5

ลูกสาวคนโต


5

ลูกสาวคนโต

 

“อะไรกันยะ! ใครตายอีกล่ะ” เสียงโวยวายนั้นจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากพิศา เพื่อนสนิทของแหวนประดับที่ต่อสายตรงเพื่อมาตะคอก ราวกับจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของแก้วหูแหวนประดับ “ทำไมญาติแกถึงได้โผล่มาเรื่อยๆ ฮะยายแหวน น่ารำคาญจริง”

“ไม่รู้เหมือนกัน เพิ่งมีคนมาบอกเมื่อวันก่อนนี้เอง” แหวนประดับเอ่ยตอบ ไม่นึกเคืองคำพูดร้ายกาจของเพื่อนสนิท เพราะเธอไม่เคยนับคนพวกนี้เป็นญาติอยู่แล้ว มือก็พยายามสวมต่างหูมุกไปพร้อมกัน “ฉันจะกลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้ บอกพี่เกดแล้ว”

“แล้วยังไง...บอกพี่เกดแล้วยังไง” พิศาย้อนถาม “ฉันเพิ่งรู้นี่นา ไม่นับย่ะ”

“เอาน่า กล้วยฝากหมอนทองไปให้แกด้วยนะ” แหวนประดับรีบบอก รู้ว่าอะไรที่จะทำให้พิศาอารมณ์ดีขึ้น ซึ่งเธอก็คิดถูก

“กี่ลูก...ถ้าน้อยกว่าห้าลูกไม่คุ้มค่ารอนะ” คุณหนูหมื่นล้านเอ่ยถาม เสียงโวยวายก่อนหน้านั้นอ่อนลงมากแล้ว แต่ก็ยังวางท่าอยู่ในที “แกรู้ใช่ไหมว่าฉันน่ะ...”

“เอาไปให้สิบลูก”

“โอเค แบบนั้นก็ไม่มีปัญหา” คราวนี้พิศาหยุดโวยวายได้ชะงัด เธอเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาในบ้านพลางฮัมเพลงเบาๆ ในคอ “รีบๆ กลับมานะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปเอาทุเรียนที่บ้านแก”

“อื้อ...” แหวนประดับรับคำ แม้ว่าคนปลายสายจะไม่รอฟังแล้วชิงตัดสายไปก่อนก็ตาม มุมปากงามนั้นขยับยกเป็นรอยยิ้มขำเพื่อนสนิท สั่นศีรษะเบาๆ อย่างอ่อนใจเมื่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สำรวจความเรียบร้อยของตนแล้วจึงเอื้อมมือไปแตะสร้อยมุกบนคอ ลังเลเล็กน้อยว่าเธอนั้นสวมเครื่องประดับมากเกินไปหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาหญิงสาวก็เพียงไหวไหล่ แค่ชุดมุกชุดเล็กๆ เท่านี้ ใครจะว่าก็ให้เขาว่าเถอะ

แล้วแหวนประดับก็หมุนตัวไปหยิบกระเป๋าถือสีดำเข้าชุด ตรวจดูของจำเป็นข้างในแล้วจึงเดินเลยไปหยิบกระเป๋าเป้ที่เธอเอาติดตัวมาจากกรุงเทพฯ ติดมือมาด้วยอีกอย่าง กะว่าจะไปงานศพแล้วกลับกรุงเทพฯ เลย ไม่กลับเข้ามาที่ไร่อีก ตัดสินใจดังนั้นแล้วหญิงสาวก็เดินไปตรวจเช็กตู้เซฟในห้องทำงานเพื่อความแน่ใจ

ถึงรู้ว่ากสิมาและชิดไว้ใจได้ แต่เธอก็ไม่ควรประมาท ปิดล็อกห้องทำงานอย่างแน่นหนาแล้วจึงเดินลงมาชั้นล่าง วันนี้กสิมากลับหอพักในตัวจังหวัดไปแล้ว บ้านจึงเงียบเหงา มีเพียงชิดที่รอส่งเธอเท่านั้นที่นั่งอยู่ในห้องครัว แหวนประดับหาชายสูงวัยเจอก็สั่งว่า

“แหวนล็อกห้องทำงานแล้วนะลุง เย็นๆ วันศุกร์ถึงจะกลับมา ฝากบ้านด้วยนะคะ”

“ครับคุณแหวน แล้วถ้าคุณเรวัตมา...”

“ท่านไม่มาหรอกค่ะ แหวนจะบอกท่านเองว่าไม่มีใครอยู่” แหวนประดับรู้ว่าคนในบ้านกลัวเรวัตกันหมดทุกคน ถ้าเกิดท่านมาเวลาที่เธอไม่อยู่บ้านแล้วต้องมีคนทำเรื่องให้ท่านไม่พอใจ แหวนประดับจึงตัดปัญหา หากเธอไม่มาบ้านก็ห้ามเรวัตมาที่บ้าน “ส่วนคนอื่นก็บอกเหมือนเดิมว่าแหวนไม่อยู่”

“ครับ” ชิดพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน หากเป็นหนุ่มๆ ที่หวังจะมาขายขนมจีบเจ้านายสาวแล้วละก็ เขาก็พอจะรับมือไหวอยู่ “เดินทางปลอดภัยนะครับคุณแหวน”

“ขอบคุณค่ะลุง”

แหวนประดับขับรถเก๋งคันน้อยของเธอมาที่วัดซึ่งเรวัตบอกว่าเป็นสถานที่ในการสวดอภิธรรม คนในตระกูลเรียกผู้จากไปว่าคุณย่าเล็ก เพียงมาถึงหน้าวัดแหวนประดับก็รู้ทันทีว่าคุณย่าเล็กที่ว่านี้คงจะเป็นคนใหญ่โตไม่น้อย เพราะทั้งจำนวนรถและแขกนั้นเยอะเกินจะนับ

กว่าแหวนประดับจะหาที่จอดรถได้ เรวัตก็โทร. มาหาเธอถึงสามสายแล้ว หญิงสาวถอนหายใจ ไม่รู้ว่าลูกคนอื่นๆ จะมีความรู้สึกเดียวกันกับเธอหรือเปล่าเวลาที่ต้องออกงานพร้อมกับพ่อแม่ แต่คงไม่หรอก เพราะคงไม่มีใครมาร่วมงานในฐานะลูกเมียน้อยอย่างเธอ

วันนี้ร่างสูงโปร่งของแหวนประดับนั้นอยู่ในชุดไทยจิตรลดาสีดำพอดีตัว แม้ว่าชุดนั้นจะทำให้ใครบางคนรู้สึกอึดอัด เดินเหินลำบาก แต่อุปสรรคเหล่านั้นกลับไม่เกิดขึ้นกับหญิงสาวที่ชื่อแหวนประดับผู้นี้ เธอก้าวเดินตรงไปที่ศาลาสวดศพด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่ก็ไม่ได้เชื่องช้าจนน่ารำคาญ

เพียงก้าวขึ้นไปบนศาลาแหวนประดับก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งศาลาทันที แต่หญิงสาวไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นเหล่านั้น เธอเพียงกวาดตามองหาร่างสูงของเรวัต ไม่นานเธอก็หาเขาพบ เรวัตยืนเด่นอยู่ในกลุ่มพี่น้องของเขา ซึ่งเขาเองก็เพียรมองมาที่หน้าประตูอย่างรอคอยบุตรสาวอยู่เช่นกัน เมื่อเห็นแหวนประดับ...สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นผิดหูผิดตา

