บทที่ 6

6

ของหวง

 

ว่านจันทร์อยู่ช่วยงานป้าที่ร้านตลอดช่วงเช้า มีบ้างที่ลูกค้าบางคนเข้ามาขอถ่ายรูปกับเธอ กระทั่งกินอาหารเที่ยงด้วยกันเสร็จ

“จะกลับสวนจันทร์จิราตอนไหนล่ะว่าน” นางสุภาวดีเอ่ยถามหลานสาวที่ยืนล้างจานอยู่ตรงซิงก์ในห้องครัว มือของนางก็เช็ดทำความสะอาดโต๊ะอาหารไปด้วย

“เสี่ยบอกจะมารับ คงเป็นช่วงเย็นๆ น่ะป้า รอให้เสี่ยเลิกงานก่อน”

“ป้าจะใช้ไอ้โข่งมันไปเอาของที่ตลาดสดให้สักหน่อย เอ็งจะติดรถมันกลับสวนเลยไหมล่ะ จะได้ไม่ต้องมานั่งรอเสี่ยเขาจนเย็น”

‘ไอ้โข่ง’ ที่นางสุภาวดีพูดถึงคือเขมทัตต์ วัยรุ่นสร้างตัวประจำซอย อายุสิบเก้าปี มีอุปนิสัยดี ขยันและเอางานเอาการ บ้านช่องก็อยู่ใกล้ๆ กัน นางมักจะจ้างอีกฝ่ายไปซื้อของที่ตลาดสดให้เป็นประจำ อีกทั้งพ่อแม่ของเขมทัตต์ยังทำงานที่สวนผลไม้จันทร์จิรา เป็นคนรู้จักมักคุ้นกันมานาน

ว่านจันทร์ที่ยืนหันหลังให้นางสุภาวดีหันหน้ามาสบตากับคนเป็นป้า ก่อนพยักหน้ารับ “ก็ดีเหมือนกันจ้ะ เสี่ยจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาด้วย” ตอบเสร็จเธอก็หันกลับไปล้างจานต่อ

หลังจากทำงานทั้งหมดเสร็จแล้ว ว่านจันทร์จึงกลับขึ้นห้องนอนตัวเองอีกครั้งเพื่อเก็บของใช้ส่วนตัวที่เอามาด้วยใส่กระเป๋าใบเดิม เตรียมจะกลับสวนผลไม้จันทร์จิรา

เมื่อตรวจสอบความเรียบร้อยว่าไม่หลงลืมอะไรไว้ เธอจึงหันมามองรูปภาพที่หัวเตียง

“ว่านขอโทษนะคะพ่อ ขอโทษที่ลูกสาวคนนี้ทำให้พ่อผิดหวังครั้งแล้วเล่า ขอโทษที่ว่านทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อไม่ได้เลยสักข้อ” เสียงหวานที่เปล่งออกมาไม่มั่นคง ทุกวันนี้เธอยังไม่สามารถมองรูปบิดาได้อย่างสนิทใจเลยสักครั้ง

ความรู้สึกละอายแก่ใจที่ผิดต่อคำสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่บุพการีมักซัดสาดกระแทกจนจุกล้นคอหอยเสมอ

เธอพูดจบก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เมื่อรับรู้ถึงความร้อนผ่าวที่กระบอกตาทั้งสองข้างก็เบือนหน้าหนี คว้าหูกระเป๋าได้ก็รีบลุกขึ้น ก้าวเท้าออกจากห้องนอนในทันที

“รายการของทั้งหมดป้า โทร. สั่งยายละเอียดไว้หมดแล้วนะ เอ็งแค่เอาเงินในถุงนี้ไปจ่ายให้มันก็พอ ส่วนอันนี้เงินค่าจ้างเอ็ง”

เขมทัตต์ยืนฟังคำสั่งของนางสุภาวดีอย่างตั้งใจพร้อมกับหงายมือรับเงินค่าจ้างจำนวนหนึ่ง ก่อนยกมือขึ้นไหว้ท่วมศีรษะ

“ขอบคุณครับป้า เดี๋ยวโข่งจะรีบไปรีบกลับเอาของมาส่งนะ”

