บทที่ 4

บทที่ ๔ 

ศรายะมาที่ร้าน Perfect Cup ในวันเสาร์เพราะเขาไม่มีที่ไหนอยากไปอีก เช้านี้ชายหนุ่มคุยกับภูริทัตเรื่องการซื้อขายที่ดิน อีกฝ่ายดูอยากได้ที่ดินผืนนั้นมากจนเขาต้องยอม ไม่อยากเรื่องเยอะให้ราชินีของเขาต้องปวดหัว แต่ขอเพียงอย่างเดียวให้ภูริทัตคิดเรื่องการลงทุนในเชียงรายให้ดี

ส่วนกีรติต้องพาภรรยาออกไปชอปปิงบ้างหลังจากเอาแต่หลบหน้าหลบตามาตลอด ทางฝั่งพัตราได้รับเชิญไปงานหมั้นของลูกสาวเพื่อน หล่อนให้โพธิ์ขับรถไปส่ง ความจริงศรายะจะอยู่บ้านก็ได้ แต่เขาดันติดใจบรรยากาศที่ร้านกาแฟเสียแล้ว อีกทั้งยังชินกับการเห็นสีหน้าพนักงานรับออร์เดอร์ที่มองเขาอย่างลุ้นรอว่าวันนี้จะสั่งอะไร ชินกับการมองหาเจ้าของร้านที่อยู่ได้ทุกมุม บางวันเจอเธอเช็ดกระจกอยู่ข้างนอก บางวันเห็นเธอนั่งทำบัญชีอยู่ที่โต๊ะใกล้เคาน์เตอร์ และเขาชินกับการนั่งเงียบๆ ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ

“เอาอะไรก็ได้ครับที่ไม่เหมือนเมื่อวาน”

ปีเตอร์หัวเราะเสียงแปร่งเมื่อได้รับเงินหนึ่งร้อยบาทกับบัตรสะสมแต้มที่เหลือช่องสุดท้ายให้ปั๊ม

“คุณเป็นคนแรกเลยที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเมนูร้านนี้น้อยมาก”

“บอกคุณลิสให้ทำให้หน่อยนะ” วันนี้ตั้งแต่เข้ามาศรายะยังไม่เห็นลลิภัทร เขาจึงใช้วิธีนี้เรียกเธอออกมา

“พี่ลิสไปซื้อข้าวครับ” ปีเตอร์หรี่ตามองลูกค้าอย่างจับพิรุธ รายนี้นานวันเริ่มมาแปลก ต้องมองหาเจ้าของร้านก่อนดูเมนู “ให้เพื่อนผมทำให้ได้ไหมครับ”

ดิวกับแป๋ว บาริสตาชายหญิงสองคนยังว่างและพร้อมทำงานมาก แต่ดูเหมือนว่าศรายะจะมีความต้องการเฉพาะเจาะจง เขาเก็บเงินและบัตรสะสมแต้มก่อนจะพูดสั้นๆ

“เดี๋ยวมาสั่ง”

ยังไม่ทันเดินไปหาโต๊ะนั่ง เสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขึ้น ลูกค้าที่เข้ามาใหม่เป็นแม่ลูกคู่หนึ่ง มาถึงเคาน์เตอร์คนเป็นแม่ที่อายุประมาณห้าสิบกว่าก็สั่งเสียงดัง

“โอเลี้ยงหนึ่งแก้ว!”

ศรายะรับประทานจุดไปพร้อมๆ กับปีเตอร์ ลูกค้าท่านนี้หน้าดุ สีหน้าบ่งบอกว่าต้องการโอเลี้ยงเย็นมาดับร้อนอย่างยิ่ง หากไม่ได้ตามต้องการ อารมณ์อาจจะร้อนยิ่งกว่าแดดประเทศไทย

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ร้านนี้ไม่มีโอเลี้ยง” ปีเตอร์ตอบอย่างสุภาพ

“หนูบอกแล้วไงแม่ แม่กินกาแฟกับหนูดีกว่า” ลูกสาวกล่อมเสียงหวาน แต่คนเป็นแม่ไม่ยอมฟัง ชักหงุดหงิดเมื่อไม่ได้ดั่งใจ

“ร้านกาแฟสวยๆ ไม่มีโอเลี้ยงได้ยังไง รถเข็นข้างถนนยังมีเลย!”