“มานี่สิแหวน” เสียงร้องเรียกนั้นไม่เบาเลย ทำให้คนที่ได้ยินชื่อของแหวนประดับซึ่งก็เกือบทั้งศาลาทำตาโตและร้องฮือกันอย่างคาดไม่ถึง ก่อนเสียงซุบซิบที่ไม่เบาเท่าไหร่จะตามมา

“แหวน...เมียน้อยหรือ ยังเด็กอยู่เลยนะ”

“คนนี้หรือเมียน้อย...เด็กเชียว เห็นว่ามีลูกสาวด้วยกันนี่”

“ใช่หรือเธอ แต่ชื่อแหวนนี่นา”

“ไม่ใช่หรอก เมียน้อยไม่ใช่คนนี้หรอก”

“ฉันว่าไม่ใช่ คนอะไรจะสวยไม่สร่างขนาดนี้...ไม่หรอกน่า” เสียงกระซิบนั้นต่างวิจารณ์ว่าแหวนประดับใช่คนเดียวกับแหวน...แม่ของเธอหรือเปล่า อาการชำเลืองมองมายังทิศทางที่เธอยืนอยู่เป็นระยะนั้นทำให้แหวนประดับอมยิ้ม รู้เหตุผลเดี๋ยวนี้เองว่าการทำให้ผู้คนสงสัยและอยากได้คำตอบนั้นมันรู้สึกสะใจขนาดนี้ มิน่าล่ะ...พิศาถึงได้ทำเป็นประจำ

“แหวน...มาไหว้คุณย่าใหญ่” มือหยาบกร้านของเรวัตจับท่อนแขนของบุตรสาวคนโต ดึงแหวนประดับให้ไปนั่งลงตรงหน้าหญิงชราที่นั่งหลังงองุ้มอยู่ตรงโต๊ะประธาน

‘คุณย่าใหญ่’ คนนี้เป็นแม่ของเรวัตซึ่งทำให้ท่านเป็นย่าทางสายเลือดของแหวนประดับโดยตรง หญิงชราเพ่งมองหน้าของเธอเนิ่นนาน ก่อนนัยน์ตาฝ้าฟางของท่านจะมีแววจำได้

แหวนประดับรีบยกมือไหว้ ยิ้มอ่อนหวานให้ท่าน แม้ว่าจะไม่เคยพบกันมาก่อนก็ตาม

“สวัสดีค่ะ...หนูชื่อแหวนประดับค่ะ”

“ตายๆ หลานฉัน” มือเหี่ยวย่นที่สั่นงกๆ นั้นยื่นมาประคองใบหน้างามของหลานสาวที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน ดวงตาของหญิงชราเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาเมื่อเอ่ยว่า “โตขนาดนี้แล้วหรือแม่คุณ...”

“ปีนี้อายุยี่สิบเจ็ดแล้วค่ะ” เมื่ออีกฝ่ายแสดงออกถึงความเมตตา แหวนประดับหรือจะแง่งอนที่จะทำตัวน่ารักด้วย

“ทำไมไม่พาหลานมาหาฉันไอ้เรวัต” ‘ย่าใหญ่’ มองบุตรชายพร้อมถามเสียงเฉียบ โดยไม่รอให้ลูกชายได้มีโอกาสแก้ตัวท่านก็วกกลับมาถามไถ่หลานสาวคนใหม่ “ยี่สิบเจ็ดแล้ว...เรียนจบหรือยังลูก”

“จบนานแล้วค่ะ ตอนนี้ทำงานอยู่กรุงเทพฯ” แหวนประดับคุกเข่าตรงหน้าผู้เป็นย่า ประคองมือเหี่ยวย่นของท่านวางบนซิ่นไหมสีดำ “คุณท่าน...สบายดีนะคะ”

เพราะไม่รู้ว่าท่านอยากนับญาติกับเธอหรือเปล่า แหวนประดับจึงเรียกแทนตัวท่านด้วยคำพูดห่างเหิน แล้วก็ถูกหยิกเบาๆเหมือนมดกัดเป็นการลงโทษ

“ท่านเทิ่นอะไรเล่า...เรียกย่าใหญ่สิ”

“ค่ะ คุณย่าใหญ่” แหวนประดับพยักหน้ายอมเรียกท่านว่าย่าอย่างไม่เกี่ยงงอน แล้วจึงนึกบางอย่างขึ้นได้ “หนูเสียใจด้วยนะคะ เรื่องคุณย่าเล็ก...” “มันรีบตายก็ช่างหัวมันสิ”

แม้คำพูดนั้นจะร้ายกาจ แต่แหวนประดับก็เห็นแววความเศร้าในดวงตาท่าน เธอรีบบีบมือเหี่ยวย่นอย่างให้กำลังใจทันที

“ขนาดย่าเป็นพี่มัน ยังไม่อยากตายเลย”

“คุณย่าใหญ่ยังแข็งแรงค่ะ” แหวนประดับไม่รู้ว่าตนจะพูดอะไรที่ดีไปกว่านี้ได้ เมื่อพูดเสร็จจึงเงียบคำเสีย

“ใช่ซี่...จะรีบใจเสาะตายไปได้อย่างไร หน้าหลานยังเห็นไม่ครบเลย”

แหวนประดับคิดว่าท่านคงหมายถึงเธอนั่นแหละ ที่ผ่านมาจนป่านนี้เพิ่งมาให้เห็นหน้า

“พ่อเรามันไปไข่เอาไว้เรี่ยราด หมดเราแล้ว...ไม่รู้ว่าซุกลูกไว้ที่ไหนอีกหรือเปล่า”

“ไม่มีแล้วครับแม่” เรวัตพึมพำบอก ก่อนจะมานั่งบนเก้าอี้ข้างมารดา “มีแค่แหวนประดับคนเดียว”

“เฮอะ ให้มันจริงเถอะ” หญิงชราร้องในคอ ก่อนลูบคลำผมดำขลับของหลานคนใหม่ต่อ ถูกใจหญิงสาวตรงหน้าเกินบรรยายได้ “แหม...เรานี่มันสวยจริงๆ นะ ยิ่งมองยิ่งสวย” ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เรียนจบเมื่อไหร่ล่ะ ย่าไม่เห็นรู้ข่าว”

คำเรียกแทนตัวเองว่าย่าของหญิงชราทำให้คนทั้งงานนั้นเริ่มตาขวาง มีเพียงเรวัตเท่านั้นที่อารมณ์ดีเพราะว่าแม่เอ็นดูลูกสาวของตน

“แม่เราก็เกินไป ตัดขาดกันขนาดนี้เลย ข่าวคราวก็ไม่ส่งให้บ้านนี้รู้ ดูสิ...ฉันเกือบตายก่อนแล้วเนี่ย กว่าจะได้เจอหน้าหลานสาวคนโต”

“หนูเรียนที่กรุงเทพฯ ค่ะคุณย่าใหญ่ จบจนทำงานหลายปีแล้วค่ะ” แหวนประดับพยายามไม่เอ่ยถึงผู้เป็นแม่ เพราะรู้ว่าเท่านี้เธอคงโดนคนทั้งงานเหม็นขี้หน้าแย่แล้ว “เรียนที่มหา’ลัย...ค่ะ”

“ฮ้าย...มหา’ลัยเดียวกับปู่เราเลยนะนั่น” เพียงได้ยินชื่อสถานศึกษาที่หลานสาวคนโตจบการศึกษามา สีหน้าของหญิงชราก็เปี่ยมไปด้วยความยินดี แม้จะอยู่ในงานศพของน้องสาว “ถ้าปู่อยู่คงชื่นใจ มีหลานเก่งเหมือนตัวเอง”

