บทที่ 4

4

จุดเริ่มต้น

ช่วงเวลาประมาณสิบโมงเช้า รถยนต์ของรามสูรก็มาถึงร้านอาหารตามสั่งในตัวเมืองจันทบุรี เขาจอดรถไว้ตรงที่เดิมซึ่งเคยมาจอดประจำ

ว่านจันทร์เอื้อมปลดเข็มขัดนิรภัยพลางเอ่ยบอกคนมาส่ง “เสี่ยกลับไปทำงานเลยก็ได้นะ ไม่ต้องลงไปเจอป้าหรอก”

ทว่ารามสูรไม่ได้เอ่ยตอบภรรยาสาว เขาลงจากรถ เดินอ้อมมาเปิดประตูหลังฝั่งหญิงสาว หยิบกระเป๋าใบเล็กที่ใส่ของใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ออกมาถือไว้เอง จากนั้นก็เดินมายืนรอเธอตรงหน้ารถ

ว่านจันทร์ปลดเข็มขัดนิรภัยได้ก็ลากสายตามองทุกการเคลื่อนไหวของเสี่ยหนุ่ม จนถึงตอนนี้ที่เขายืนส่งสายตากดดันให้เธอรีบๆ ลงมาเสียที จึงได้แต่หน้าส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะลงจากรถเดินไปหาเขา ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ ด้วยกัน

“นังแป๋วโว้ย! เอ็งเอาคะน้าในตู้เย็นมาให้ข้าหน่อยสิ”

ว่านจันทร์หลุดยิ้มระคนขำเมื่อได้ยินเสียงของคนเป็นป้าเอ่ยสั่งลูกจ้างสาวดังลั่นร้าน ขณะที่ตัวเองนั้นยืนหันหลังผัดอาหารในกระทะมือเป็นระวิง ไม่สนใจลูกค้าที่เดินเข้ามาใหม่เลยสักนิด

“ป้า ขอกะเพราเนื้อเผ็ดๆ จานนึงสิ” เธอแกล้งสั่งอาหารกับแม่ครัว

“ปากกากับกระดาษก็มีอยู่บนโต๊ะโน่น อยากกินอะไรก็จดๆ มา!” แม่ครัวตะโกนบอกลูกค้าโดยไม่หันมาดูแม้แต่น้อย

พลันวินาทีต่อมา มืออวบอ้วนที่จับตะหลิวผัดอาหารอยู่ก็เป็นอันต้องชะงักค้าง คิ้วขมวดเป็นปม นางทำหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนพึมพำกับตัวเอง “เอ๊ะ! ทำไมเสียงมันคุ้นๆ จังวะ”

นางสุภาวดีต้องการหาคำตอบว่าต้นเสียงที่ตนได้ยินนั้นเป็นอย่างที่คิด ไม่ได้หูผิดเพี้ยนไปเอง จึงหันหลังกลับมามองเจ้าของเสียง

“ไอ้ว่าน!” นางร้องลั่นร้านด้วยความตกใจแกมดีใจ รีบวางตะหลิวในมือและเดินเร็วๆ ออกจากครัวหน้าร้านทันที

ว่านจันทร์เห็นว่าคนเป็นป้ารู้ตัวแล้วก็รีบเดินเข้าไปหา โผกอดคนเจ้าเนื้อไว้แน่นอย่างคิดถึงโดยไม่มีท่าทางรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

“คิดถึงป้าจังเลย” เธอว่าพลางโยกร่างอวบๆ ของนางสุภาวดีไปมา

“ป้าก็คิดถึงเอ็ง” นางสุภาวดีผละใบหน้าออกมามองหลานสาวเพียงคนเดียว นางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “เอ็งจะกลับมาทำไมไม่บอกป้าก่อน ป้าจะได้เตรียมทำของโปรดไว้รอ”

ว่านจันทร์ยิ้มออกมาอย่างอิ่มเอมหัวใจ ซาบซึ้งในความรักของป้าที่มีให้เธอเสมอมา

“มันกะทันหันน่ะป้า ว่านเลยไม่โทร. มาบอก”

“มาถึงจันท์ตั้งแต่เมื่อไร แล้วกินข้าวกินปลามากันยังล่ะ”

“กลับมาเมื่อวานตอนเย็นจ้ะ กินข้าวกันก่อนออกจากบ้านแล้ว ก่อนมาหาป้า ว่านก็แวะเข้าไปไหว้พ่อที่วัดมาด้วย” เธอตอบทุกคำถามและรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างแถมให้อีก

