บทที่ 3

3

รอยอดีต

อื้อ!” เสียงหวานครางกระเส่า ดวงตาหวานฉ่ำปรือขึ้นสบนัยน์ตาดำขลับของคนที่คร่อมร่างเธออยู่ ขณะที่กลางกายแกร่งค่อยๆ สอดประสาน ตอกตรึงลงที่ความอ่อนนุ่มของกายสาวอีกครั้ง

“อ๊า!” ว่านจันทร์ผวาตัวเข้ากอดร่างใหญ่โตที่ชื้นไปด้วยเหงื่อไว้แน่น ทันทีที่เขาดันแก่นกายแข็งแรงเข้ามาในตัวเธอจนสุด แม้ว่าอุณหภูมิในห้องนอนจะเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศที่ถูกตั้งความเย็นไว้ที่สิบแปดองศาก็ตาม

“...เสี่ยเบาหน่อย...ว่านไม่ไหว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบเบาหวิว บางประโยคขาดหายไปพร้อมส่ายหน้าไปมาจนเส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลคาราเมลสยายกระจายเต็มหมอนใบใหญ่

รามสูรมองดวงหน้าสวยบิดเบี้ยวคล้ายจะร้องไห้เพราะรสสวาทที่เขามอบให้เป็นรอบที่สามของค่ำคืน เห็นแบบนี้ก็อดที่จะเห็นใจร่างบางไม่ได้จริงๆ จึงก้มลงจูบหน้าผากนวล ลากไล้ลงมาจุมพิตหนักๆ บนริมฝีปากอวบอิ่มเป็นการปลอบประโลมกันยกใหญ่ โดยที่สะโพกสอบยังคงทำหน้าที่โยกเป็นจังหวะหนักสลับเบาอย่างสม่ำเสมอ แรงดีไม่มีตก

พอถอนจูบอย่างดูดดื่ม ริมฝีปากหนาก็เลื่อนลงมากระซิบเสียงแหบพร่าระคนหอบหายใจรัวแรงข้างใบหูเล็กน่ารัก “อีกนิดเดียวนะคนเก่งของเสี่ย” ก่อนจะเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้พาหญิงสาวขึ้นไปวิ่งเล่นบนวิมานฉิมพลีด้วยกัน

เมื่อความปรารถนาในรสสวาทมาถึงขีดสุด ร่างเปลือยเปล่าที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงก็กระตุกพร้อมกัน ความสุขสมเกิดขึ้นอยู่ในทีคล้ายมีฝูงผีเสื้อนับล้านกระพือปีกบิน กระจายตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า

เสี่ยหนุ่มทรุดฮวบลงทาบทับร่างเล็ก พลางซุกซบใบหน้ากับซอกคอขาวหอมกรุ่นที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่ต่างจากเขา ประทับจูบผิวกายเนียนละเอียดซ้ำๆ ขณะที่หูนั้นฟังเสียงหอบหายใจโรยแรงของคนใต้ร่าง ก่อนจะพลิกตัวลงมานอนเคียงข้าง ไม่ลืมดึงร่างนุ่มนิ่มเข้าสู่อ้อมกอด

รามสูรอยากจะขอต่อเกมรักร้อนแรงนี้อีกสักยกสองยก แต่กลัวว่าคนตัวเล็กจะบอบช้ำเกินไป เขาถนอมร่างกายนี้มาตั้งแต่วันร่วมเรียงเคียงหมอน จวบจนตอนนี้เข้าสู่ปีที่ห้าแล้ว แม้การแต่งงานจะเกิดขึ้นจากความต้องการของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย หาใช่ความรักแบบคู่รักทั่วไป แต่กระนั้นหากให้พูดถึงความสัมพันธ์ทางกาย ก็สามารถเรียกสามีภรรยากันได้อย่างสนิทปาก

เขากับว่านจันทร์มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันตั้งแต่วันที่เธออายุครบยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์พอดี จากนั้นทั้งสองก็คลุกวงในกันเรื่อยมา