หลานเก่งเหมือนปู่ได้แต่นั่งยิ้ม รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาไม่พอใจของบรรดาญาติๆ แม้ว่าเธอจะไม่เคยนับพวกเขาเป็นญาติมาก่อนก็ตามที

“แล้วนี่ยังไง แต่งงานมีลูกหรือยังเรา”

“แหวนยังไม่มีผัวครับแม่” เป็นเรวัตที่ยื่นหน้าเข้ามาบอกผู้เป็นมารดา ไม่รอให้แหวนประดับได้เอ่ยอะไร ทำให้ผู้ฟังนั้นหัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจ

“เออ! ดีจริงหลานคนนี้” ได้คำตอบสมใจ มือเหี่ยวย่นก็วกไปลูบผมดำขลับอย่างถูกใจยิ่งกว่าเดิม “อายุเท่านี้อย่าเพิ่งรีบ ค่อยๆเลือกไป...เดี๋ยวย่าจะช่วยเลือกด้วย”

ได้ยินคำนั้นแหวนประดับก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหล่นใส่หัว เข้าใจอย่างดีว่าไอ้คำพูดที่ว่า ‘ย่าจะช่วยเลือก’ นั้นหมายถึงอะไร เหงื่อบนหน้าผากงามผุดพรายเพราะความไม่สบายใจทันที เธอโผล่มาเป็นหลานได้ไม่ถึงชั่วโมงดี คุณย่าใหญ่ของเธอก็เตรียมหาสามีให้เสียแล้ว

“แหวนยังเด็กครับแม่ ไม่ต้องรีบหาสามีให้หลานหรอก”

“เด็กอะไรล่ะ ลูกคนอื่นๆ ของแกมีลูกมีผัวกันไปจวนจะหมดแล้ว” คุณย่าใหญ่หันมาทำตาขวางใส่บุตรชาย “ผู้ใหญ่ไม่ทันได้เห็นตัว...ก็ท้องโย้กันเสียแล้ว”

“คุณแม่...”

“ไม่รู้ละ ยังไงหลานเขยคนนี้ย่าก็ต้องขอดูก่อนนะแหวนลูก...” หญิงชราตีขลุมเข้าข้างตัว โดยไม่สนใจว่าบุตรชายจะพูดอย่างไร “ให้ผู้ใหญ่ช่วยดู อย่างไรก็ดีกว่าเลือกเอาเองอยู่แล้ว เชื่อย่านะลูกนะ”

“อะไรกันคะคุณ พาลูกเมียน้อยมาหยามกันถึงงานศพคุณย่าเลยงั้นหรือ” เสียงโวยวายเบื้องหลังนั้นทำให้บรรยากาศอบอุ่นระหว่างการพบกันครั้งแรกของย่าหลานระอุขึ้นมาทันตา

แหวนประดับเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้น หญิงสาวจึงไม่ตกใจ เพียงแค่เบือนหน้าไปมองเจ้าของเสียงแหลมๆ เบื้องหลังด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่บอกอารมณ์

“สวัสดีค่ะ” แหวนประดับยกมือไหว้สตรีผู้นั้น แต่อีกฝ่ายกลับตวาดน้ำเสียงเกรี้ยวกราดกลับมาแทนการรับไหว้

“ไม่ต้องมาไหว้ฉัน นังลูกเมียน้อย”

ทยิดา...ภรรยาของเรวัตเป็นผู้หญิงปากร้าย เรื่องนี้แหวนประดับรู้ดีอยู่แล้ว แต่ภาพกระทืบเท้าปึงปังของสตรีที่แก่พอจะเป็นแม่ของเธอนั้นก็ทำให้แหวนประดับอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ดูเอาเถอะ...แม่เลี้ยงทยิดามีกิริยาอย่างนี้ได้อย่างไรกัน “มานี่หวังจะได้สมบัติละสิ...ฝันไปเถอะ!”

แหวนประดับไม่ตอบโต้ภรรยาของเรวัต แม้ในใจจะคิดว่าเธอจะได้สมบัติได้อย่างไร ญาติก็ไม่ใช่ กระนั้นหญิงสาวก็เพียงเงยหน้าบอกผู้ใหญ่ที่เธอเคารพด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วตั้งท่าจะผละไป “หนูขอตัวไปไหว้ศพก่อนนะคะคุณย่าใหญ่ ตั้งแต่มายังไม่ได้ไหว้ศพเลย”

“ได้สิลูก มา...ย่าจะพาไป”

คำตอบของหญิงชรานั้นทำให้แหวนประดับเสียกิริยา เผลอตัวเบิกตาอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะละล่ำละลักว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปเองดีกว่าค่ะ...ต้องช่วยศพด้วย” แหวนประดับหาข้ออ้าง ไม่อยากโดนเขม่นไปมากกว่านี้

“ไปเองได้ยังไงเล่า เรารู้จักใครหรือไง” ท่านย้อนด้วยคำพูดที่ทำให้แหวนประดับเถียงไม่ออก

หญิงสาวเหลียวมองรอบตัวก็มีแต่คนแปลกหน้า สายตาที่มองมาก็ทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

“ส่วนแกไอ้เรวัต...พาเมียแกลงศาลาไปเสีย นี่มันงานศพน้องสาวฉัน ถ้าจะมาฟื้นฝอยหาตะเข็บเรื่องเมียน้อยเมียหลวงกันที่นี่ก็ไปให้พ้นหน้า...ก่อนฉันจะโมโห”

คำสั่งของ ‘คุณย่าใหญ่’ นั้นเด็ดขาดและไม่เบาเลย ราวกับท่านเหลือทนกับเสียงโวยวายของลูกสะใภ้เต็มทีแล้ว เมื่อแหวนประดับช่วยพยุงท่านให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไม้เท้าในมือก็ชี้ไปที่หน้าของลูกสะใภ้ทันที

“ลูกเมียน้อยแล้วอย่างไร หลานฉันคนนี้ไม่เคยทำเรื่องให้ฉันขายหน้า ไม่เหมือนลูกสาวหล่อนหรอกแม่ดา!”

ทยิดาโกรธจนตัวสั่น ตอนแรกเธอเกือบจะไม่มางานนี้แล้ว เพราะรู้ตัวว่าคงไม่พ้นโดนบรรดาญาติฝั่งสามีค่อนแคะเรื่องที่ลูกสาวทั้งสองของตนตั้งท้องก่อนจะแต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่เมื่อรู้ว่าสามีนั้นจะพานังลูกเมียน้อยคนนี้มางานศพด้วย ความโกรธก็เป็นฝ่ายชนะ จนต้องรีบบึ่งรถมาที่นี่

“ไปแหวน ย่าจะพาไปไหว้ย่าเล็ก”

“ออกไปสิคุณดา ไม่ได้ยินคุณแม่พูดหรือ”

พอคุณย่าใหญ่แยกตัวไปพร้อมกับลูกสาวของเมียน้อย ทยิดาก็หันขวับกลับมาหาสามีตัวดีของเธอทันที กัดฟันจนรู้สึกปวดไปหมด แต่ก็ไม่เท่าความรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ เธอเคยเกือบแพ้คนแม่มันมาครั้งหนึ่งแล้ว พอแม่มันตาย...ลูกของมันยังโผล่มาเป็นมารหัวใจของเธออีก

“คุณหยามฉันเกินไปนะเรวัต”

“แหวนเป็นลูกสาวผม ผมว่าผมทำถูกต้องแล้วที่พาแกมาไหว้ย่า” เรวัตเอ่ยกับภรรยาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องรอขนาดนี้ก็ได้”

“แต่มันเป็นลูกเมียน้อย!”