นางสุภาวดีได้ยินหลานบอกเช่นนั้น จึงเพิ่งจะเห็นว่าหลานเขยมาด้วย นางยิ้มให้รามสูรที่ยืนอยู่ข้างหลังว่านจันทร์ ในมือถือกระเป๋าใบเล็ก ซึ่งน่าจะเป็นของหลานสาวนางนั่นละ

“พาเสี่ยขึ้นไปนั่งเล่นบนบ้านก่อนไปว่าน เดี๋ยวป้าทำอาหารให้ลูกค้าแป๊บนึง” นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาหารยังคาทิ้งไว้ในกระทะ จึงรีบบอกหลานสาวแล้วเดินกลับมาจัดการต่อ โชคดีที่ไฟไม่แรง อาหารเลยยังไม่ไหม้ ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ลูกจ้างทำแทน

ว่านจันทร์พาสามีขึ้นมาบนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นพักอาศัยของนางสุภาวดี ส่วนชั้นบนสุดเป็นห้องนอนของเธอเมื่อก่อน ตอนนี้มันก็ยังเป็นของเธอเหมือนเดิม เพราะป้าอยากเก็บเอาไว้ให้เธอในวันที่อยากกลับมานอนบ้าน

“เสี่ยนั่งรออยู่ที่โซฟานี่แหละ เดี๋ยวว่านเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องเอง” เธอพยักพเยิดไปทางโซฟาเล็กๆ ตรงมุมห้อง ยื่นมือไปหมายจะแย่งกระเป๋ามาถือไว้เอง แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ

“เดี๋ยวผมยกขึ้นไปให้ มันหนัก”

“ไม่หนักหรอกค่ะ กระเป๋าใบเล็กนิดเดียว ใส่มาแค่ของใช้ส่วนตัวของว่านนิดๆ หน่อยๆ เอง”

“จะไม่เถียงผมสักครั้งเลยไม่ได้หรือไง” รามสูรทำเสียงดุร่างบางที่ดื้อไม่เลิก

ว่านจันทร์ได้แต่ลอบถอนใจ พยักหน้านิดๆ ยอมให้เสี่ยหนุ่มเป็นคนถือกระเป๋าสัมภาระของเธอขึ้นไปเก็บที่ห้องให้ โดยตนเองเดินตามหลังเขาไม่ห่าง

พอขึ้นมาบนชั้นสามจะเห็นห้องโถงเล็กๆ ฝั่งปีกขวา ตรงนี้มีตู้โชว์จำนวนสามตู้วางเรียงรายเป็นระเบียบ ด้านในมีทั้งมงกุฎเพชรจากเวทีมิสควีน เทียรา ไทยแลนด์ เมื่อห้าปีก่อนพร้อมสายสะพายประจำตำแหน่งและรางวัลต่างๆ ที่ว่านจันทร์เคยได้รับมาทั้งหมดตลอดการทำงานในวงการบันเทิง รวมถึงของขวัญจากแฟนคลับ รูปถ่ายต่างๆ ที่เธออยากเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ บนชั้นนี้มีห้องนอนของเธออยู่ปีกซ้ายเพียงหนึ่งห้องเท่านั้น

“เอากระเป๋าวางไว้หน้าห้องนั่นแหละค่ะเสี่ย ที่เหลือว่านจัดการเอง” เธอเอ่ยบอกรามสูร

โดยตัวเธอเดินไปหยุดอยู่ที่ตู้โชว์ตู้หนึ่ง ก้มหน้าลงพร้อมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหนังหรูใบใหญ่ หยิบกล่องกำมะหยี่สีดำลายเรียบหรูทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมา พอเปิดฝากล่องก็เห็นถ้วยรางวัลรูปคนสีทองเกลี้ยงเกลา ยืนชูดวงดาวขึ้นเหนือศีรษะ

ดวงตาสีรัตติกาลมองถ้วยรางวัลในมือด้วยความภาคภูมิใจ รางวัลแห่งเกียรติยศนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ถึงความสำเร็จ ความพยายาม การทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจของเธอว่าสามารถก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของวงการบันเทิงได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วกว่าคนอื่นๆ ซึ่งยังไม่มีใครทำได้...นอกจากเธอ

รามสูรที่เอากระเป๋าไปวางตรงหน้าห้องตามคำสั่งของภรรยาสาว เดินกลับมาหยุดยืนด้านข้าง มองคนที่กำลังก้มหน้าดูถ้วยรางวัลในมือตัวเองด้วยดวงตาเป็นประกาย จึงยกมือขึ้นลูบผมนุ่มสลวยเบาๆ