ดวงตาคมกริบมองพิศดวงหน้าสวยของคนในอ้อมกอดที่หลับตาพริ้มเข้าสู่ห้วงนิทรา เป็นเวลาหกเดือนเต็มที่เขาไม่ได้กอด ไม่ได้แนบชิด ไม่ได้เห็นหน้าภรรยาสาวใกล้เช่นนี้ ทว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะคิดนอกกายเธอ

‘เขายึดมั่นต่อทะเบียนสมรสที่ถูกตีตราไว้ว่าตนไม่ใช่หนุ่มโสด’

หลังจากอาการเหนื่อยหอบบรรเทาลงและเข้าสู่สภาวะปกติ รามสูรจึงอุ้มร่างบางเปลือยเปล่าขึ้นแนบอก

“อื้อ...” เสียงครางหวานดังขึ้นอย่างไม่พอใจที่ถูกรบกวนการนอน

“จะพาไปอาบน้ำ จะได้นอนสบายตัว ไม่ชอบสกปรกไม่ใช่หรือ” เขาก้มหน้าลงบอกร่างบางที่ยังหลับตาในอ้อมแขน ขณะที่เรียวขาแกร่งก้าวอย่างมั่นคงไปที่ห้องน้ำ

เขาจัดการล้างคราบเหงื่อไคลและคราบรักที่ฝากฝังไว้ในกายสาวจนสะอาดหมดจดทุกซอกมุมพร้อมกับตัวเองไปด้วย ก่อนจะอุ้มกลับมานอนบนเตียงด้วยกันอีกครั้ง

รามสูรนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาร่างบอบบาง นิ้วชี้ไล้ไปตามกรอบหน้าสวยอย่างอ่อนโยน ดวงตาคมกริบฉายแววอบอุ่น ริมฝีปากหนาเผยยิ้มบาง ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังเปลือยเบาๆ คล้ายกับกำลังกล่อมให้เธอฝันดี ในเวลาต่อมาก็เข้าสู่ห้วงนิทราตามคนในอ้อมกอดไปติดๆ

เช้าวันต่อมา เปลือกตาบางหรี่ปรือขึ้น ภาพแรกของวันเป็นแผงอกเปลือย บริเวณเอวคอดถูกท่อนแขนใหญ่แสนหนักอึ้งพาดอยู่ มือเล็กจึงยกมันออก ตั้งท่าจะลุกจากที่นอน แต่ยังช้ากว่าท่อนแขนหนักที่ตามกลับมาพาดทับลงที่เดิมจนเธอขยับไปไหนไม่ได้

“ปล่อยค่ะ ว่านจะไปอาบน้ำ จะได้เข้าไปไหว้พ่อกับแม่ที่บ้าน” ว่านจันทร์บอกคนที่ตระกองกอดเธอไม่ยอมปล่อย เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังแสร้งหลับตา เธอรู้ว่าเขาตื่นนอนนานแล้ว

ได้ยินดังนั้นรามสูรก็อดใจไม่ไหวก้มหน้าลงมาฝังจมูกลงบนแก้มใสแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว ถึงจะยอมปล่อยร่างเล็กนุ่มนิ่มให้เป็นอิสระ ดวงตาคมกริบมองตามเรือนร่างระหงเปลือยเปล่าที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ส่วนเขาก็นอนรออยู่นาน กว่าประตูห้องน้ำจะเปิดออก

เมื่อถึงคิวเขาต้องใช้ห้องน้ำบ้าง เสี่ยหนุ่มก็ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ บิดขี้เกียจพักหนึ่ง ถือว่าเป็นเช้าแรกในรอบหลายเดือนที่เขาตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใส

“รอไปพร้อมกันนะว่าน” เขาบอกหญิงสาวพร้อมกับลุกเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ว่านจันทร์ที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าหันมองตามแผ่นหลังกว้างของคนบอกแกมสั่ง จนประตูห้องน้ำปิดลง จากนั้นก็หยิบชุดแซ็กแบบที่คิดว่าเรียบร้อยกว่าปกติออกมาสวม เดินไปนั่งแต่งหน้าที่โต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยเครื่องสำอางและเครื่องประทินผิวอีกมากมายที่ผู้หญิงอย่างเธอจำเป็นต้องใช้ กระนั้นยังมีจิตใจเอื้อเฟื้อเหลือพื้นที่เล็กๆ ไว้ให้โลชันกับน้ำหอมสำหรับเจ้าของห้อง

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อยทั้งคู่แล้ว รามสูรกับว่านจันทร์จึงพากันเดินมาที่บ้านไม้สักหลังใหญ่

“คุณว่าน!” น้อมจิตที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ เมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามาในบ้านก็ร้องเรียกลูกสะใภ้ของผู้เป็นนายด้วยความตื่นเต้นดีใจ

ว่านจันทร์ที่เดินนำหน้ารามสูรมาก่อนฉีกยิ้มระคนขำกับอาการตกใจของแม่บ้านสาวใหญ่

“หนูว่านมาเหรอน้อม...ไหนๆ หลานสะใภ้ฉันอยู่ไหน” ตามมาด้วยเสียงของคุณจอมนรีดังขึ้นก่อนปรากฏกายออกมาจากห้องครัว เดินมาทั้งที่ยังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่

แม่บ้านสาวใหญ่หันกลับไปทางคุณจอมนรี “ค่ะคุณจอม” นางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊า

คุณจอมนรีทอดสายตามองไปยังว่านจันทร์ที่กำลังเดินมาหาเธอด้วยรอยยิ้มดีใจ “หนูว่านจริงๆ ด้วย” พร้อมกับรีบเดินเข้าไปโอบกอดคนมาใหม่อย่างคิดถึง

ว่านจันทร์กอดคุณจอมนรีตอบอย่างคิดถึงไม่แพ้กัน ก่อนจะผละตัวออกมายกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ “สวัสดีค่ะน้าจอม ไม่เจอกันตั้งนาน ว่านคิดถึงน้าจอมจังเลยค่ะ”

“น้าก็คิดถึงหนูว่านเหมือนกัน” คุณจอมนรีจับมือเล็กทั้งสองข้างไม่ยอมปล่อย สายตาก็มองสำรวจเนื้อตัวคนตรงหน้าไปด้วย “...ผอมไปหรือเปล่าหนูว่าน กลับบ้านมารอบนี้ตัวเล็กกว่ารอบก่อนเยอะเลยลูก”

รามสูรที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ด้านหลังเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นน้าทุกประการ เขาอยากจะบอกเรื่องนี้กับหญิงสาวอยู่เหมือนกัน แต่กลัวจะพานทำให้ทะเลาะกันอีก เลยเลือกที่จะปิดปากเงียบ

“ละครเรื่องใหม่กำลังจะเปิดกล้องน่ะค่ะ ผู้กำกับเลยสั่งให้ว่านลดน้ำหนักอีกนิดจะได้เข้ากับแครักเตอร์ตัวละคร”

“ผู้กำกับนี่ก็อะไร ปกติหนูว่านก็ตัวเล็กบอบบางอยู่แล้ว ยังจะสั่งให้ลดน้ำหนักอีกเรอะ แล้วจะไปเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาทำงานกัน” จอมนรีตำหนิไปถึงผู้กำกับ

ว่านจันทร์ทำได้เพียงยิ้มบางๆ รู้ว่าที่ท่านพูดเพราะเป็นห่วงเธอจากใจจริงตามประสาผู้ใหญ่ห่วงลูกหลาน ก่อนเหลือบตามองเลยเข้าไปในตัวบ้านเพื่อหาบิดามารดาของสามี

“แล้วนี่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านเหรอคะ”