ศรายะเดินเข้าไปกระซิบถามปีเตอร์ที่เริ่มรับมือไม่ถูก “ทำกาแฟดำให้ไม่ได้เหรอ”

                “กาแฟมันไม่เหมือนโอเลี้ยงครับ ขืนทำไปให้โดนด่าแน่นอน”

                คอโอเลี้ยงไม่มีทางรับได้ หากเสิร์ฟกาแฟดำแทน ปีเตอร์คิดว่าไม่ควรเสี่ยงโดนอาละวาดในภายหลัง ลลิภัทรบอกเสมอว่าให้ใจเย็นๆ กับลูกค้า บางคนอารมณ์ไม่ดีอาจเป็นเพราะเจอเรื่องเครียดมา หากทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้ เขาก็จะประทับใจร้าน แต่รายนี้ปีเตอร์ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

                “แม่ใจเย็นๆ ค่ะ หนูพาไปร้านอื่นก็ได้” คนเป็นลูกเริ่มเกรงใจลูกค้าในร้านที่มองแม่เป็นตาเดียว วันนี้แม่เธอมีปัญหากับพ่อ เธอจึงชวนแม่มาคาเฟ่ลับที่เคยมาหนหนึ่ง หวังว่าบรรยากาศผ่อนคลายจะช่วยให้ท่านอารมณ์เย็นขึ้นได้ แต่ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนความคิด

                “ขับรถมาตั้งนานกว่าจะถึง เสียเวลา!” ลูกค้าหน้าเหวี่ยงกระแทกเสียงใส่ด้วยความโมโห

                ศรายะชักจะหงุดหงิดที่มีคนโวยวายในร้าน อารมณ์ของเขาตอนนี้เหมือนบรรณารักษ์เวลามีคนคุยเสียงดังในห้องสมุด อยากไล่ออกไปให้พ้นๆ ติดอยู่อย่างเดียวคือนี่ไม่ใช่ร้านตัวเอง

                “สั่งอย่างอื่นก็ไม่ได้เหรอครับ” ชายหนุ่มถาม 

สองแม่ลูกหันมองเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะถามเสียงห้วน

                “เป็นเจ้าของร้านเหรอ!”

                เขานึกถึงเจ้าของร้านตัวจริงโดยพลัน ลลิภัทรไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้

                “ไม่ใช่หรอกครับ มารักษาการแทน อยากได้โอเลี้ยงใช่ไหมครับ หวานแค่ไหนดี”

                “ชอบหวานมากๆ”

“หกสิบบาทครับ จ่ายที่แคเชียร์แล้วไปนั่งรอได้เลย”

                “หือ?” ปีเตอร์งงซ้ำซ้อน นอกจากร้านนี้จะมีผู้รักษาการแทนแล้ว ยังมีโอเลี้ยงขายแล้วด้วย?

                “คิดไปเลย” ศรายะอิงจากราคาของอเมริกาโนที่อยู่ในเมนู ก่อนจะเดินห่างออกมาและใช้สายตาเรียกบาริสตาหนุ่มให้มาหา

                ดิวเร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะเงี่ยหูฟังแผนการของอีกฝ่าย

                “โทร. บอกคุณลิสว่าซื้อโอเลี้ยงมาให้หนึ่งแก้ว แล้วกลับมาไวๆ ลูกค้ารออยู่”