“เออๆ แต่เอ็งไม่ต้องขับรถเร็วนักนะเว้ย ข้ายังไม่ได้รีบใช้ตอนนี้หรอก”

“คร้าบ...” เด็กหนุ่มรูปร่างผอมแห้งแรงน้อย ตัดผมรองทรงต่ำ ผิวแทนคล้ำจากแสงแดด ใบหน้าดูทะเล้นหน่อยๆ ขานรับคำเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง พลันสายตามองเลยนางสุภาวดีไปทางด้านหลัง เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่กำลังเดินมา หูตาของเขมทัตต์ก็แพรวพราวขึ้นมาทันที

“พี่ว่าน!”

ว่านจันทร์ระบายยิ้มอย่างอัธยาศัยดี ทักทายเด็กหนุ่มอย่างไม่ถือตัว เพราะเมื่อก่อนตอนเขมทัตต์ยังเรียนประถม มักหอบการบ้านมาให้เธอสอนเป็นประจำ

“สบายดีนะโข่ง”

เขมทัตต์พุ่งตัวผ่านนางสุภาวดีไปหาซูเปอร์สตาร์หน้าสวยในดวงใจเขาทันที “โข่งสบายดีครับ ไม่ได้เจอพี่ว่านตัวเป็นๆ แบบนี้มานานแล้ว พี่ว่านตอนนี้สวยกว่าในทีวีเยอะเลย...โอ๊ย!” ก่อนจะร้องโอดครวญเมื่อโดนดึงหูอย่างแรง

“หน็อยแน่ไอ้โข่ง! หยุดเลยนะเอ็ง ไม่ต้องมาทำตาเล็กตาน้อยใส่หลานสาวข้า”

“เจ็บป้า! โอ๊ย! ไอ้โข่งยอมแล้วจ้า” เขมทัตต์รีบถอยเท้าออกมาตามแรงดึงหู ใบหน้าเหยเกด้วยเจ็บจริง พอจุดที่ทำร้ายถูกปล่อยเป็นอิสระก็รีบยกมือกุมไว้ทันทีพลางลูบป้อยๆ “ก็คนมันตื่นเต้นนี่ป้า ได้เจอดาราชื่อดังของเมืองไทยใกล้ๆ แบบนี้”

“เออ! แน่จริงเอ็งก็ลองไปตื่นเต้นให้เสี่ยรามสูรเห็นสักครั้งสิ” ประโยคนี้ของนางสุภาวดีดังลอดไรฟันออกมาให้ได้ยินกันแค่สองคน

เด็กหนุ่มทำหน้าสยดสยองขนลุกขนพองเมื่อได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเสี่ยหนุ่มเจ้าของสวนผลไม้พันล้าน ในฐานะลูกชายคนงานในสวน เขาจึงรู้ความสัมพันธ์ลับของคนทั้งคู่ จริงๆ แล้วคนงานในสวนผลไม้จันทร์จิราแทบจะรู้กันหมด ทว่าทุกคนล้วนเก็บไว้ในใจ ไม่มีใครแพร่งพรายเรื่องของเจ้านายออกไป

“โข่งว่าเรารีบไปกันดีกว่าครับพี่ว่าน จะได้รีบเอาของมาให้ป้าสุด้วย” เขมทัตต์ไม่พูดเปล่า เอื้อมมือไปช่วยถือกระเป๋าสัมภาระของดาราสาว ก่อนหมุนตัวเดินออกจากร้านไปที่รถกระบะสี่ประตูของตัวเอง

ว่านจันทร์มองตามหลังเด็กหนุ่ม ก่อนดึงสายตากลับมาที่นางสุภาวดี คลี่ยิ้มบางพลางเดินเข้าไปกอดท่านไว้แน่น

“ว่านกลับบ้านแล้วนะป้า เดี๋ยวก่อนกลับกรุงเทพฯ จะแวะมาหานะ”

นางสุภาวดีลูบกลุ่มผมนุ่มที่กลางหลังหลานสาว “ไปเถอะ นานๆ เอ็งจะได้กลับมาบ้านสักที เสี่ยรามเขาคงอยากอยู่กับเอ็งจะแย่แล้วละ”

หญิงสาวผละตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่น “เสี่ยบ้าทำงานจะตายไป ต่อให้ว่านอยู่บ้าน ถ้าไม่มืดค่ำเสี่ยก็ไม่มีทางกลับบ้านหรอก”

“ดูพูดเข้า ไอ้เด็กคนนี้” คนเป็นป้าเอ็ดหลานสาวที่พูดจาไม่เข้าหู

ว่านจันทร์หัวเราะ รู้ดีว่านางสุภาวดีปลื้มหลานเขยมากแค่ไหน ไม่ว่ารามสูรจะทำอะไรก็ไม่เคยผิดเลยสักครั้ง

“สรุปแล้วว่านเป็นหลานแท้ๆ ของป้าจริงเปล่าเนี่ย ว่านพูดอะไรก็ผิดไปหมด ไม่เหมือนเสี่ยรามสูรคนดีของป้าเลย แค่หายใจทิ้งเฉยๆ ยังถูก”

นางสุภาวดีส่ายหน้าระอา “ป้าไม่ได้เห็นเสี่ยดีไปกว่าเอ็งหรอกนะว่าน แต่ผู้ชายดีๆ แบบเสี่ยรามสูรน่ะสมัยนี้หายากจะตายไป เอ็งได้ครอบครองเป็นเจ้าของก็จงรักษาเอาไว้ดีๆ ถ้าเผลอทำคนดีๆ หลุดมือขึ้นมา แล้วจะมานั่งเสียใจทีหลัง”

ว่านจันทร์แค่เพียงรับฟังเงียบๆ ไม่ได้ถึงขั้นตกตะกอนความคิดตามคำบอกเล่าของผู้เป็นป้า

“โข่งมันสตาร์ตรถรอนานแล้ว ว่านกลับบ้านก่อนนะป้า”

นางสุภาวดีพยักหน้ารับ จากนั้นก็มองตามหลังหลานสาวที่เดินออกไปขึ้นรถกระบะของเด็กหนุ่ม นางได้แต่ส่ายหน้าด้วยท่าทีปลงจิต

รถกระบะสี่ประตูสีบรอนซ์เงินเคลื่อนเข้ามาในอาณาจักรสวนจันทร์จิรา ก่อนจอดลงหน้าบ้านปูนกึ่งไม้สไตล์ร่วมสมัยสองชั้น มีโรงจอดรถอยู่ใต้ชายคาบ้าน

ว่านจันทร์เปิดประตูลงจากรถ สารถีคนนั้นก็ลงมาช่วยยกกระเป๋าสัมภาระให้

“ขอบใจนะโข่ง” เธอเอ่ยพร้อมยื่นธนบัตรสีเทาให้หนึ่งใบ “อะ...พี่ให้”

เขมทัตต์หลุบตามองเงินสดในมือดาราสาว ก่อนดึงสายตากลับมามองสบกับอีกฝ่าย รีบโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรครับพี่ มันเยอะไป อีกอย่างโข่งได้ค่าจ้างจากป้าสุมาแล้ว”

ว่านจันทร์รู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มต้องปฏิเสธ จึงยัดธนบัตรใส่มือหนาให้เลย “เอาไปเถอะน่า เก็บไว้กินหนม”

เขมทัตต์จำต้องรับสินน้ำใจจากว่านจันทร์ ยกมือไหว้ขอบคุณในทันที “ขอบคุณครับพี่ว่าน ถ้างั้นโข่งขอตัวไปเอาของที่ตลาดให้ป้าสุก่อนนะครับ”

“อือ ขับรถกลับดีๆ นะ”

เมื่อรถกระบะของเขมทัตต์แล่นออกจากบริเวณบ้านไป ว่านจันทร์ก็เดินลากกระเป๋าเข้าบ้าน ทว่าเดินไปได้เพียงแค่สองก้าวก็ต้องชะลอฝีเท้า พลางหันมองที่บริเวณหน้าบ้านไม้สักหลังใหญ่ ดวงตาคู่สวยหรี่ลง จดจ้องไปที่รถสปอร์ตหรูราคาหลายล้านด้วยความสงสัย

“คุณว่าน!”

