คล้อยหลังพศินกับอรวรรณแล้ว วิภาวีถึงค่อยลงมาหาอะไรกิน เธอตั้งใจว่าจะเอากับข้าวมาอุ่นและเอาขึ้นไปกินห้อง แต่กลับเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในเวลานี้เสียก่อน
“เพิ่งตื่นเหรอวินนี่”
หญิงสาวหันขวับไปมองต้นเสียง แล้วรีบซ่อนความตกใจไว้ให้มิดภายใต้รอยยิ้มที่มอบให้เพื่อนสาวเสมอ
“อื้อ ออกไปข้างนอกทั้งวันก็เลยเพลียๆ น่ะ”
“เมื่อกี้พ่อกับแม่ฉันมาที่นี่ พ่อฉันถามหาเธอด้วย”
“จริงเหรอ โอย ฉันไม่น่าหลับเลย” วิภาวีแสร้งทำหน้าเสียดายที่ไม่ได้ลงมาเจอพ่อแม่เพื่อน แต่แท้จริงแล้วเธอตั้งใจซ่อนตัวอยู่ในห้อง ไม่ต้องการพบญาติผู้ใหญ่คนไหนทั้งนั้น “แล้วนี่พวกท่านมาทำไมกันเหรอ”
“เรื่องที่ดินที่อยากได้จากคุณศราน่ะ” เอมมาลินตอบด้วยรอยยิ้มบาง กิริยามารยาทของเธอมักจะดูเป็นผู้ดีเสมอโดยไม่ต้องปรุงแต่ง ขณะที่เพื่อนสาวไม่เคยแสดงได้แบบนั้น เสียงของวิภาวีแหลมขึ้นจมูกโดยธรรมชาติ ดวงตาเฉี่ยวคม ในคำพูดคำจาบ่งบอกถึงอารมณ์เสมอ
“นี่เธอจะทำบ้านเด็กกำพร้าจริงๆ เหรอ ใจดีจัง” วิภาวีชมไปอย่างนั้น เธอเข้าใจว่าการทำดีครั้งนี้ก็เพื่อภาพลักษณ์ต่อธุรกิจด้วย แต่ใครจะทำอะไรก็ช่าง เธอไม่สนใจ
“อยากทำบุญเอาไว้น่ะ แล้ววันนี้เธอออกมาไปทำอะไรมาบ้าง”
“ก็กินข้าว ดูหนัง ซื้อของนิดๆ หน่อยๆ คุณกีร์ไม่มีอารมณ์ร่วมกับฉันเลยสักอย่าง” พูดแล้วก็หงุดหงิด ทำไมสามีไม่รักไม่หลงเหมือนเอมมาลิน จริตจะก้านเธอก็มี แต่กีรติไม่แม้แต่จะชายตาแล “นี่...พรุ่งนี้เราไปกินข้าวข้างนอกด้วยกันนะ ฉันอยากกินกับเธอมากกว่า”
เอมมาลินปรายตามองเพื่อนสนิทที่เข้ามากอดแขนออดอ้อน พรุ่งนี้เธอไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วจึงพยักหน้าตกลง
“อื้อ อยากไปไหนล่ะ”
“เราไปรูฟท็อปโรงแรมกันไหม เธอน่าจะรู้จักที่ดีๆ เยอะ”
“ได้ แต่เธอห้ามดื่มเด็ดขาดนะเข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วจ้า ฉันขอไปกินข้าวก่อนนะ หิวแล้ว”
เมื่อสมหวังตามต้องการวิภาวีก็เอาหมี่ผัดในตู้เย็นออกมาเข้าไมโครเวฟ รอจนอาหารอุ่นเสร็จจึงนำใส่ถาด ก่อนเดินจากไปไม่ลืมส่งยิ้มหวานให้เอมมาลินที่ยืนมองอยู่เงียบๆ
ตอนเข้าห้องวิภาวีจับลูกบิดเปิดประตู แต่ตอนปิดใช้เท้าถีบตามความเคยชิน เธอวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ รอยยิ้มแสนดีแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะให้เพื่อนที่ไม่เคยตามเธอทันสักครั้ง