            สิบนาทีต่อมา

                ลลิภัทรเปิดประตูเข้ามาในร้านด้วยความตื่นตระหนกหลังจากที่ลูกน้องโทร. มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ทว่าไม่ทันทักใคร ศรายะก็เข้ามาดึงเธอไปหลังเคาน์เตอร์ แย่งถุงกับข้าวในมือไปไว้บนโต๊ะว่างและแยกโอเลี้ยงแก้วหนึ่งไปให้ดิว

                “เอาไปใส่แก้วใหม่แล้วเสิร์ฟเลย”

                พิจารณาแล้วโอเลี้ยงแก้วนี้น่าจะประมาณยี่สิบถึงสามสิบบาท อย่างไรก็ได้กำไร

                “ทำแบบนี้ไม่ดีนะคะคุณศรา ถ้าลูกค้ามาอีกก็ต้องโกหกอีก” ลลิภัทรไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาวิธีนี้ ที่ยอมทำตามก็เพราะศรายะออกปากไปแล้ว เธอรีบหาซื้อโอเลี้ยงแล้วกลับร้านด้วยความวิตกกังวล จนถึงตอนนี้ยังหนักใจไม่หาย

                ทว่าชายหนุ่มไม่เครียดเลยสักนิด เขาหันไปมองดิวที่เสิร์ฟโอเลี้ยงได้เร็วทันใจ จากนั้นหันมาพยักหน้ากับเธอ “ตามมาครับ”

                แม้ไม่เข้าใจ แต่หญิงสาวก็ตามเขาไปติดๆ ร่างสูงตรงไปยังโต๊ะของลูกค้าเจ้าอารมณ์ที่ดูใจเย็นขึ้นหลังจากได้ตากแอร์และคุยปรับทุกข์กับลูกสาว ตบท้ายด้วยการดื่มโอเลี้ยงเย็นๆ รสชาติหวานถึงใจอย่างที่หล่อนโปรดปราน 

                “เป็นยังไงบ้างครับ”

                “เสิร์ฟช้าไปหน่อย แต่อร่อยดี” ลูกค้าวัยกลางคนขมวดคิ้วใส่เขา “มีแล้วก็บอกไม่มี”

                “ที่จริงไม่มีหรอกครับ ผมสั่งให้เจ้าของร้านไปซื้อมาจากข้างนอก”

                คนที่กำลังดูดโอเลี้ยงอึ้งไปทันทีเช่นเดียวกับลลิภัทรที่กะพริบตาปริบๆ เมื่อคนข้างกายกล่าวถึงเธอ

                “ผมดีใจมากที่คุณอุตส่าห์ขับรถมาถึงที่นี่เพื่อมาลองกาแฟร้านเรา ก็เลยอยากตอบแทนคุณ ไม่อยากให้คุณผิดหวังด้วย คนเราเวลาตั้งใจมาที่ไหนสักที่ก็ต้องคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งดีๆ กลับไปอยู่แล้วใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ดวงตาคมมองแววตาตกตะลึงของลูกค้าตรงหน้า “แก้วนี้พิเศษสำหรับคุณเฉพาะวันนี้เท่านั้นนะครับ ถ้ามีครั้งหน้าผมอยากให้คุณลองเมนูที่ร้านเรามี เราจะได้มีโอกาสทำให้คุณดื่มบ้าง”

                คนฟังพูดอะไรไม่ออกด้วยความตื้นตันในอก ลูกสาวหล่อนก็เช่นกัน เธอสงสัยอยู่ตั้งนานว่าบาริสตาจะทำโอเลี้ยงได้อย่างไร นึกว่าจะต้องรับมือกับแม่ของเธอตอนเหวี่ยงอีกรอบเสียแล้ว

                “ขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวเจ้าของร้านต้องไปชงกาแฟต่อ พอดีมีลูกค้ารออยู่” ศรายะเหลือบมองลลิภัทรที่ยังดึงสติกลับมาไม่ครบ