“อยู่จ้ะ แต่ยังไม่ลงมากัน เห็นว่าสายๆ พี่รงค์มีไปเปิดงานร่วมกับท่านผู้ว่าฯ พี่จันทร์เลยอยู่ช่วยดูเรื่องชุดให้น่ะ”

ว่านจันทร์พยักหน้ารับคำตอบของคุณจอมนรี

“ทั้งสองคนกินข้าวกินปลากันมาหรือยัง น้ากำลังทำข้าวต้มกุ้งอยู่พอดีเลย เดี๋ยวรอกินข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากันนะ” คุณจอมนรีถามหลานสะใภ้คนโปรด แต่สายตามองเลยไปยังหลานชายที่ยืนทำหน้าตายอยู่

หญิงสาวส่ายหน้าหน่อยๆ เอ่ยตอบท่านด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ยังเลยค่ะ ว่านตั้งใจมาฝากท้องที่บ้านใหญ่โดยเฉพาะ”

คุณจอมนรีแย้มยิ้มอย่างเอ็นดูหลานสะใภ้ “ถ้าอย่างนั้นหนูว่านไปนั่งรอที่ห้องอาหารก่อน อีกประเดี๋ยวก็สุกได้ที่แล้วละ”

“ค่ะ” ว่านจันทร์ขานรับ

คุณจอมนรีจึงหันไปสั่งกับแม่บ้านสาวใหญ่ “น้อม เดี๋ยวขึ้นไปบอกคุณๆ ทั้งสองคนด้วยนะว่าหนูว่านมาหา”

“ได้ค่ะคุณจอม” น้อมจิตรับคำสั่งแล้วรีบแยกตัวไปทำหน้าที่

หลังจากนั้นสองสามีภรรยาจึงเดินเข้าไปนั่งรอผู้ใหญ่ในห้องอาหาร ไม่นานคุณณรงค์กับคุณจันทร์จิราก็เดินเข้ามา ว่านจันทร์ยกมือไหว้ท่านทั้งสอง ก่อนจะโผเข้ากอดแม่สามีที่อ้าแขนรอรับอยู่ก่อน

“กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไรล่ะว่าน” คุณจันทร์จิราผละตัวออกพร้อมเอ่ยถาม มืออวบๆ อบอุ่นของท่านลูบศีรษะเล็กด้วยความรักและเมตตาลูกสะใภ้อยู่ไม่น้อย

“กลับมาเมื่อวานตอนเย็นค่ะ แต่ไม่ได้เข้ามาไหว้พ่อกับแม่ก่อนเพราะต้องพาเสี่ยไปทำแผลที่โรงพยาบาล กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็มืดค่ำแล้ว ว่านเลยไม่อยากรบกวนค่ะ”

คำตอบของลูกสะใภ้สาวสวยทำให้คุณจันทร์จิราต้องหันไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยแววตาเชิงตำหนิ

“เมียมาถึงบ้านไม่ทันไรก็ต้องมาลำบากเพราะเราเนี่ยตาราม แทนที่น้องจะได้พักผ่อน”

รามสูรไหวไหล่เบาๆ ไม่ได้สะทกสะท้านมากมายนักต่อคำตำหนินั้น

“ลูกสาวตัวจริงของบ้านกลับมาแล้ว แกเตรียมตกกระป๋องได้เลยเจ้าราม” คุณณรงค์ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยแซวคนเป็นลูกชาย

ทว่าคนที่กำลังจะตกกระป๋องเพียงกระตุกยิ้มนิดๆ สายตาจับจ้องแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่พูดคุยกันกะหนุงกะหนิงซึ่งดูเหมือนแม่ลูกกันจริงๆ รามสูรไม่มีอาการน้อยใจคุณจันทร์จิราเลยสักนิดที่ลำเอียงรักลูกสะใภ้มากกว่าลูกในไส้อย่างเขา

สักพักคุณจอมนรีก็เดินเข้ามาในห้องอาหาร โดยมีแม่บ้านสองคนถือหม้อข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ตามหลังมาด้วย

