บทที่ 5

5

ผูกมัด

ก๊อกๆ

“ว่าน เย็นแล้วนะลูก”

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูปลุกให้คนที่อยู่ในห้วงนิทราลึกสะดุ้งตื่น

“ว่าน...”

ใบหน้าสวยกระจ่างใสหันไปมองประตูห้อง “จ๋าป้า!” ก่อนขานรับคำของคนที่อยู่หลังประตู วาดขาลงจากเตียงแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้นางสุภาวดี

“หลับอยู่เหรอ ป้าเรียกเอ็งตั้งนานสองนาน”

ว่านจันทร์พยักหน้าน้อยๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าผล็อยหลับไปนานขนาดไหน

“ป้าทำกับข้าวมื้อเย็นเสร็จแล้วนะ เอ็งไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไป จะได้ลงมากินข้าวด้วยกัน” นางสุภาวดีไม่ได้ว่าหลานสาวที่เอาแต่นอนกลางวัน เพราะเข้าใจว่านานๆ ทีว่านจันทร์จะมีเวลากินอิ่มนอนหลับแบบคนธรรมดาทั่วไปบ้าง

หญิงสาวยกยิ้มบางตรงมุมปาก “ได้จ้ะป้า งั้นขอเวลาว่านสักสามนาทีนะ”

คนเป็นป้าไม่เอ่ยตอบอะไร หมุนตัวกลับลงไปชั้นล่างที่เป็นห้องครัวเพื่อรอหลานสาวลงมากินมื้อเย็นร่วมกัน

ว่านจันทร์มองตามหลังจนนางสุภาวดีหายลับไปแล้วถึงปิดประตูลง ก่อนเอาหลังพิงกับบานประตู “ฟู่!” เธอเป่าลมออกจากปาก พลางแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ทอดสายตามองรูปของบิดาที่กำลังอุ้มเธอในตอนอายุสามขวบซึ่งแขวนอยู่เหนือหัวเตียง

ว่านจันทร์ตกอยู่ในห้วงความคิดราวหนึ่งนาทีถึงได้สติกลับมา รีบก้าวเท้าไปยังห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาใหม่ ก่อนจะลงไปกินอาหารเย็นกับนางสุภาวดี

บนโต๊ะกลมเล็กมีอาหารง่ายๆ อยู่สามอย่าง หนึ่งในสามเมนูนั้นเป็นปลากะพงทอดน้ำปลาซึ่งเป็นของโปรดของดาราสาวอยู่ด้วย

“กินเข้าไปเยอะๆ เลยนะว่าน เอ็งผอมเกินไปแล้วรู้ตัวบ้างไหมเนี่ย” นางสุภาวดีบอกพร้อมกับตักเนื้อปลากะพงใส่จานข้าวหลานสาวจนพูน

ว่านจันทร์คลี่ยิ้มแป้นเป็นเด็กๆ กล่าวขอบคุณผู้เป็นป้า ขณะที่มือตักข้าวเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย ฝีมือของนางสุภาวดีทำให้เธอเจริญอาหารจนลืมเรื่องการควบคุมน้ำหนักไปเลย

“เออจริงสิ เมื่อกลางวันป้าลืมถามเสี่ยเลยว่าแผลที่โดนโจรทำร้ายเป็นยังไงบ้าง” ตอนแรกว่าจะถามไถ่อาการหลานเขย แต่ก็มีเหตุให้ไม่ได้คุยเสียก่อน

ว่านจันทร์เคี้ยวอาหารในปากแล้วกลืนถึงเอ่ยตอบ “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกป้า ตอนนี้แผลเริ่มแห้งแล้วด้วย”

นางสุภาวดีพยักหน้าอย่างเบาใจ ลอบสังเกตอาการหลานสาว “แล้วนี่...” นางเว้นวรรคคำถามที่กำลังจะเปิดประเด็น “เอ็งได้โทร. ไปปรับความเข้าใจกับเสี่ยเขาหรือยัง”

คนถูกถามช้อนตาขึ้นมองสบกับดวงตาอยากรู้อยากเห็นของคนเป็นป้า ก่อนจะหลุบมองข้าวในจานพร้อมตอบเสียงเบา “ยังเลย”

