0

บทนำ

บทนำ

 

                “สวัสดีค่ะท่าน” 

                หญิงสาวรูปร่างเพรียว บุคลิกคล่องแคล่ว ยกมือไหว้ชายวัยหกสิบเศษผู้มีรูปร่างอ้วนท้วนอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะกลมในห้องรับรองซึ่งแยกเป็นสัดส่วนยกมือไว้แล้วยิ้มให้เธอ เป็นยิ้มที่แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมคุ้นเคย 

                เบื้องหลังโต๊ะรับประทานอาหารบนภัตตาคารจีนย่านเยาวราชคือ ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์นับสิบคน บ่งบอกว่าชายสูงวัยผู้นี้เป็นผู้มีอำนาจกว้างขวาง 

                “สวัสดีคุณนักข่าว กำลังรออยู่เลย”

                “มีอะไรให้รับใช้คะท่าน”

                “นั่งก่อนสิ” 

                เหมือนมาลีนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่าง ใบหน้าสวยพอประมาณแต่งแต้มเครื่องสำอางไว้อย่างพิถีพิถัน เธอฉีกยิ้มกว้างจนดวงตากลมโตยิบหยี 

                “วันนี้วันหยุด ท่านยังออกทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เหนื่อยแย่เลยนะคะท่าน” 

                “เหนื่อยยังไงผมก็ทนได้ เข้ามาทำงานตรงนี้ย่อมต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าความสะดวกสบายส่วนตัวอยู่แล้ว” 

                “ดีใจแทนพี่น้องคนไทยที่ได้ ส.ส. มีคุณธรรมสูงส่งอย่างท่านเข้ามาทำงานนะคะ” 

                “เฮ้อ! แต่ถึงผมจะทำงานเหน็ดเหนื่อยยังไง ความดีก็คงไม่ประจักษ์หรอกใช่มั้ย ถ้าหากว่าไม่มีนักข่าวอย่างพวกคุณ” ส.ส. สุภชาติ สมาชิกผู้แทนราษฎรพรรคพิทักษ์ราษฎร์ส่งซองสีขาวใส่มืออันขาวสะอาดของเหมือนมาลี

                เธอรับแล้วยัดลงกระเป๋าอย่างไม่กระดากอายหรือมีความคลางแคลงใจใดๆ เลยทั้งสิ้น อันที่จริงเรียกว่าเป็นความเคยชินก็ว่าได้ เหมือนกับกินข้าว ล้างหน้า แปรงฟัน ไม่เห็นว่าจะต้องกระดากตรงไหน 

                “ดิฉันจะนำเสนอข่าวท่าน ส.ส. คืนนี้ค่ะ” 

                “ขอบคุณมาก คุณนักข่าว”

 

            บทสนทนาจบลงอย่างรวดเร็ว กระชับ ได้ใจความ และบรรลุวัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่าย

                เหมือนมาลีที่สวมกางเกงยีนทะมัดทะแมงเดินด้วยท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจออกมาจากภัตตาคาร ใบหน้าสวยเก๋มีรอยยิ้มผุดพราย เธอก้าวเดินตรงไปยังรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอคลาส สนนราคาสองล้านต้นๆ ที่เธอ...เช่ามาขับ 

                ‘รสนิยมสูง...รายได้ต่ำแล้วยังไง...ใครแคร์’

            คิดแล้วก้าวขึ้นรถ แต่ยังไม่ทันได้สตาร์ตเครื่อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เพราะอากาศอบอ้าวเธอจึงกดปุ่มสตาร์ตให้แอร์ทำงานก่อนที่จะกดรับผ่านบลูทูท

                “ว่าไงคะบอส”

                “คุณอยู่ที่ไหน”

                “มาทานข้าวค่ะ นี่มันเวลาพักกลางวันนะคะ บอสคงไม่ใช้งานแยมตอนนี้หรอกใช่มั้ยคะ” เหมือนมาลีไม่บอกความจริงทั้งหมดว่าแท้จริงแล้วเธอกำลัง ‘รับงานนอก’

                “เพราะถ้าผมใช้งานคุณตอนพักกลางวัน คุณจะฟ้องกระทรวงแรงงานอย่างนั้นใช่มั้ย”

                “เปล่าค่ะ ฟ้องไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่แยมจะแฉบอส ไม่ให้บอสมีที่ยืนในสังคมเลย” นักข่าวสาวผู้มีปากกาเป็นอาวุธกล่าวโดยไม่สนใจว่าคนที่ตัวเองกำลังข่มขู่นั้นเป็นเจ้านาย

...เพราะมีแต้มต่อเธอจึงกล้าพูด 

                หญิงสาวไม่รู้เลยว่าอีกฟากหนึ่งของสายสนทนา สหัสวรรษกำลังทำปากขมุบขมิบด่าเธออยู่ 

                ‘อี-ดอก’

                “บอส ทำไมเงียบไปล่ะคะ”

                “เอ่อ! ผมรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้วแยม คุณเป็นนักข่าวเบอร์หนึ่งของช่องเรา ไม่มีใครกล้าแตะคุณอยู่แล้ว” 