เมื่อผู้เป็นนายนั่งประจำที่ น้อมจิตซึ่งรู้หน้าที่จึงรีบจัดแจงตักข้าวต้มใส่ถ้วยให้คุณๆ ทันที วันนี้ภายในห้องอาหารของบ้านใหญ่แห่งอาณาจักรสวนจันทร์จิราเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

“เสียดายว่าวันนี้เป็นวันธรรมดา ถ้ายัยเมย์อยู่ด้วยอีกคนคงได้กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากว่านี้” คุณจอมนรีพูดถึงลูกสาวอย่าง เมขลา เกียรติภักดีสกุล นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ชั้นปีที่สี่ของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ซึ่งปิดเทอมหรือได้หยุดยาวถึงจะกลับมาบ้านที

“เธอก็ลองแกล้งๆ โทร. ไปบอกรายนั้นสิแม่จอม ว่าพี่สาวคนดังของเจ้าตัวอยู่บ้าน ไม่ทันที่เธอจะได้วางสายหรอก แม่ตัวดีคงรีบจัดกระเป๋า จองตั๋วเครื่องบินกลับมาบ้านเป็นแน่” คุณจันทร์จิราที่นั่งข้างน้องสาวบอกด้วยน้ำเสียงติดตลกกึ่งคิดจริงอย่างรู้จักนิสัยของหลานสาวที่ท่านเฝ้าอบรมบ่มเพาะมาเองกับมือเป็นอย่างดี

สิ้นเสียงของคุณจันทร์จิรา ทุกคนบนโต๊ะอาหารก็หลุดหัวเราะ ต่างเห็นพ้องกับคำพูดนั้น

“แล้วหนูว่านกลับมาอยู่บ้านกี่วันล่ะ” ประมุขของบ้านหันมาเอ่ยถามลูกสะใภ้บ้าง

รามสูรเองก็หันมารอฟังคำตอบจากภรรยาตีทะเบียนด้วยความอยากรู้เช่นกัน เพราะตั้งแต่เมื่อวานเขาก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับเธอจนลืมถาม

ว่านจันทร์กวาดสายตามองดวงตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังเธอเป็นตาเดียวอย่างรอคอยคำตอบ “สี่วันค่ะ” เนื่องจากการกลับมาบ้านรอบนี้มาแบบกะทันหัน เลยมีเวลาจำกัดกว่าทุกครั้ง

“กลับไวจังเลยลูก แม่กับพ่อแล้วก็น้าจอมยังไม่ทันจะหายคิดถึงเลย” คุณจันทร์จิราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใจหาย ลูกสะใภ้มาแป๊บๆ ก็ต้องกลับเสียแล้ว

ใบหน้าสวยสะกดมีสีหน้าเจื่อนลงพลางปรายตามองร่างสูงที่นั่งก้มหน้าก้มตาตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากราวกับไม่รู้สึกยินดียินร้าย ก่อนละสายตากลับมาตอบคู่สนทนา

“รอบนี้ว่านมาแบบไม่ทันตั้งตัวน่ะค่ะ พอดีเมื่อวานเห็นข่าวที่เสี่ยโดนทำร้ายเลยรีบกลับมา”

คำตอบของผู้ที่มีศักดิ์เป็นลูกสะใภ้และหลานสะใภ้ เรียกรอยยิ้มพึงพอใจของทั้งคุณณรงค์ คุณจันทร์จิราและคุณจอมนรีได้ไม่น้อย

แม้จะไม่มีคำว่า ‘เป็นห่วง’ หลุดออกจากริมฝีปากอวบอิ่ม แต่ความหมายโดยนัยของประโยคนั้นก็สามารถแปลงสารให้สื่อถึงความรู้สึกของคำว่าเป็นห่วงได้อย่างดี