“ยินดีด้วยนะคุณนักแสดงคนเก่ง” ไม่ต้องบอกว่ารางวัลในมือน้อยคือรางวัลที่เกี่ยวกับสาขาอะไร เพราะเขาได้ดูการถ่ายทอดสดงานประกาศรางวัลในค่ำคืนนั้นด้วย

ว่านจันทร์หันมายิ้มบางๆ ให้สามี “ขอบคุณค่ะเสี่ย”

จากนั้นเธอก็เอารางวัลใส่ไว้ในตู้โชว์ ซึ่งข้างๆ ก็เป็นรางวัลประเภทเดียวกันแต่คนละปีเท่านั้น รวมกันแล้วก็เท่ากับว่าเธอได้รางวัลในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมแห่งปีมาถึงสี่ปีซ้อน

“ปีหน้าและปีต่อๆ ไป รางวัลแห่งเกียรติยศนี้ก็ยังต้องตกเป็นของว่านคนเดียว ว่านจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งของของว่านไปทั้งนั้น” เสียงหวานดังขึ้นอย่างมุ่งมั่นแน่วแน่

ในขณะที่คนฟังหุบยิ้มทันที ความเรียบตึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อ

“ไม่มีใครอยู่เป็นดาวค้างฟ้าได้ตลอดไปหรอกนะว่าน วันหนึ่งก็ต้องเกิดการผลัดเปลี่ยน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่อาจจะมีความสามารถมากกว่าเราขึ้นมาแทนที่ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง”

ใบหน้าสวยหันขวับ มองคนเอ่ยประโยคนั้นอย่างไม่พอใจ “ถ้าไม่คิดจะให้กำลังใจกันก็ไม่ต้องพูดอะไรออกมาให้มันบั่นทอนจิตใจคนอื่นก็ได้นะคะ”

รามสูรถอนหายใจ ส่ายหน้าน้อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนใจอีกครา

“ไม่ใช่ว่าไม่ให้กำลังใจ ผมแค่ไม่อยากให้ว่านมัวแต่ตั้งความหวังกับมันมากเกินไปจนเก็บเอามากดดันตัวเอง คุณค่าของว่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับถ้วยรางวัลพวกนี้สักหน่อยนะ”

“แต่มันเป็นชีวิตของว่าน เสี่ยก็รู้ว่าว่านเข้ามาอยู่ในวงการนี้เพราะอะไร...ไม่ว่ายังไงว่านก็ต้องอยู่เหนือพวกมันทุกคน!”

“ว่านจันทร์!” รามสูรตวาดลั่นบ้านด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำดุดัน ใบหน้าหล่อคมคายเครียดขรึม ไม่ชอบใจนักที่ได้ยินภรรยาสาวใช้สรรพนามไม่สุภาพเรียกแทนบุคคลที่สามเช่นนั้น ทั้งยิ่งได้รู้ว่าเธอยังอยากเอาชนะคนอื่นอยู่อีก ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “...ว่านเคยสัญญากับพ่อนัยก่อนท่านเสียไม่ใช่เหรอ ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับพวกเขาอีก”

ว่านจันทร์ที่ดวงตาแดงก่ำมองสบกับดวงตาคมกริบ เธอมองเขาอย่างตัดพ้อ มือทั้งสองข้างกำแน่นจนร่างสั่นเทิ้ม

เสี่ยหนุ่มเห็นอาการของร่างบางก็ใจกระตุกวูบ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ใจอ่อน ไม่เอื้อมมือไปดึงรั้งภรรยาสาวเข้ามากอดปลอบประโลมเหมือนทุกครั้ง

“...ถ้าว่านเลือกจะยืนอยู่ตรงนั้นเพียงแค่ต้องการการยอมรับหรืออยากเอาชนะ ผมว่าว่านถอยออกมาเถอะ กลับมาอยู่บ้านเรา หรือถ้าว่านอยากได้ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเหมือนกับคนอื่นๆ ผมก็พร้อมที่จะเป็นครอบครัวให้ว่านเอง” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยตะล่อมอย่างอ่อนโยนต่างจากเมื่อครู่มากโข ดวงตาคู่คมสบกับดวงตาสีรัตติกาลเพื่อส่งผ่านแววตาอบอุ่นระคนเว้าวอน

แต่ถึงอย่างนั้น สาวเจ้ากลับส่ายหน้าช้าๆ อยู่ดี “ไม่ค่ะ ว่านเดินมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว...” น้ำตามากมายไหลพรูลงมาไม่ขาดสาย “ว่านจะหยุดเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อว่านได้รู้ความจริงว่าทำไมผู้หญิงใจยักษ์ใจมารคนนั้นถึงกล้าทิ้งว่านกับพ่อไป โดยไม่คิดจะหันกลับมาเหลียวแลกันเลย” เธอพูดพร้อมขบกรามแน่น นัยน์ตาคู่สวยเต็มไปด้วยไฟแค้นที่ยากจะมอดดับ

“ว่าน...”