“จะอย่างไรก็เป็นลูกสาวผม!” เสียงของเรวัตกร้าวขึ้น เขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยให้ผู้เป็นภรรยาเหมือนเคย “แล้วอย่ามาพูดคำว่าน้อยว่าหลวงที่นี่ แหวนประดับเป็นลูกสาวคนโตของผม อะไรเป็นอะไรคุณก็รู้อยู่แก่ใจ...”

“คะ...คุณเรวัต!”

“ออกไปซะคุณดา ผมไม่อยากให้คุณแม่ท่านโมโห” เรวัตตัดบท เบื่อที่จะทะเลาะกับภรรยาในเรื่องนี้เต็มกลืนแล้วเหมือนกัน “ท่านแก่แล้ว อย่าขัดใจท่าน”

ทยิดามองหน้าสามีตาเขียว หมัดเล็กของเธอกำแน่นด้วยความโกรธ แต่เพราะกลัว...กลัวว่าเธอจะเผลอทำอะไรให้แม่สามีของเธอโกรธมากกว่าเดิมจึงจำต้องถอย ไม่อย่างนั้นแล้วงานศพนี้คงต้องมีคนเจ็บตัว แต่แม่เลี้ยงทยิดาก็ไม่วายทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยความคับแค้นใจ

“ฝากไว้ก่อนแล้วกันเรวัต วันนี้เชิญคุณอวดลูกสาวสุดที่รักของคุณตามสบาย วันหนึ่ง...มันก็ต้องแผลงฤทธิ์ทำให้คุณขายหน้า เหมือนแม่ของมัน”

 

ตอนนี้เองที่แหวนประดับรู้ว่าชื่อที่ไร้ความหมายของเธอนั้นมีที่มาจากอะไร ตอนเด็กๆ ยามกลับมาจากโรงเรียน เธอเคยถามคุณแม่ของเธออยู่บ่อยๆ เรื่องความหมายของชื่อ ‘แหวนประดับ’ ที่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็แปลกประหลาดในความรู้สึก แต่เมื่อเห็นชื่อใต้รูปตั้งหน้าศพตรงหน้า หัวใจของแหวนประดับก็หวั่นไหวแปลกๆ

ใครๆ เขาก็พูดกันว่าคุณย่าเล็กสนิทสนมกับแม่แหวนมาก แต่จะมากจนเอาชื่อของท่านไปตั้งเป็นชื่อเธอเลยหรือ แหวนประดับยังไม่กล้าคิดไปไกลขนาดนั้น

คุณย่าเล็ก...ชื่อจริงคือประดับ เสียชีวิตลงด้วยวัยเจ็ดสิบปี ใบหน้าของท่านแม้จะชรามากแล้ว แต่ก็ยังเหลือเค้าความดุให้เห็น หากมองดีๆ คงจะต้องบอกว่าหน้าสวยคมและดุกว่าผู้เป็นพี่สาวมาก

“ย่าเล็กเขาตั้งชื่อให้เรานี่ แม่ได้บอกไหมลูก” คุณย่าใหญ่เอ่ยบอกราวกับท่านรู้ว่าแหวนประดับกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ “ตอนเราคลอด...ทั้งบ้านนี้ แม่แหวนเขาบอกแค่ย่าเล็กคนเดียว กว่าคนอื่นๆ จะรู้ก็...”

“คุณแม่ไม่ได้บอกค่ะ” แหวนประดับยิ้มขมขื่น รู้ดีว่าท่านกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร “หนูเคยถามหลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่ยอมบอก บอกแค่ว่าชื่อหนูเป็นชื่อมงคล...”

“คงหมายถึงคนตั้งให้เขารักเลยเป็นมงคลน่ะสิ” คุณย่าใหญ่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาเศร้าเมื่อสบกับนัยน์ตาน้องสาวในรูปถ่าย “แม่แหวนเขาก็เป็นเสียอย่างนี้ ใจแข็งเกินไปเขาก็เรียกว่าใจร้ายนะ”

“คุณแม่รักคุณย่าเล็กมากนะคะ” แหวนประดับบอกเสียงเบา แน่ใจว่าหากแม่ของเธอยังอยู่ ท่านต้องมาร่วมงานศพของคุณย่าเล็กอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็คงไม่สามารถห้ามปรามท่านได้แน่ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นแม่เลี้ยงทยิดาก็เถอะ

“ไม่รักได้อย่างไร เป็นย่า...ย่าก็รักย่าเล็กที่สุดเหมือนกัน”

แม้ท่านจะไม่พูด แต่แหวนประดับก็รู้เหตุผลดี เพราะทั้งตระกูลฝั่งพ่อของเธอนั้นมีแต่คนรังเกียจแม่เธอ จะมีก็แต่คุณย่าเล็กเท่านั้นที่เอ็นดูและคอยให้ความช่วยเหลือเธอกับแม่ยามลำบาก ที่ดินที่ได้มา...ก็คุณย่าเล็กนี่แหละที่ยืนกรานบอกเรวัตให้แบ่งที่ให้แม่ของเธอ เพราะอย่างไรก็เคยมีลูกด้วยกัน

หากไม่มีท่านสักคน...แหวนประดับแน่ใจว่าเธอคงไม่มีไร่วงศาเหมือนทุกวันนี้

“เอ่อ...เจ้าภาพใช่ไหมคะ” แหวนประดับเอ่ยถามผู้หญิงที่เป็นคนส่งธูปให้เธอ ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าน้อยๆ พลางยกมือปาดน้ำตา

“ค่ะ ดิฉันชื่อมะลิค่ะ เป็นลูกคุณแม่ประดับ”

“เสียใจด้วยนะคะ” แหวนประดับเข้าใจความรู้สึกของบุคคลที่เพิ่งสูญเสียแม่ดี เพราะเธอเองก็ยังรู้สึกเหมือนความทรมานที่ว่านั้นเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง “นี่ค่ะ พอดีแหวนไม่มีซอง...ไม่ถือใช่ไหมคะ”

“ไม่ถือหรอกค่ะ” มะลิรับซองขาวจากมือแหวนประดับมาแล้วส่ายหน้า ยกมือปาดน้ำตาป้อยๆ ไม่ขาด “ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มา ทั้งๆ ที่...”

“ไม่มาไม่ได้หรอกค่ะ คุณย่าเล็กมีพระคุณกับบ้านของแหวนมาก” แหวนประดับส่งยิ้ม เอื้อมมือไปบีบมืออีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ “ยังไงก็ต้องมาไหว้ท่านเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าทำให้คุณมะลิต้องวุ่นวาย เรื่องที่...”

“คุณแหวนไม่ผิดเสียหน่อยค่ะ” เจ้าภาพเริ่มพูดเสียงขุ่น เมื่อนึกถึงกิริยาที่ทยิดากระทำในงานศพของแม่ตน “แม่เลี้ยงเขานิสัยอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่คุณแหวนมาก็ดี...ก่อนคุณแม่เสียท่านสั่งดิฉัน...”

