8

โลกกลม


โลกกลม
ท่ามกลางความเงียบภายในห้องนั่งเล่นของบ้านรติรักษ์ รามิลรับไหว้หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของธนนท์ และไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้หล่อนรู้สึกว่าเขาคุ้นหน้าคุ้นตา แต่ถึงอย่างนั้นณจันทร์ก็ยังเอาแต่นั่งก้มหน้า เพราะถ้าเขาจำได้ขึ้นมาจริงๆ มีหวังละครชีวิตของธนนท์ปังแน่
ไม่ใช่ปังเพราะจุดพลุฉลองความสำเร็จหรอกนะ ทว่า ‘ปังปิ๊นาศ’ ต่างหาก!
“คุณเกี่ยวก้อย...”
เสียงนุ่มๆ ของรามิลทำเอากุลสตรีจอมปลอมใจหายวาบ ใบหน้าซีดเผือดราวกับไก่ต้มยามเงยหน้าขึ้นประสานสายตาเขา
ไม่เอานะ! ไม่ทัก ไม่คุ้น ไม่มีภาพจำใดๆ เกี่ยวกับหล่อนในหัวสมองหลงเหลืออยู่อีก
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“คะ?” หญิงสาวอึกอัก หายใจไม่ทั่วท้องเพราะไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร ยิ่งเห็นตาคมๆ นั้นมองสำรวจใบหน้าหล่อน ณจันทร์ยิ่งรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างของตัวเองเย็นเฉียบจนแทบจะเป็นศพได้
“คุณดูหน้าซีดๆ”
“เอ่อ...”
ที่จริงณจันทร์ไม่คิดว่าตัวเองจะหน้าซีดขนาดนั้น แต่พอเขาทักมาก็ฉุกคิดได้ว่าไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ เพราะรังแต่จะทำให้เกิดพิรุธมากกว่า
“นั่นสิ” คุณนายรัดเกล้าสังเกตว่าสีหน้าหญิงสาวดูแปลกไปจากช่วงแรกๆ เช่นกัน “เมื่อกี้ก็ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปละ...เปล่าค่ะ” ณจันทร์ยิ้มปูเลี่ยนๆ พยายามผ่อนคลายตัวเองด้วยไม่อยากให้ผู้ใหญ่ผิดสังเกตมากกว่าที่ผ่านมา “น่าจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อย แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ”
หาข้ออ้างได้ไม่ทันขาดคำ สาวใช้อีกคนหนึ่งก็เข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมด้วยสำรับของว่างและเครื่องดื่ม คุณนายรัดเกล้าเหลือบไปเห็นเข้าจึงถือโอกาสแนะนำคนหน้าซีด
“งั้นก็ดื่มอะไรหวานๆ เสียหน่อยสิ เผื่อจะสดชื่นขึ้น”
ณจันทร์ยิ้มรับ มองน้ำส้มคั้นเย็นๆ ที่สาวใช้นำมาทยอยเสิร์ฟแล้วหยิบมาจิบเบาๆ แก้อาการประหม่า แต่แววตานิ่งๆ ที่รามิลเอาแต่จับจ้องมองอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้ใจคอไม่ดีเลย
ไม่เอาน่า...มีแต่กระต่ายเท่านั้นแหละที่ตื่นตูม แมวป่า...เอ้ย! แม่เสืออย่างหล่อนไม่ควรวิตกกังวลกับอะไรที่ยังไม่เกิด อย่างน้อยๆ การที่เขาไม่ถามอะไรก็เป็นสัญญาณว่าไม่ควรให้ความสำคัญแก่เรื่องคืนนั้น เขาอาจกำลังมองเพราะเห็นหล่อนหน้าซีดๆ เหมือนคนป่วยก็ได้
คิดอย่างนั้นแล้วณจันทร์ก็ใจชื้นขึ้นมา มือบางค่อยๆ วางแก้วน้ำส้มเย็นชื่นใจลงบนโต๊ะ แล้วยิ้มปูเลี่ยนๆ กลบเกลื่อนความกังวลอีกครั้ง