“อ้าว! แล้วเอ็งมัวแต่รออะไรอยู่เล่า คนเป็นผัวเป็นเมียกัน เวลาทะเลาะกันอย่าปล่อยไว้นานข้ามวันสิ ต้องรีบคุย รีบปรับความเข้าใจกันให้รู้เรื่อง แล้วก็ลดซะบ้างนะไอ้นิสัยให้ผัวเป็นฝ่ายง้ออยู่คนเดียวน่ะ ถ้าเกิดวันหนึ่งเสี่ยเขาขี้เกียจจะตามง้อเอ็งขึ้นมาแล้วจะรู้สึก ทีนี้อย่าหาว่าข้าไม่บอกไม่สอนแล้วกัน”

ว่านจันทร์เหลือบตาขึ้นมองสาวเทื้อที่กำลังพร่ำสอนเรื่องการใช้ชีวิตคู่ ทว่าเธอไม่รู้สึกหวาดหวั่นต่อคำสมมตินั้นเลยสักนิด กลับกันเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของผู้เป็นป้าเสียด้วยซ้ำ

ในตอนนี้เธอยังไม่รู้หัวใจว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกที่มีต่อเขามันเรียกว่าความรักหรือเปล่า แต่ถ้าถามถึงความผูกพันที่มีต่อเขานั้นมีบ้างหรือไม่ คงต้องบอกว่ามีแน่นอน เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่จำความได้ เธอมีรามสูรเป็นพี่ชายที่แสนดี เขาคอยดูแลปกป้องมาตลอด จนกระทั่งเขากับเธอเลื่อนสถานะมาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา รามสูรก็ยังคงเป็นทั้งพี่ชายและสามีที่ดีมาก ทั้งยังให้เกียรติเธอเป็นอย่างดีมาตลอด ไม่ขาดตกบกพร่องประการใด

เมื่อมื้อเย็นผ่านพ้นไป ว่านจันทร์ก็ขันอาสาเป็นคนล้างจานให้เอง โดยบอกให้นางสุภาวดีขึ้นไปพักผ่อนได้แล้ว หลังจากล้างจานและเก็บของใช้ต่างๆ ในครัวเสร็จก็มาหย่อนก้นนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหารอีกครั้ง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งข้อความ

Moonlight : วันนี้ได้ไปทำแผลที่โรงพยาบาลหรือยังคะ

นิ้วเรียวกดส่งข้อความ ดวงตาสีรัตติกาลมองจดจ้องหน้าจอเพื่อรอให้อีกฝ่ายอ่านข้อความเธอแล้วตอบกลับมา

แต่รออยู่เกือบห้านาทีก็ยังไร้วี่แววว่ารามสูรจะอ่านข้อความ ว่านจันทร์นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ปกติไม่เกินสามนาทีเขาจะต้องตอบกลับมาแล้ว ทว่าครั้งนี้กลับผิดวิสัย

“เฮ้อ!” เจ้าของเสียงหวานระบายลมหายใจเบาๆ ก่อนลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องตัวเอง

อีกคนนั้นเวลานี้กำลังนอนเกลือกกลิ้ง เหยียดแข้งเหยียดขาไปกับพื้นระเบียงบ้าน ข้างตัวมีขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายขวดทั้งที่ดื่มไปจนเกลี้ยงและยังคงมีอยู่เต็มขวด บางขวดก็ล้มระเนระนาดอยู่ที่พื้น

ลูกน้องคนสนิททั้งสองได้แต่มองหน้ากันตาปริบๆ เพราะตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน เจ้านายหนุ่มก็บังคับให้พวกเขาดื่มเป็นเพื่อน

“เสี่ยแกไปอกหักจากไหนมาวะ” พงศกรเอามือป้องปากกระซิบถามทรงยศ

ทรงยศหันขวับพร้อมง้างมือตบศีรษะเพื่อนเน้นๆ

“โอ๊ย! ไอ้ยศ เอ็งตบหัวข้าทำไมวะ” พงศกรถลึงตาใส่เพื่อน ยกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ

“ดูเอ็งพูดเข้า เสี่ยจะไปอกหักได้ยังไง ในเมื่อเมียเพิ่งจะกลับมาหาเมื่อวานนี้เอง ขนาดวันนี้เสี่ยยังตามไปส่งคุณว่านจันทร์ถึงบ้านยายสุ อีกอย่างเสี่ยรามของเราทั้งหล่อทั้งรวย ใครมันจะไปกล้าหักอกได้...” ทรงยศร่ายยาวเหยียด นิ้วชี้จิ้มย้ำๆ ตรงขมับด้านขวาของตัวเอง “สมองเอ็งนี่มันมีแต่ขี้เลื่อยจริงๆ ถึงคิดได้แต่อะไรแบบนี้”