“มีอะไรให้แหวนช่วยหรือคะ” แหวนประดับนั่งหลังตรง มองหน้ามะลิด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย และพร้อมให้การช่วยเหลือเต็มที่ “บอกได้เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ คิดซะว่าเป็นคนกันเอง”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ” มะลิส่ายหน้า “คุณแม่ท่านสั่งให้ตามหาคุณแหวน บอกว่าถ้าจะเปิดพินัยกรรมหลังท่านตาย คุณแหวนต้องมาด้วย”

“คุณแม่เสียไปนานแล้วนะคะ” แหวนประดับเอ่ย เข้าใจว่า ‘แหวน’ ที่คุณย่าเล็กต้องการให้มาหานั้นคงเป็นแม่ของเธอ

“ทางกฎหมายทายาทก็เป็นคุณแหวนคนนี้นี่คะ” มะลิหัวเราะทั้งน้ำตา “ถ้าไม่เป็นการรบกวน...คุณแหวนจะช่วยอยู่ตอนเปิดพินัยกรรมด้วยจะได้ไหมคะ ไม่อย่างนั้นคงวุ่นวายน่าดู”

“จะดีหรือคะ แหวนเป็นคนนอก...”

“ถือว่าช่วยดิฉันเถอะค่ะ เท่านี้พี่น้องก็จะฆ่ากันตายแล้ว” มะลิครวญ “หากต้องรอนานเพราะคนในพินัยกรรมมาไม่ครบ ดิฉันคงตายตามคุณแม่ไปอีกคน”

“เย็นไหมคะ ถ้าเย็นมาก...แหวนคงอยู่ไม่ได้” แหวนประดับถามเสียงเบา หน้างามนั้นเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ “คือว่าต้องกลับไปทำงานพรุ่งนี้น่ะค่ะ ถ้าดึกแล้วจะขับรถลำบาก”

“อะไรกันลูก ไม่อยู่ถึงวันเผาหรือ” คุณย่าใหญ่ที่ฟังอยู่ห่างๆ นั้นอดที่จะเข้ามาแทรกไม่ได้เมื่อได้ยินว่าแหวนประดับจะอยู่ร่วมงานอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

“แหวนอยู่ไม่ได้จริงๆ ค่ะคุณย่าใหญ่ ยังไงคงต้องกราบคุณย่าใหญ่ส่งคุณย่าเล็กแทนแหวนด้วย”

“แหม...จริงๆ เชียว” พอโดนอ้อนด้วยคำพูดอ่อนหวาน คนที่เพิ่งได้หลานสาวคนโตกลับมาก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่วายบ่นกระปอดกระแปดไปตามเรื่อง “ทำงานอยู่ตั้งไกล ไปมาก็ลำบาก”

“แหวนชินแล้วค่ะ” แหวนประดับยิ้มแล้วหมุนตัวกลับมาหาเจ้าภาพ มองมะลิอย่างเข้าอกเข้าใจ ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัว คลานออกมาจากตรงนั้น เมื่อแขกเริ่มทยอยกันเข้ามาไหว้ศพ

“เชิญคุณแหวนนั่งนะคะ...ตรง...” “ไม่เป็นไรมะลิ ให้แม่แหวนไปนั่งกับฉัน” คุณย่าใหญ่เกาะหลานสาวคนโตหนึบ ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยให้แหวนประดับคลาดสายตาได้ ถึงกับดึงมือหลานสาวไปนั่งที่เก้าอี้ประธาน จนหญิงสาวต้องรีบออกปาก

“ไม่ดีหรอกค่ะคุณย่าใหญ่ ให้แหวนไปนั่งด้านหลังดีกว่า...เกรงใจแขกผู้ใหญ่”

“เกรงใจทำไม ไปนั่งกับย่าดีแล้ว เผื่อย่าอยากใช้” คนอยากให้หลานไปนั่งใกล้หาข้ออ้างจนได้

แหวนประดับเองก็ไม่ใช่คนที่ปฏิเสธคนเก่ง เธอจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ประธานข้างคุณย่าใหญ่ของเธอ โดยมีเรวัตนั่งประกบอีกข้าง จึงกลายเป็นว่าตอนนี้แหวนประดับโดนประกบโดยคุณย่าและพ่อของเธออย่างไม่เต็มใจ ครู่ใหญ่เรวัตจึงเป็นคนเอ่ยขึ้นโดยไม่เหลือบมามองหน้าบุตรสาว

“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยแหวน กลัวเขาไม่รู้ว่าฉันบังคับแกมางานหรือไง”

คนโดนบิดาตำหนิได้แต่นั่งนิ่ง ไม่หือไม่อือ เว้นแต่คุณย่าใหญ่ที่ขัดหูกับคำพูดของบุตรชาย จนต้องหันมาจัดการกับเขาแทนหลานสาว

“อย่ามากงมาแกกับหลานฉันนะเรวัต แกนี่เป็นพ่อยังไง เรียกขานลูกอย่างนี้ใครเขาจะอยากเคารพ”

“แต่แม่...”

“ไม่ต้องไปสนใจพ่อเรานะลูกแหวน ปากอย่างนี้ไง ผู้หญิงดีๆ ถึงได้ทิ้ง สมน้ำหน้าแล้ว”

 

ศาลาที่เป็นสถานที่สวดศพของ ‘คุณประดับ’ นั้นเงียบลงไปถนัดตา หลังจากส่งแขกที่มาร่วมฟังการสวดหมดเรียบร้อยแล้ว แต่กระนั้นจำนวนคนที่เหลืออยู่ก็ยังคงถือว่าเยอะมากในความรู้สึกของแหวนประดับ ถึงจะบอกว่าเป็นเพียงญาติสนิทเท่านั้นก็ตาม

ทยิดากลับมาอีกครั้งพร้อมกับบุตรสาวทั้งสองคนของเธอ ซึ่งแหวนประดับไม่ได้สนใจนัก ขอเพียงอีกฝ่ายไม่เข้ามาหาเรื่องเธอก็เพียงพอแล้ว การเปิดพินัยกรรมของคุณย่าเล็กที่มะลิขอร้องให้แหวนประดับอยู่ฟังด้วยเกิดขึ้นทันทีที่ชายร่างสูงซึ่งหญิงสาวเข้าใจว่าเป็นทนายของครอบครัวเดินขึ้นมาบนศาลาพร้อมกับกระเป๋าเอกสาร

เขามองหน้าแหวนประดับนานสมควร...นานพอที่จะจดจำได้ว่าเธอนั้นเป็นลูกสาวของใคร เมื่อเขาเดินตรงเข้ามาหา แหวนประดับก็ยืนนิ่งรออย่างอดทนเช่นกัน

“คุณแหวนประดับ...ลูกสาวคุณแหวนสินะครับ” ทนายคนนั้นเอ่ยทักทายพร้อมสีหน้าตื่นเต้นที่ปิดซ่อนเอาไว้ไม่มิด “ไม่เจอกันนาน...โตขึ้นขนาดนี้เชียว”

“เราเคยเจอกันหรือคะ” แหวนประดับขมวดคิ้ว จำไม่ได้ว่าเธอเคยพบชายคนนี้มาก่อน “ขอโทษด้วยค่ะ แหวนจำไม่ได้ว่าเคยพบคุณ”

“เจอกันเมื่อคุณแหวนยังเล็กๆ ครับ” เขาว่า ยังมีรอยยิ้มกว้างอยู่บนหน้า “ครั้งล่าสุดก็ตอนที่คุณแหวน...เอ่อ คุณแม่คุณแหวนน่ะครับ ย้ายไปที่กรุงเทพฯ”

คนที่เกือบมีชื่อจริงชื่อเดียวกับแม่ของตัวเองยิ้มกว้าง ไม่ถือสาเรื่องที่ทนายของบ้านคุณประดับเรียกชื่อเธออย่างกระอักกระอ่วน คนที่รู้จักแม่ของเธอก็ต่างกระอักกระอ่วนทั้งนั้นยามที่ต้องพูดถึงท่าน