“น้ำส้มคั้นอร่อยจังเลยค่ะคุณย่า”
“ฝีมือยายแป้นเขานี่ละ” หญิงสูงวัยบุ้ยใบ้ไปทางสาวใช้คนสนิทที่นั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ โซฟา พาให้ณจันทร์หันตามไปยิ้มผูกมิตร “ว่าแต่ช่วงนี้เรียนหนักเหรอ ถึงไม่มีเวลาพักผ่อน”
“อ๋อ...” ณจันทร์ทอดเสียงพลางยิ้มน้อยๆ ระหว่างคิดทบทวน ก่อนจะเดาว่าผู้ใหญ่คงหมายถึงเรียนปริญญาโท เนื่องจากตอนนี้ธนนท์เองก็กำลังศึกษาด้านบริหารธุรกิจ วันไหนไม่มีเรียนก็เข้าไปเรียนรู้งานในบริษัทของครอบครัว ซึ่งมีลุงแท้ๆ เป็นคนกุมบังเหียน
ลุง...ที่เคยมีค่ำคืนอันหรรษากับหล่อนและทำให้อดชำเลืองมองไม่ได้ ก่อนจะพบว่าชายหนุ่มยังเอาแต่มองหน้าหล่อนเหมือนเดิม ชนิดที่หากเป็นปลากัดก็คงจะท้องไปแล้ว
บ้าจริง! มองอะไรนักหนานะ
“ก้อยไม่ได้ต่อโทค่ะ อยากลองทำงานหาประสบการณ์ก่อนมากกว่า” หญิงสาวพยายามวางตัวเป็นปกติ เพราะไม่อยากให้มนุษย์ลุงขี้เก๊กระแคะระคายอะไรทั้งสิ้น
“แล้วตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ล่ะ”
“ตอนนี้เป็นฟรีแลนซ์ค่ะคุณย่า”
“ฟรีแลนซ์?” หญิงสูงวัยเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงงานประเภทใด
“เกี่ยวก้อยเป็นนักเขียนนวนิยายน่ะครับ” ธนนท์มิวายช่วยแนะนำเพราะรู้ว่าย่าของตนชอบอ่านหนังสือแทบทุกประเภท การบอกว่าคนรักของเขาเป็นนักเขียนอาจทำให้ผู้เป็นย่าเอ็นดูขึ้นมาบ้าง ผิดกับณจันทร์ที่ไม่ค่อยอยากลงรายละเอียดอาชีพในเชิงลึกเท่าไร เพราะบอกว่าเป็นนักเขียนทีไร งานเข้าทุกที
“งั้นหรือ นามปากกาอะไรล่ะ เผื่อว่าฉันจะเคยอ่าน”
นั่นปะไรล่ะ! ทายหวยทำไมไม่แม่นอย่างนี้
เอาเข้าจริงหล่อนก็ไม่ได้ติดขัดอะไรที่จะแนะนำนามปากกาตัวเอง แต่นวนิยายเรต 25+ ของจันทร์ฝันหวานคงไม่เหมาะที่จะให้ผู้สูงวัยอ่านเท่าไร ยิ่งธนนท์เคยเปรยๆ ว่าย่าเป็นคนหัวโบราณ ขืนท่านรู้เข้าจริงๆ ละก็มีหวังโดนใบแดงไล่ออกจากการเป็นแฟนทายาทตระกูลรติรักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย
“ก้อยเป็นนักเขียนมือสมัครเล่น ไม่ได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ไหนหรอกค่ะ ลงขายเป็นตอนๆ ในเว็บไซต์ แล้วก็ขายอีบุ๊กค่ะ”
“น่าเสียดาย...” คุณนายรัดเกล้าถอนหายใจเบาๆ ตามที่หญิงสาวคาดคะเนเอาไว้ “ฉันแก่แล้ว อ่านอีบุ๊กไม่ค่อยจะไหว ไม่อย่างนั้นคงได้อุดหนุนเธอ”
ณจันทร์เบาใจ เพราะถ้าเมื่อครู่คาดการณ์พลาดขึ้นมา คุณย่าคงตกใจกับฉากเลิฟซีนแบบอันลิมิเต็ดของจันทร์ฝันหวานเป็นแน่
“แล้วเขียนนิยายมานานหรือยัง”
ท่าทีสนอกสนใจของผู้ใหญ่พอจะบอกให้รู้เลาๆ ว่างานเขียนมันค่อนข้างขัดกับเรื่องที่หล่อนเพิ่งเล่าให้ฟังหยกๆ ว่าอยากทำงานหาประสบการณ์ชีวิต