“เสี่ยไม่มาเป็นว่าน เสี่ยไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของว่านหรอกค่ะ” ความเจ็บปวดสะท้อนผ่านมาทางดวงตาคู่สวย

รามสูรถอนหายใจยาวอีกครั้งอย่างอ่อนใจ “ถ้าว่านยืนยันที่จะอยู่กับความเจ็บปวดพวกนั้น ผมก็ไม่มีอะไรจะคุยกับว่านอีก” เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินผ่านร่างเล็กออกมา

พอเดินถึงบันไดทางลงก็เจอกับนางสุภาวดีที่กำลังจะขึ้นมาดูอย่างเป็นห่วงพอดี เนื่องจากได้ยินเสียงของเสี่ยหนุ่มดังลงไปถึงชั้นสอง สายตาของนางมองหลานเขยสลับกับหลานสาวที่ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ตัวสั่นเทาอยู่ที่พื้น

“ผมฝากป้าสุช่วยปลอบว่านให้หน่อยนะครับ” เขาฝากฝังภรรยากับป้าของเธอเสร็จสรรพก็เดินลงบันไดไป โดยไม่คิดจะเหลียวกลับมาดูร่างบางที่เอาแต่สะอื้นไห้จนตัวโยนเลยสักนิด

นางสุภาวดีหันกลับไปมองแผ่นหลังไวๆ ของหลานเขยถึงได้หันกลับมามองหลานสาวตัวเองแล้วส่ายหน้าเอือมระอา นางได้ยินเสียงบทสนทนาแว่วๆ พอจะจับใจความได้ว่าทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องอะไร จึงเดินมาทรุดกายลงนั่งข้างๆ ว่านจันทร์ เอื้อมมือไปแตะต้นแขนเล็กเบาๆ

“ว่านลูก”

ว่านจันทร์เงยหน้าขึ้นมองป้า ก่อนโผเข้ากอดราวกับต้องการหาหลักพักพิง “ฮือๆ ฮึก ว่านไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ ทำไมเสี่ยถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของว่านบ้างเลย”

นางสุภาวดีลูบหลังหลานสาวเบาๆ อย่างปลอบโยน “ว่าน ที่เสี่ยเขาพูดแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วง เสี่ยเขารักเอ็งมากนะ ถึงอยากให้เอ็งปล่อยวางเรื่องราวในอดีตทั้งหมดซะ เขาไม่อยากเห็นเอ็งต้องมานั่งเจ็บปวดอยู่แบบนี้อีกแล้วไง”

ว่านจันทร์รู้มานานแล้วว่ารามสูรคิดเช่นไรกับเธอ แต่เป็นเธอเองที่เลือกจะมองข้ามความรู้สึกเขามาตลอด เพราะยังมีเรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ภายในใจ จึงเมินเฉยต่อเรื่องความรัก แม้เขาจะทำดีกับเธอมากแค่ไหนก็ตาม

“ว่านปล่อยวางไม่ได้ ฮึก...ว่านทนเห็นผู้หญิงคนนั้นมีชีวิตอย่างสุขสบายอยู่บนกองเงินกองทอง ในขณะที่ว่านกับพ่อต้องอดมื้อกินมื้อไม่ได้ ว่านให้อภัยผู้หญิงใจร้ายคนนั้นไม่ได้จริงๆ”

“โถ ว่านเอ๊ย...”