“แหม ยังกับเอ็งไอคิวสูงนักนี่ไอ้ยศ” เขาว่าก่อนผลักศีรษะเพื่อนอย่างแรงเป็นการเอาคืน “ไอ้ไม่มีรอยหยักในสมอง”

เพื่อนรักทั้งสองว่ากันไปมาอย่างไม่จริงจังนัก พากันหัวเราะร่วนในตอนท้าย ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อคนที่พวกเขาคิดว่าหมดสภาพจนไปเฝ้าพระอินทร์นานแล้ว จู่ๆ ก็ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิโดยที่ร่างโอนเอนไปมา ขณะที่มือหนาล้วงหาอะไรไม่รู้อยู่นานสองนาน

“หาอะไรน่ะเสี่ย” เป็นทรงยศที่ทนดูไม่ได้จนต้องเอ่ยถาม

“โทรศัพท์” คนเมาพูดเสียงอ้อแอ้แทบไม่เป็นศัพท์ “แกเห็นไหม”

สิ้นเสียงถามของผู้เป็นเจ้านาย สองหนุ่มเพื่อนซี้ก็รีบหันซ้ายหันขวากวาดสายตามองหาโทรศัพท์มือถือของรามสูร แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ

“ไม่มีนะเสี่ย เสี่ยไปลืมทิ้งไว้ที่ไหนหรือเปล่า” พงศกรหันกลับมาตอบเสี่ยหนุ่ม

“แม่งหายไปไหนวะ” รามสูรทำเสียงหงุดหงิด ล้วงหาในกระเป๋ากางเกงอย่างไรก็พบแต่ความว่างเปล่า

“สงสัยคงจะตกอยู่ในรถมั้งเสี่ย” ทรงยศคาดเดา เพราะก่อนมานั่งก๊งเหล้าตรงนี้ เจ้านายเขาไม่ได้ออกไปไหนเลย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนเมาก็จะลุกขึ้นยืนแล้วออกไปหาโทรศัพท์มือถือ ทว่าไม่ทันไรก็ล้มตึงลงไปนอนราบกับพื้นบ้านตามเดิม

“อ้าวเฮ้ยเสี่ย!”

“เสี่ย!”

พงศกรกับทรงยศต่างรีบพุ่งตัวจะไปช่วยรับร่างสูงบึกบึนของอีกฝ่าย ทว่าก็ยังช้าไปอยู่ดี

“โทรศัพท์...” คนเมานอนหลับตาพริ้ม แต่ปากยังคงพร่ำเรียกหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองไม่หยุด

สองหนุ่มเพื่อนซี้มองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะเป็นพงศกรที่พยักพเยิดให้เพื่อนไปหาของที่ผู้เป็นเจ้านายต้องการมาให้ได้

“ไอ้ยศมันกำลังไปหาให้ครับเสี่ย เสี่ยนอนรออยู่ตรงนี้แหละ” พงศกรบอกแกมส่งสายตาบังคับให้เพื่อนรีบไปหาโทรศัพท์มาให้ผู้เป็นนาย

เมื่อไม่มีทางเลือก ทรงยศจึงเดินกึ่งวิ่งออกจากบ้านไปหา คิดว่ารามสูรน่าจะลืมเอาไว้ในรถเอสยูวี หลังจากหาไม่นานก็เจอโทรศัพท์เจ้าปัญหาซุกซ่อนอยู่ตรงเบาะที่นั่งข้างคนขับ พอได้ของที่ตามหาแล้วจึงเดินกลับขึ้นไปบนบ้านอีกครั้ง

“เจอแล้วครับเสี่ย!” ทรงยศพูดพลางยื่นโทรศัพท์ในมือให้เจ้าของ

รามสูรแม้ตาจะปิดสนิท แต่กระนั้นประสาทการรับรู้ก็ยังไม่ถูกตัดขาด พอได้ยินเสียงลูกน้องคนสนิทร้องบอกมาแต่ไกล ดวงตาคมกริบก็เปิดขึ้นทันใด เอื้อมคว้าโทรศัพท์มือถือมาสไลด์นิ้วปลดล็อกหน้าจอทันที