                “ประชดอีกสินะคะ”

                “เอาน่า” ปลายสายทำเสียงจึ้กจั้กในลำคออย่างรำคาญ แต่ก็ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ “อย่าเพิ่งเถียงกันอยู่เลย ตอนนี้มีข่าวใหญ่ คุณควรรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” 

                “เรื่องอะไรคะบอส” 

                “คนร้ายปล้นธนาคาร จับตัวประกัน พิกัดส่งให้ในไลน์” 

                แม้จะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่สหัสวรรษอยู่ในวงการข่าวมาเกินยี่สิบปี ความตื่นเต้นกับข่าวใหญ่ของเขาจึงน้อยกว่าคนปกติไปมาก เหมือนมาลีกดเข้าแอปพลิเคชันไลน์ เธอกดชื่อของสหัสวรรษอยู่ด้านบนสุดแล้วเปิดให้นำทาง 

                เหยี่ยวข่าวสาว...ไม่ใช่สิ! 

                ต้องเรียกขานเธอด้วยนามอันแท้จริง 

                ‘นักข่าวสาวแสนสวย…กวางแห่งป่ายุติธรรม’ พร้อมลุย

                

            สองปีก่อน 

                ในใจกลางชุมชนแออัดแห่งหนึ่งหญิงสาวรูปร่างปราดเปรียวสวมเครื่องแต่งกายทะมัดทะแมงยืนเหงื่อแตกพลั่กท่ามกลางไอแดดร้อนของเมืองไทย กลิ่นเหม็นของขยะและท่อน้ำลอยมาเตะจมูก ขณะที่เสียงโหวกเหวกของคนที่บ้านเรือนติดกันชนิดหลังคาซ้อนหลังคาฟังไม่ได้ศัพท์ 

“น้อง จะเข้ามั้ย” ชายร่างใหญ่ถามด้วยเสียงห้าวห้วน ทำเอาคนที่กำลังรวบรวมความกล้าสะดุ้งตัวโยน 

“โอ้ย! พี่ พูดเบาๆ ก็ได้ ตกใจหมด”

“ไม่เคยละสิ หน้าใหม่ ร้อนเงิน?” การ์ดประจำบ่อนการพนันเถื่อนคาดเดาได้ในทันที 

เหมือนมาลีกลอกตาไปมาอย่างคิดหนัก “ก็นิดหน่อยอะพี่ แนะนำหน่อยได้มั้ย”

“ไปเหอะ อย่างน้องเนี่ย พวกพี่จะดูแลอย่างดี ไม่มีปัญหาหรอก” ชายคนเดิมกล่าวพลางมองใบหน้ากระจ่างใสของหญิงสาวที่ยังดูเด็กอยู่มาก แต่เธอก็ไม่ใช่คนเด็กที่สุดที่เคยมาใช้บริการ 

บ่อนการพนันแห่งนี้เปิดมานานกว่ายี่สิบปี เป็นบ่อนขนาดใหญ่ที่ดึงดูดทั้งนักพนันตัวยงและเหล่ามือสมัครเล่นเข้ามาเสี่ยงโชคกันไม่ขาดสาย ตั้งแต่วัยรุ่นยันวัยแก่ใกล้ลงโลง ทั้งหญิง ชาย เก้งกวางบ่างชะนีไม่จำกัดเพศ แต่บรรดาชายฉกรรจ์ผู้ถูกจ้างให้มาดูแลบ่อนอย่างพวกเขาเต็มใจบริการพวกสาวๆ สวยๆ เป็นพิเศษ

เหมือนมาลีเมินเฉยให้สายตาแทะโลมอันไร้มารยาทที่มองมา เธอเตรียมใจไว้บ้างแล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร 

หญิงสาวทำใจกล้าแล้วรีบเดินเข้าไปข้างใน ผ่านประตูไม้สีมอซอซึ่งเป็นปราการเพียงชั้นเดียวก่อนจะพบกับคนจำนวนมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ข้างใน ต่างพากันยืนล้อมโต๊ะกันเป็นวง เสียงเฮดังขึ้นเป็นระยะ เหมือนมาลีกลั้นใจเบียดกาย แทรกผ่านบรรดานักพนันซึ่งส่วนมากเป็นชายวัยกลางคนเนื้อตัวเหม็นกลิ่นควันบุหรี่เข้าไปยืนยังโต๊ะที่พอมีที่ว่าง

บ่อนการพนันแห่งนี้เป็นบ่อนเถื่อนของผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งนามว่า ‘เสี่ยย้ง’ ซึ่งหากเอ่ยชื่อต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี ภาพลักษณ์ของผู้มีอิทธิพลรายนี้เป็นหนุ่มใหญ่ใจกว้าง เป็นที่รักของคนในชุมชน มีงานบุญบ้านไหน ใครเดือดร้อนเสียย้งมักจะออกหน้า ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และเป็นที่เคารพนับถือ 