“ปีกว่าๆ ค่ะ ตอนแรกเขียนควบไปกับงานประจำ แต่เผอิญว่าบริษัทที่ก้อยเคยทำงานปิดตัวไป ตอนนี้ก็เลยเขียนนิยายอย่างเดียว...” หญิงสาวเล่าให้ฟังตามตรง สีหน้าติดจะเซ็งๆ อยู่นิดหนึ่ง “ส่วนที่ยื่นสมัครงานไปก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกสัมภาษณ์เลยค่ะ”
“จบภาษามาก็ไม่น่าจะหางานยากหรอกนะ” รัดเกล้าเดาเอาจากที่หลานชายแนะนำว่าณจันทร์เป็นเพื่อนสนิทในคณะที่ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นคนรัก “แต่ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี บริษัทส่วนใหญ่อาจจะมีข้อจำกัดเรื่องการรับพนักงานมากขึ้น สมัครตำแหน่งอะไรไปล่ะ”
“เลขาฯ ค่ะ”
“ถ้าคุณเกี่ยวก้อยไม่รังเกียจ มาทำงานกับผมก็ได้นะครับ” เสียงของชายหนุ่มที่นั่งรับฟังเงียบๆ มานานทำเอาณจันทร์ถึงกับเบิกตากว้าง หันขวับไปมองรามิลอย่างไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะเสนอตัวช่วยหางานประจำให้ “กำลังอยากได้ผู้ช่วยงานเลขาฯ พอดี”
ให้ตาย! แค่เจอกันประเดี๋ยวประด๋าวแบบนี้ยังเกร็งเบอร์สุด เพราะต่อให้เขาจะไม่ทัก ไม่มีสัญญาณบอกกล่าวใดๆ ว่าจำหล่อนได้ แต่ก็ไม่แน่ว่ามองหน้าหล่อนนานเข้าอาจนึกได้ขึ้นมา หากต้องไปทำงานกับเขาจริงๆ คงเหมือนเสือติดจั่นแน่
แล้วไหนจะเรื่องสถานะแฟนกำมะลอของธนนท์อีก...
การที่หล่อนยอมตกลงช่วยเพื่อนด้วยการมาเล่นละครตบตาคนในครอบครัวรติรักษ์ ไม่ได้หมายความว่าหล่อนเต็มใจเล่นละครต่อหน้าพนักงานในบริษัทของเขาด้วยเสียหน่อย
“ผู้ช่วยเลขาฯ หรือ” คุณนายรัดเกล้าเลิกคิ้วน้อยๆ ยามหันไปมองทางฝั่งลูกชาย ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินรามิลเปรยเรื่องนี้มาก่อน เช่นเดียวกับที่ธนนท์เองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
“ลุงมิล...หมายความว่าไงเหรอครับ”
“ก็อย่างที่นนท์กับคุณแม่รู้แหละครับ ช่วงนี้บริษัทของเรากำลังเติบโต ลำพังคุณวีคนเดียวอาจจะช่วยผมจัดการทุกอย่างได้ดี แต่เขาก็แทบไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว ผมก็เลยอยากได้ผู้ช่วยอีกสักคนมาคอยประสานงานเรื่องต่างๆ นี่ก็ตั้งใจว่าถ้าคุณวีกลับจากเขาใหญ่จะให้ลงประกาศรับสมัครผู้ช่วยอยู่” รามิลอธิบายตรงๆ พลางหันไปหาหญิงสาวที่หลานชายพามาแนะนำว่าเป็นคนรัก “คุณเกี่ยวก้อยเคยมีประสบการณ์ทำงานมาบ้างก็น่าจะเรียนรู้ได้ไม่ยาก หรือคิดว่ายังไงครับ”
“เอ่อ...” คนมีชนักติดหลังได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปหาธนนท์เพื่อขอความช่วยเหลือทางสายตา
“ผมว่าอย่าเลยดีกว่านะครับ” ธนนท์เป็นฝ่ายออกปากปฏิเสธแทน เพราะถ้าณจันทร์ต้องไปทำงานกับลุงของเขาจริงๆ มีหวังยุ่งแน่
“ทำไมล่ะ”
ละครฉากเล็กๆ อาจต้องกลายเป็นละครบรอดเวย์ไงล่ะ...
“คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเด็กเส้นน่ะครับ” เกย์หนุ่มหยิบเอาคำพูดในวันวานของเพื่อนสาวคนสนิทมาเป็นข้ออ้าง เพราะถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายถึงขั้นต้องเล่นละครตบตาคนทั้งบริษัท “ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยชวน เพราะคิดว่าลุงมิลน่าจะช่วยหาตำแหน่งดีๆ ให้เกี่ยวก้อยได้ แต่เกี่ยวก้อยไม่เอาเลยครับ...บอกว่าอยากได้งานด้วยความสามารถตัวเองมากกว่า”
ณจันทร์พยักหน้าหงึกๆ พร้อมยิ้มระรื่นไม่ทันไร รามิลก็ทำให้ความสดใสบนใบหน้าหล่อนจางลงในพริบตา!
“ถ้ามีความสามารถจริงๆ ลุงว่าไม่เห็นต้องกังวลเลยนะ” เขาละสายตาจากหลานชายตัวเองไปทางหญิงสาวที่นั่งบนเก้าอี้ข้างกัน “ลองดูก็ไม่เสียหายนี่ครับ เรื่องเงินเดือนไม่ใช่ปัญหา ทางบริษัทยินดีรับฟังความต้องการของผู้ร่วมงานอยู่แล้ว หรือว่า...ธุรกิจของเราไม่น่าสนใจพอ”
ซวย! เป็นคำแรกและคำเดียวที่ลอยเข้ามาในหัวหล่อน
ใครๆ ก็รู้ว่า รมย์ เรียลเอสเตตเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย และติดหนึ่งในห้าบริษัทที่เติบโตสูงสุดตลอดสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะโครงการลักซูรีคอนโดบนที่ดินทำเลทอง โครงการบ้านเดี่ยวและบ้านตากอากาศระดับไฮเอนด์ ล้วนแต่ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าผู้มีอันจะกินทั้งหลายจนปิดการขายได้อย่างรวดเร็วแทบทุกโครงการ
ดังนั้น การได้ร่วมงานกับบริษัทแถวหน้าของประเทศแบบนี้ย่อมเป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งตำแหน่งผู้ช่วยเลขาฯ ผู้บริหารสูงสุดอย่าง รามิล รติรักษ์ นักศึกษาจบใหม่ประสบการณ์น้อยนิดอย่างหล่อนอาจหมดสิทธิ์ตั้งแต่เริ่มคิดจะยื่นใบสมัครด้วยซ้ำ
ใครจะไปคาดคิดเล่าว่าโอกาสดีๆ แบบนี้จะหล่นตุ้บลงมาบนหน้าตัก...ตอนจังหวะนรก!
“โอ๊ย!” ณจันทร์คิดหาคำปฏิเสธดีๆ ไม่ออกก็แสร้งทำหน้าตาตื่น ก่อนจะเอามือกุมท้องด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนคนลำไส้แปรปรวนกะทันหัน เล่นเอาคนทั้งห้องตกอกตกใจไปตามๆ กัน
“เกี่ยวก้อย! เป็นอะไร” เกย์หนุ่มลุกพรวดมานั่งลงตรงหน้าเก้าอี้ของหล่อนอย่างร้อนรน
“ปะ...ปวดท้อง...” หญิงสาวมองสีหน้าห่วงใยของเพื่อนพลางแอบขยิบตาส่งสัญญาณลับ แน่นอนว่าคนที่สนิทกันมานานเกือบหกปีเต็มๆ แปลเจตนานั้นได้ไม่ยาก “พาก้อยไปห้องน้ำหน่อยได้ไหม”
“ได้ๆ” เกย์หนุ่มรีบรับมุก ก่อนจะเข้าประคองคนแกล้งปวดท้องให้ลุกขึ้นยืน “ขอตัวสักครู่นะครับคุณย่า”
“รีบไปเถอะจ้ะ” คุณนายรัดเกล้ามองตามหลังหลานชายที่กำลังประคองคนรักออกไปจากห้องนั่งเล่น คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เพราะไม่แน่ใจว่าณจันทร์มีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า คำพูดคำจาเหมือนแค่อยากเข้าห้องน้ำ แต่กิริยากลับหนักหนากว่าคนท้องเสียทั่วไป “เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ เมื่อครู่ก็ยังนั่งคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ”