ทว่าก็ต้องหยุดนิ้วมือที่กำลังเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์ไว้ ก่อนเหลือบตามองหน้าลูกน้องทั้งสองสลับกัน ที่ตอนนี้ก็นั่งมองเขากันหน้าสลอน

“กลับบ้านกลับช่องพวกมึงไปได้แล้วมั้ง” เสียงอ้อแอ้เมื่อก่อนหน้าหายไปเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยแตะของมึนเมามาก่อน

เมื่อถูกเจ้านายไล่ สองหนุ่มแม้จะงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็ลุกเดินออกจากบ้านพักของผู้เป็นนายโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด

หลังลูกน้องจากไปสักพัก ร่างสูงก็ลุกขึ้นนั่งหลังพิงระเบียงบ้าน เหยียดสองขาไปข้างหน้าด้วยท่าทางสบายๆ หลุบตาลงจ้องข้อความบนหน้าจอ

Moonlight : วันนี้ได้ไปทำแผลที่โรงพยาบาลหรือยังคะ

ความกรุ่นโกรธเหมือนกลุ่มเมฆครึ้มปกคลุมอยู่ในภายในใจตลอดทั้งวัน พอได้เปิดอ่านข้อความสั้นๆ จากภรรยาสาว พลันความอึมครึมนั้นก็สลายหายไปเพียงชั่วพริบตา

รามสูรเหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูเวลาตรงมุมซ้ายของจอ ก่อนเลื่อนสายตาลงมาดูเวลาว่าข้อความนี้ส่งมาตั้งแต่ตอนไหน

“ตายห่า! เกือบสองชั่วโมงแล้วเหรอวะ” เขาสบถกับตัวเอง ก่อนกดออกจากข้อความ รีบต่อสายโทร. หาเจ้าของข้อความทันที

ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...

เขาถือสายรออย่างใจจดจ่อ ภาวนาขอให้คนปลายสายกดรับเร็วๆ

“...ฮัลโหล”

สิ้นสุดการรอคอย ช่างเป็นช่วงเวลาที่เขาคิดว่ามันแสนนานเหลือเกิน

“...” เสี่ยหนุ่มกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ กะพริบตาปริบๆ ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด

“...” ในขณะเดียวกันปลายสายก็มีแต่ความเงียบตอบกลับมา

รามสูรสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนออกมาช้าๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “...ให้ไอ้ยศกับไอ้พงศ์พาไปแล้ว” เขาเลือกที่จะตอบคำถามที่ภรรยาสาวส่งข้อความมาถามก่อนเป็นประโยคแรก

“ดื่มกันอยู่เหรอคะ” เสียงหวานของคนปลายสายถามกลับ เมื่อจับน้ำเสียงแกว่งๆ ของเขาได้

“อือ ไอ้พวกนั้นมันชวนดื่มนิดหน่อย ที่ไม่ได้ตอบข้อความเพราะผมเผลอทำโทรศัพท์ตกไว้ในรถน่ะ” คนมีชนักติดหลังรีบโบ้ยความผิดให้ลูกน้อง

“...” ปลายสายเงียบเสียงใส่อีกครา

“ว่าน...”

“ว่านขอโทษค่ะเสี่ย” เสียงหวานกลับดังขึ้นก่อน

รามสูรนั่งนิ่งด้วยความประหลาดใจ “ขอโทษผมทำไม ผมต่างหากที่ต้องขอโทษว่าน ผมทำว่านร้องไห้ ทั้งที่เคยสัญญากับพ่อนัยไว้ว่าจะไม่ทำให้ว่านเสียใจเด็ดขาด” ความผิดต่อพ่อตาตีตื้นขึ้นมาจนจุกอก

“เสี่ยไม่ต้องให้ท้ายว่านตลอดก็ได้นะคะ ครั้งนี้ว่านผิดเองว่านยอมรับ ที่เสี่ยเตือนเพราะหวังดีกับว่าน”

คนได้ฟังคำสำนึกผิดของภรรยา ฉับพลันหัวใจแกร่งก็อุ่นวาบ มุมปากหยักยิ้ม “ผมไม่โกรธว่านหรอก ว่านยังเด็ก อาจจะพูดไปไม่ทันคิด”

