อีกหนึ่งในงานหลักของอาชีพดารานักแสดงคือการร่วมงานอีเวนต์ต่างๆ
วันนี้ ‘ว่านจันทร์’ มาร่วมงานเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ของแบรนด์แฟชั่นหรูระดับโลก ในฐานะที่เป็นเฟรนด์ออฟเฮาส์คนแรกของประเทศไทย เธอมางานด้วยภาพลักษณ์ของสาวออฟฟิศ สวมเสื้อคลุมผ้าทวีตสีฟ้าอ่อนไว้ที่ไหล่ ด้านในมีเสื้อซับในสีขาวกับกางเกงเอวสูงขายาวเข้ารูป เนื้อผ้าและสีเป็นแบบเดียวกับเสื้อคลุม กำลังยืนให้สื่อมวลชนถ่ายภาพร่วมกับผู้บริหารและทีมออกแบบ
ถึงแม้ว่าลึกๆ เธอจะไม่ชอบออกงานสังคมสักเท่าไร แต่กระนั้นด้วยความเป็นมืออาชีพ จึงสามารถเก็บซ่อนความเบื่อหน่ายไว้ภายใต้รอยยิ้มสวยสะกดได้อย่างแยบยล
ขณะเดียวกันดวงตาสวยโฉบเฉี่ยวก็ทอดสายตาฝ่าวงล้อมของสื่อมวลชนไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากถ่ายภาพและพูดคุยเล็กน้อยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของทางแบรนด์เสร็จสิ้น เรียวขาเล็กก็ก้าวเดินมาหาเป้าหมายที่จับจ้องไว้นานแล้วทันที
“สวัสดีค่ะคุณสาม วันนี้มางานคนเดียวหรือคะ” เธอกล่าวทักทายหนุ่มหล่อสวมชุดสูทคอลเลกชันหนึ่งของแบรนด์นี้ แสร้งกวาดสายตาไปรอบตัวเขา แม้ว่าเธอจะเห็นเขาตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวเดินเข้ามาในงานแล้วก็ตาม
สิปปกรสบตานางเอกสาวตรงหน้า ไม่ต้องถามว่าเธอคือใคร เพราะเวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ว่านจันทร์’ ซูเปอร์สตาร์สาวสวยแถวหน้าของวงการบันเทิงเมืองไทยอย่างแน่นอน
“เปล่าครับ พอดีผมกำลังรอน้องวิวอยู่น่ะครับ” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงโทนสุภาพมาดผู้ดี
เสี้ยววินาทีนั้นดวงตาคู่หวานมีแววตาขุ่นมัว ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนกลับมาฉายแววหวานหยดเช่นเดิม
“แหม น่าอิจฉาคุณน้องวิวจังเลยนะคะ มีไฮโซหนุ่มหล่ออย่างคุณสามมารอให้ควงแขนร่วมงานวันนี้ด้วย”
คราวนี้ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงยิ้มน้อยๆ ให้หญิงสาวเท่านั้น เมื่อสายตาคมปะทะกับร่างบางน่าทะนุถนอมของคนที่รอคอย กำลังเดินเข้างานมาพร้อมมารดา จึงดึงสายตากลับมาที่หญิงสาวอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าคุณว่านไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปหาน้องวิวก่อนนะครับ”
รอยยิ้มของว่านจันทร์หุบลงฉับพลัน “อ๋อ เชิญค่ะ” พูดจบถึงค่อยเบี่ยงตัวหลบทางให้ชายหนุ่มได้เดินไปหาดาราสาวหน้าใหม่
คล้อยหลังสิปปกรไปแล้ว ว่านจันทร์ทำเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจ ดวงตาคู่สวยมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินเข้าไปหาวาริณกับคุณปานวาด ทว่าเมื่อบังเอิญสบตากับคุณปานวาด ชั่วพริบตาที่นัยน์ตาคู่นั้นทอแสงหม่นก็เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติ เธอรีบสะบัดหน้าหนี หันหลังเดินออกไปจากพื้นที่ตรงนั้นในทันที
รถยนต์เอสยูวีสีขาวจอดนิ่งอยู่ข้างร้านสุภาวดีโภชนาการ ร้านอาหารตามสั่งซึ่งเป็นตึกแถวหนึ่งคูหาสามชั้น ตั้งอยู่ในตัวเมืองจันทบุรี ชายหนุ่มร่างสูงกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายทว่าเรียบเฉยก้าวลงจากรถ โดยมีถุงของฝากเต็มมือทั้งสอง กำลังเดินมาหาเจ้าของร้าน
“สวัสดีครับป้าสุ” รามสูรยกมือไหว้สาวใหญ่ร่างท้วมที่ยืนเท้าสะเอวชี้นิ้วสั่งงานลูกจ้างอยู่
นางสุภาวดีไม่ทันเห็นว่าใครเข้ามาในร้าน จนได้ยินเสียงทักทายจึงหันมาฉีกยิ้มแป้นให้ชายหนุ่ม ผิดกับตอนที่สั่งงานลูกจ้างสาวลิบลับ
“อ้าว เสี่ยราม...ไปยังไงมายังไงคะเนี่ย มาๆ มานั่งก่อนค่ะ” เจ้าของร้านรีบเดินเข้ามาจัดแจงหาที่นั่งให้คนมาใหม่