                “ลูกค้าคนไหนคะ” เธอกระซิบถาม

                “คนหล่อๆ ที่สั่งอะไรก็ได้ไงครับ”

                ไวต์มอลต์ไอซ์ลาเต้วางลงบนโต๊ะของศรายะพร้อมกับขนมปังปิ้งสองแผ่นและเนยถ้วยเล็ก ลลิภัทรไม่รู้จะสรรหาอะไรมาอัปราคาต่อแก้ว จึงเลือกเพิ่มของรับประทานคู่กันแทน ขณะนั้นเขากำลังชื่นชมบัตรสะสมที่ครบสิบแต้มภายในสัปดาห์เดียว เมื่อเธอมาเสิร์ฟเครื่องดื่มเขาจึงยื่นมันให้

                “ผมเลี้ยงคุณหนึ่งแก้ว”

                เจ้าของร้านคนสวยเลิกคิ้ว วันนี้ศรายะทำเธอแปลกใจไม่หยุดหย่อน

                “ยังไม่ว่างดื่มหรอกค่ะ คุณเก็บไว้เถอะ” เธอต้องไปเฝ้าเคาน์เตอร์แทนปีเตอร์ที่เข้าไปกินข้าวกลางวันกับดิวหลังร้าน ตอนนี้เหลือแค่แป๋วที่ยังอยู่หน้าร้าน

                “ตอนที่ว่างก็ได้ครับ ผมรอได้”

วิเคราะห์จากประโยคที่ได้ยิน ลลิภัทรคิดว่าเธอต้องเอาเครื่องดื่มมานั่งกับเขาด้วย วันนี้เขาไม่มีโน้ตบุ๊กติดตัวมา คงตั้งใจมานั่งชิลโดยเฉพาะ

“สักชั่วโมงนะคะ” เธอยิ้มบาง ยอมรับบัตรที่เขายื่นให้แล้วเดินจากไป

ลูกค้าแม่ลูกมองเขาด้วยความสงสัยว่าทำไมผู้รักษาการถึงมานั่งเหมือนเป็นลูกค้าคนหนึ่ง ศรายะไม่สนใจแล้วลองจิบลาเต้เจือรสมอลต์ จากนั้นหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียว ไม่นานนักทั้งคู่ก็ออกไปจากร้าน

ปีเตอร์ชะโงกหน้าออกมาจากหลังร้าน ก่อนจะตรงรี่ไปหาลลิภัทรพร้อมมือถือของเขา

“พี่ลิสๆ ดูนี่ดิ”

บนหน้าจอคือแฟนเพจของร้านซึ่งปีเตอร์เป็นอีกคนที่ดูแลอยู่ หญิงสาวยื่นหน้าไปดู เห็นข้อความยาวเหยียดที่กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน คนที่โพสต์และแท็กเพจของร้านคือลูกสาวของลูกค้าที่ชื่นชอบโอเลี้ยงคนนั้น ดูเหมือนเธอจะมีเพื่อนในเฟซบุ๊กเยอะ ยอดไลก์ถึงได้เข้าใกล้หลักร้อยในระยะเวลาอันสั้น ส่วนยอดแชร์ปาไปแล้วสิบ

ข้อความบ่งบอกถึงความประทับใจในตัวเจ้าของร้านที่ให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ ทำให้แม่ของเธอลืมปัญหากับพ่อและพูดถึงแต่โอเลี้ยงแก้วนั้น มันคือเรื่องดีๆ ในวันแย่ๆ และเธอสัญญาว่าต้องพาแม่มาอีกแน่นอน

“ร้านเราทำท่าจะดังแล้วนะเนี่ย อีกหน่อยแชร์กันว่อนเน็ตชัวร์” ปีเตอร์ตื่นเต้นดีใจ ขณะที่ลลิภัทรยิ้มอ่อน เธอไม่ได้ดีใจกับยอดไลก์ ยอดแชร์ แต่ดีใจที่ทำให้วันหมองหม่นของใครคนหนึ่งสดใสขึ้นได้

หญิงสาวละสายตาไปมองบัตรสะสมแต้มในมือครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกลูกน้องหนุ่มสองคนที่พักกินข้าวเรียบร้อยแล้ว

“ปีเตอร์กับดิวทำงานต่อนะ พี่จะให้แป๋วไปกินข้าว”

“พี่ลิสอะ?”