“ว่านยี่สิบสี่แล้วนะคะเสี่ย เมื่อไรเสี่ยจะเลิกคิดว่าว่านเป็นเด็กสักที” เจ้าของเสียงหวานบ่นกระปอดกระแปด เธอกับเขาห่างกันแค่หกปีเท่านั้นเอง แต่เขาชอบทำเหมือนเธอเป็นเด็กหกขวบอยู่ตลอดเวลา

เสี่ยหนุ่มหัวเราะหึเบาๆ ในลำคอ ท่าทีตอนนี้ดูผ่อนคลายลงมาก “แล้วนี่จะนอนหรือยัง”

“ยังค่ะ แต่ถ้าภายในหนึ่งชั่วโมงนี้เสี่ยไม่ตอบข้อความว่าน ก็ว่าจะนอนแล้วค่ะ”

คนเป็นสามีระบายยิ้มอ่อนโยนไปถึงดวงตาคู่คม “พรุ่งนี้จะกลับบ้านกี่โมง ผมจะได้ออกไปรับ”

“ยังไม่แน่ใจค่ะ ถ้าอยากกลับ จะโทร. ให้มารับก็แล้วกันนะคะ”

“เอาแบบนั้นก็ได้...”

“ถ้าเสี่ยไม่มีอะไรแล้ว ว่านวางสายนะคะ” ปลายสายตอบกลับมาแค่นั้นแล้วตัดสายไปเลย ไม่รอให้เขาได้เอ่ยรั้ง

“เฮ้อ!” รามสูรพรูลมหายใจยาวๆ ลดมือข้างที่ถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ลง ก่อนล้มตัวลงนอนราบไปกับพื้นอีกครั้ง

ดวงตาคู่คมมองเหม่อไปบนท้องนภาผืนดำอันกว้างใหญ่ไพศาล ดวงดารามากมายแข่งกันเปล่งแสงระยิบระยับ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามค่ำคืนขับกล่อมให้คนที่เหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดทั้งวันผ่อนคลาย เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ปิดลง

“คุณรงค์กับคุณจันทร์ยังเอ็นดูลูกสาวผมอยู่หรือเปล่าครับ”

คำถามโต้งๆ ของนายสุนัยที่มาขอพบ ทำเอาเจ้าของบ้านทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนคุณจันทร์จิราจะหันมาตอบหัวหน้าคนงาน

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะนัย ฉันกับพี่รงค์รักและเอ็นดูหนูว่านไม่เคยเปลี่ยน เมื่อก่อนเคยอยากอุปถัมภ์หนูว่านยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น” คุณจันทร์จิราเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยเมตตา

ได้ยินเช่นนั้นสุนัยก็มีสีหน้าดีขึ้น กวาดสายตามองครอบครัวของผู้มีพระคุณทุกคน ก่อนจะหยุดลงที่หนุ่มหล่อรูปร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวคนเดียวด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ใบหน้าคมคายเรียบเฉยไม่สื่อถึงอารมณ์ใดๆ

“นัยมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า บอกเราได้นะ” เสียงคุณจอมนรีดึงสายตาของสุนัยให้หันมอง

สุนัยสบตากับเพื่อนร่วมชั้นวัยเด็กของตัวเอง ระบายยิ้มบางเพื่อไม่ให้เธอเป็นกังวล ลากสายตากลับมามองที่ประมุขของสวนผลไม้จันทร์จิราทั้งสองตรงหน้าอีกครั้ง

“ทุกคนคงทราบแล้วว่าลูกสาวผมแอบไปประกวดนางงามจนได้รางวัลมา...ตอนนี้ว่านมันก็กำลังจะเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงช่อง 1 HD ครับ”

“คงไม่มีอะไรหรอกมั้งนัย หนูว่านแกคงอยากเป็นดารา อยากมีชื่อเสียงเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหละ” คุณจอมนรีพยายามพูดในแง่ดี

สุนัยกลับไม่คิดเช่นนั้น “ว่านมันเป็นคนขี้อาย ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว เพื่อนก็แทบจะไม่มี ไม่มีทางที่อยู่ๆ ก็อยากไปเป็นดาราแน่ครับ ผมรู้จักนิสัยใจคอลูกสาวดี”

“แต่พวกเราทุกคนก็ช่วยกันปิดเรื่องแม่ของหนูว่านมาตลอดนะนัย หนูว่านไม่น่าจะรู้เรื่องนี้ได้” คุณจันทร์จิราเริ่มวิเคราะห์ถึงเหตุจูงใจที่ว่านจันทร์อยากเข้าสู่วงการบันเทิงบ้าง