“มีผัวรวยกับเพื่อนโง่นี่มันดี๊ดี ชีวิตสบายไปทั้งชาติเลยวินนี่เอ๊ย”
กีรติตามใจเธอบ้างบางครั้ง แต่เอมมาลินตามใจเธอตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ไม่ว่าจะหลอกให้พาไปกินของดีๆ หรือเที่ยวในที่หรูๆ ก็ตอบตกลงโดยง่าย ซึ่งคนจ่ายก็คือแม่คุณหนูผู้นี้ เพราะเธอบ่นอยู่ตลอดว่าเงินไม่พอใช้
วิภาวียกเอมมาลินให้เป็นเพื่อนสุดประเสริฐ พาชีวิตเธอให้เจริญรุ่งโรจน์ นอกจากนี้ยังต้องขอบคุณลูกชายในท้องที่จะพาลาภมาให้คนเป็นแม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ลูกค้าคนแรกของ Perfect Cup ในวันอาทิตย์คือดนัย เทรนเนอร์หนุ่มที่ทำงานในฟิตเนสไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เขาชอบมาดื่มลาเต้คาราเมลไซรัปก่อนไปออกกำลังกาย และติดรสชาติกาแฟของที่นี่จนสนิทกับเจ้าของร้าน ถ้าถามว่าสะสมบัตรได้กี่ใบแล้ว...ก็ราวๆ สามสิบใบ
“วิธีการแก้ปัญหาเหนือชั้นมากๆ ครับคุณลิส อ่านโพสต์แล้วผมไม่รู้จะบรรยายคำว่าอึ้งออกมายังไงดี”
ลลิภัทรมีรอยยิ้มประดับใบหน้าเป็นทุนเดิม แต่เมื่อพูดถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้วเธอรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังยิ้มตามไปด้วย ดนัยกดไลก์เพจของร้านอยู่จึงได้เห็นโพสต์เมื่อวาน และเช้านี้เขาทักเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก
“ความคิดของลูกค้าคนนั้นล้วนๆ เลยค่ะ ลิสคิดไม่ได้หรอก คุณเดียวรับโอเลี้ยงสักแก้วไหมคะ”
“โอ้โฮ ไม่ไหวหรอกครับ กาแฟดำผมยังเกลียดเลย” ดนัยทำหน้าขยาด เทรนเนอร์ส่วนใหญ่อาจรักษาหุ่นด้วยการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและเลือกจิบกาแฟเพียวๆ แต่เขาเป็นเทรนเนอร์ส่วนน้อยที่เลือกน้ำตาลไว้ก่อน “มะยงชิดกินหมดยังครับ อร่อยไหม”
“หวานอร่อยมากค่ะ ลิสให้น้องๆ เอากลับบ้านไปด้วย”
แป๋วเดินมาวางลาเต้ให้ดนัยที่โต๊ะ พร้อมกันนั้นเสียงกระดิ่งที่ประตูร้านก็ดังขึ้น ลูกค้าวัยรุ่นห้าคนเดินเข้ามาในร้านและเข้าไปเลือกเมนู คนหนึ่งเปรยว่าที่นี่เงียบดี
ปีเตอร์ทักทายลูกค้าตามปกติ หนึ่งในนั้นเล่าให้ฟังว่ามาตามโพสต์เมื่อวาน หญิงสาวได้ยินบทสนทนาชัดเจน เธออมยิ้มกับดนัยก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่ายอดไลก์ยอดแชร์ไปถึงไหนแล้ว คอมเมนต์ใต้โพสต์มีไม่น้อยเช่นกัน เธอกดเข้าไปอ่านเรื่อยๆ แล้วก็สะดุดตากับโพรไฟล์ของใครคนหนึ่งที่มาคอมเมนต์ด้วย
Saraya Ruangrattanaphat Have a great day J