ทว่ารามสูรยื่นถุงของฝากมากมายให้สุภาวดีเสียก่อน “พอดีผมเพิ่งกลับมาจากเมืองจีนน่ะครับ เลยแวะเอาของฝากมาให้ป้าสุ”
“โอยยย! ซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะพ่อคุณ ป้าอยู่คนเดียวจะกินยังไงหมด” แม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่มืออวบนั่นก็ยื่นไปรับถุงของฝาก “ขอบใจมากนะเสี่ยที่ยังนึกถึงคนแก่อย่างป้า คราวหลังไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ” นางว่าพลางส่งถุงของฝากให้ลูกจ้างสาวเอาไปเก็บหลังร้าน
“ไม่ได้ลำบากอะไรเลยครับ ป้าสุเปรียบเหมือนญาติคนหนึ่งของผม”
นางสุภาวดีทำหน้าปลื้มปริ่ม ชีวิตของนางตอนนี้เรียกได้ว่าแทบจะไร้ญาติขาดมิตร มีญาติเพียงคนเดียวคือหลานสาว ซึ่งนานๆ ทีจะกลับมาหา แต่ถึงอย่างนั้นก็ส่งเงินมาให้ทุกเดือนไม่เคยขาด
“เชิญนั่งก่อนค่ะเสี่ย กินข้าวกินปลามาหรือยังคะ อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวป้าทำให้กิน”
รามสูรจึงเดินตามเจ้าของร้านมาที่โต๊ะมุมด้านในสุดติดกับผนัง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วถึงได้เอ่ยสั่งอาหาร “ขอเป็นข้าวกะเพราเนื้อสักจานก็พอครับ” ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้วที่เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากกาแฟดำหนึ่งแก้ว
“ได้จ้ะ เสี่ยนั่งรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวป้าไปทำให้เอง” นางสุภาวดีตอบรับแล้วเดินกลับไปตรงส่วนครัวหน้าร้าน พลางตะโกนบอกลูกจ้างเอาน้ำมาให้เสี่ยหนุ่ม
ระหว่างรออาหาร ดวงตาคมกริบสีดำสนิทไล่สายตามองรูปภาพหลายสิบรูปที่แขวนติดผนังร้าน ซึ่งล้วนเป็นรูปของเจ้าของร้านกับนางเอกสาวสวยที่กำลังเป็นกระแสอยู่ ณ ขณะนี้ คนในละแวกนี้ต่างรู้กันดีว่าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งเป็นป้าแท้ๆ ของนางเอกสาวชื่อดัง แต่น้อยคนนักที่จะล่วงรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์เช่นไรกับเธอ
รอไม่นานข้าวกะเพราเนื้อพูนจานที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนก็ถูกนำมาวางลงตรงหน้ารามสูร พร้อมต้มจืดเต้าหู้หมูสับอีกหนึ่งชาม เขาไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะทุกครั้งที่มากินข้าวร้านนี้ ก็มักจะได้อาหารมากกว่าที่สั่งไปทุกครั้ง
“ไม่อิ่มบอกนะเสี่ย ป้าจะได้ทำเพิ่มให้อีกจาน”
“ขอบคุณครับ แต่แค่นี้ก็พอแล้วละครับ” เขาตอบยิ้มๆ จากนั้นลงมือกินอาหารตรงหน้าด้วยความหิวโหย
นางสุภาวดีจ้องมองเสี่ยหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเดินกลับไปทำอาหารให้ลูกค้าต่อ
รามสูรใช้เวลาในการกินอาหารตรงหน้าจนหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที ขณะจะลุกออกจากเก้าอี้ไปหาเจ้าของร้าน นางก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน
“จะกลับแล้วหรือคะเสี่ย”
“ครับ พอดีผมมีธุระต้องไปทำต่อน่ะ” เขาขานรับ มือล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา
“อุ๊ย! ไม่ต้องค่ะ ป้าตั้งใจทำให้ลูกให้หลานกิน ไม่คิดเงินเสี่ยหรอกค่ะ” นางสุภาวดีโบกมือพัลวัน
เป็นแบบนี้ทุกครั้งไป รามสูรจึงไม่ตื๊อต่อ เพราะเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น “ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะเสี่ย”
จากนั้นรามสูรก็เดินออกจากร้านอาหารตามสั่ง ก่อนจะขับรถมาแวะตลาดอาหารทะเลเพื่อซื้อของสดกลับบ้านตามคำสั่งของคุณจันทร์จิราตอนก่อนออกจากบ้าน เมื่อได้ของทั้งหมดแล้วรามสูรก็กลับมาที่รถยนต์ เอาของไปเก็บไว้ด้านหลัง
“กรี๊ดดด! ช่วยด้วยค่ะ โจรขโมยกระเป๋า!”