“ยังไม่หิวเท่าไร ปั่นน้ำสักแก้วกินรองท้องแล้วกัน” ว่าแล้วเธอก็โบกบัตรในมือ 

ปีเตอร์ตาโต “แอบสะสมไว้เมื่อไรเนี่ย”

“คุณศราให้มา”

“เอ๊ะๆ ยังไงนะคนนี้” หนุ่มลูกเสี้ยวกอดอกพลางหรี่ตามองเจ้านายที่อมยิ้มอยู่ “จีบพี่ลิสปะเนี่ย เปย์ด้วยบัตรสะสมแต้มซะด้วย”

“ตลกแล้ว” ลลิภัทรตบไหล่พนักงานหนุ่มสองสามทีแล้วเดินจากมา เธอเก็บบัตรของศรายะใส่กระเป๋ากางเกงและเริ่มทำคาปูชิโนปั่น ที่ไม่ดื่มแบบร้อนเพราะเธอคิดว่าคงไม่ได้กินข้าวกลางวันเร็วๆ นี้ หากเป็นเมนูปั่นจะอยู่ท้องนานกว่า

ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงอย่างที่บอกไว้เธอก็ถือแก้วคาปูชิโนปั่นไปนั่งดื่มกับเขาและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียให้ฟัง ไม่ขอบคุณเขาคงไม่ได้ วันนี้ไม่ใช่แค่วันดีๆ ของลูกค้าสองคนนั้น แต่เป็นวันดีๆ ของเธอเช่นกัน

ตอนเย็นศรายะกลับมาบ้านด้วยอารมณ์ดีๆ แล้วบังเอิญพบแขกกิตติมศักดิ์ที่มาเยือนโดยเขาไม่รู้มาก่อน แขกที่ว่าคือพศินและอรวรรณ พ่อแม่ของเอมมาลิน ทั้งสองคุยกับพัตราอยู่ที่โซฟารับแขก ภูริทัตกับภรรยาของเขาก็อยู่ด้วย

ชายหนุ่มเดินเลี่ยงไปเพราะไม่อยากเข้าวงสนทนา ก่อนจะกวักมือเรียกจิ้งหรีดให้เข้ามาหา

“เขามากันตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนน่ะค่ะคุณศรา”

“พี่กีร์กับวินนี่ยังไม่กลับมาเหรอ”

“คุณกีร์มาส่งคุณวินนี่ที่บ้านแล้วก็ไปคลับต่อแล้วค่ะ ตอนนี้คุณวินนี่อยู่ข้างบน แปลกคนดีแท้ พ่อแม่เพื่อนมาก็ไม่คิดจะลงมาไหว้” จิ้งหรีดส่ายหน้ากับมารยาทของวิภาวีที่มีน้อยนิด แล้วยังจะร่ำร้องกับสามีขอออกงานสังคมบ้าง โชคดีที่กีรติไม่ได้ทำงานกับครอบครัว จึงไม่มีโอกาสพาภรรยาไปออกงานที่ไหนให้ขายหน้าเปล่าๆ

“พอได้ยินไหมว่าเขาคุยกันเรื่องอะไร” ศรายะกลัวว่าพศินกับอรวรรณจะมาขอต่อราคาที่ดินของเขาถึงที่บ้าน กิตติศัพท์ความขี้งกของสองสามีภรรยาคู่นี้เป็นที่เลื่องลือ ก่อนแต่งเรียกเงินค่าสินสอดของเอมมาลินมูลค่ารวมกันเป็นร้อยล้าน