เสียงแหลมของใครบางคนดังขึ้นเรียกให้เธอละสายตาจากสิ่งที่สนใจอยู่หันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้มให้ ก่อนจะชี้ไปยังรถสปอร์ตคันงาม

“นั่นรถใครคะพี่บุ๋ม”

แม่บ้านสาวที่กำลังเดินเข้ามาหาไล่สายตามองตามปลายนิ้วเรียวของดาราสาว “...รถของคุณเกรซค่ะ” เธอหันกลับมาตอบพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

หัวคิ้วสวยกลับขมวดเข้าหากันนิดๆ “คุณเกรซ? ใครคะ” ก่อนส่งสายตาเชิงถามคนที่มาหยุดยืนตรงหน้า

“อ้อ คุณเกรซเธอเป็นคนที่เสี่ยรามช่วยจับโจรวิ่งราวกระเป๋าเมื่อหลายวันก่อนน่ะค่ะ”

“แล้วเธอมาทำไม” ว่านจันทร์ยังไม่เลิกสงสัย

บุ๋มบิ๋มยิ้มแหย ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรเพื่อไม่ให้สถานการณ์ของเจ้านายหนุ่มต้องบ้านแตกสาแหรกขาด

ว่านจันทร์พอจะอ่านใจแม่บ้านสาวได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเอื้อนเอ่ย “แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันคะ”

“อยู่ในสวนค่ะ เสี่ยน่าจะพาคุณเกรซเดินชมสวนอยู่น่ะค่ะ”

เจ้าของศีรษะเล็กพยักหน้านิดๆ “พี่บุ๋มมีอะไรก็ไปทำเถอะค่ะ ว่านจะขึ้นไปพักผ่อนในห้องสักหน่อย” พูดจบเธอก็ลากกระเป๋าเข้าไปในบ้าน

ทิ้งให้บุ๋มบิ๋มยืนเกาศีรษะมองตามอย่างงุนงง “ไอ้เราก็อุตส่าห์คิดว่าจะได้ดูฉากเด็ดๆ ศึกเมียหลวงปะทะพวกชอบอ่อยผัวชาวบ้านชาวช่องซะอีก หมดสนุกเลยวุ้ย!”

“ตรงนี้จะเป็นโรงเลี้ยงม้าครับ แต่ตอนนี้ยังไม่มีม้าสักตัวหรอกนะครับ เพราะผมเพิ่งจะศึกษาการเลี้ยงม้าได้ไม่นานนี่เอง ในอนาคตตั้งใจจะเปิดฟาร์มม้าน่ะครับ” รามสูรเดินมาที่โรงเลี้ยงม้าซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือนที่แล้ว ขณะอธิบายให้หญิงสาวฟังไปด้วย

“คุณรามนี่เก่งจังเลยนะคะ เพิ่งจะเข้ามาบริหารสวนจันทร์จิราได้ไม่นานก็สามารถเพิ่มมูลค่าผลผลิตในสวนไปได้มากทีเดียว” สาวสวยที่เดินเคียงข้างมาด้วยเอ่ยอย่างชื่นชม

รามสูรเพียงยิ้มรับอย่างสุขุมพอเป็นพิธีไม่ให้ดูเสียมารยาทกับแขกสาว ทั้งที่อึดอัดใจอยู่ไม่น้อย แต่ยังสามารถทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีได้ไม่ติดขัด

อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องสละเวลาทำงานเพื่อพากานธิดาเดินชมสวนเลย เพียงแค่ยกหน้าที่นี้ให้ผู้จัดการสวนก็สิ้นเรื่อง ทว่าที่ทำให้เขาต้องลงมือทำเองก็เพราะงานของหญิงสาวที่ทำอยู่มีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อโครงการเดอะ มูนไลต์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรีคลับของเขาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

“เกรซมาเห็นแบบนี้แล้วยิ่งชอบที่นี่ค่ะ เดี๋ยวนี้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมเที่ยวเชิงธรรมชาติกันค่อนข้างเยอะ ถ้าในอนาคตเดอะ มูนไลต์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรีคลับเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อไร เกรซคิดว่าที่นี่คงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของจันทบุรี หรือไม่ก็ของประเทศได้เลยนะคะเนี่ย”

“ผมเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้นครับ” เขาลงทุนกับโครงการนี้ไปมากโข อย่างไรเสียย่อมหวังให้เกิดผลกำไรมหาศาลอยู่แล้ว

“เอาเป็นว่าเกรซจะลองนำรายละเอียดของสวนจันทร์จิรากับเดอะ มูนไลต์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรีคลับที่กำลังจะเกิดขึ้นไปเสนอกับหุ้นส่วนบริษัททัวร์ของเกรซดูนะคะ เผื่อพวกเขาจะชอบเหมือนเกรซ”

“ขอบคุณคุณเกรซมากนะครับที่สนใจสวนของผม หวังว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ทำงานร่วมกันนะครับ...”

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของรามสูรที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นก่อนที่เขาจะเอ่ยจบประโยค มือหนาล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูว่าใครต่อสายมา

‘Moonlight’

ดวงตาคมกริบกวาดสายตาอ่านชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ เขาเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับหญิงสาวตรงหน้า

“ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ เดี๋ยวยังไงผมให้ลูกน้องพาเดินดูรอบๆ นี้ไปก่อน” พอเขาบอกกับหญิงสาวก็หันไปส่งสายตาให้ทรงยศเข้ามารับช่วงต่อ

“เอ่อ...” กานธิดาไม่ทันได้พูดอะไร ร่างสูงก็หันหลังเดินจากไป ก่อนถูกแทนที่ด้วยลูกน้องของเขา เธอกลอกตามองบนอย่างเซ็งๆ แต่พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ จำใจต้องเดินตามทรงยศไป

ในขณะที่รามสูรเดินเลี่ยงออกมาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นจามจุรียักษ์ โทรศัพท์ในมือยังคงดังไม่หยุด เขาสไลด์ปลายนิ้วเพื่อรับสาย จากนั้นก็ยกขึ้นแนบหู

“ฮัลโหลว่าน จะกลับบ้านแล้วเหรอ” เขากรอกเสียงลงในสายเพื่อถามไถ่ภรรยาสาว

“เสี่ยไม่ต้องมารับแล้วละค่ะ ตอนนี้ว่านอยู่ที่บ้านแล้ว”

คำตอบของภรรยาสาวเรียกสีหน้าเรียบตึงของเขาได้เป็นอย่างดี “กลับมายังไง”

“พอดีป้าใช้ให้โข่งมาเอาของที่ตลาดสด ว่านเลยขอติดรถน้องกลับมาบ้านด้วย”

เสี่ยหนุ่มพรูลมหายใจคล้ายเหนื่อยหน่ายใจกับภรรยาสาวที่ชอบขัดคำสั่งเขาอยู่เรื่อย ทั้งที่ควรจะชินได้แล้ว

“ตอนนี้เสี่ยอยู่ที่ไหนคะ”

“อยู่ในสวนน่ะ ว่านมีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ ว่านแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย” ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

คำตอบของภรรยาสาวทำเอาสามีกระวนกระวายใจ “ไม่สบายเหรอว่าน เป็นอะไรมากหรือเปล่า ให้ผมพาไปหาหมอไหม” จึงยิงคำถามใส่ด้วยความเป็นห่วง

“แค่ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ ว่านเลยโทร. มาถามว่าที่บ้านพอจะมียาพาราฯ ไหม ว่านหาที่ตู้ยาไม่เจอ”

“ยาอยู่ในกล่องปฐมพยาบาล พี่บุ๋มน่าจะรู้ ว่านบอกให้พี่บุ๋มหาให้สิ” เขารีบบอกที่เก็บยาสามัญประจำบ้าน

“ว่านให้พี่บุ๋มหาแล้ว พี่บุ๋มก็หาไม่เจอ ถึงต้องโทร. มาถามเสี่ยนี่ไงคะ”

รามสูรขมวดคิ้วแทบชนกัน มันจะไม่มีได้อย่างไร ในเมื่อเขาจำได้ว่าเพิ่งซื้อมาเก็บไว้เมื่อไม่นานมานี้เอง