“คุณแหวน...สบายดีนะครับ วันที่เรียนจบ ผมส่งดอกไม้ไป ได้รับไหมครับ”

“โห วันเรียนจบแหวนได้รับดอกไม้หลายช่อเลยค่ะ ไม่ทราบว่าส่งดอกไม้อะไรมาให้คะ” “ดอกไฮเดรนเยียครับ...” อีกฝ่ายบอกเสียงเบา คล้ายกับว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน “จำได้ไหม”

“อ้อ...จำได้สิคะ” แหวนประดับทำตาโต จำได้ทันทีเพราะวันนั้นเธอได้รับช่อไฮเดรนเยียเพียงช่อเดียวเท่านั้น “คุณแม่ชอบมากเลยค่ะ เสียบแจกันเอาไว้ตั้งหลายวัน บอกว่าหายากแล้วก็แพงมากด้วย”

“หรือครับ” ผู้เป็นทนายทำตาโตบ้าง ตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่ามีคนชอบดอกไม้ที่เขาส่งไปแสดงความยินดีกับแหวนประดับเสียด้วย เขาหรือก็นึกว่าสองแม่ลูกจะโยนของจากคนบ้านนี้ทิ้งไปหมด ไม่เก็บไว้ให้รกหูรกตาเสียอีก ดีใจจริงๆ ที่รู้ว่าพวกเธอยังอุตส่าห์เก็บดอกไม้ของเขาไว้ตั้งหลายวัน “ก็วันเรียนจบของคุณแหวนทั้งที ผมก็ต้องเลือกดอกไม้ที่ดีที่สุดอยู่แล้วครับ”

“ขอบคุณมากนะคะ เพื่อนๆ ของแหวนอิจฉากันใหญ่เชียวที่ได้ดอกไม้แพง”

“ครับผม” ทนายของคุณประดับผงกหัว รับรู้ถึงสายตาของคนอื่นที่นั่งอยู่จึงรู้ตัว รีบขยับออกห่างจากแหวนประดับ เพราะไม่อยากโดนคนในตระกูลเรวัตเล่นงานเอา ทว่าคงช้าไปเสียแล้ว...

“ออดอ้อนเอาอะไรจากพี่ณัฐอีกล่ะคะ นังคนนี้...” เสียงนั้นเป็นของทยิดาอย่างไม่ต้องสงสัย

แหวนประดับไม่สนใจหล่อนเหมือนเคย เธอทำเพียงปรายตามองแล้วเดินออกห่างจากภรรยาของเรวัตเสีย เพราะไม่อยากจะมีเรื่องมีราวกัน

“ทำเป็นหยิ่ง...ที่แท้ก็ระริกระรี้ อยากเสนอหน้ามาที่นี่จนตัวสั่นใช่ไหมล่ะแก”

“ดิฉันว่าถ้าคุณดาจะมาจับผิดคนอื่นอย่างนี้ น่าจะเอาเวลาไปดูแลลูกสาวนะคะ” แหวนประดับหันกลับมาเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยงของตนเต็มตัว สีหน้าของเธอเรียบสนิทผิดกับอีกฝ่าย

“ลูกเมียน้อยอย่างแกไม่ต้องสาระแนมาสั่งสอนฉัน!” ทยิดาบริภาษแหวนประดับออกไปเพราะความโกรธ “ลูกสาวฉันฉันสั่งสอนเองได้” แหวนประดับยิ้มมุมปาก มองเลยไปยังบุตรสาวทั้งสองของทยิดาด้วยสายตาขบขัน กวาดตามองเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าเธอทั้งสองคนตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างประเมินแล้วว่า “สอนมาดีจริงๆ ค่ะ ดิฉันเห็นแล้ว”

“นะ...นังแหวน!”

“แล้วกรุณาอย่ามาพูดคำหยาบกับดิฉันนะคะ เพราะดิฉันไม่ใช่ลูกสาวคุณ ไม่ชินกับการสั่งสอนแบบนี้...มันไม่ใช่ผู้ดี”

“พอได้แล้วคุณดา จะอะไรกับเด็กนักหนา” เรวัตปรี่เข้ามาหาลูกสาวคนโตทันทีที่เหลือบเห็นว่าแหวนประดับนั้นต้องรับมือกับภรรยาของเขาอยู่เพียงลำพัง แต่ดูจากท่าทางและคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินเข้า แหวนประดับคงไม่ได้เป็นฝ่ายโดนรังแกอย่างที่เข้าใจ

“ก็ดูนังลูกสาวคุณสิ ปากดี ด่าฉันฉอดๆ นังเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน!”

“พ่อไม่ได้สอนจริงๆ ค่ะ คงวุ่นวายเพราะไปสั่งสอนลูกสาวอีกสองคนให้รีบๆ ตั้งท้อง...”

“แหวนประดับ!” เรวัตอยากจะเป็นลม ไม่คิดไม่ฝันว่าลูกสาวคนโตของเขาจะปากร้ายเพียงนี้ “ฉันพ่อแกนะ!”

“ก็ไม่เคยบอกว่าไม่ใช่นี่คะ แค่บอกว่าพ่อไม่เคยสั่งสอนหนูจริงๆ เท่านั้นเอง” แหวนประดับหันมามองหน้าพ่อของตนด้วยสายตาว่างเปล่า อยากให้เธอเสียใจหรือ...ฝันไปเถอะ “แต่ก็ดีแล้วละค่ะที่ไม่ได้สอน เพราะถ้าสอนป่านนี้หนูคงท้องโย้เหมือนลูกสาวอีกสองคนของคุณไปแล้ว”

ใครว่าแหวนประดับไม่ร้าย...รู้เอาไว้ตรงนี้เลยว่าเธอน่ะร้าย ร้ายมากเสียด้วย

“ขอตัวนะคะ พอดีรีบ”

เพียงแหวนประดับหันหลังให้ ทยิดาที่พ่ายแพ้ลูกของสามีก็ตัวสั่น หันไปจิกกัดเรวัตเป็นการระบายโทสะของตนทันที

“ไงล่ะ ลูกสาวตัวดีของคุณ ท่าทางมันจะร้ายไม่เบานะ”

“แล้วยังไงล่ะ” เรวัตไม่เห็นว่าการที่แหวนประดับพูดจาร้ายกาจนั้นเป็นปัญหา จึงเพียงเลิกคิ้วสูงมองหน้าภรรยา แล้วย้อนถามด้วยสีหน้าพอกันกับลูกสาวคนโต “ที่แหวนพูดมาก็ถูกของมัน ผมไม่เคยมีโอกาสสั่งสอนลูกสาวคนโตของผม แต่สุดท้ายคนที่ผมไม่ได้สั่งสอนกลับเป็นคนที่รักดีที่สุด”

“คำก็แหวน...สองคำก็แหวน ความจริงคุณคงไม่ได้รักแค่ลูกหรอก รักแม่มันด้วยละสิท่า” ทยิดาจิกกัดสามีไม่เลิก เพราะไม่ต้องการเป็นคนแพ้

“ก็ต้องรักอยู่แล้ว เขาเป็นเมียผม”

“รักมันมากแล้วมาแต่งงานกับฉันทำไมล่ะ” ทยิดาถามประชด หมัดเล็กของเธอกำแน่นด้วยความโกรธจัด ก่อนจะน้ำตาร่วงเผาะกับคำตอบของผู้เป็นสามีและพ่อของลูก