“แหม คุณศรา เจสซี่ไม่ใช่คนเสียมารยาทแอบฟังเจ้านายคุยกันนะคะ อยากรู้ก็เข้าไปถามเขาสิ”

“ก็ไม่อยากเข้าไป”

“ทีแรกเจสซี่ก็นึกว่าคุณวินนี่ไร้มารยาทอยู่คนเดียว”

“อ้าว...” ศรายะเคยคิดเหมือนกันว่าบ้านนี้วิภาวีปากจัดอยู่คนเดียว เดี๋ยวนี้มีผู้ท้าชิงเสียแล้ว

เจอสายตาเอาเรื่องของเจ้านายเข้า จิ้งหรีดก็ยิ้มเจื่อนและรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจสซี่เห็นคุณศราแชร์บทความในเฟซ น่าประทับใจนะคะ”

คนที่กำลังขุ่นเคืองอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเข้าประเด็นนี้ นับว่าจิ้งหรีดโชคดีมากที่เลือกเรื่องได้ถูกใจ ตอนติดไฟแดงอยู่บนท้องถนนเขาลองค้นหาโพสต์นั้นจากโลเกชันร้าน Perfect Cup และเห็นว่ามีคนแชร์โพสต์เยอะมาก เขาจึงเป็นอีกคนที่ช่วยแชร์ ตอนนี้เพื่อนในเฟซบุ๊กกดไลก์กันเกือบร้อยแล้ว

กว่าจะคิดได้ก็สายเกินไป นี่ถ้าร้านนั้นมีลูกค้าเยอะขึ้นก็ต้องมีคนรู้จักลลิภัทรเยอะขึ้น ผู้หญิงหน้าหวานยิ้มสวยคนนั้นกำลังจะดัง อีกหน่อยต้องมีลูกค้าต่อคิวขายขนมจีบให้เธอแน่ๆ

“จริงๆ แล้วฉันเป็นผู้ชายที่อยู่ในโพสต์...”

“อ้าว ศรา” 

เสียงของพศินเรียกศรายะที่กำลังโอ้อวดตนเองให้หันไปหา เขาไหว้ทักทายชายวัยกลางคนที่เคยเห็นหน้ากันอยู่เนืองๆ สุดท้ายก็หนีไม่พ้น ต้องเจอกันจนได้

“สวัสดีครับ คุณอามาเยี่ยมคุณแม่เหรอครับ”

“ใช่ มาคุยเรื่องโครงการบ้านเด็กกำพร้าด้วย”

นั่นไง...

“เข้าไปนั่งคุยด้วยกันสิ เดี๋ยวอาขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” จบคำ ชายวัยห้าสิบห้าปีก็เดินแยกไปอย่างรู้ทิศทางราวกับนี่คือบ้านของเขา ศรายะถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ส่วนจิ้งหรีดแอบป้องปากหัวเราะคนเดียว

พ่อแม่ของเอมมาลินมาเพราะอยากรู้แน่ชัดว่าศรายะจะขายที่ตรงนั้นให้ในราคาเท่าไร พอเขาบ่ายเบี่ยง พศินก็เสนอราคาให้พิจารณา เขายังไม่ตกลงทันทีเพราะอยากตรวจสอบราคาที่บริเวณนั้นในปัจจุบันเสียก่อน ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ สังเกตได้จากแววตาที่มองมา

สามีภรรยาคู่นี้ไม่น่าไว้ใจ เพียงมองตาศรายะก็รู้ว่าพวกเขาไม่ซื่อตรง คอยหาทางเอารัดเอาเปรียบคนอื่นตลอดเวลา นิสัยนี้เอมมาลินติดมาด้วยแน่นอน สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่ว่าหากปล่อยให้ครอบครัวนี้จัดการจะออกมาในรูปแบบไหนก็ไม่อาจเดาได้