คนที่คิดเองเออเองว่าภรรยา ‘เป็นห่วง’ แอบอมยิ้มเล็กๆ

หลังจากร่วมกินอาหารเช้ากับครอบครัวสามีเสร็จ ว่านจันทร์จึงขอกลับไปเยี่ยมเยียนป้าแท้ๆ ของเธอ โดยตอนแรกตั้งใจจะขับรถไปเองคนเดียว สามีกลับไม่ยอมท่าเดียว ลากเธอขึ้นรถเขาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า ‘ผมจะพาไปเอง’

รถยนต์เอสยูวีแล่นเข้ามาภายในวัดแห่งหนึ่งแทนที่จะเป็นร้านสุภาวดี โภชนาการ โดยที่คนนั่งเบาะข้างคนขับไม่ต้องแจ้งความประสงค์ก่อนตั้งแต่แรก เพราะทุกครั้งที่ว่านจันทร์กลับบ้าน เธอมักจะมาทำบุญและไหว้บิดาที่วัดเป็นประจำ โดยที่รามสูรมักเป็นคนพาเธอมาที่นี่เสมอ

รามสูรลงจากรถ เดินนำหญิงสาวเข้าไปกราบพระในอุโบสถ จากนั้นจึงเดินไปที่หลังวัด สถานที่ซึ่งเป็นที่เก็บโกศของนายสุนัย สุวรรณบดี บิดาของว่านจันทร์

ว่านจันทร์ยืนอยู่หน้าช่องบรรจุอัฐิของบิดา ดวงตาสีรัตติกาลอ่อนแสง น้ำตาเอ่อคลอเต็มหน่วยยามทอดมองรูปบิดาที่สลักลงบนกำแพงวัดด้วยความระลึกถึง

“พ่อคะ ว่านมาเยี่ยมนะคะ” เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือ มือเล็กเอื้อมไปลูบแผ่วเบาตรงรูปบิดา เมื่อกะพริบตา น้ำใสๆ ก็ร่วงหล่นลงมาจากขอบตาคู่สวยอย่างห้ามไม่อยู่

“น้องว่าน วันนี้คุณพ่อหนูมาร่วมงานด้วยไหมคะ” ครูประจำชั้นเอ่ยถามเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งเก้าอี้พลาสติกสีแดงแถวหลังสุดภายในหอประชุมโรงเรียนเพียงลำพัง

ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตาบลายธ์เงยขึ้นมองครูประจำชั้น ส่ายหน้าไปมาช้าๆ ดวงตากลมโตใสแป๋วมีแววเศร้าสร้อย

“ไม่รู้ค่ะครูนก พ่อต้องทำงาน” เสียงเล็กๆ ของหนูน้อยนามว่าเด็กหญิงว่านจันทร์เอ่ยตอบคุณครูตามความจริง

ครูประจำชั้นได้แต่มองลูกศิษย์ตัวน้อยด้วยความสงสารจับใจ “ไม่เป็นไรนะจ๊ะน้องว่าน เดี๋ยวปีนี้หนูไหว้คุณครูแทนก็ได้เนอะ”

ความไร้เดียงสาของหนูน้อยวัยห้าขวบเผยออกมายามเธอฉีกยิ้มกว้างอย่างใสซื่อ พยักหน้าตอบรับหงึกๆ ก่อนละสายตาไปมองเพื่อนร่วมชั้นที่ต่างก็มีมารดานั่งอยู่ข้างๆ กันทุกคน...ยกเว้นเธอ หนูน้อยก้มหน้าลงมองเข็มกลัดดอกมะลิในมือที่คุณครูแจกให้ก่อนเข้าหอประชุม

“ว่าน!”