ทันใดนั้นเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้นไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่ ซึ่งพอดีกับที่หางตาเหลือบไปเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมาทางเขา ในมือมีกระเป๋าแบรนด์เนมราคาน่าจะหลายหมื่น และบริเวณลานจอดรถตอนนี้ก็ไม่มีใครเลยนอกจากเขา
ดวงตาคมกริบหรี่ลง เขาอาศัยจังหวะที่โจรวิ่งราวหันมองข้างหลังและไม่ทันเห็นว่าตนยืนอยู่ตรงนี้ พอมันวิ่งเข้ามาในระยะใกล้ จึงยกขาข้างหนึ่งถีบต้นขาของโจรร่างซูบผอมจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่าลงไปนอนกับพื้นปูน
รามสูรสังเกตลักษณะท่าทางของโจรวิ่งราวพลางส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวเลยสักนิด “อาชีพสุจริตมีเยอะแยะ ทำไมไม่ทำ” เสียงเหี้ยมดังขึ้น ก่อนก้าวมาจะหยิบกระเป๋าแบรนด์เนมเอาไปคืนเจ้าของ
ทว่าในจังหวะนั้นเอง โจรที่แอบหยิบมีดพกสั้นออกมาตอนไหนไม่ทราบได้เหวี่ยงมีดในมือใส่เขา โชคดีที่รามสูรกระโดดหลบทัน กระนั้นก็ยังไม่พ้นปลายมีดแหลมคมอยู่ดี แม้จะโดนแค่เฉียดๆ แต่ก็ลึกพอที่จะทำให้เลือดไหลซึมออกมาเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาว
ทันทีที่มันมีโอกาสจึงรีบคว้ากระเป๋าที่ขโมยมาแล้วยันตัวลุกขึ้น ตั้งท่าจะหนีอีกครา แต่ยังช้ากว่ารามสูรที่เอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อยืดมันไว้ จากนั้นจึงเป็นการต่อสู้ระหว่างเสี่ยหนุ่มกับโจรวิ่งราวตัวผอมกะหร่อง ซึ่งดูจะไม่เกินมืออดีตนักกีฬายูโดสายดำของมหาวิทยาลัยอย่างรามสูรแม้แต่น้อย
ช่วงสุดท้ายของการต่อสู้ เสี่ยหนุ่มที่เป็นต่อในทุกด้านอาศัยช่วงจังหวะหนึ่งจับแขนขวาของอีกฝ่ายเอาไว้มั่น อีกแขนก็สอดเข้าใต้รักแร้ หมุนตัวหันหลังพร้อมยกร่างโจรตัวผอมขึ้นแล้วทุ่มลงพื้นปูนอย่างไม่ออมแรง
ตุ้บ!
“เฮือก!!!”