ทั้งสองคนอยู่รับประทานมื้อเย็นด้วยกัน ชายหนุ่มจำต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา มื้อนี้วิภาวีไม่มาร่วมโต๊ะด้วย แต่ก็ไม่มีใครถามหา เมื่อจบมื้ออาหารภูริทัตและเอมมาลินก็ไปส่งสามีภรรยาวัยกลางคนที่รถ ส่วนศรายะเดินขึ้นห้องพร้อมพัตรา

“เขารีบอะไรกันขนาดนั้นครับ กลัวผมขายให้คนอื่นก่อนหรือไง” ชายหนุ่มบ่นกับมารดา

“เขาก็ใจร้อนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แม่ว่าศรารีบตัดสินใจขายให้มันจบๆ ไปเถอะ เขาจะได้ไม่ต้องมากดดันเราอีก”

“กลัวว่าเขาจะไม่โอเคกับราคาที่ผมเสนอน่ะสิ ราคาของคุณอาพศินอาจจะต่ำไปก็ได้ นี่สรุปว่าคนซื้อคือคุณอาใช่ไหมครับ ไม่ใช่พี่ภูเหรอ”

“ใช่ คุณพศินเขาขอซื้อเอง” 

พัตราก็เพิ่งรู้ตอนที่พศินมาหาว่ามีการเปลี่ยนแผน พศินต้องการที่ไปเป็นของตนเองก่อนจะสร้างสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าให้ลูกสาว คงอยากเป็นพ่อที่ทุ่มทุนเพื่อลูกแต่เพียงผู้เดียว ไม่รับความช่วยเหลือจากใคร

“แม่เดาว่าถ้าศราเรียกแพงกว่าที่คุณพศินเสนอ ภูจะจ่ายส่วนที่เกินมาให้”

“อ้าว เขาไม่ให้ยุ่งแล้วยังจะไปยุ่งอีกนะพี่ภู” ศรายะบ่นพี่ชายด้วยอีกคน คงกะจะเอาใจทั้งเมียทั้งพ่อตาในเวลาเดียวกัน

“ศราเอาราคามาคุยกับแม่ก่อนแล้วกัน อ้อ แม่มีอีกเรื่องต้องพูด” พัตราหยุดยืนตรงกลางโถงทางเดินชั้นสอง “อาทิตย์หน้ามีงานเปิดตัวโรงแรมของคุณรัมภาที่พัทยา แม่จะพาศราไปด้วย”

“พัทยาเลยเหรอครับ” แค่ได้ยินสถานที่ก็ขี้เกียจเดินทาง ช่วงนี้ศรายะไม่อยากไปไกลจากกรุงเทพฯ เขาอยากวนเวียนอยู่แค่บ้าน ออฟฟิศ และคาเฟ่ หนักไปทางสถานที่หลังเยอะหน่อย

“อืม คนเยอะนะ แม่จะพาไปรู้จักสาวๆ ดีไหม”

“ไม่เอา คลีโอพัตราปล่อยผมลงชายหาดแล้วเสด็จไปงานเองเถอะ”

กี่ครั้งแล้วที่พัตราพยายามหาคู่ให้เขา รอบนี้มาแบบชวนไปงาน น่าเห็นใจมารดาบังเกิดเกล้าที่ต้องเหนื่อยกับลูกชายหัวรั้น คงถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะทำอะไรให้คนเป็นแม่สบายใจบ้าง

“ศรา...”

