บทที่ 2

2

ความสัมพันธ์ซับซ้อน

 

“ใครมาบ้านแต่เช้าน่ะน้อม”

คุณณรงค์ในวัยหกสิบปีที่นั่งจิบกาแฟยามเช้าอยู่ตรงระเบียงบ้านไม้สักหลังใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านซ้ายของสวนจันทร์จิรา เอ่ยปากถามแม่บ้านวัยกลางคน พลางพับครึ่งหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือวางลงบนโต๊ะกลมเล็กๆ ขณะที่สายตานั้นจับจ้องรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีขาวซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน

เจ้าของชื่อที่กำลังปัดกวาดเช็ดถูแจกันดอกไม้ในมุมห้องรองแขกจึงชะโงกหน้าไปดูว่าใครที่เจ้านายหมายถึง “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะท่าน เดี๋ยวน้อมออกไปดูให้ค่ะ” พูดแล้วก็พาดผ้าขี้ริ้วในมือไว้กับขอบถังน้ำใบเล็ก ก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ไปหน้าบ้าน

เช้านี้คุณจันทร์จิรากับคุณจอมนรีพากันไปทำบุญที่วัดแต่เช้า จนตะวันสายโด่งป่านนี้ก็ยังไม่เห็นกลับมา บ้านทั้งหลังจึงเหลือเพียงแค่คุณณรงค์กับแม่บ้านสองคน สายตาของท่านยังทอดมองบุคคลไม่คุ้นหน้าคุ้นตาที่ก้าวลงจากรถตู้ โดยมีแม่บ้านคนเก่าคนแก่ออกไปรอต้อนรับแขก

“ใครกันล่ะนั่น”

คุณณรงค์ลุกขึ้นยืน ท่านเดินมาที่หน้าประตูบ้าน ซึ่งก็พอดีกับที่น้อมจิตกลับมารายงานตนพอดี

“คุณกวง เจ้าของร้านทองในตลาดมาขอพบเสี่ยรามค่ะท่าน”

คุณณรงค์ไม่ต้องเอ่ยถามก็ได้รับคำแถลงไขจากแม่บ้านวัยกลางคน

“น้อมเห็นมีกระเช้าของเยี่ยมมาด้วย สงสัยจะมาเยี่ยมเสี่ยน่ะค่ะ”

คุณณรงค์อุทาน ‘อ้อ’ อยู่ภายในใจอย่างเข้าใจ เมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อวานที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านเล่าให้ฟังหลังจากกลับมาถึงบ้าน จากนั้นก็โดนคุณจันทร์จิราเทศนาเสียชุดใหญ่

“ไปเชิญพวกเขาเข้ามาในบ้านก่อนไป ฉันฝากน้อมโทร. บอกทรงยศรายงานเจ้านายมันให้รีบกลับมาบ้านหน่อยก็แล้วกันนะ”

“ค่ะท่าน” น้อมจิตรับคำสั่งจากนายใหญ่ของสวนจันทร์จิรา ก่อนหมุนตัวกลับไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

คุณณรงค์เดินกลับเข้ามาในบ้านแล้วเรียกใช้งานแม่บ้านอีกคน “บุ๋มหาน้ำหาท่ามาต้อนรับแขกหน่อย”

“ค่ะท่าน” บุ๋มบิ๋ม หลานสาวของน้อมจิตที่กำลังถูพื้นอยู่ขานรับเสียงแข็งขัน

โดยปกติหน้าที่ต้อนรับแขกจะเป็นของคุณจันทร์จิราไม่ก็จอมนรีผู้เป็นน้องสาว แต่เพราะวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน ท่านจึงจำเป็นต้องออกหน้ารับแขกด้วยตนเอง กระนั้นก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงนัก

น้อมจิตพาครอบครัวเจ้าของร้านทองแซ่เฮงเข้ามาในห้องรับรองแขก โดยมีคุณณรงค์รออยู่ก่อนแล้ว

“สวัสดีครับคุณณรงค์” นายกวงเดินนำหน้าภรรยากับลูกสาวเข้ามายกมือไหว้เป็นคนแรก กล่าวคำทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนที่ภรรยากับลูกสาวจะทำตาม