โจรวิ่งราวนอนร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด สภาพตอนนี้ดูไม่จืด ไม่สามารถลุกขึ้นยืนเองได้อีก ตรงท้องยังมีเท้าหนักๆ ของรามสูรเหยียบเอาไว้
“สารเสพติดมันไม่ช่วยให้ชีวิตมึงดีขึ้นหรอก มีแต่จะทำให้ฉิบหาย จำใส่หัวมึงไว้ด้วย” กล่าวจบถึงค่อยยกเท้าออก โน้มตัวลงเพื่อหยิบกระเป๋า
เจ้าของกระเป๋าสาววิ่งตามเข้ามา มองโจรที่นอนแอ้งแม้งบนพื้นก่อนจะร้องอุทานลั่น “ว้าย! เลือดที่ท้องคุณค่ะ”
ยังไม่ทันจะได้ยืดตัวกลับมาตั้งหลังตรงก็มีเสียงหวีดร้องตกใจดังขึ้น รามสูรเงยหน้ามองหญิงสาวหน้าหมวยตัวเล็กบอบบาง ดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นเจ้าของกระเป๋า
“กระเป๋าใบนี้ใช่ของคุณหรือเปล่าครับ”
สาวหมวยที่ยังแสดงสีหน้าตื่นตกใจไม่หาย หลุบตาลงมองกระเป๋าแบรนด์เนมของตัวเองในมือพลเมืองดี “ใช่ค่ะ ของเกรซเอง”
รามสูรจึงยื่นกระเป๋าคืนเจ้าของ ก่อนจะล้วงมือหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีน หยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทร. หาใครบางคน
“...สวัสดีครับผู้กองฐากูร ผมเสี่ยรามนะครับ ผู้กองช่วยมาเก็บเดนนรกที่ลานจอดรถตรงตลาดสดหน่อยครับ” เขาแจ้งกับปลายสายอย่างใจเย็น ขณะที่มืออีกข้างกุมท้องเพื่อห้ามเลือด ใบหน้าคมคายไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว
หลังจากที่เขาวางสาย เสียงหวานก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความร้อนรน
“คุณได้รับบาดเจ็บ ฉันว่าไปโรงพยาบาลก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวฉันพาไปค่ะ”
รามสูรเพิ่งจะได้ก้มลงมองหน้าท้องตัวเอง ก่อนถอนหายใจแรงๆ อย่างไม่สะทกสะท้านต่อความเจ็บปวดเลยสักนิด เงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมขับรถไปเองดีกว่า แผลไม่ได้ลึกมาก แค่ถากๆ น่ะ”
“แต่ว่าคุณเลือดไหลไม่หยุดเลยนะคะ อีกอย่าง คุณเป็นคนช่วยเอากระเป๋ามาคืนให้ฉันจนได้รับบาดเจ็บ ให้ฉันรับผิดชอบเถอะค่ะ” สาวหมวยมีสีหน้ารู้สึกผิดเสียเต็มประดา
รามสูรเห็นดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธความหวังดีของหญิงสาว ไม่กี่นาทีต่อมารถยนต์ของตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ เนื่องจากสถานีตำรวจอยู่ห่างจากตลาดไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เมื่อส่งต่อหน้าที่ทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาขึ้นมานั่งในรถยนต์ของผู้เสียหายเพื่อมาโรงพยาบาลเอกชนใกล้ตลาดแห่งหนึ่ง
หลังจากทำแผลเสร็จก็เดินออกจากห้องฉุกเฉิน หญิงสาวเห็นเขาจึงรีบลุกจากโซฟา ปรี่เข้ามาหาชายหนุ่มทันที
“คุณเป็นยังไงบ้างคะ”
เสี่ยหนุ่มยิ้มบางอย่างสุภาพ “หมอบอกว่าแผลไม่ได้ลึกมากครับ ไม่ถึงกับต้องเย็บ แค่ทำแผลและฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักครับ”
กานธิดาทำหน้าโล่งใจเมื่อชายหนุ่มพลเมืองดีไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่อย่างนั้นเธอคงรู้สึกผิดไปอีกนาน
“เอ่อ...คุณชื่ออะไรคะ ฉันชื่อเกรซค่ะ”
“รามสูรครับ เรียกรามเฉยๆ ก็ได้”
กานธิดาพยักหน้าพลางยิ้มหวาน เธอเพิ่งจะได้พินิจมองใบหน้าชายหนุ่มชัดๆ เล่นเอาหัวใจเต้นรัวแรงกับความหล่อ
“ค่ะคุณราม อย่างนั้นเกรซขอเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ...”