ขณะที่ประมุขของบ้านถอนหายใจเบาๆ รามิลกลับมองตามหลังสาวคนรักของหลานชายด้วยแววตาเร้นลับยากจะคาดเดาอารมณ์ ก่อนจะยิ้มมุมปาก
พ้นจากรัศมีสายตาคนในห้องนั่งเล่นมาสักระยะ หญิงสาวที่เดินตัวงออยู่ในอ้อมแขนของธนนท์ก็หันกลับไปมองทางด้านหลังอีกครั้ง หล่อนสอดส่ายสายตาดูลาดเลาอย่างระมัดระวัง กระทั่งเห็นว่าทางสะดวกจึงไม่รอช้าที่จะคว้าแขนเกย์หนุ่มให้ก้าวเร็วๆ ไปตามทางเดินในบ้าน
“แกๆๆ หยุดก่อน”
ณจันทร์ชะงัก หันขวับไปหาเพื่อนซี้ที่จู่ๆ ก็ยื้อมือหล่อนไม่ยอมให้เดินต่อ ทั้งยังใช้เสียงเบาราวกับกระซิบ
“เดินให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม ถ้าเกิดมีใครบังเอิญเห็นเข้าจะทำยังไง” ธนนท์พยักพเยิดไปยังหน้าต่างแบบเปิดโล่งมากมายตลอดริมทางเดิน ซึ่งมองเห็นทัศนียภาพสวนอันร่มรื่นได้ไกลสุดสายตา ฝ่ายหญิงสาวจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอาจมีบุคคลที่สามมองเข้ามาในบริเวณนี้ง่ายๆ “ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าให้สำรวม”
ณจันทร์หันกลับมาหาเพื่อนรักอีกครั้งในเชิงขออภัย ก่อนจะสอดส่ายสายตาดูบริเวณรอบๆ จนแน่ใจว่าไม่มีใครผ่านมาทางนี้ถึงค่อยหันมาระบายความอัดอั้นตันใจใส่เพื่อน
“แก...” หล่อนนึกอยากกรีดร้องให้ดังๆ แต่กลับทำได้เพียงกรี๊ดในลำคอเท่านั้น “ฉันจะไม่ทน!”
ธนนท์ขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เพื่อนสาวสุดมั่นถึงออกอาการเหมือนผีสาวโดนพระอาจารย์ปาข้าวสารเสกใส่หน้าได้ถึงเพียงนี้
“อะไรของแก”
“ลุงแกอะ”
“ลุงฉัน?” ธนนท์มีสีหน้าไม่เข้าใจ เพราะต่อให้รามิลจะชวนไปช่วยงานเลขาฯ จนอาจต้องพลอยโกหกคนในบริษัทเรื่องความสัมพันธ์ แต่ท่าทางเดือดร้อนของณจันทร์ก็ออกจะ ‘เกินเบอร์’ ไปมาก “ลุงฉันทำไม”
คนเดือดร้อนเม้มปากน้อยๆ ยังค่อนข้างเหลือเชื่อกับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นจนเรียบเรียงคำอธิบายไม่ถูก
“อย่าบอกนะว่า...” ธนนท์อ้าปากค้าง ท่าทางตื่นตะลึงคล้ายเป็นพหูสูตรจนหยั่งรู้ได้เอง หญิงสาวจึงรีบพยักหน้าหงึกๆ เพื่อยืนยันล่วงหน้า “แกปิ๊งลุงฉัน!”
ราวกับมีไม้หน้าสามฟาดลงตรงกลางศีรษะ! ณจันทร์แทบยกมือขึ้นกุมขมับเพราะไม่เข้าใจว่าเพื่อนคิดไปถึงเรื่องนั้นได้อย่างไรกัน
“เพื่อนก้อยคะ! เก็บนอ...พลีสสส” ธนนท์ไหว้ ดวงตาคมมีประกายวิงวอนยามจ้องมองหล่อน “ตอนนี้แกเล่นละครเป็นแฟนฉันอยู่ แกจะเอานอมาทิ่มใส่ลุงฉันไม่ได้”
“ไปกันใหญ่แล้วนนท์นี่” ณจันทร์ตีมือเข้าให้ โทษฐานมโนออกทะเลไปไกลเกินเหตุ “แกเห็นเพื่อนเป็นคนบ้าผู้ชายขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ใช่”
ณจันทร์ถึงกับอ้าปากค้าง อยากงับสมองชั่วๆ ของเพื่อนให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าอีกฝ่ายกลับหัวเราะชอบใจ