คุณณรงค์รับไหว้จากครอบครัวแซ่เฮง ผายมือเชื้อเชิญแขกทั้งสามให้นั่งบนโซฟาตรงข้ามท่าน “สวัสดีครับคุณกวง เชิญนั่งกันก่อนดีกว่าครับ” ท่านมีใบหน้ายิ้มแย้ม ทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้ได้เป็นอย่างดี

จากนั้นครอบครัวแซ่เฮงจึงเข้ามานั่งบนโซฟา โดยนายกวงกับภรรยานั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ตรงข้ามคุณณรงค์ ส่วนกานธิดาเลือกนั่งที่เก้าอี้โซฟาเดี่ยวฝั่งซ้าย เยื้องระหว่างบิดามารดากับคุณณรงค์

“ทำตัวตามสบายนะครับ...เห็นน้อมบอกว่าคุณกวงเป็นเจ้าของร้านทองแซ่เฮง ผมรู้จักชื่อร้านมานาน แต่ยังไม่เคยพบหน้าค่าตาหรือได้ทำความรู้จักคุณกวงเลย คนในจังหวัดเดียวกันแท้ๆ” เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ แม่บ้านสาวเสิร์ฟน้ำให้แขก ท่านถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างมีอัธยาศัยสมกับเป็นเจ้าของบ้าน

“ครับ ผมเองก็ได้ยินชื่อเสียงของคุณณรงค์กับความโอบอ้อมอารีของคุณจันทร์จิรามานานเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสได้มาทำความรู้จักท่านเลย จนเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกสาวผมเมื่อวาน นี่ถ้าไม่ได้เสี่ยรามสูรช่วยไว้ ลูกสาวผมคงไม่ได้กระเป๋าคืน และเสี่ยคงไม่ได้รับบาดเจ็บด้วย”

คุณณรงค์จึงหันหน้าไปมองหญิงสาวรุ่นลูกดวงหน้างามพริ้มเพรา ผิวพรรณดี รวมถึงการแต่งตัวที่สมฐานะ

“เกรซต้องกราบขอโทษคุณรงค์ด้วยนะคะ ที่เป็นต้นเหตุให้ลูกชายของท่านต้องเจ็บตัว” กานธิดารู้บทบาทหน้าที่ของตัวเองทันที รีบยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย ตีหน้าเศร้า

“ไม่ต้องคิดมากหรอกหนู มันไม่ใช่ความผิดของหนูหรอกนะ หากเป็นใครอยู่ตรงนั้น ต่อให้ไม่ใช่ลูกชายลุงก็เถอะ ต้องมีอีกหลายคนพร้อมให้ความช่วยเหลือหนูอยู่แล้วละ ส่วนลูกชายลุงมันคงจะประมาทไป เลยทำให้ได้รับบาดเจ็บนิดๆ หน่อยๆ” ท่านนั้นเข้าใจและไม่ได้ถือโทษ คิดว่าเป็นเรื่องดีเสียอีกที่ลูกชายได้ช่วยเหลือคนอื่น

“แล้ว...” กานธิดายิ้มหวานเมื่อได้ฟังคำตอบเจ้าของบ้าน เธอกำลังจะเอ่ยถามถึงคนที่ช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนคุณณรงค์จะอ่านสายตาเธอออก

“น่าจะออกไปดูคนงานในสวนน่ะ แต่ลุงให้คนไปตามอยู่นะ อีกประเดี๋ยวคงมาถึง”

“ค่ะ”

จากนั้นมีแต่เสียงบทสนทนากันระหว่างผู้ใหญ่เป็นเวลาสิบกว่านาที กานธิดากลับยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของคนที่เธอตั้งหน้าตั้งตารอว่าจะเข้ามาในห้องรับแขกสักที

ในที่สุดการรอคอยของเธอก็สิ้นสุดลง เมื่อชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อยืดสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวผ้าคอตตอนสีเขียวขี้ม้าลายทาง กับกางเกงยีนเก่าๆ สีซีด ปลายขาทั้งสองข้างเปรอะเปื้อนฝุ่นดิน

รามสูรเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องรับแขก จึงทำให้เสียงการสนทนาหยุดลงฉับพลัน สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว

“มาแล้วเหรอเจ้าราม” คุณณรงค์เอ่ยทำลายความเงียบ

เสี่ยหนุ่มกวาดสายตามองบุคคลที่อยู่ในห้องเร็วๆ ด้วยใบหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ก่อนจะยกมือไหว้แขกที่ประเมินด้วยสายตาว่ามีอายุมากกว่าทั้งสองคน

“สวัสดีครับ” รามสูรเดินมาหย่อนกายลงนั่งบนโซฟาเดี่ยว ตรงข้ามกับหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังยิ้มหวานให้เขาอยู่ “เห็นลูกน้องผมบอกว่าพวกคุณต้องการมาพบผมหรือครับ” เขาเอ่ยเปิดประเด็น

“ค่ะ เกรซตั้งใจจะมาเยี่ยมคุณรามน่ะค่ะ แต่พอคุณพ่อคุณแม่ของเกรซทราบก็เลยอยากจะมาขอบคุณคุณรามด้วย” เป็นกานธิดาที่เอ่ยเท้าความถึงจุดประสงค์การมาพบกับเขาที่บ้าน

“ไม่เห็นต้องลำบากมาเลยครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก”

เสี่ยหนุ่มไม่รู้เลยว่าความตรงของเขานั้นทำให้รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าสวยตอนนี้เจื่อนไปเล็กน้อย

คุณณรงค์ลอบส่ายหน้าน้อยๆ กับความโผงผางของลูกชาย

“ไม่ได้หรอกครับ ถึงยังไงเสี่ยรามสูรก็เป็นผู้มีพระคุณของลูกสาวผม คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างพวกผมก็ต้องมาขอบคุณด้วยตัวเองอยู่แล้ว หากไม่ได้เสี่ยช่วย อาจจะเป็นลูกสาวผมซะเองที่ต้องได้รับบาดเจ็บ”

“ใช่ค่ะเสี่ย น้าขอบคุณเสี่ยมากๆ เลยนะคะที่ช่วยลูกสาวน้า ถ้าเกิดยัยเกรซเป็นอะไรไป น้าคงอกแตกตายแน่เลยค่ะ”

“ใช่ครับ”

สองสามีภรรยาเอ่ยสำทับกันไปมา

รามสูรชำเลืองไปทางคุณณรงค์ที่นั่งเงียบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนดึงสายตากลับมาที่สองสามีภรรยาอีกครั้ง รอบนี้มุมปากหยักยิ้มนิดๆ ไม่ให้ดูเป็นคนไร้มารยาทมากนัก

“เอาเป็นว่าผมรับคำขอบคุณของคุณน้าทั้งสองไว้ก็แล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องช่วยเหลือคุณเกรซ ผมแค่ทำตามหน้าที่พลเมืองคนหนึ่งที่ต้องช่วยคนตกทุกข์ได้ยากอยู่แล้ว”

กานธิดาหน้าเจื่อนแล้วเจื่อนอีกจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วนี่แผลคุณรามเป็นยังไงบ้างคะ”

เสี่ยหนุ่มละสายตาจากสองสามีภรรยามามองหญิงสาวที่นั่งบนโซฟาตรงกันข้าม “ปกติดีครับ อีกไม่กี่วันคงหายดี” เขาตอบตามความจริง

“วันนี้มีทำแผลด้วยใช่ไหมคะ งั้นเกรซขอพาไปนะคะ จะได้เคลียร์เรื่องค่าทำแผลให้ด้วย”

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องพาไปเอง”

คุณณรงค์มีรอยยิ้มกริ่ม ท่านพอจะดูออกว่าทำไมยายหนูลูกสาวร้านทองถึงอยากตามตื๊อลูกชายตนนักหนา พอนึกอะไรได้ก็แอบถอนใจเบาๆ อดจะสงสารคนที่ไม่รู้อะไรเลยอยู่เล็กน้อย

เมื่อถูกเสี่ยหนุ่มปฏิเสธทุกช่วงโอกาส กานธิดาจึงจำต้องถอยทัพไปตั้งหลักก่อน รีบมอบกระเช้าที่นำติดไม้ติดมือมาเป็นข้ออ้างให้เขา จากนั้นก็ขอตัวกลับ