“เพราะผมไม่รู้ ไม่รู้ด้วยว่าลูกสาวคิดอะไรอยู่ ถึงได้กลัวใจว่านมัน” สุนัยเอ่ยเสียงแผ่ว สบตากับผู้มีพระคุณทั้งสองด้วยแววตาจริงจัง “ผมตัดสินใจแล้วครับ ว่าจะยกว่านให้เป็นลูกสาวของพวกท่าน”

ประโยคนั้นของสุนัยสร้างความตกตะลึงให้ทุกคนในวงสนทนาเป็นอย่างมาก

“หมายความว่ายังไงล่ะนัย” คุณณรงค์หรี่ตาลง ถ้าให้ท่านเดา สุนัยต้องมีอะไรในใจมากกว่านั้นแน่ ถึงได้ยอมยกลูกสาวให้พวกตนดูแลง่ายๆ ทั้งที่เมื่อก่อนเคยคุยกันบ้างแล้ว แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธมาตลอด

สุนัยมีสีหน้าลำบากใจคล้ายคนอับจนหนทาง “ที่ผมบอกว่าจะยกลูกสาวให้ คือผมอยากให้ว่านจดทะเบียนสมรสกับเสี่ยรามไว้ก่อนน่ะครับ” สุนัยหันไปมองคนที่อยากฝากฝังลูกสาวด้วย

“ให้เป็นลูกสะใภ้อย่างนั้นรึ อื้อ ฟังดูเข้าท่าดีนะ...” คุณณรงค์ยิ้มอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ท่านคิดไว้แล้วไม่มีผิด ก่อนจะหันไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เพิ่งจะเรียนจบปริญญาโทมาได้แค่ปีเดียว ตอนนี้กำลังเข้ามาเรียนรู้งานในสวนอยู่ “ว่ายังไงล่ะเจ้าราม พ่อเขาจะยกลูกสาวให้น่ะ แกยินดีดูแลลูกสาวเขาต่อไหม”

รามสูรตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยิน เขาข่มอาการไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย เม้มปากแน่นขณะประสานสายตากับสุนัยอย่างนิ่งงัน

“ผมเพิ่งตรวจเจอมะเร็งตับระยะสุดท้ายครับ คงมีเวลาอยู่ดูแลว่านได้อีกไม่นาน” สุนัยโพล่งออกมา

ซึ่งก็ไม่รู้ต้องตกใจกันอีกกี่ครั้งสำหรับทุกคน ต่างจากคนป่วยที่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มบาง ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นต่อโรคร้ายที่กำลังเผชิญอยู่เลยสักนิด

“ผมมั่นใจว่าเสี่ยจะคอยดูแล คอยปกป้อง และฉุดรั้งว่านไม่ให้ทำเรื่องที่ผิดพลาดแทนผมได้...ในวันที่ผมลาจากโลกนี้ไปแล้ว”

รามสูรตัวชาวาบกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้จากปากสุนัยพร้อมกับทุกคน แม้ว่าสุนัยจะเป็นแค่พนักงานของสวนผลไม้จันทร์จิรา เขาก็เคารพอีกฝ่ายไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือคนหนึ่ง ยิ่งตอนนี้ได้มาเรียนรู้งานในสวน ก็ได้สุนัยนี่ละที่คอยสอนงานต่างๆ ในสวนจันทร์จิราให้

“ตกลงครับ ผมยินดีรับว่านเป็นเมีย”

เช้าวันต่อมา รามสูรที่นอนอยู่ตรงระเบียงบ้านตลอดทั้งคืน ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเรียกของแม่บ้านสาวอย่างบุ๋มบิ๋มที่ต้องเข้ามาทำความสะอาดบ้านพักของเขาทุกวัน

เมื่อตื่นแล้วก็ไม่คิดจะนอนต่ออีก ตั้งใจว่าจะไปกินอาหารเช้าร่วมกับบิดามารดา หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จจึงเดินไปที่บ้านใหญ่

คุณณรงค์ที่นั่งจิบกาแฟดำ อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะริมระเบียงเช่นทุกวัน ละสายตาไปมองลูกชายที่กำลังเดินเข้ามาในบ้าน “ลมอะไรหอบมาล่ะนั่นน่ะ”