“ไม่ได้เต็มใจแต่งเสียหน่อย”

 

การเปิดพินัยกรรมของคุณย่าเล็กนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกินในความรู้สึกของแหวนประดับ แม้ท่านจะมีลูกสาวคือมะลิและลูกชายอีกสองคน ทว่าคนอื่นๆ ในตระกูลกลับได้รับส่วนแบ่งสมบัติของท่านไปพอสมควร ซึ่งนั่นทำให้ลูกชายทั้งสองของคุณย่าเล็กออกอาการไม่พอใจเล็กน้อยกับพินัยกรรมของมารดา

แหวนประดับแน่ใจว่าหลังจากนี้คงไม่พ้นที่จะมีการฟ้องร้องระหว่างคนในตระกูลอย่างแน่นอน ทว่าเธอก็ยังนั่งฟังด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ภาวนาให้ทนายของคุณประดับนั้นอ่านเนื้อหาในกระดาษให้จบโดยเร็ว เพราะเธออยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว การนั่งดูพี่น้องของเรวัตถกเถียงกันเรื่องเงินไม่สนุกเลยสักนิดเดียว

“ส่วนเครื่องประดับในธนาคาร...แบ่งไว้เป็นสองส่วน” ผู้เป็นทนายอ่านวรรคสุดท้ายของพินัยกรรม เหลือบตาขึ้นมองหน้าแหวนประดับแวบหนึ่งแล้วจึงว่าต่อ “ส่วนแรกนั้นมีชุดทับทิมกับมรกต ยกให้มะลิ ลูกสาวของข้าพเจ้า...อีกส่วนนั้นเป็นของหมั้นของแหวน ภรรยาคนแรกของเรวัต หลานชายของข้าพเจ้า...

“ข้าพเจ้าได้รักษาไว้อย่างที่รับปาก หากข้าพเจ้าเสียชีวิตก่อนเจ้าของเขาจะมารับคืน ก็ให้ทราบว่าชุดเครื่องเพชรที่เหลือนั้นเป็นของ นางแหวน วงศา กับ นางสาวแหวนประดับ วงศา แต่เพียงผู้เดียว ลูกของข้าพเจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินส่วนนี้โดยเด็ดขาด ให้ส่งคืนเจ้าของเดิมไปทั้งหมด”

มือของแหวนประดับเย็นเฉียบ ไม่ใช่เพราะได้รับทรัพย์สินที่เธอไม่รู้มาก่อน แต่เป็นเพราะคำว่า ‘ภรรยาคนแรก’ นั่นต่างหากที่ทำให้หญิงสาวตกใจ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย แม่ไม่เคยบอกเธอมาก่อน ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น แต่แหวนประดับก็ยังสงบสติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ ในใจก็บอกตัวเองว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว...มันแล้วไปแล้ว...

“ยังไงรบกวนให้คนที่ได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินของคุณประดับอยู่พบผมก่อนนะครับ” ทนายของคุณประดับเอ่ยหลังจากปิดพินัยกรรม

แหวนประดับนั่งรอฟังเสียงคัดค้านจากคนในตระกูลของคุณย่าเล็ก ทว่าคนที่ลุกขึ้นมาโวยวายกลับเป็นบุคคลที่เธอคาดไม่ถึง

“ได้ยังไงคะ...นังลูกเมียน้อยจะมีสมบัติได้ยังไง โกงหรือเปล่า” ผู้ที่ลุกขึ้นมาชี้หน้าแหวนประดับนั้นเป็นบุตรสาวคนโตของเรวัตกับทยิดา หากจำไม่ผิดเธอคงชื่อนุ้ย

แหวนประดับเงยหน้ามองผู้หญิงที่อ่อนวัยกว่าเธอหลายปีตรงๆ ก่อนจะเลิกคิ้วสูงอย่างท้าทาย

“เรื่องของหมั้นอะไรนี่ไม่จริงใช่ไหมคะคุณแม่...ก็มันเป็นลูกเมียน้อย” เมื่อทุกคนเงียบนุ้ยจึงหันไปหามารดาของเธอ แต่ทยิดากลับนั่งกำหมัดตัวสั่นอยู่ด้วยความโกรธ

“ของหมั้น...เมียแกเขาให้เก็บไว้หมดไหมเรวัต แล้วทำไมต้องให้ย่าเล็กเก็บไว้ให้ด้วย” คุณย่าใหญ่หันมาหาบุตรชาย ไม่สนใจว่าลูกสะใภ้และหลานอีกสองคนของท่านกำลังอยู่ในอาการโกรธขึ้ง

“ก็เก็บไว้หมดครับแม่...” เรวัตว่าเสียงเบา มองหน้าบุตรสาวด้วยสายตามีความหมาย อยากให้แหวนประดับเข้าใจว่าทำไมวันนี้เขาถึงบังคับให้เธอมาที่นี่ด้วยกัน

“เมียแกนี่จริงๆ เกลียดกันจนไม่ยอมเก็บของหมั้นจากฉันไว้เลยหรือ” คุณย่าใหญ่บ่น ใบหน้าเหี่ยวย่นของท่านมีความโกรธ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความโล่งใจ ที่ผ่านมาท่านคิดว่าไร่วงศามั่งคั่งเพราะทรัพย์สมบัติที่ท่านยกให้ลูกสะใภ้คนแรกไป ที่ไหนได้...ของเหล่านั้นกลับอยู่ใต้จมูก อยู่กับคนใกล้ตัวอย่างน้องสาวของท่านนี่เอง ประดับคงดูแลของพวกนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา “แต่ก็ดี...ลูกสาวเขามาแล้ว ก็คืนให้เจ้าของเขาไป”

“แต่คุณแม่คะ...เครื่องเพชรพวกนั้น” แม้จะโกรธ แต่ทยิดาก็ไม่ใช่คนโง่ เธอเอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าของหมั้นที่ภรรยาคนแรกของเรวัตได้ไปนั้นไม่ใช่ของไร้ราคา แต่ล้วนเป็นเครื่องเพชรที่ดีที่สุด สมกับเกียรติและหน้าตาลูกชายคนแรกของตระกูลใช้ตบแต่งภรรยาคนแรกทุกชุด “เจ้าตัวเขาไม่อยากได้แล้วนะคะ...ทำไมถึงจะ...”

“นี่หล่อนจะให้ฉันฉกฉวยของมาจากคนตายหรือแม่ดา” บรรยากาศบนศาลาเริ่มระอุขึ้นมาอีกครั้ง “ประดับเขาสั่งเสียไว้ชัดเจนขนาดนี้ ลูกแท้ๆ ของเขายังไม่ได้เอ่ยปากเลย แล้วจะให้ฉันที่เป็นพี่ลงไปยื้อแย่งของกลับมาหรือ เห็นฉันหน้าด้านขนาดนั้นเลยหรือไง”

“คุณย่าใหญ่คะ...ของพวกนั้นแหวนขอไม่รับดีกว่าค่ะ” แหวนประดับเอ่ยขึ้นเพราะไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับบ้านของเรวัตไปมากกว่านี้ แค่รู้ว่าคุณย่าเล็กท่านเมตตาแม่ของเธอมากขนาดนี้ก็เพียงพอแล้ว “ของของแม่ที่ทิ้งไว้ให้หนูก็พอมี ของพวกนั้นยกให้คุณมะลิเธอไปก็ได้ค่ะ”