“ไม่ต้องจูงผมไปฝากไว้กับใครแล้วครับ ผมหาเองได้ เจอคนที่ตรงตามความต้องการของเราสองคนแล้วด้วย” ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัยตบท้าย

พัตราเบิกตากว้าง “จริงเหรอ”

“แน่นอนครับ คุณแม่ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ เดี๋ยวผมจีบเอง”

สมองอันชาญฉลาดของศรายะประมวลผลรวดเร็วว่าตนเองมีแต่ได้กับได้ นอกจากพัตราจะไม่ต้องเหนื่อยตระเวนขายเขาให้ใครแล้ว เขาอาจจะได้ผู้หญิงดีๆ อย่างที่หล่อนต้องการ และเขาเองก็ต้องการเหมือนกัน

ทั้งคาเฟ่และเจ้าของคาเฟ่ เขาชอบทั้งคู่

วันแต่ละวันศรายะรอคอยแค่ได้ไปที่นั่นและพบหน้าเธอทุกวัน เพราะรู้ว่าช่วงเวลานั้นจะมีแต่ความสบายใจ

เจอคนที่รู้สึกดีด้วยแล้ว ทำไมจะต้องเข้าหาใครใหม่ด้วยล่ะ

เพียงแค่มองตาลูกชาย พัตราก็รู้ว่าเขาไม่ได้โกหกหาทางเอาตัวรอด หล่อนไม่เคยเห็นประกายในดวงตากับรอยยิ้มแบบนี้มาก่อน และนั่นทำให้หล่อนมีความหวัง

“ใครเหรอ”

“คุณลิส หลานสาวน้าแพร”

“ที่ศราไปขอเขาแต่งงานน่ะนะ!?” พัตราเบิกตาโตทันที 

อาการตกใจของแม่ทำให้ชายหนุ่มหลุดหัวเราะ 

“หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาผมไปร้านนั้นทุกวันเลย”

“ก็นึกว่าไม่อยากกินข้าวบ้าน ที่แท้...” พัตรามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ ทว่ามุมปากปรากฏรอยยิ้มขัน ในที่สุดเขาก็เลือกคนของเขาสักที และถ้าเป็นหลานสาวของแพรพิไล หล่อนไม่มีอะไรขัดข้อง

ฐานะของสะใภ้ไม่สำคัญอะไรเลยสำหรับครอบครัวที่มีเงินล้นมืออย่างเรืองรัตนพัฒน์ ขอเพียงแค่ผู้หญิงดีๆ ให้พัตราชื่นใจก็พอ เพราะท้ายที่สุดแล้วความสุขต่างหากที่สำคัญต่อคนในบ้านไม่ใช่เงินทอง

“ใช่ ผมปรับเวลากินข้าวเพื่อจะไปนั่งร้านกาแฟตอนเย็น”

“แน่ใจนะว่าเขาไม่มีเจ้าของแล้ว” พัตราถามไว้ก่อน เผื่อลูกชายไม่ทันคิดเรื่องนี้

“เขาบอกว่าเขาอยู่คนเดียว แล้วเท่าที่ไปหาทุกวันก็ไม่เจอใคร”

“ไปถามเขาให้แน่ใจ”

“เขาก็รู้สิว่าผมจะจีบ”

“คนอย่างศราจะจีบอ้อมๆ เหรอ” พัตราทำหน้าไม่อยากเชื่อรอบสอง คนที่มั่นใจในตัวเองและเป็นคนตรงๆ อย่างศรายะน่าจะเดินหน้าลุยด้วยความรวดเร็ว ให้รู้กันไปเลยว่าได้หรือไม่ได้

คำถามของมารดาทำให้ศรายะรู้สึกแปลกใจในตัวเองเช่นกัน ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีประสบการณ์จีบใคร และเวลาจีบจะจีบแบบไม่อ้อมค้อมทุกครั้ง คงเป็นเพราะบุคลิกสุภาพอ่อนหวานของลลิภัทรที่ทำให้เขานึกเกรงใจ อีกทั้งยังกลัวว่าจะไปทำลายชีวิตอันแสนสงบของเธอเข้า

“ผมขอคิดก่อนว่าจะทำยังไง แต่ผมจะไม่แต่งงานและย้ายออกไปไหนง่ายๆ ถ้าควีนของผมยังไม่มีความสุข”

พัตราไม่แน่ใจว่าควรซึ้งหรือเครียดก่อนดี

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น