“ไม่มีก็ไม่เป็นไรค่ะ ว่านไม่กินก็ได้ นอนพักสักหน่อยคงหายเอง”

“เดี๋ยวผมกลับไปหาให้ จะได้ไปดูอาการว่านด้วยว่าควรจะไปหาหมอไหม”

“ถ้าเสี่ยงานยุ่งมาก ไม่ต้องมาก็ได้นะคะ ว่านไม่อยากเป็นภาระของใคร”

“สุขภาพของเมียสำคัญกว่างาน” รามสูรสวนขึ้นเสียงเรียบโดยไม่เสียเวลาขบคิด “ว่านรอผมแป๊บนึงนะ กำลังจะกลับบ้านแล้ว”

“ค่ะ งั้นแค่นี้นะคะ” หญิงสาวพูดจบก็วางสายไป

รามสูรเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม หมุนตัวเดินเร็วๆ กลับไปหากานธิดากับทรงยศที่อยู่ไม่ไกล

“คุณเกรซครับ พอดีผมมีธุระสำคัญมากต้องไปทำ ถ้ายังไงผมขอตัวก่อน ส่วนลำธารที่ตัดผ่านรีสอร์ตทางด้านหลังที่ผมจะพาไปดู เอาเป็นว่าผมให้ทรงยศพาไปแทนก็แล้วกันนะครับ” เขารีบแจ้งกับหญิงสาวในทันที

รอยยิ้มบนใบหน้ากานธิดาค่อยๆ เลือนหาย เมื่อรู้ว่ากำลังจะถูกชายหนุ่มทิ้งให้อยู่กับลูกน้องของเขาแทน

“เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ เกรซเองก็ว่าจะขอตัวกลับก่อนเหมือนกัน พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านัดเพื่อนไว้น่ะค่ะ”

“อ้อ เหรอครับ ผมขอโทษจริงๆ นะครับคุณเกรซ เอาเป็นว่าโอกาสหน้าผมจะพาไปดูตรงโซนนั้นด้วยตัวเอง”

คำขอโทษและข้อเสนอของเจ้าของสวนผลไม้ สร้างความพึงพอใจแก่กานธิดาอยู่ไม่น้อย แม้เมื่อครู่รู้สึกไม่พอใจเขานิดหน่อย

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เกรซเข้าใจ เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมไปส่งคุณเกรซที่รถเองครับ ถือเป็นคำขอโทษที่ผมพาเดินดูสวนต่อไม่ได้ด้วย”

“ได้ค่ะ”

จากนั้นรามสูรก็ขับรถกระบะของสวนมาส่งกานธิดาถึงหน้าบ้านไม้สักหลังใหญ่ที่มีรถยนต์ของเธอจอดอยู่ โดยไม่รู้ว่าตรงริมหน้าต่างบนชั้นสองของบ้านสไตล์ร่วมสมัย มีสายตาใครคนหนึ่งจ้องมองลงมาที่คนทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา

รามสูรเดินเข้ามาในบ้านก็ไม่เห็นใครเลยสักคน เขาเดินไปที่ตู้ยาในห้องครัว หยิบกล่องปฐมพยาบาลมาวางบนเคาน์เตอร์แล้วเปิดค้นหายาพาราเซตามอลให้คนป่วยที่น่าจะนอนอยู่ในห้อง พอเปิดกล่องออกมาก็เจอกับแผงยาโดยไม่ต้องหาให้เสียเวลา “ทำไมถึงหาไม่เจอกัน” เสียงทุ้มดังขึ้นพึมพำ

จากนั้นรามสูรจึงเดินไปที่เครื่องกรองน้ำ หยิบแก้วน้ำในชั้นข้างๆ ออกมากดน้ำใส่ ก่อนเดินถือขึ้นไปบนชั้นสอง จุดหมายปลายทางคือห้องนอน

พอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นร่างบอบบางของภรรยานอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง เขาหย่อนกายนั่งลงที่ขอบเตียง วางแก้วน้ำและแผงยาไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะหันกลับมามองดวงหน้าสวยหวานไร้ที่ติ