ใช่ว่าชาวบ้านจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังของผู้ใจบุญคือ เจ้าของบ่อนการพนันรายใหญ่ แต่คนหาเช้ากินค่ำไม่มีใครสนใจเรื่องนั้น ซ้ำยังไม่ใส่ใจว่าบุคคลผู้นั้นจะทำชั่วทำเลวอะไรมาบ้าง ทั้งที่บ่อนนั้นก็เป็นสถานที่ที่มอมเมาคนในชุมชนรวมถึงคนในครอบครัวตัวเอง หากว่าย้งยังมีน้ำใจช่วยเหลือ แจกข้าวสารอาหารแห้งอยู่เนืองๆ ชาวบ้านก็พร้อมยกย่องสรรเสริญ  

เหมือนมาลีรู้ว่าสถานที่แห่งนี้อันตราย หากพลาดถูกจับได้ อาจไม่ได้กลับออกไปอีก แต่เพราะไม่มีทางเลือกเธอจึงต้องมายืนอยู่ตรงนี้

เธอเป็นนักข่าวประจำสำนักข่าวแซมบาร์เดียร์นิวส์มาสองปี ไม่มีผลงานเป็นที่ปรากฏ ในแต่ละวันหญิงสาวจะได้ทำแต่ข่าวเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวลักเล็กขโมน้อย ผัวทะเลาะกับเมีย คนทะเลาะกับหมา ร้ายไปมากกว่าคือข่าวจำพวกภาพติดวิญญาณหลอน ไม่นับรวมทุกวันก่อนหวยออกเธอจะต้องไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อทำข่าวตัวอะไรสักอย่างออกลูกมามีสามขา หรือสองหัว 

เหมือนมาลีแทบอยากจะบ้าตาย เห็นชัดว่าหากเธอยังทำแบบเดิม ชีวิตนักข่าวจะต้องมืดมน

‘คุณต้องเข้าใจนะ ยุคทีวีดิจิทัลน่ะ การแข่งขันมันสูง ข่าวชาวบ้านแบบดาษดื่นนี่แหละเรตติงดี เอาเป็นว่าคุณลงพื้นที่อย่าให้น้อยหน้าอีกช่องก็แล้วกัน พลาดข่าวไหนไปแม้แต่ข่าวเดียวไม่ได้นะรู้มั้ย หมาแมวออกลูกเป็นสี่ขาแปดขาก็ห้ามพลาด’

สหัสวรรษ หัวหน้าสายตรงของเธอกำชับ เหมือนมาลีที่อดทนมาสองปีถึงกับทนไม่ไหว

‘บอสคะ ให้แยมย้ายไปทำข่าวอื่นไม่ได้เหรอ’

‘ทำไปก่อนเถอะน่า’

‘แยมเบื่อ’

‘เบื่อก็ต้องทำ คุณไม่ใช่นักข่าวเบอร์หนึ่งของช่องนี่นา เลือกอะไรได้เล่า ไปทำงานเลยไป อย่ามาทำหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่ตรงนี้’ 

เหมือนมาลีไม่ยอมทำตามคำสั่ง เธอยังยืน ‘หน้าบูด’ ไม่ยอมขยับเขยื้อนกาย สองตาจับจ้องผู้เป็นนายไม่ลดละ กระทั่งสหัสวรรษทนไม่ไหวต้องใช้ไม้ตาย

‘ถ้าไม่อยากทำ...ก็ลาออกไป’

‘ไม่ออก ออกแล้วจะเอาอะไรกิน’ เหมือนมาลีเลียนแบบวลีเด็ดจากหนังผีเรื่องดังก่อนสะบัดหน้าเดินออกจากห้องทำงานของสหัสวรรษไปด้วยความเจ็บแค้นในอก

นับจากวันนั้น เธอก็ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะเอาชนะคำดูถูกของสหัสวรรษให้ได้ และความคิดเรื่องการก้าวขึ้นเป็น ‘เบอร์หนึ่ง’ ก็ไม่เคยหลุดออกจากสมองของเธอเลย 

หากเธอยังเป็นแค่นักข่าวต๊อกต๋อยที่คนจำไม่ได้แม้แต่ชื่อ ชีวิตของเหมือนมาลีก็คงเป็นได้แค่นี้ พนักงานเงินเดือนถูกๆ ต้องอยู่ห้องเช่าเล็กๆ นั่งรถเมล์ กินข้าวข้างทาง 

เธอไม่ต้องการแบบนั้น 

เหมือนมาลีอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เธออยากมีเงิน มีชื่อเสียง อยากหลุดพ้นจากความต่ำต้อยที่เผชิญมาทั้งชีวิต 

ความคิดนั้นนำมาซึ่งแผนการเปิดโปงบ่อนการพนันที่ไม่มีใครกล้าแตะ และครั้งนั้นเองที่เหมือนมาลีพลิกชีวิตที่เธอมองว่า ‘แสนบัดซบ’ ให้พบกับแสงสว่างได้ 

เธอก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งจริงๆ ไม่เพียงแค่นักข่าวเบอร์หนึ่งของช่อง แต่ยังเป็นเบอร์หนึ่งในใจคนไทยทั้งประเทศอีกด้วย 