“อะๆ ไม่แกล้งแล้ว” ธนนท์ดึงแก้มเพื่อนเบาๆ ในเชิงประจบ “ตกลงว่าลุงฉันทำไม แค่ชวนไปช่วยงานเลขาฯ ทำหน้าอย่างกับโดนข้าวสารเสกไล่ไปผุดไปเกิด”
“ถ้าได้ไปผุดไปเกิดจริงๆ ก็ดีสิแก กลัวจะโดนจับลงหม้อถ่วงน้ำมากกว่า” ณจันทร์มิวายรับมุก ท่าทางคับอกคับใจเสียจนธนนท์เริ่มสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมา “แกจำลุงหล่อๆ ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่าเจอในผับคราวก่อนได้ไหม”
เกย์หนุ่มพยักหน้าหงึกๆ เพราะมีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ณจันทร์สติพังถึงขั้นประกาศตัวว่าจะงดดื่มเหล้าเข้าผับหนึ่งปีได้
“ลุงที่แกไปตู่ว่าเขาเป็นผัว...จนเขาเกือบจะอุทิศตัวเป็นผัวแกจริงๆ อะนะ”
“อื้อ”
สีหน้ายุ่งๆ ของเพื่อนสาวทำเอาธนนท์ถึงกับอ้าปากค้าง ไม่อยากคิดไปในทางร้ายๆ ว่าลุงหล่อที่เพื่อนไปแอ๊วคืนนั้นจะเป็นลุงแท้ๆ ของเขาเอง แต่เมื่อณจันทร์พยักหน้ายืนยันราวกับมานั่งอยู่ในใจ คนวางแผนมาเสียดิบดีก็ถึงกับเสียจริต
“อ๊าย...ทำไมโลกมันกลมแบบนี้”
“ไม่ได้กลมแบบธรรมดาด้วยนะแก กลมดิ๊ก! กลมเหมือนพระเจ้าลงโทษ...” ณจันทร์กลอกตามองเพดานพลางถอนหายใจเฮือก เพิ่งเข้าใจคำกล่าวที่ว่า ‘เวรกรรมสมัยนี้เร็วยิ่งกว่าติดจรวด’ ก็ตอนนี้เอง “เขาต้องจำฉันได้แน่ๆ เขาถึงชวนฉันไปช่วยงานที่บริษัท เขาคงคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงร่านรัก เดือนก่อนยังแอ๊วเขาอยู่หยกๆ ตอนนี้กลับมาเปิดตัวเป็นแฟนหลานชายเขาที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน เขาคงกำลังวางแผนแก้เผ็ดฉัน เอาฉันไปลงทัณฑ์บัญชา...”
“เดี๋ยวๆ เพื่อนก้อยใจเย็น...สติค่ะ สติ!” ธนนท์จับไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนเมื่อรู้สึกว่าชักจะฟุ้งซ่านเกินเบอร์ “รู้ว่าเพิ่งดูจำเลยรักย้อนหลังจบ แต่นี่ไม่ใช่จำเลยรักโอเคปะ? แล้วฉันก็ยังไม่ได้ยิงตัวตายเพราะอกหักจากแก ลุงมิลจะมาเอาตัวแกไปแก้แค้นเพื่อ?”
ณจันทร์ถอนหายใจนิดๆ ไม่ได้หมายถึงแก้แค้นแบบในละคร แต่หล่อนก็แค่รู้สึกว่าเขาต้องมีแผนร้ายบางอย่างอยู่ในใจแน่ๆ
“ถ้าไม่ได้คิดร้าย อีตาลุง...เอ้ย!” หญิงสาวยั้งปากตัวเองได้ทัน เมื่อตอนนี้เขากลายมาเป็นลุงแท้ๆ ของเพื่อน การเรียกเขาว่า ‘ลุงขี้เก๊ก’ แบบเมื่อก่อนคงไม่ค่อยเหมาะสม “ลุงมิลของแกจะมาชวนฉันไปทำงานเพื่อ?”
“ปกติลุงมิลเป็นคนใจดีจะตาย นี่คงเห็นว่าแกกำลังตกงาน...ก็เลยอยากช่วยแกให้ได้งานไวๆ แค่นั้นแหละ” ธนนท์ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำใดๆ ซ่อนอยู่
“ตำแหน่งผู้ช่วยเลขาฯ ผู้บริหารเนี่ยนะ?”
“แปลกตรงไหน” ธนนท์ย้อนถามหน้าซื่อตาใส เล่นเอาณจันทร์ถึงกับถอนหายใจเฮือก เพราะเข้าใจมาตลอดว่าทุ่งลาเวนเดอร์มีแต่ม้ายูนิคอร์นวิ่งเล่น ที่ไหนได้...มีเก้งวิ่งอยู่อีกหนึ่งตัว!