หลังจากส่งครอบครัวแซ่เฮงกลับ คุณณรงค์ก็เหลือบตามองหน้าลูกชาย ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะเบาๆ

“หัวเราะอะไรหรือครับ” รามสูรเอ่ยถามบิดา ขณะเอนหลังพิงพนักโซฟาตัวนุ่ม

คุณณรงค์แย้มยิ้มไปถึงแววตา “ยัยหนูลูกสาวเจ้าของร้านทองดูท่าว่าจะชอบพอแกไม่น้อยเลยนะ”

คนถูกบิดากระเซ้าเย้าแหย่กลอกกลิ้งลูกตาไปมา เดาะลิ้นจนเกิดเสียงเบาๆ สบสายตาท่านนิ่งพร้อมเอ่ย “อ๋อ...พ่ออยากได้ลูกสะใภ้เพิ่มเหรอครับ”

“ไอ้นี่!” สิ้นเสียงลูกชาย อดีตนักมวยเก่าอย่างคุณณรงค์จึงชักเริ่มยัวะ อยากลองใช้แม่ไม้มวยไทยท่าหนุมานถวายแหวนกับไอ้จอมยียวนคนนี้ขึ้นมา

เสี่ยหนุ่มที่สามารถยั่วอารมณ์บิดาได้พลันแสยะยิ้มมุมปาก

“พูดถึงลูกสะใภ้ พ่อก็คิดถึงหนูว่านขึ้นมาเลย...” คุณณรงค์พูดถึงลูกสะใภ้ที่ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากันมาพักใหญ่ๆ แล้ว “แกได้คุยกับหนูว่านบ้างไหมว่าจะกลับมาบ้านช่วงไหนอีก”

รามสูรส่ายหน้าเป็นคำตอบ เขาไม่ค่อยได้โทรศัพท์คุยกับว่านจันทร์บ่อยนัก หรือจะเรียกได้ว่าแทบไม่คุยกันเลยดีกว่า ความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาตีทะเบียนนั้นค่อนข้างซับซ้อน ยากเกินกว่าจะอธิบายเป็นคำพูดได้

“เฮ้อ!...” คุณณรงค์มองใบหน้าเรียบเฉยของลูกชายแล้วพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา

ความสัมพันธ์ของสองคนที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความเต็มใจของทั้งสองตั้งแต่แรก ล้วนแต่เป็นความต้องการผู้ใหญ่ทั้งนั้น คุณณรงค์เห็นใจลูกชายยิ่งนัก ในขณะเดียวกันก็สงสารลูกสะใภ้ด้วยเช่นกัน ท่านไม่รู้เลยว่าเมื่อไรความสัมพันธ์ที่ต่างคนต่างก็เป็นความลับของกันและกันจะจบลงเสียที

“ทำไมแกมันอาภัพรักแบบนี้วะไอ้เสือ มีเมียสวยระดับนางเอกชื่อดังก็พาไปอวดใครไม่ได้”

รามสูรหัวเราะหึในลำคอกับประโยคของบิดา แต่จะมีใครล่วงรู้ความรู้สึกที่แท้จริงได้ดีเท่าตัวเขา

เขาอยู่คุยเรื่องงานกับบิดาต่ออีกสักพักก็กลับเข้าสวนไปทำงานต่อ จนเย็นย่ำถึงได้กลับมาที่พักบ้านตัวเอง ซึ่งแยกออกมาจากบ้านของบิดามารดา เพราะเขาอยากได้ความเป็นส่วนตัว

รถกระบะสี่ประตูของสวนผลไม้จันทร์จิราแล่นเข้ามาจอดเทียบรถเก๋งสีดำมันเลื่อมสัญชาติยุโรป

ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่รถเก๋งคันงาม ก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ขึ้นบ้าน พอเท้าหนักเหยียบกระเบื้องแผ่นแรกในบ้าน นัยน์ตาคมกริบก็ปะทะกับดวงตาคู่สวยสีรัตติกาลทันที

“ว่านเข้าใจว่าเสี่ยน่าจะต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านนะคะ” เสียงหวานราบเรียบของเธอดังขึ้นพลางหลุบตาลงมองหน้าท้องที่เขาไปได้แผลมา ก่อนดึงสายตาขึ้นมามองสบกับดวงตาคมกริบอีกครั้ง