รามสูรชะงักฝีเท้า ก่อนเปลี่ยนทิศทางเดินไปหาบิดาที่ระเบียงบ้านแทน เลื่อนเก้าอี้ตัวตรงข้ามบิดา จากนั้นก็หย่อนกายลงนั่ง ยังไม่ทันจะได้อ้าปากคุยกับบิดา เสียงของคุณจันทร์จิราก็ดังขึ้นก่อน

“วันนี้เข้าสวนสายๆ ได้ไม่ใช่เหรอราม ทำไมลูกตื่นเช้าจังล่ะ” คุณจันทร์จิราเดินเข้ามาที่ระเบียงพร้อมจานขนมปังปิ้งให้สามี “...ขนมปังค่ะคุณ”

รามสูรมองมารดาที่เอาขนมปังมาให้บิดา แล้วบิดาของเขาก็จับมือมารดามาจูบ ชายหนุ่มที่นั่งมองได้แต่เบ้ปาก กลอกตามองบนใส่คู่รักสูงวัยที่ยังคงหวานกันปานน้ำผึ้งเดือนห้า

“แค่เมียกลับไปนอนบ้านป้าคืนเดียว แกถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยหรือไง แต่เดี๋ยววันมะรืนแกก็ต้องนอนกอดหมอนข้างไปอีกนานเลยไม่ใช่เหรอลูกชาย พ่อว่าแกทำใจให้ชินเถอะ” คนเป็นพ่อไม่วายแขวะลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

“เฮ้อ!” นอกจากจะไม่มีเสียงเถียงกลับ ยังมีเสียงถอนหายใจแรงๆ อย่างกับมีเรื่องหนักอกหนักใจก็ไม่ปาน

คุณณรงค์กับคุณจันทร์จิราหันมองหน้ากัน ก่อนหันกลับไปมองใบหน้าราบเรียบของลูกชายด้วยความสงสัย

คุณจันทร์จิรานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ระหว่างสามีกับลูกชายแล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าราม ทะเลาะกับหนูว่านเหรอลูก”

รามสูรสบกับดวงตาที่แสดงถึงความเป็นห่วง เขาพยักหน้าช้าๆ “นิดหน่อยครับแม่ แต่เคลียร์กันแล้ว”

“เคลียร์กันอีท่าไหน แกถึงยังทำหน้าแบกโลกไว้อย่างนี้น่ะ” คุณณรงค์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“...” เสี่ยหนุ่มนิ่งเงียบ มองมารดาสลับกับบิดาอยู่อึดใจเดียวถึงได้ยอมเปิดปาก “ถ้าเกิดผมไม่อยากปล่อยว่านกลับไปอยู่ในที่ของเขาแล้ว พ่อกับแม่ว่าผมดูเป็นคนเห็นแก่ตัวไปหน่อยไหมครับ”

ท่านทั้งสองได้แต่หันมาสบตากัน เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำถามนี้หลุดออกจากปากรามสูร

“ทำไมรามถึงคิดแบบนั้นล่ะลูก” คุณจันทร์จิราหันมาถามความคิดลูกชาย ยังไม่ด่วนตัดสินเขาในทันที

รามสูรหลับตาลง ข่มความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนเร้นไว้ในใจ “ผมแค่ไม่อยากห่างเมียอีกแล้วน่ะครับแม่ อยากเป็นคนที่ได้ครอบครองว่านคนเดียว”

คุณจันทร์จิราเลื่อนมือไปวางทับบนหลังมือหนาของลูกชาย ท่านเข้าใจความรู้สึกของเขาดี

รามสูรลืมตาขึ้นมาประสานดวงตากับมารดา

“ไว้แม่จะลองช่วยพูดหว่านล้อมหนูว่านให้อีกแรงก็แล้วกันนะ”

เขาระบายยิ้มออกมาอย่างขอบคุณ หงายฝ่ามือขึ้น เปลี่ยนมากอบกุมมืออวบๆ ของมารดาไว้แทน “ขอบคุณครับแม่”

คุณณรงค์ได้แต่นั่งมองเมียรักปลอบใจลูกชาย ที่มีเมียก็เหมือนไม่มี จากนั้นทั้งสามจึงย้ายไปนั่งกินอาหารเช้ากันในห้องครัว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น