“ก็ธุรกิจลุงแกออกจะใหญ่โตขนาดนั้น แกว่ามันไม่แปลกจริงๆ เหรอที่เขามาดึงฉันไปช่วยงาน ถึงฉันจะเคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน แต่มันก็แค่ปีกว่าๆ แล้วฉันก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาฯ เลยนะแก กว่าฉันจะได้ช่วยงานจริงๆ ก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้อีก” หญิงสาวมองว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่มีตัวเลือกมากมายอย่างรมย์น่าจะหาคนที่มีความพร้อมในการทำงานได้มากกว่าหล่อน เพราะการต้องสอนงานเด็กใหม่นั้นถือเป็นเรื่องเสียเวลา
“ไอ้ที่แกพูดมาน่ะมันก็ใช่ แต่แกอย่าลืมสิว่าสถานะของแกตอนนี้คือแฟนฉัน” ธนนท์มองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคนรักของทายาทเจ้าของธุรกิจจะได้รับโอกาสมากกว่าคนทั่วไป “อีกอย่าง...ฉันลองคิดดูดีๆ แล้วลุงมิลไม่น่าจะจำแกได้หรอก เกี่ยวก้อย”
ณจันทร์ขมวดคิ้ว มองหน้าเพื่อนที่ดูเหมือนจะมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
“ทำไมแกคิดงั้น”
“ก็เวลาเราเที่ยวด้วยกัน แกโบกหน้าแน่นยิ่งกว่าฉาบปูน แล้วดูตอนนี้สิ...” ธนนท์เชยคางเพื่อนสาวคนสนิทขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะมองสำรวจอย่างพิจารณา “อีกนิดเดียวก็เป็นศพได้”
“ไหนเมื่อกี้ยังบอกว่าหน้าสดสะกดใจ”
ใบหน้างอๆ ของณจันทร์ทำเอาคนพลิกลิ้นเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้
“ก็แค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพเฉยๆ อะแก...” ธนนท์หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะรีบแก้ความขุ่นข้องหมองใจ “คือแกก็ไม่ได้ผีขนาดนั้นไง ออกจะออร่าผ่องใสเหมือนพระจันทร์ฉายแสง แต่ลุงมิลเจอแกแค่คืนเดียว แถมยังนานเกือบเดือนมาแล้ว ฉันว่าถ้าเขาจำแกได้จริงๆ ก็ออกจะช่างสังเกตไปหน่อย อย่างมากก็คงแค่คุ้นๆ บ้างเท่านั้นแหละ”
“แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไง เมื่อกี้เขาจ้องหน้าฉันนานมาก ใครจะไปรู้ว่าเขาคิด...” หญิงสาวชะงัก เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็สะกิดแขนเบาๆ พลางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้มองด้านหลัง
ครั้นเหลือบไปเห็นคนในหัวข้อสนทนากำลังตรงมาตามทาง ดวงตากลมโตก็พลันเบิกกว้าง รีบหันกลับมาหาธนนท์เพื่อตั้งสติปรับสีหน้าทันที
รามิลหรือราหูกันแน่เนี่ย!
ท่าทางลุกลี้ลุกลนนิดๆ ของหญิงสาวที่เอาแต่ยืนหันหลังอยู่นั้นทำเอาคนเพิ่งตามมาถึงหมาดๆ อดแปลกใจไม่ได้
“ลุงมิล” เกย์หนุ่มยิ้มทัก หมายจะเบี่ยงความสนใจของรามิลมาที่ตนเอง “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก็จะมาดูว่าแฟนเราเป็นอะไรมากหรือเปล่านี่ละ” เขาพยักพเยิดไปยังหญิงสาวที่ยังคงยืนหลบหน้าหลบตา แล้วพอถูกทักถึงค่อยๆ หันมามองเขาตาแป๋ว “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“เอ่อ...” หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ สมองรวนจนแทบคิดอะไรไม่ออก ทั้งยังอดระแวงไม่ได้ด้วยว่าเขาจะได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้
“คุณหน้าซีดขนาดนี้ ปวดท้องมากเหรอครับ” ว่าแล้วคนมาทีหลังก็อดไม่ได้ที่จะหันไปหาหลานชาย สังเกตว่าอีกฝ่ายไม่ได้ประคองณจันทร์เอาไว้เหมือนตอนแรกๆ ที่พากันออกมา “ไหนว่าจะพาแฟนไปห้องน้ำ แล้วทำไมยังอยู่แถวนี้”
“เอ่อ...อ๋อ!” คนมีพิรุธรีบคิดหาเหตุผลมาแก้ตัว “เกี่ยวก้อยบอกว่ารู้สึกเหมือนจะไม่ได้ปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำแล้วน่ะครับ สงสัยจะปวด...ช็อกโกแลตซีสต์”
ณจันทร์หันขวับไปหาเกย์หนุ่มอย่างเหวอๆ เพราะแทนที่จะรีบขอตัวพาหล่อนไปห้องน้ำ กลับหางานมาให้หล่อนเสียได้
“ช็อกโกแลตซีสต์?”