รามสูรก้าวเข้ามาในบ้านช้าๆ ขณะที่มองสำรวจหญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นเบื้องหน้าที่สวมชุดเดรสสั้นรัดรูป ดวงหน้าสวยหวานเกลี้ยงเกลา ปากนิดจมูกหน่อย แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ ไม่ให้ดูจืดชืดเกินไป ซึ่งพอดูภาพรวมแล้ว ‘สวย’

ก่อนจะหยุดฝีเท้าในระยะห่างจากหญิงสาวประมาณหนึ่งช่วงแขน คิ้วหนาดกดำขมวดมุ่น “จะกลับมาบ้านทำไมไม่โทร. บอกกันก่อน จะได้ไปรับ แล้วนี่ขับรถมาเองเหรอ” เสียงทุ้มดุของคนตรงหน้าดังขึ้น

ว่านจันทร์แบะปากใส่คนตัวสูงกว่าเธอหลายสิบเซนติเมตร “ว่านไม่ใช่เด็กๆ นะที่จะกลับก็ต้องรอให้ผู้ปกครองไปรับน่ะ ใบขับขี่ว่านก็มี”

“แต่เธอยังขับรถไม่แข็ง” คนตัวสูงสวนกลับทันควัน

“ว่านไม่ได้กลับบ้านเพื่อมาทะเลาะกับเสี่ยนะ” คราวนี้หญิงสาวตอบเสียงสะบัด เธอเองก็เริ่มฉุนขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน

‘ขับรถไม่แข็งบ้าอะไร ไม่อย่างนั้นคงขับจากราชพฤกษ์มาไม่ถึงจันทบุรีหรอก’

รามสูรยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าเอว เงยหน้าขึ้นจนสุดคอ หลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนระบายออกแรงๆ อยู่สองสามรอบ ระงับอาการขุ่นเคือง

“ถูกทำร้ายร่างกายขนาดนี้ ไม่คิดจะบอกเมียบ้างหรือคะ”

เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อสบดวงตาคู่สวยของคนที่แทนตัวเองว่า ‘เมีย’

“...ก็...ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ถากๆ”

ว่านจันทร์ยังทำหน้านิ่งไม่สบอารมณ์ ก้าวเท้าเข้ามาประชิดตัวคนที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นสามีโดยนิตินัยและพฤตินัย เอื้อมมือมาเลิกเสื้อยืดขึ้นจนเห็นหน้าท้องเป็นลอนอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่มีผ้าก๊อซปิดแผลพันเอาไว้ โดยที่อีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ขัดขืน

ดวงหน้าสวยเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาคมคาย “วันนี้ยังไม่ได้ไปทำแผลอีกเหรอคะ” เพราะเธอเห็นผ้าก๊อซเปื้อนคราบเหงื่อ อีกทั้งยังมีคราบเลือดซึมออกมานิดหน่อย

รามสูรเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเอง ‘ลืม’ ไปล้างแผลที่โรงพยาบาลตามที่แพทย์สั่งเสียสนิท เพราะงานในสวนยุ่งทั้งวัน และยังต้องแบ่งเวลามาดูแลโครงการขยายอาณาจักรสวนจันทร์จิราอย่าง เดอะ มูนไลต์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรีคลับอีก ซึ่งจะเปิดเป็นที่พักสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบภูเขาลำธารและอยากมาสัมผัสธรรมชาติ ทั้งยังมีกิจกรรมอีกมากมาย โดยกำลังก่อสร้างในโซนทางด้านหลังทั้งหมดของสวนจันทร์จิรา ซึ่งเสร็จไปแล้วกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์

“ลืม”

“ลืม?” หญิงสาวทวนคำพูดสามีพร้อมทำหน้าฉงน

“ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้เช้าค่อยไปล้างก็ได้” รามสูรบอกอย่างไม่ใส่ใจ วันนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะหอบสังขารไปนอนให้พยาบาลทำแผลแล้ว

ประโยคที่พูดเหมือนเรื่องธรรมดาทั่วไปนี้ทำเอาว่านจันทร์ส่ายหน้าให้อย่างเอือมระอา

“ว่าแต่ว่านเถอะ ไม่มีคิวงานแล้วหรือไงถึงกลับบ้านได้”