 

                ความทรงจำเก่าหวนคืนมาขณะที่เหมือนมาลีมุ่งหน้าไปยังสถานที่เกิดเหตุตามหมุดที่สหัสวรรษส่งมา พบว่าเป็นธนาคารในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง 

                เหมือนมาลีสบถในใจอย่างหัวเสีย เพราะการก่อเหตุในห้างสรรพสินค้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่สามแล้วภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน นักวิเคราะห์ต่างลงความเห็นว่าการก่อเหตุในลักษณะนี้เป็นพฤติกรรมเลียนแบบ ยิ่งสื่อนำเสนอข่าวมากเท่าไร ข้อมูลก็จะไปถึงคนที่พร้อมจะก่อเหตุมากขึ้นเท่านั้น 

                เรื่องนี้จะโทษสื่อได้อย่างไร เป็นสื่อก็ย่อมต้องมีหน้าที่นำเสนอข่าวไม่ใช่หรือ เอะอะอะไรก็โยนความผิดให้นักข่าวกันท่าเดียวเลย 

                คิดอย่างหงุดหงิด แต่เท้ายังคงเหยียบเต็มคันเร่งเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว กระนั้นจำนวนรถอันมหาศาลในเมืองแคบๆ อย่างกรุงเทพมหานครก็ทำเอาคนกำลังรีบหัวเสียขึ้นอีก 

จากการพาตัวเองเข้าบ่อนของเสี่ยย้งในวันนั้น เหมือนมาลีดังเป็นพลุแตกภายในชั่วข้ามคืน ภาพถ่ายที่แอบบันทึกไว้เผยแพร่ออกไป นักการเมืองท้องถิ่นรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งให้ความคุ้มครองกับเสี่ยย้งถูกขุดคุ้ย เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องถูกเด้ง นายตำรวจระดับสูงหนึ่งนายถูกไล่ออก และมีการดำเนินคดีทางกฎหมายข้อหาสมคบกับคนร้ายเพื่อกระทำความผิด ที่สำคัญไปกว่านั้นสังคมตื่นตัวเรื่องบ่อนพนันผิดกฎหมายมากขึ้นทำให้บ่อนพนันอื่นๆ ถูกกวาดล้างเป็นวงกว้าง

เหมือนมาลีกลายเป็นนักข่าวจรรยาบรรณสูงส่งที่ใครๆ ต่างก็ยกย่องกว่ากล้าหาญ เป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ยึดมั่นในความดี โดยหารู้มั้ยว่าความจริงแล้วเธอทำทุกอย่างก็เพื่อตัวเอง 

เพื่อจะได้ก้าวไปเป็น ‘เบอร์หนึ่ง’ อย่างที่ต้องการมาตลอด 

นอกจากโด่งดังเป็นที่รู้จักแล้ว เหมือนมาลียังตั้งแฟนเพจ ‘กวางแห่งป่ายุติธรรม’ เพื่อรับฟังปัญหา การไม่ได้รับความเป็นธรรมของชาวบ้านอีกด้วย เป็นเสมือนกระบอกเสียงเรียกร้องสิทธิให้คนทั่วไปจนกลายเป็นขวัญใจของคนรากหญ้าได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน 

นอกจากนี้....ชื่อเสียงของเธอยังดึงดูดให้นักการเมืองหลายคนเข้าหา หวังให้เธอเป็นพรรคพวกเพื่อหาฐานเสียงเพิ่มคะแนนนิยมให้ตัวเอง

แน่นอนว่าข่าวบางข่าวที่เหมือนมาลีนำเสนอไปไม่ค่อยจริงสักเท่าไรนัก แต่เธอก็ทำได้แนบเนียนเสมอมา

เบนซ์คันใหม่เอี่ยมเลี้ยวเข้าจอดในอาคารจอดที่ค่อนข้างห่างจากห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุพอสมควร แต่เพราะว่าถนนถูกปิดเธอจึงไม่สามารถขับรถเข้าไปพื้นที่ข้างในได้ พอจอดรถเสร็จหญิงสาวจึงรีบแสดงบัตรนักข่าวกับเจ้าพนักงานเพื่อเข้าไปยังพื้นที่ข้างใน พอไปถึงก็พบว่าเอกภพ ตากล้องรุ่นพี่ที่รออยู่ก่อนแล้ว 

“พี่เอก” เธอเรียกเขาท่ามกลางผู้สื่อข่าวหลายสำนักที่ถูกกันออกมายืนรวมกันตรงจุดเดียวกันคือ ลานจอดรถนอกอาคาร 

“คุณแยม”

“พี่เอก ทำไมมาอยู่ตรงนี้” 

“ตำรวจกันนักข่าวทุกคนให้อยู่จุดนี้ครับ เข้าไปไม่ได้” 

“สถานการณ์ข้างในรุนแรงเหรอ”