“อย่าปฏิเสธเลยค่ะ ถ้าเกรซไม่ได้รับผิดชอบคุณ คงรู้สึกผิดต่อคุณรามแย่เลยค่ะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” รามสูรตอบตกลง นัยหนึ่งเพื่อตัดรำคาญ
หลังจากเคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ เรียบร้อย กานธิดาจึงขันอาสาพารามสูรไปส่งที่บ้าน แต่เขายังคงปฏิเสธซ้ำและบอกอีกด้วยว่าได้โทร. ให้ลูกน้องมารับแล้ว
“คุณเกรซไปจัดการเรื่องคดีความที่โรงพักต่อได้นะครับ ผมรอลูกน้องมารับคนเดียวได้”
“เอ่อ...” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดอะไร เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นด้านหลังเธอ จู่ๆ ร่างใหญ่นั้นก็พุ่งแทรกตัวเข้ามาเบียดเธอจนเกือบเสียหลักล้ม
“เสี่ยครับ!” ทรงยศ ลูกน้องคนสนิทของเสี่ยเจ้าของสวนผลไม้ ร้องเรียกผู้เป็นนายด้วยสีหน้าท่าทางตื่นตระหนก พลางวิ่งเข้ามาดูอาการบาดเจ็บด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยเป็นยังไงบ้างเนี่ย นี่ถ้าเสี่ยให้ผมมาด้วยคงไม่เจ็บตัวแบบนี้แน่”
“แกกำลังจะบอกว่าฉันไร้น้ำยาเหรอไอ้ยศ”
“โธ่ เสี่ย! ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย ผมหมายถึงถ้าผมอยู่ด้วยจะได้ช่วยเสี่ยจัดการคนร้ายต่างหาก” ลูกน้องเสี่ยหนุ่มทำหน้าเหยเก ตอบกลับเสียงอ่อย
รามสูรไม่ต่อล้อต่อเถียงกับลูกน้องอีก หันหน้ามาทางกานธิดาแล้วเอ่ย “ลูกน้องผมมารับแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
โดยไม่รอให้หญิงสาวได้เป็นฝ่ายกล่าวลาบ้าง คนมารยาทเหลือน้อยอย่าง ‘รามสูร แสนเมืองปาน’ ก็เดินตัวปลิวจากมา ขณะที่ลูกน้องวิ่งตามหลังไปติดๆ
กานธิดาได้แต่ยืนอ้าปากหวอ มองตามหลังสองหนุ่มที่เดินออกจากโรงพยาบาลตาปริบๆ พอได้สติถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ขอช่องทางติดต่อจากชายหนุ่มเลย จึงรีบสาวเท้าเร็วๆ ตามไป พอเดินออกมาก็เห็นเขาเข้าไปนั่งในรถกระบะคันใหญ่ของสวนผลไม้จันทร์จิรา ก่อนรถคันดังกล่าวจะแล่นออกไป
เธอหยุดยืนอยู่หน้าประตูทางออกของโรงพยาบาล “สวนจันทร์จิราอย่างนั้นหรือ ฮึ! แบบนี้เราน่าจะได้เจอกันบ่อยเลยสิคะเสี่ยราม”
เช้าวันต่อมา
เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนที่ว่านจันทร์ได้มีโอกาสนอนขี้เกียจอยู่บนเตียง เนื่องจากละครเรื่องแรกของเธอในปีนี้เพิ่งปิดกล้องไป จึงทำให้มีเวลาว่างพักผ่อนยาวนานถึงห้าวันเต็ม ก่อนจะเตรียมถ่ายละครเรื่องใหม่ที่ใกล้เปิดกล้องเร็วๆ นี้
หลังลุกออกจากที่นอนและทำธุระส่วนตัวเสร็จ เธอลงมาชั้นล่างเพื่อเข้าไปในห้องออกกำลังกายขนาดย่อม
ว่านจันทร์ชอบที่จะอยู่บ้านมากกว่าคอนโดมิเนียมเพราะมีพื้นที่กว้างให้ออกมาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ ชอบที่มีต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวให้มองเล่น มากกว่าห้องแคบๆ มีแต่ตึกสูงบดบังทัศนียภาพ แม้ว่าการอยู่บ้านนอกตัวเมืองจะทำให้การเดินทางไปทำงานของเธอไม่ค่อยสะดวกสบายนัก
ปกติเวลาไม่มีงานเธอมักใช้เวลาอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปพบปะหรือสังสรรค์กับใครสักเท่าไร เพราะเธอมีเพื่อนน้อยมากและชอบเก็บตัว