“ไม่ได้!” เป็นเรวัตที่เอ่ยน้ำเสียงเฉียบขาด สีหน้าของเขาบูดบึ้งจนคนอื่นๆ เริ่มหวั่นใจ ขนาดทยิดาที่แสดงท่าทางว่าจะไม่พอใจก่อนหน้ายังยอมเงียบปากลง “นี่มันของหมั้น จะยกให้คนอื่นไม่ได้...แม่แกไม่อยู่แล้ว แกก็ต้องเก็บไว้เป็นสมบัติติดตัว”

“หนูมีไร่วงศาแล้วค่ะ” แม้ตอนที่เรวัตยกไร่ให้แม่ของเธอจะเป็นที่ดินเพียงไม่กี่สิบไร่ แต่เวลาผ่านมาหลายปี อาณาเขตของไร่วงศาก็แผ่ขยายออกไปจนเป็นหนึ่งในสิบไร่ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด “คุณแม่ท่านสร้างไว้ให้แล้ว”

“ของพวกนี้เป็นของแม่แหวนเขา...” คุณย่าใหญ่เป็นคนเอ่ยขึ้น สีหน้าของท่านลำบากใจและรู้สึกผิดจนแหวนประดับสะเทือนใจ “ย่ายกให้เขาดูแลเพราะไว้ใจ ตอนนี้ของต้องเป็นของเราน่ะถูกต้องแล้ว แหวนจะดูแลสมบัติพวกนี้ให้ย่าได้ไหมลูก อย่าให้คนเขาด่าย่าได้เลยว่าย่าน่ะเป็นคนลำเอียง รักหลานไม่เท่ากัน”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้แหวนประดับคงไม่ยอมรับของพวกนี้ เพราะรู้ว่าต้องมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นแววตาเศร้าอย่างคนที่รู้สึกผิดของคุณย่าใหญ่ เธอจึงเพียงพยักหน้า การรับของที่เป็นของแม่คืนมาคงไม่ใช่เรื่องเสียหายกระมัง

“ลูกหลานคนอื่น ย่ายกของให้ไปหมดแล้ว เหลือแต่เรา...ย่าไม่เหลือสมบัติอะไรจะให้” คุณย่าใหญ่พูดขึ้นมาลอยๆ ตาเหม่อมองออกไปในความมืดเมื่อหวนคิดถึงน้องสาว “ถ้าแม่ประดับไม่เก็บของพวกนี้ไว้ หนูก็คงไม่ได้สมบัติจากฝั่งพ่อ แล้วญาติฝ่ายแม่เราเขาก็คงสาปคงแช่งพวกย่า อย่าให้ชาวบ้านชาวช่องเขาด่าคนบ้านนี้ไปมากกว่านี้เลยนะลูก ย่าขอ...”

แหวนประดับไม่รู้ว่าลูกหลานของคุณย่าใหญ่ได้รับสมบัติกันไปหมดแล้วอย่างที่ท่านเอ่ยจริงหรือเปล่า หรือว่าท่านไม่เหลืออะไรจะยกให้เธอแล้วจริงไหม หญิงสาวไม่สนใจทั้งนั้น เธอเพียงเดินตามทนายณัฐออกมาที่ลานจอดรถ ไม่ได้ไหว้ลาใครเพราะเธอยังรู้สึกมึนตื้อไม่หาย

ไม่มีใครเคยบอกเธอเรื่องนี้...แต่จะโทษคนอื่นก็คงไม่ได้ เพราะแม่เธอตัดขาดกับครอบครัวอดีตสามีก่อนที่แหวนประดับจะจำความได้เสียอีก ก็อย่างที่คุณย่าใหญ่เอ่ยนั่นแหละ แม่ของเธอเป็นคนใจแข็ง เด็ดเดี่ยวเหลือเกิน หากท่านได้เอ่ยปากว่าจะตัดขาดใครสักคนแล้ว ก็คือตัดขาดจริงๆ ไม่หันหลังกลับไปง้อ

แหวนประดับเองก็เป็นเหมือนแม่ของเธอ เธอเชื่อมาตลอดว่าสิ่งที่แม่เลือกทำนั้นเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว กระทั่งวันนี้...วันที่ความจริงต่างๆ วิ่งชนเธอจนแทบจะยืนไม่ไหว ทั้งเรื่องภรรยาคนแรก...ทั้งของหมั้น...

“คุณแหวนจะกลับมาจันท์อีกเมื่อไหร่คะ” มะลิที่วิ่งตามหลังญาติของตนลงมาจากศาลาแตะมือแหวนประดับ ทำให้หญิงสาวนั้นสะดุ้งน้อยๆ ด้วยความตกใจ

“คะ...คะ?”

“ฉันถามคุณแหวนว่าเมื่อไหร่คุณแหวนจะกลับมาคะ” มะลิคลี่ยิ้มอ่อนโยนอย่างเข้าอกเข้าใจ “เราจะได้เข้าไปที่ธนาคารพร้อมกัน เรื่องของที่คุณแม่ทิ้งไว้...”

“อ้อ เรื่องนั้น...แหวนต้องมาด้วยใช่มั้ยคะ”

“ต้องมาสิคะ...ก็เป็นชื่อเราสองคน” มะลิยิ้ม ส่วนแบ่งที่เธอได้นั้นถือว่าเยอะกว่าพี่น้องคนอื่นๆ เพราะถือว่าเป็นลูกสาวคนเดียว เพียงชุดมรกตที่แม่ทิ้งเอาไว้ให้เธอก็สบายไปทั้งชาติ มะลิจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“อ้อ...เอ่อ...มาสัปดาห์หน้าค่ะคุณมะลิ แต่เป็นวันหยุด ไม่ทราบว่าธนาคารจะเปิดหรือเปล่า”

“ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะให้คุณณัฐจัดการให้” มะลิให้ความมั่นใจแก่คนที่ได้รับสมบัติอย่างงงๆ ยกมือลูบแผ่นหลังเล็กของญาติสาวอย่างปลอบขวัญ “ไม่ต้องห่วงนะคะ คุณดากับลูกสาวเธอไม่กล้าก่อเรื่องแน่ หรือถ้ากล้าพ่อคุณก็คงมีวิธีจัดการของเขา”

“แหวนไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ เพียงแค่...ไม่อยากได้ชื่อว่าแย่งของของบ้านนั้นมา”

“เรื่องนั้นน่ะเอง...” มะลิมองหน้าทนายของแม่เธอ แล้วจีบปากจีบคอเล่าให้หญิงสาวฟังอย่างออกรสออกชาติ เพราะแหวนประดับไม่ได้มาคลุกคลีกับครอบครัว จึงไม่รู้ว่าพวกทยิดานั้นก่อวีรกรรมได้มากเพียงใด “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ บ้านคุณดาเธอก็ได้สมบัติไปไม่น้อย แต่กินใช้กันมือเติบ นี่ถ้าพ่อคุณไม่ได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ก็คงหมดเนื้อหมดตัวไปอีกคน แต่ฉันว่าอย่างนี้เขาไม่เรียกว่าใช้เงินหรอก ต้องเรียกว่าผลาญจะเหมาะกว่า ใช่ไหมคะคุณณัฐ”

“อย่าถามเลยครับ...ผมเป็นคนกลาง” ถึงทนายณัฐจะไม่ได้พูดออกมา แต่สีหน้าของเขาก็ทำให้แหวนประดับเข้าใจได้

หรือว่าที่เรวัตขยันมาหาเธอที่ไร่จะเป็นเพราะเขากำลังมีปัญหากับภรรยา...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น