“ส่อเค้ารุนแรงครับ คนร้ายอาวุธครบมือ เราก็รายงานข่าวจากข้อมูลที่ตำรวจแจ้งอีกที ช่องบอกให้เราเกาะติดสถานการณ์ ทางห้องส่งถ่ายทอดสดอยู่ตอนนี้ครับคุณแยม อีกห้านาทีเราจะโฟนอินเข้ารายการเลย” 

 

                เหตุการณ์ปล้นอย่างอุกอาจกลางกรุงเป็นข่าวดังที่ทุกช่องต่างติดตามรายงานสถานการณ์สดกันตลอดเวลา พื้นที่ข่าวตามช่องต่างๆ พร้อมใจกันปรับผังออนแอร์ในช่วงเวลานี้เป็นการนำเสนอข่าวแบบเรียลไทม์ 

                ผ่านไปสามชั่วโมงนับจากเกิดเหตุ สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น และดูเหมือนว่าจะเลวร้ายลงไปอีก เพราะคนร้ายไม่ทราบจำนวนมีอาวุธสงครามครบมือจับตัวประกันไว้ เป็นพนักงานของธนาคารและประชาชนทั่วไป ทราบว่ารวมกันทั้งหมดมีจำนวนสี่สิบสามชีวิต 

                ปัง! 

                ปัง! ปัง! 

                เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด เหมือนมาลีซึ่งนั่งรออยู่ด้านนอกรวมกับกลุ่มนักข่าวคนอื่นๆ สะดุ้งตัวโยน รีบยกมือปิดหู นักข่าวอีกหลายคนตรงนั้นรีบก้มหมอบกับพื้น 

                ทั้งที่อยู่ในระยะที่ไกลพอสมควร แต่กลุ่มคนซึ่งไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุทโธปกรณ์ก็อดตื่นตระหนกไม่ได้ 

                “เกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น” 

นักข่าวชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ไม่นานก็เกิดถกเถียงกันเสียงเซ็งแซ่ถึงประเด็นนี้ นักข่าวบางช่องรีบตั้งกล้องรายงานสดเพื่อให้ช่องของตัวเองเป็นผู้นำเสนอความคืบหน้านี้เป็นช่องแรก 

เหมือนมาลีหันไปพยักพเยิดกับเอกภพ ตากล้องคู่หูรีบยกกล้องขึ้นเตรียมถ่าย โดยไม่ต้องรอให้ทราบว่าข้างในเกิดเหตุอะไรขึ้น การรายงานความคืบหน้าในเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจของประชาชนแม้เพียงน้อยนิด ก็เรียกเรตติงได้อย่างมหาศาล 

“ตัวประกันถูกยิงตายหนึ่งคน” 

หลังจากรายงานข่าวเรื่องเสียงปืนที่ดังขึ้นหลายนัด ไม่นานก็ทราบว่าเสียงปืนนั้นเกิดจากการที่คนร้ายยิงตัวประกัน 

เรื่องราวดูท่าจะเลวร้ายไปกันใหญ่ นักข่าวหลายคนเริ่มแตกตื่นนิดหน่อย แต่ยังคงปักหลักนำเสนอข่าวกันต่อไป เหมือนมาลีนำเสนอข่าวจบแล้วไม่กี่วินาที จากนั้นก็ได้รับสายจากสหัสวรรษ 

“ว่าไงคะบอส”

“คุณแยม ฟังผมให้ดีนะ”

“ฟังอยู่ค่ะ” 

ปลายสายมีเสียงฮึดฮัดเล็กน้อยที่นักข่าวในสังกัดยอกย้อนเก่งเหลือเกิน แต่เพราะไม่มีเวลาจะเถียงด้วย สหัสวรรษเบาเสียงลงเหมือนว่ากลัวใครจะได้ยิน

“ผมให้ห้าแสน ถ้าคุณได้ภาพเหตุการณ์ข้างในธนาคารมาให้ผมหนึ่งภาพ”

“อะไรนะคะ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วค่ะบอส จะเข้าไปยังไง”

“ตอนนี้ข่าวหลายช่องได้แต่นำเสนอข่าวตามสถานการณ์เท่านั้น เราควรใช้โอกาสนี้ในการแสดงให้สังคมเห็นว่าแซมบาร์เดียร์นิวส์เป็นผู้นำด้านข่าว เราจะเป็นช่องที่นำเสนอข่าวได้ลึกกว่าข่าวช่องอื่น”

“แต่เรื่องนี้มันอันตรายเกินไป ถ้าบอสอยากขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง เล่นเรื่องอื่นดีกว่า”

“ไม่ได้” 

“ทำไมล่ะคะ” เหมือนมาลีทำหน้ายุ่งยากใจ 

“ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้บ่อยเสียเมื่อไหร่ มันจะมีครั้งไหนให้เราแก้มือได้อีก ไม่มีแล้ว เราอยากเป็นผู้นำ เราอยากเป็นเบอร์หนึ่งต้องใจถึงกว่าคนอื่น ทีนี้คุณพอจะเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องตอนนี้ อีกอย่าง ยิ่งภาพข่าวนั้นได้มาโดยคุณ มันก็ยิ่งตอกย้ำสมญานามกวางแห่งป่ายุติธรรมของคุณ คราวนี้ไม่ใช่แค่ห้าแสน อีกกี่ล้านที่คุณอยากได้ก็จะได้มาง่ายนิดเดียว” 