ว่านจันทร์อยู่ในห้องออกกำลังกายเกือบหนึ่งชั่วโมง พอเปิดประตูออกมาก็เจอผู้ชายตัวใหญ่นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขก แต่งตัวด้วยคู่สีที่ดูจัดจ้าน กำลังนั่งดูอะไรในโทรศัพท์มือถือพร้อมทำหน้าเหมือนคนละเมอเพ้อฝันอยู่ จึงสาวเท้าเข้าไปหา
“วันนี้ว่านไม่มีคิวงานไม่ใช่เหรอคะ” เธอเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแขก “แล้วทำไมพี่ซันถึงมานั่งอยู่ในบ้านว่านได้” ก่อนหรี่ตามองอย่างจับผิด
“ฉันจะมานอนเล่นที่บ้านหล่อนไม่ได้เลยหรือยังไง หรือว่าหล่อนแอบซ่อนใครไว้ เลยกลัวฉันเห็น” ผู้ช่วยผู้จัดการแบะปากใส่พลางจีบปากจีบคอพูด ยืดคอตั้งตรงพลางหันซ้ายหันขวาทำท่ามองหา
ว่านจันทร์ส่ายหน้าน้อยๆ เธอรู้หรอกว่าผู้ช่วยผู้จัดการส่วนตัวของตนมาที่นี่เพราะจะได้ประหยัดค่าไฟที่บ้านตัวเอง จึงเดินมานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ไม่ได้ถือสาที่เขาเข้าบ้านมาโดยพลการ เพราะซันนี่ถือว่าเป็นทั้งพี่และเพื่อนของเธอตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ ส่วนเปรมิกาหรือปลา ผู้จัดการส่วนตัวดาราคิวทอง ถือได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณอีกคนหนึ่งที่เธอเคารพนับถือมาก
“แล้วนั่นดูอะไรอยู่คะ ว่านเห็นพี่ซันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ถ้าให้เดาคงหนีไม่พ้นคลิปผู้ชายกล้ามโตๆ” เธอพูดพลางหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดบ่าขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้าและลำคอ
ซันนี่ยื่นโทรศัพท์มือถือตัวเองไปให้ดาราสาวดู ว่านจันทร์ชะงักมือที่กำลังซับเหงื่อบริเวณหลังคอไปชั่วขณะ หลุบตาลงมองหน้าจอโทรศัพท์ หัวคิ้วขมวดแทบจะชนกัน
“ก็ข่าวเสี่ยเมืองจันท์ พลเมืองดีที่เข้าไปช่วยลูกสาวร้านทองที่โดนกระชากกระเป๋ากลางลานจอดรถน่ะสิ ตอนนี้กำลังดังกระฉ่อนในติ๊กต็อกเลยนะ เพราะมีคนถ่ายคลิปตอนที่เสี่ยจัดการคนร้ายด้วยมือเปล่าจนพลาดโดนมันใช้มีดฟันเข้าที่หน้าท้องจังๆ แต่ยังจัดการไอ้สารเลวนั่นซะอยู่หมัด อย่างกับพระเอกละครเลยแกเอ๊ย...คนอะไรก็ไม่รู้ รูปก็หล่อ พ่อก็รวย กล้ามแน่นเป็นมัดๆ ทั้งยังเป็นคนดีศรีเมืองจันทบุรีอีก เห็นแบบนี้ฉันอยากยกขันหมากไปขอมาทำสามีเลย”
ทว่าว่านจันทร์กลับดวงตาเบิกกว้างเมื่อได้ฟังสิ่งที่ซันนี่เล่า เอื้อมไปดึงโทรศัพท์ในมือผู้ช่วยผู้จัดการมาเปิดดูคลิปวิดีโอซ้ำอีกครั้ง จึงมั่นใจว่าพลเมืองดีคนนี้เป็นคนไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเธอ
“เสี่ยเขาเป็นคนจังหวัดเดียวกับแกนี่ว่าน แกพอจะรู้จักเขาบ้างไหม” ผู้ช่วยผู้จัดการยื่นหน้ามาเอ่ยถามด้วยท่าทีสนใจ
ดาราสาวละสายตาจากจอโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับซันนี่ อึดใจต่อมาก็เอ่ย “ว่านจะกลับไปเยี่ยมป้าสักสี่ห้าวันนะพี่ซัน ฝากบอกพี่ปลาด้วยว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายไม่ต้องโทร. ตาม” นอกจากเธอจะตอบไม่ตรงคำถาม ยังเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อเก็บเสื้อผ้า เตรียมกลับจันทบุรีอีกต่างหาก
“อ้าวนังนี่ อยู่ๆ ก็เกิดอยากกลับบ้านขึ้นมาซะงั้น...” ซันนี่ลากสายตามองตามหลังดาราสาว พลางยกมือเกาศีรษะอย่างงุนงง “อะไรของมันวะ”
ความคิดเห็น |
---|