“ว่านผิดอะไรหรือป้า ว่านผิดอะไร...ผู้หญิงคนนั้นถึงได้ทิ้งว่านไปแบบไร้เยื่อขาดใยแบบนั้น” ว่านจันทร์ยกมือกุมหน้าอกอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส ระบายความอัดอั้นที่อยู่ในหัวใจมาตลอดยี่สิบปีให้ผู้เป็นป้าฟัง

นางสุภาวดีถึงกับพูดอะไรไม่ออก เมื่อได้ยินความเจ็บปวดที่อยู่ในใจหลานสาว

“ฮือ...ว่านเกลียด ฮึก! ว่านเกลียดผู้หญิงคนนั้นมาก เกลียดทุกคนที่อยู่รอบตัวมันด้วย” ร่างเล็กสั่นสะท้านตัวโยน

นางได้แต่รับฟังความในใจของว่านจันทร์เงียบๆ คนเป็นป้าก็มีความเจ็บแค้นและโกรธเกลียดผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอดีตคนรักของน้องชายผู้ล่วงลับไปแล้วอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน รับรู้อยู่เต็มอกถึงความร้าวรานจากข้างในของหลานสาวได้เป็นอย่างดี

“ป้าจะไม่ห้ามความตั้งใจของเอ็งหรอกนะว่าน ถ้าเอ็งอยากรู้ความจริงจากปากผู้หญิงคนนั้น แต่เอ็งต้องจำไว้นะ ถ้าไม่ไหวอย่าฝืน ไม่ไหวก็แค่กลับมาบ้านเรา ที่นี่เอ็งยังมีป้า มีเสี่ย ไหนจะครอบครัวของเสี่ยที่รักและเอ็นดูเอ็ง” นางพูดพลางลูบศีรษะหลานสาวด้วยความรักและห่วงใย

ว่านจันทร์ถอนใบหน้าออกจากไหล่ของนางสุภาวดี ดวงหน้าสวยเปื้อนคราบน้ำตา “ขอบคุณนะป้า ว่านสัญญา ถ้าได้คำตอบที่ว่านตามหามาทั้งชีวิตแล้วจะหยุดทุกอย่าง”

“เอาเถอะๆ ขอแค่สิ่งที่เอ็งกำลังทำอยู่มันไม่ได้ทำร้ายใคร ข้าก็จะไม่ขัดขวางเอ็งหรอก”

ว่านจันทร์ยิ้มบางๆ ให้คนเป็นป้าอย่างขอบคุณ

“ไปๆ เอ็งไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย แล้วหาเวลาโทร. ไปขอโทษเสี่ยเขาด้วยล่ะ ถึงยังไงเสี่ยก็อายุเยอะกว่าเอ็งมาก จะพูดจะจาอะไรก็ควรให้เกียรติเขาบ้าง”

ว่านจันทร์พยักหน้ารับคำสอนของป้า ยกมือปาดน้ำตาลวกๆ จากนั้นก็ลุกเดินเข้าไปในห้องนอน โดยไม่ลืมที่จะลากกระเป๋าสัมภาระตัวเองเข้ามา

หญิงสาวยกกระเป๋าขึ้นมาวางบนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง จัดการเปิดมันออกเพื่อเอากระเป๋าใบเล็กที่ใส่อุปกรณ์อาบน้ำ พร้อมหยิบเสื้อยืดตัวบางกับกางเกงขาสั้นติดมือมาด้วย เดินเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ในตัวห้องนอน

หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยก็ออกมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว ดวงตาคู่สวยที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมีอาการปูดบวม ร่างกายที่เหนื่อยล้าสะสมจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำมาตลอดหลายเดือน พอเจอลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศและเตียงนุ่มก็ทำให้เธอผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย

“พ่อไม่อนุญาต” สุนัยค้านเสียงแข็ง ใบหน้าในตอนนี้ดูเครียดจัดและไม่พอใจลูกสาวมาก

“แต่ว่าน...”

“ไม่! พ่อส่งว่านไปเรียนหนังสือ ไม่ได้ส่งว่านเข้าวงการบันเทิงบ้าๆ นั่น หน้าที่ของว่านตอนนี้คือตั้งใจเรียนให้จบแค่นั้นพอ ส่วนเรื่องเงินพ่อจะเป็นคนหาเอง”

ว่านจันทร์ที่สวมชุดนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หลังจากที่สัปดาห์ก่อนถูกบิดาจับได้ว่าแอบไปประกวดนางงามเวทีระดับประเทศจนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งมาครอง และกำลังจะได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงกับช่อง 1 HD ทว่าบิดากลับไม่เห็นดีเห็นงามด้วย

“แต่โอกาสมันมาถึงว่านแล้วนะคะพ่อ ถ้าได้เป็นดารา ว่านก็จะมีเงินเรียนหนังสือได้สบายๆ และยังมีเงินเหลือมาให้พ่อใช้ พ่อจะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีก ส่วนเรื่องเรียนพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ เดี๋ยวนี้ดาราคนอื่นๆ เขาก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยกันเยอะแยะ ถ้าแบ่งเวลาได้ก็ไม่มีปัญหานี่คะ”