คำพูดยาวเหยียดนั้นเหมือนมนตร์คาถากล่อมให้เหมือนมาลีตกอยู่ในภวังค์ 

เธอเห็นแก่เงิน สหัสวรรษรู้ดี และเขาใช้จุดอ่อนตรงนี้ปลุกกิเลสในใจเธอให้ลุกโชน หญิงสาวมองเข้าไปยังตึกสูงของห้างสรรพสินค้า ที่ตอนนี้ตำรวจล้อมรอบไว้เกือบหมด 

เหมือนเธอยืนอยู่ระหว่างความเส้นแบ่งแห่งความถูกต้องกับความร่ำรวย มันอยู่คนละข้างกันอย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเลือกข้างไหนเป็นทางเดินของตัวเอง

‘เอาน่า คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แค่ภาพเดียว’

 

ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นห้างใหญ่จึงมีทางเข้าออกหลายทาง เหมือนมาลีจ่ายให้พนักงานร้านอาหารคนหนึ่งเพื่อให้ชี้ช่องทางเข้าไปข้างในแบบลับๆ จนเอาตัวเข้าไปยังห้างสรรพสินค้าในชั้นจีได้สำเร็จ ขณะที่สหัสวรรษส่งนักข่าวอีกคนมาสแตนด์บายรอรายงานสดแทนเหมือนมาลีอย่างว่องไว 

ทำไมสหัสวรรษต้องเลือกเธอเป็นคนทำงานนี้ คำตอบไม่ยาก เหตุผลก็เพราะว่าเหมือนมาลีจะตกลงอย่างง่ายดายเมื่อมีรางวัลมาล่อ 

นอกจากนี้เธอยังเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย เพราะไม่มีคนข้างหลังให้ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต เธอไม่มีพ่อแม่ ไร้ญาติขาดมิตร 

กระนั้นเหมือนมาลีก็ทระนงตน เชื่อมั่นในตัวเองว่าไม่มีวันพลาดตายง่ายๆ เธอคิดเสมอว่าการลงมือทำอะไรสักอย่างต้อง ‘ได้’ เท่านั้น ไม่ยอมเสียเด็ดขาด 

เวลานี้คนร้ายอยู่ที่ชั้นสามของห้างซึ่งเป็นชั้นที่รวมธนาคารทุกธนาคารไว้ในชั้นเดียวกัน เป็นปกติของห้างสรรพสินค้าทั่วไปที่มักจัดโซนให้บริการ ตอนนี้ไฟในห้างถูกตัด เหมือนมาลีต้องใช้ทางเดินหนีไฟในการขึ้นไปให้ถึงชั้นบนสุด

ถ้าเธอหลบอยู่ตรงบันไดหนีไฟ แล้วหาจังหวะยื่นกล้องมือถือออกไปถ่ายภาพ แค่ภาพเดียวเท่านั้นสหัสวรรษก็ยินดีจ่ายห้าแสนให้เธอ 

ใครบ้างไม่เอา 

เท้าเล็กๆ ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดอย่างระมัดระวัง ภายในห้างเวลานี้ไม่มีไฟส่องสว่างสักดวง มีเพียงแสงจากด้านนอกที่ลอดผ่านกระจกเข้ามา ส่วนบันไดหนีไฟมีไฟสำรองดวงเล็กๆ ให้แสงสว่าง หัวใจเธอเต้นรัวแรงจนเจ็บโพลงอก ใจหนึ่งอยากหนีออกไป แต่อีกใจบอกว่าเธอมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้ว

โครม! 

เสียงคล้ายกับของชิ้นใหญ่ถูกทำให้ล้มลงนั้นดังมากจนคนที่อยู่ในความเงียบสะดุ้งตัวโยน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องระงม เหมือนมาลีเกือบร้องด้วยความตกใจ แต่เธอรีบปิดปากตัวเองไว้ก่อนแล้วย่อตัวให้ต่ำที่สุด 

หลายนาทีจนแน่ใจว่าไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับเธอ หญิงสาวจึงค่อยๆ ยืดตัวขึ้น มองที่หมายเลขชั้นเธอก็พบว่าถึงจุดหมายแล้ว 

พอทราบ ในวินาทีนั้นขาเธอก็พลันสั่นพั่บๆ เป็นเจ้าเข้า 

‘ไม่ได้นะ จะมัวมากลัวตอนนี้ไม่ได้ รีบถ่ายรูปแล้วออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ปิดจ๊อบห้าแสน’

หลังจากปลอบประโลมตัวเองแล้ว ขาอันสั่นเทาก็ค่อยๆ ก้าวช้าๆ ไปหยุดที่ประตู เธอหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วแนบหูชิดกับบานประตูบันไดหนีไฟ ฟังเสียงเพื่อประเมินเหตุการณ์หลังบานประตูนั่น แต่พบว่าทุกอย่างเงียบกริบ 

เธอกลั้นใจเอื้อมมือไปจับลูกบิด แต่ยังไม่ทันได้ดึงประตูให้เปิดออก เธอก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อมือของใครบางคนวางหมับลงบนบ่าของเธอ 

“กรี๊ด! อุ๊บ!”