เสียงอันคุ้นเคยนั้นเรียกให้เด็กน้อยเงยหน้าขวับไปตามเสียงเรียกพลัน ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มคลี่ยิ้มดีใจไปถึงดวงตาสุกสกาว

“พ่อ...” เด็กหญิงว่านจันทร์กระโดดลงจากเก้าอี้ รีบวิ่งเข้าไปกอดขาบิดาไว้แน่นด้วยความดีใจ

ปีนี้จะเป็นอีกปีที่โรงเรียนอนุบาลจัดกิจกรรมวันแม่แล้วเธอไม่ต้องไหว้ครูประจำชั้นหรือเก้าอี้เปล่า

เด็กหญิงว่านจันทร์ที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้น เบื้องหน้าคือสุนัยที่สวมเสื้อผ้าแบบชาวสวนตัวเก่า ใบหน้าก็หมองคล้ำจากการทำงานกลางแดด เธอไม่ได้รู้สึกอายเลยสักนิด กลับมีแต่ความดีใจที่คนตรงหน้าเป็นบิดา สองมือน้อยๆ พนมมืออยู่กลางอกก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าบิดาช้าๆ ตามคำสั่งผ่านไมค์ของคุณครูอีกที พอเงยหน้าขึ้นมาก็นำเข็มกลัดดอกมะลิในมือวางบนฝ่ามือหยาบกร้านคู่นี้ที่คอยอุ้มชูเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่

สุนัยมองสบดวงตาใสแป๋วของลูกสาวด้วยความสะเทือนใจ พยายามซ่อนนัยน์ตาขมขื่นเอาไว้ไม่ให้ว่านจันทร์เห็น ก่อนจะรับร่างน้อยๆ อันเป็นแก้วตาดวงใจของเขาเข้าสู่อ้อมกอดด้วยความทะนุถนอมสุดใจ

“พ่อรักว่านนะลูก”

“…ว่าน” เสียงทุ้มแฝงไปด้วยความอบอุ่น ดึงสติคนที่จมดิ่งในห้วงภวังค์ลึกให้หวนคืนสู่ปัจจุบัน

ว่านจันทร์เงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนเคียงข้าง โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ใบหน้าเธอมีแต่คราบน้ำตา

รามสูรไม่ได้ตกใจที่เห็นน้ำตามากมายของภรรยาสาวไหลทะลักจากดวงตา เพราะเธอมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่มาไหว้โกศบิดา ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหยาดน้ำตาที่แก้มนวลออกให้แผ่วเบาและอ่อนโยน ส่งยิ้มบางๆ อย่างให้กำลังใจ “เอาพวงมาลัยให้พ่อนัยสิว่าน”

ว่านจันทร์พยักหน้าเมื่อชายหนุ่มเอ่ยเตือนสติ เธอก้มลงมองพวงมาลัยที่ทำจากดอกมะลิทั้งพวงที่ได้โทร. สั่งจองกับร้านดอกไม้หน้าวัดให้เตรียมไว้โดยเฉพาะ และในทุกๆ วันพระหรือเนื่องในวันสำคัญ หากไม่ได้มาด้วยตัวเองก็จะสั่งให้ร้านดอกไม้เจ้าประจำมาเป็นธุระจัดการแทน

พวงมาลัยที่ร้อยเรียงด้วยดอกมะลิอย่างประณีตถูกวางลงบนพื้นปูนหน้าช่องบรรจุอัฐิอย่างเบามือ

“พ่อสบายดีไหม...” เสียงสั่นเครือเว้นวรรคเพื่อสูดน้ำมูกเบาๆ “...ว่านสบายดีค่ะ พ่อหลับให้สบายนะ ไม่ต้องห่วงหนู”

รูปของบิดาตรงหน้าค่อยๆ เลือนรางเพราะถูกน้ำตาบดบัง พอกะพริบตามันก็ไหลลงมาอีกครั้ง วินาทีต่อมากลับมาเอ่อคลอเต็มตาอีกคราอยู่แบบนั้นวนไป

รามสูรเพียงยืนเงียบๆ สายตาคมกริบอบอุ่นเฝ้ามองภรรยาสาวจนเธอสบายใจ จึงได้พากันกลับ จุดหมายต่อไปเป็นร้านสุภาวดี โภชนาการ ซึ่งอยู่ห่างจากวัดออกไปเพียงสองกิโลเมตรเท่านั้น


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น