ว่านจันทร์ไม่ได้ตอบคำถามของเขา หมุนตัวหันหลังแล้วออกไปหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กที่วางอยู่บนชั้นวางของ ก่อนเดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“ว่านจะพาไปทำแผลที่โรงพยาบาลค่ะ” เธอบอกความประสงค์ของตัวเองเสียงหวาน

ดวงตาสองคู่ประสานสายตากันนิ่ง อึดใจต่อมาเสี่ยหนุ่มก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ ก่อนเดินกลับไปยังทางเดิมที่เพิ่งจะเดินจากมา

“เดี๋ยวขับเอง” เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้น เมื่อเห็นว่านจันทร์กำลังเดินไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับ

คราวนี้ว่านจันทร์ไม่ดื้อดึง ส่งกุญแจรถให้สามี ก่อนจะเดินอ้อมหน้ารถและเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับแทน

รามสูรไม่มีทางเลือกอื่น จำใจต้องไปล้างแผลตามความต้องการของแม่เมียซูเปอร์สตาร์หน้าสวยของเขา ซึ่งปลายทางคือโรงพยาบาลเอกชนในตัวเมือง

ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง รถยนต์สัญชาติยุโรปก็แล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถของโรงพยาบาล ว่านจันทร์หยิบแว่นแฟชั่นสีชากรอบใหญ่มาใส่และสวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าอีกชั้น

“กลัวคนอื่นเห็นแล้วจะมาทำไมครับ” เสียงทุ้มถามขึ้น

“ให้มาคนเดียวเสี่ยจะมาเหรอ” ว่านจันทร์ปรายตาพลางตอบกลับอย่างรู้ทันความคิดเขา

อันที่จริงว่านจันทร์ไม่ได้กลัวว่าใครจะจำได้ขนาดนั้น ส่วนใหญ่คนในพื้นที่นั้นพอจะรู้กันว่าครอบครัวของเธอสนิทกับครอบครัวเขามากระดับหนึ่ง เพราะในอดีตบิดาเคยเป็นหัวหน้าคนงานของสวนผลไม้จันทร์จิรา แต่ที่ยังเลือกปิดบังใบหน้า ส่วนหนึ่งคือขี้เกียจปั้นหน้ายิ้มตอนมีคนมาขอถ่ายรูปเท่านั้นเอง

รามสูรไม่ถามอะไรต่อ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นโคนขาอ่อนขาวเนียนโผล่พ้นชายกระโปรงสั้น จึงถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกยื่นให้หญิงสาว เพื่อให้นำไปปกปิดเรือนกายแสนน่ามองนั้น

“ยี้! ไม่เอาอะ เหม็นเหงื่อ”

สาวเจ้าไม่เพียงแค่พูด กลับแสดงออกมาหมดทั้งสีหน้าท่าทางว่าขยะแขยงจริง เสี่ยหนุ่มแยกเขี้ยวใส่คนที่ทำทีรังเกียจตน ก่อนโยนเสื้อลงไปบนตักเล็ก

“ใส่ๆ ไปเถอะน่า แอร์ในโรงพยาบาลมันเย็นจะตาย”

ว่านจันทร์หลุบตาลงมองเสื้อเชิ้ตบนตักของตัวเอง เธอไม่มีตัวเลือกอื่นเพราะในรถยนต์คันนี้ไม่มีเสื้อคลุมติดรถมาด้วยเลย จำต้องหยิบเสื้อตัวนั้นมาคลุมไหล่เปลือยเปล่า อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีกลิ่นเหงื่อแรงอย่างที่เธอแสดงออกมาหรอก กลับกันยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำหอมแบรนด์ดังที่ผู้ชายมีฐานะชอบซื้อใช้กัน

รามสูรมองคนที่กำลังสวมเสื้อตน ก่อนเปิดประตูลงจากรถ ขณะที่ปากหยักหนาพึมพำเบาๆ ไปด้วย

“ทีนี้ละทำเป็นรังเกียจ...เดี๋ยวคืนนี้พ่อจะจัดหนักให้นอนดมเหงื่อทั้งคืนเลย”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น