เสียงกรีดร้องไม่ทันได้เปล่งออกมาก็หายลงคอไป เพราะอีกฝ่ายปิดปากเธอเอาไว้ เขากอดรัดเธอจากด้านหลัง เหมือนมาลีดิ้นขลุกขลักด้วยความกลัวตาย แต่สู้แรงไม่ได้ จากการคาดคะเนเธอคิดว่าเขาเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่มากทีเดียว มีพละกำลังมหาศาลชนิดที่เธอออกแรงสุดกำลังก็ยังไม่อาจหลุดจากพันธนาการนั้นได้ 

สงสัยชีวิตของเธอต้องจบลงเป็นแน่แล้ว เซ่นสังเวยเงินห้าแสนของสหัสวรรษ 

ไม่มีวัน...

ต่อให้ชีวิตของเธอจะไม่มีใคร เธอเกิดมาในครอบครัวแตกแยก พ่อตาย แม่แต่งงานใหม่แล้วทิ้งเธอไว้กับป้าซึ่งไม่เคยเห็นเธอเป็นหลาน ถูกมองเหมือนคนไร้ค่า แต่เธอก็อยากมีชีวิตต่อไป เพื่อเสวยสุขกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้มา 

เธอจะไม่มีวันตายง่ายๆ เด็ดขาด...

เหมือนมาลีบอกกับตัวเองแล้วออกแรงดิ้นอีกครั้ง ชายผู้ซึ่งรัดตัวเธอไว้ด้วยแขนข้างเดียวขณะที่มืออีกข้างปิดปากเธอไว้กระซิบที่ข้างหู

“ใจเย็นๆ คุณ ผมมาช่วยคุณ” 

เหมือนมาลีชะงักไป ใครกันมาช่วยเธอ หรือว่าสหัสวรรษส่งใครมาช่วย เธอเกิดคำถามในใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนอย่างสหัสวรรษไม่มีวันห่วงเธอขนาดนั้น 

“ผมจะปล่อยคุณ แต่คุณห้ามร้องนะ ตกลงมั้ย ถ้าตกลงพยักหน้า”

เหมือนมาลีกะพริบตาปริบๆ ไล่ความหวาดกลัวจนใกล้สติแตกออกไป แล้วพยักหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ 

“เอาละ หันมา”

เหมือนมาลีถูกหันตัวให้หันไปเผชิญหน้ากับชายคนดังกล่าว พอได้เห็นชัดเต็มสองตาหัวใจเธอก็กระตุกวูบ ตามมาด้วยอาการสั่นแปลกๆ ที่ไม่ใช่ความกลัวอย่างก่อนหน้า แต่เป็นความตกประหม่าระคนหวั่นไหวซึ่งไม่อาจเข้าใจได้ 

ร่างสูงใหญ่ราวหกฟุตเศษสวมชุดหน่วยรบพิเศษเต็มยศ ใบหน้าที่ปิดไว้เห็นเพียงแต่ดวงตาเรียวรีที่ฉายแววเคร่งเครียดและมองมายังเธอ เหมือนมาลีจ้องกลับเหมือนถูกมนตร์สะกด เธอจ้องเขาอยู่นานมากพอจนเห็นจุดสีดำเล็กๆ ใต้ดวงตาซ้ายของเขา 

หล่อทะลุหน้ากาก

บ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ดันมาคิดอะไรแบบนี้ในสถานการณ์อันหน้าสิ่วหน้าขวาน 

“ค่อยๆ นั่งลง” 

เขากดตัวเธอให้นั่งลงกับพื้น เหมือนมาลีทำตามอย่างว่าง่าย

“ฟังผมแล้วทำตามอย่างเคร่งครัด ผมอยากให้คุณนั่งลงตรงนี้ อีกไม่เกินห้านาทีจะมีเจ้าหน้าที่มารับตัวคุณ อย่าเคลื่อนไหว อย่าส่งเสียง”

เหมือนมาลีเหมือนคนเป็นใบ้ เธอพยักหน้าหงึกๆ 

ตำรวจหนุ่มกดหูฟังแล้วแจ้งข่าวการพบตัวประกันที่บันไดหนีไฟ จากนั้นก็ดันตัวเธอให้อยู่ข้างหลังเขา 

“คุณจะไปไหนคะ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาส่งสัญญาณด้วยการชี้นิ้วลงที่พื้นให้เธอเงียบ ริมฝีปากบางเม้มฉับทันทีทันใด เธอเงียบแล้วมองการกระทำของเขาจากข้างหลังอย่างไม่เข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดกับหน่วยรบพิเศษแบบตัวเป็นๆ แบบส่วนตัวมากๆ 