สุนัยยังเลือกที่จะส่ายหน้าปฏิเสธความต้องการของลูกสาว “ว่าน...” ท่านเอ่ยเสียงแผ่วอย่างใจเย็น “ที่ตรงนั้นมันไม่เหมาะกับว่านหรอกนะลูก พ่อว่าว่านกลับไปตั้งใจเรียนดีกว่านะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินด้วย พ่อยังมีแรง ยังมีกำลังที่จะหามันได้อีกนาน”

ว่านจันทร์อับจนหนทางกับคำหว่านล้อมของบิดา เธอทิ้งกายลงคุกเข่าอยู่บนพื้นปูนเย็นเฉียบภายในห้องพักคนงานของสวนผลไม้จันทร์จิรา ยกมือขึ้นพนมกลางอก แหงนหน้าขึ้นมองหน้าบิดา ดวงตากลมโตปริ่มไปด้วยหยาดน้ำตา

“ให้ว่านได้ทำในสิ่งที่อยากทำเถอะนะคะพ่อ ว่านสัญญาว่าจะไม่ทิ้งการเรียน จะไม่ทำให้พ่อผิดหวังในตัวว่าน นะคะพ่อ...ที่ผ่านมาว่านไม่เคยขออะไรพ่อเลยสักครั้ง แต่เรื่องนี้ว่านขอได้ไหมคะพ่อ ขอให้ว่านได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินชีวิตด้วยตัวของว่านเอง” 

สุนัยก้มหน้าลงมาสบกับดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังแล้วก็ต้องเบือนหน้าหนี กลืนก้อนความรู้สึกเจ็บจุกลงคอ ทำไมท่านจะไม่รู้ความต้องการของลูกสาวที่ดึงดันจะเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงช่องนั้นให้ได้ ทั้งที่เมื่อก่อนลูกสาวเคยเชื่อฟังคำสั่งของเขามาโดยตลอด ไม่เคยขัดคำสั่งไม่ว่าเรื่องอะไร

เขาหลับตาลงเพื่อคิดและตัดสินใจทำบางอย่าง อึดใจต่อมาถึงได้ลืมตาขึ้นมาสบตากับลูกสาว

“ก็ได้ พ่อยอมให้ว่านเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงก็ได้...”

ว่านจันทร์ได้ยินคำอนุญาตของบิดาก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “จริงนะคะพ่อ ว่านรักพ่อที่สุดในโลกเลยค่ะ”

“แต่พ่อมีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง ถ้าว่านตกลง พ่อก็จะอนุญาตให้ว่านเซ็นสัญญาได้” 

ขณะที่ร่างเล็กกำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อสวมกอดบิดา กลับต้องชะงักนิ่งอยู่กับที่ รอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไป เมื่อเห็นใบหน้าของท่านมีสีหน้าเครียดขรึมไม่น้อย “อะไรคะ” 

ก่อนที่สุนัยจะเอ่ยตอบก็ลอบถอนหายใจยาวเหยียดคล้ายคนหนักใจมากล้นก็ไม่ปาน “...ว่านต้องจดทะเบียนสมรสกับเสี่ยรามสูรก่อน”

ว่านจันทร์ส่ายหน้าปฏิเสธเงื่อนไขของบิดาเป็นพัลวัน บิดาจะให้เธอจดทะเบียนสมรสกับบุตรชายเจ้าของสวนผลไม้จันทร์จิราแห่งนี้ได้อย่างไร ในเมื่อทั้งเธอและเขาไม่ได้รักกัน

“ไม่ค่ะ”

“ถ้าไม่ยอมจดทะเบียนกับเสี่ย งั้นว่านก็เลิกคิดเรื่องที่จะเซ็นสัญญาแล้วเอาเวลาทั้งหมดนี้ไปตั้งใจเรียนหนังสือได้เลย”

บิดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แววตาไม่แสดงถึงความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่อีกแล้วในเวลานี้

“พ่อคะ...” เสียงหวานครางแผ่วอย่างอึ้งๆ ไม่คาดคิดว่าบิดาจะใช้วิธีนี้หยุดยั้งเธอ

สุนัยไม่รอฟังคำตอบลูกสาว เบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อเดินผ่านร่างเล็กของเธอออกไปข้างนอกทันที


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น