นัยน์ตาดำสนิทยามนี้อ่อนโยน เขาพินิจมองคนป่วยที่หลับใหล ยื่นมือไปเกี่ยวไรผมที่ตกลงมาปิดใบหน้าสวยออกให้อย่างเบามือ ใช้หลังนิ้วชี้เกลี่ยแผ่วเบาที่หน้าผาก มุมปากหยักเผยรอยยิ้มอบอุ่นเมื่อเห็นว่าเปลือกตาบางกำลังเปิดปรือขึ้น

“ปวดหัวมากไหม ไหวหรือเปล่าว่าน ผมว่าไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจดูอาการสักหน่อยดีไหม” จากที่ได้สัมผัสเบาๆ ทำให้รู้ว่าภรรยาสาวตัวไม่ร้อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความห่วงใยของเขาลดน้อยลงเลย กลับกันเขากลัวว่าอาการของโรคไมเกรนที่เธอเคยเป็นจะกำเริบขึ้นมาอีก

คนที่สะลึมสะลือส่ายศีรษะช้าๆ พร้อมเอ่ยเสียงแหบแห้ง “ว่านดีขึ้นแล้วค่ะ”

มือหนาเปลี่ยนมาลูบศีรษะเล็กแทน

“งั้นก็ลุกขึ้นมากินยาสักหน่อยแล้วค่อยนอนต่อ”

ว่านจันทร์ไม่ได้ทำตามที่สามีบอก กลับยกศีรษะย้ายมานอนหนุนตักแกร่งแทน ช้อนสายตาออดอ้อนขึ้นสบกับดวงตาสีดำสนิท

“เสี่ยก็รู้ว่าว่านไม่ชอบกินยา” เจ้าของเสียงหวานตอบแผ่วเบา

“แต่ก่อนหน้านี้ว่านเป็นคนโทร. มาถามหายากับผมนะ” เสี่ยหนุ่มหรี่ตามองภรรยาสาวอย่างจับผิด

ว่านจันทร์ทำปากคว่ำ กลอกตาไปมาเมื่อกำลังถูกสามีจับผิด ก่อนยกศีรษะกลับมานอนหนุนหมอนตามเดิม

“เสี่ยคิดว่าว่านแกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจเหรอคะ”

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย” รามสูรตอบตามความจริง “ช่างเถอะ ไม่กินยาก็ไม่กิน งั้นว่านนอนพักผ่อนนะ เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน”

“เสี่ยไม่กลับไปทำงานแล้วเหรอคะ”

เขาส่ายหน้า ขณะดึงผ้าห่มมาคลุมให้ภรรยาจนถึงคอ

“อีกแค่สองชั่วโมงก็เลิกงานแล้ว อีกอย่างเมียนอนป่วยอยู่ที่บ้าน ใครมันจะไปมีกะจิตกะใจทำงานกัน” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง

“ว่านทำเสี่ยเสียงานหรือเปล่า”

“ไม่เลยครับ ถึงยังไงวันนี้ผมก็ต้องเลิกเร็วอยู่แล้ว เพราะตอนเย็นเราต้องไปกินข้าวเย็นที่บ้านพ่อแม่กัน”

ว่านจันทร์พยักหน้าเข้าใจ เป็นเรื่องปกติที่รามสูรจะเลิกงานเร็วกว่าปกติ หากวันไหนต้องไปกินอาหารเย็นที่บ้านใหญ่ เพราะพวกท่านเริ่มมื้ออาหารกันในช่วงเวลาหกโมงเย็น

“ว่านนอนเถอะ เดี๋ยวตอนเย็นผมจะปลุกเอง”

เธอค่อยๆ หลับตาลง เวลาต่อมาก็รับรู้ได้ว่าร่างสูงลุกจากเตียงไปแล้ว จึงปรือเปลือกตามองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ พอประตูปิดลงถึงได้เปิดเปลือกตาขึ้นเต็มตา มุมปากยกยิ้มเหมือนนางร้ายในละครที่ทำตามแผนสำเร็จ

ถึงไม่ได้รัก ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่หวง...รามสูรเป็นคนของเธอ ผู้หญิงหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งทั้งนั้น

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น