ชายหนุ่มจับที่หูฟัง คล้ายรอสัญญาณบางอย่าง 

เหมือนมาลีซึ่งตกอยู่ในภวังค์ยังมีสติพอจะคิดได้ว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ด้วยเพราะเหตุใด 

ดวงตากลมโตไหวระริก มือชื้นไปด้วยเหงื่อ ในความกลัวก็ยังมีความกล้าหาญมากพอจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพแผ่นหลังอันแข็งแกร่งของชายตรงหน้า 

“นี่คุณ ทำอะไร”

ชนกันต์รับรู้การเคลื่อนไหวจากด้านหลังจึงหันมามองทันได้เห็นว่าเธอถ่ายภาพเขาอยู่ เหมือนมาลีตระหนกเพราะน้ำเสียงและแววตาของเขาดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก 

“ฉัน...คือว่าฉัน...”

ไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงจากหลังบานประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งคล้ายมีการต่อสู้เกิดขึ้น 

ชนกันต์มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอีกจากที่ดูเครียดอยู่แล้ว ทีมของเขาได้รับมอบหมายให้เข้าช่วยเหลือตัวประกันให้ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด เหตุการณ์ดูรุนแรงเกินคาดการณ์หลังตัวประกันถูกยิงเสียชีวิตหนึ่งราย และไม่รู้เลยว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นอีกหรือไม่ 

“คุณหนีไป วิ่งไปไม่ต้องคิดชีวิต” 

“ตะ...แต่ แต่ว่าฉัน”

จะวิ่งได้อย่างไร เธอกลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ก้าวขาสักก้าวเลย แค่ขยับตัวยังยาก ซวยจริงๆ เธอไม่น่าเอาชีวิตมาทิ้งไว้ เพราะเงินห้าแสนเลย 

เหมือนมาลีกลัวจนไม่อาจสะกดกลั้นความหวาดวิตกเอาไว้ได้ เหงื่อแตกพลั่ก มือชื้นเหงื่อ ร่างกายสั่นเทิ้ม แข้งขาอ่อนแรงราวกับจะล้มลงดื้อๆ

“กลัวใช่มั้ย” 

“ค่ะ” เหมือนมาลีบอกแทบจะทันที เธอสบตาเขาอย่างไว้วางใจ ทั้งที่เป็นคนแปลกหน้า แต่เขาก็ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และแววตาสีนิลคู่นั้นก็ทำให้เธอเชื่อด้วยว่าเธอจะปลอดภัย 

ชนกันต์ชั่งใจครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรเขาก็ต้องช่วยผู้บริสุทธิ์ออกไปให้ได้ก่อน นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นเป้าหมายในปฏิบัติการครั้งนี้

ใช้เวลาประมาณหนึ่งนาทีพาเธอลงไป น่าจะทันได้พบกับเพื่อนของเขาที่กำลังขึ้นมารับเธอพอดี จากนั้นใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที หรือน้อยกว่านั้นกลับขึ้นมาเพื่อทำตามแผนที่วางไว้ หากไม่ทำเช่นนั้นเขาก็คงจะต้องห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ดี 

“งั้นมานี่ ผมจะพาคุณลงไป” 

ชายหนุ่มคว้าแขนเล็ก รั้งให้เดินแกมวิ่งลงไปยังด้านล่าง ผ่านไปสองชั้นจึงเห็นสัญญาณมือของเพื่อนร่วมทีมสองคนที่กำลังวิ่งขึ้นมา 

“เอาละ รอตรงนี้ ผมต้องรีบไปแล้ว” 

“ขอบคุณค่ะ” เธอละล่ำละลัก 

ชนกันต์ไม่รอฟัง ชายหนุ่มก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดกลับไปยังทิศทางเดิมอย่างรวดเร็วจนเหมือนมาลีได้แต่ยืนตาค้าง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าหน้าที่อีกสองคนมารับตัวเธอตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ออกมาอยู่ข้างนอกห้างแล้ว 

ไม่ทันที่ใครจะได้ถามไถ่อะไร เหมือนมาลีก็ต้องหมอบลงกับพื้นด้วยความตระหนกเมื่อเสียงปืนดังรัวขึ้นหลายนัด ก่อนที่จะเกิดเสียงอื้ออึงจากคนที่อยู่บริเวณโดยรอบ เธอได้ยินตำรวจนายหนึ่งพูดว่าเสียงปืนดังมาจากภายในตึก 

หัวใจเธอเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว ขณะที่อีกใจนึกห่วงคนที่อยู่ข้างในนั้น คนที่เธอพบเขาและจำได้เพียงแววตาที่โผล่พ้นผ้ารัดศีรษะและหมวกนิรภัย ร่างสูงราวร้อยแปดสิบเศษ น้ำเสียงนุ่มทุ่มแฝงด้วยความอารี 

คนแปลกหน้าที่เธอเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงสิบนาที พูดคุยกันได้ไม่กี่คำ แต่กลับสร้างความรู้สึกอันประหลาดล้ำที่ไม่เกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อน 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น