เสียงของรามิลทำเอาคนแกล้งปวดท้องถึงกับหลับตาปี๋ ก่อนจะพยายามตั้งสติเพื่อหันไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง ไม่แปลกใจเลยที่เขามีสีหน้าเหลือเชื่อ เพราะหล่อนเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน
เป็นเมนส์ เป็นโรคกระเพาะง่ายๆ ไม่ได้หรือไง อยู่ดีไม่ว่าดีดันจะให้หล่อนเป็นช็อกโกแลตซีสต์!
“ค่ะ” หล่อนจำต้องรับมุกเพื่อนด้วยการยิ้มแหยๆ พลางขยับมือมากุมท้องน้อยด้วยสีหน้าเหยเก “มันปวดจี๊ดๆ ท้องบิดเกร็งไปหมดเลย”
ณจันทร์บอกอาการไปมั่วๆ เพราะไม่เคยปวดท้องจากช็อกโกแลตซีสต์มาก่อน ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเขียนนิยายให้ตัวละครเป็นช็อกโกแลตซีสต์ด้วย ไม่เคยหาข้อมูล
“แล้วได้ไปหาหมอบ้างหรือยังครับ”
“หาแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบไปส่งๆ พอมีความรู้บ้างนิดๆ ว่าช็อกโกแลตซีตส์คือถุงน้ำในรังไข่ประเภทหนึ่ง ซึ่งถือเป็นความผิดปกติภายในมดลูก ถ้ายังไม่เคยไปหาหมอก็คงไม่อาจวินิจฉัยว่าตัวเองเป็นโรคนี้ได้แน่ “หมอให้ยามากินค่ะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมไม่หายเสียที”
“นนท์ว่าเราไปให้หมอตรวจดูอีกทีดีไหมครับ”
“ก็ดีเหมือนกันนะ” ณจันทร์รีบพยักหน้าหงึกๆ หมายจะได้ปลีกตัวไปให้พ้นจากสถานการณ์เสี่ยงโป๊ะแตกนี้ “เกิดมันลุกลามหนักถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้งคงแย่แน่ๆ เลย นนท์...ก้อยยังอยากมีลูก”
“จ้ะๆ ที่รัก ไม่ต้องกลัวนะ” เกย์หนุ่มลูบศีรษะคนรักกำมะลอคล้ายปลอบประโลม ก่อนจะหันไปขอปลีกตัวจากลุงแท้ๆ ที่ยังหล่อแซ่บกระแทกใจเพื่อนชะนีจนเกือบจะรวมร่างกันในคืนหรรษา “ลุงมิลครับ ผมรีบพาเกี่ยวก้อยไปโรงพยาบาลก่อนนะครับ ฝากขอโทษคุณย่าด้วยที่ไม่ได้ลา”
ณจันทร์ไม่รอช้าที่จะไหว้ลาเขา แต่แล้วก็ต้องชะงักทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เอ่ยคำลา
“เดี๋ยวลุงขับรถให้ดีกว่า”
คู่รักกำมะลอต่างอ้าปากค้าง หันมองหน้ากันและกันอย่างเหนือความคาดหมาย
“เผื่อคุณเกี่ยวก้อยปวดมากจนทนไม่ไหว นนท์จะได้ไม่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง” เสียงของรามิลราบเรียบเช่นเดียวกับสีหน้า
ร่างสูงก้าวตรงไปยังหน้าบ้านเพื่อเตรียมรถ ทิ้งให้คนปั้นน้ำเป็นตัวได้แต่พากันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะขืนไปตรวจที่โรงพยาบาลจริงๆ มีหวังโป๊ะแตกสถานเดียว!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น