที่นางรับรู้ได้ ความกล้าหาญและความจริงใจถือว่าใช้ได้

คุณหญิงชไมพรพยักหน้ารับรู้ แล้วบอกว่าต้องการพูดคุยธุระส่วนตัวกับบุตรชายต่ออีกสักหน่อย พิมพ์พิสุทธิ์ก็ทั้งยินดีและโล่งใจสุดๆ จึงไม่รีรอที่จะรีบเดินออกไปจากห้องรับแขก

 

เมื่อหญิงสาวลับสายตาไปไกลพอควรแล้ว คุณหญิงชไมพรก็หันกลับมาซักบุตรชายต่อ 

“แม่คิดว่าลูกโตพอจะรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำแล้วนะตาภู แม่คงไม่คิดไปเองใช่มั้ยว่าหนูพริ้มค้างที่นี่”

นางพยายามใจเย็นกับการกระทำของบุตรชาย “ถึงจะบอกว่ารักชอบกัน แต่ก็ไม่ควรอยู่ดีที่ผู้หญิงกับผู้ชายจะอยู่ด้วยกันในที่รโหฐานแบบนี้ ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่อีกไม่นานก็เป็นแน่ครับ เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า” ภูรินท์พูดอย่างขำๆ ให้มารดาคลายเครียด แต่กลับโดนฝ่ามืออวบฟาดใส่แขนเต็มแรง

“โอ๊ย! เจ็บนะครับแม่”

“เจ็บนั่นแหละดี! ทำแบบนั้นใช้ได้ที่ไหน แม่เคยสั่งเคยสอนหรือว่าให้ทำแบบนั้น เป็นผู้ชายทำไมไม่รู้จักให้เกียรติผู้หญิง แม่ถามได้ยินมั้ยฮะ” นางทั้งเอ็ด ทั้งดุ ทั้งว่า แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แทรกซึมเข้าไปสู่สมองของบุตรชายเลยแม้แต่น้อย

“โถ่ เราหมั้นกันแล้วนะครับแม่” ภูรินท์พูดต่ออย่างไหลลื่น คงจะจริงอย่างที่เขาเล่ากันว่า คนโกหกเมื่อได้โกหกเรื่องหนึ่งแล้วก็จะโกหกเรื่องต่อๆ ไป 

“คนหมั้นกัน รักกัน จะให้อยู่ไกลกันยังไงไหว นี่ผมก็ไปฉุดเขามาอยู่ด้วยนะ ไม่งั้นเขาไม่มีทางยอมมาด้วยหรอก”

“ฉุด!? โอ๊ย ไปทำแบบนั้นได้ยังไงฮะตาภู เขาเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ!” นางบ่นบุตรชายพร้อมทั้งฟาดทั้งหยิก ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกก็อยากจะบิดเนื้อให้ขาดเลยด้วยซ้ำ 

“ถ้ารักเขาจริงก็รีบไปจัดการทุกอย่างให้มันถูกต้องตามประเพณีซะ ถึงแม่จะอยากได้สะใภ้ที่ฐานะเท่าเทียมกันเพื่อเสริมฐานะให้แก แต่แม่ก็เข้าใจว่าปลูกเรือนก็ต้องตามใจผู้อยู่ เพราะฉะนั้นแม่ให้ลูกเลือกว่าจะไปทำทุกอย่างให้ถูกต้อง หรือจะเลิกรากันไปแล้วถูกแม่คลุมถุงชน!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น