ปลายนิ้วกดชื่อเข้าไปดูโพรไฟล์ เป็นเขาจริงๆ ด้วย
บนหน้าฟีดเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหว ศรายะชอบแชร์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับธุรกิจของเขา ส่วนใหญ่จะแชร์เพจห้างสรรพสินค้าเมื่อมีประชาสัมพันธ์งานต่างๆ บางวันก็บ่นสถานการณ์บ้านเมือง บ่นสภาพอากาศ ภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง ซึ่งโพสต์เหล่านั้นมีคอมเมนต์มากกว่าสิบเสมอ ขณะที่เธอวันๆ แทบไม่เข้าแอปพลิเคชันนี้เลย
หางตาของลลิภัทรแลเห็นว่ามีรถคันหนึ่งกำลังถอยจอดอยู่หน้าร้าน มองปราดเดียวก็จำได้ว่าเป็นรถที่จอดตรงนี้ทุกเย็นจนแทบเป็นกิจวัตร ไม่นานนักชายหนุ่มก็ลงมาพร้อมแว่นตากันแดด วันนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่พาแม่มาด้วย
หญิงสาวยืดหลังตรง รีบหันกลับมาหาเทรนเนอร์หนุ่ม เอ่ยขอตัว
“ตามสบายนะคะคุณเดียว”
ปีเตอร์มองลูกค้าประจำที่วันนี้ไม่ได้มาคนเดียว ก่อนจะเหลือบมองพี่สาวเจ้าของร้านที่มายืนข้างเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เมื่อพัตราเดินมาถึงเธอก็กระพุ่มมือไหว้ทำความเคารพ
“สวัสดีค่ะ”
พบกันกี่ครั้งเธอก็อดชื่นชมนักธุรกิจหญิงผู้นี้ไม่ได้ แม้อายุอานามจะเลยเลขห้าไปไกลแล้ว แต่ภายนอกยังเหมือนเพิ่งสี่สิบต้นๆ ริ้วรอยบนใบหน้าถูกเครื่องสำอางปกปิดอย่างพอเหมาะพอควร ผมสั้นประบ่ารวบแค่ครึ่งศีรษะ การแต่งตัวดูดีตั้งแต่หัวจดเท้า ท่วงท่ากระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว
“สวัสดีจ้ะ เจอกันอีกแล้วนะ” ฝ่ายพัตราเพิ่งได้มีโอกาสสำรวจลลิภัทรอย่างจริงๆ จังๆ ก็วันนี้ ดวงตาคู่หวานของหญิงสาวดูมีชีวิตชีวา มีความสุข และสดใสเหมือนศรายะ ใครมองเธอก็รู้สึกถูกชะตากันทั้งนั้น แตกต่างจากเอมมาลินที่พกพาความหยิ่งทะนงไว้เสมอ และวิภาวีที่มักจะหัวฟัดหัวเหวี่ยง เอาใจยากกว่าใคร
“ค่ะ รับอะไรกันดีคะ”
“ป้าเอาลาเต้เย็นหวานธรรมดาจ้ะ ศราเอาอะไร”
“เอาอะไรก็ได้ครับ”
“สั่งดีๆ” พัตราเขม่นลูกชายที่ตอบเหมือนกวนประสาท
ลลิภัทรยิ้มขำ ก่อนจะแย่งหน้าที่ปีเตอร์ในการคีย์ออร์เดอร์
“หนึ่งร้อยสิบห้าบาทค่ะ”
“หือ? ศรายังไม่ได้สั่งเลยนะ” พัตรามองเจ้าของร้านสลับกับลูกชายที่ยกยิ้มพอใจ
“เป็นเมนูพิเศษของผมเอง”
หล่อนพยักหน้าทึ่งๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าถือและวางเงินให้ ปีเตอร์ปั๊มบัตรใหม่ให้ลลิภัทรเป็นคนส่งให้ลูกค้าพร้อมเงินทอน
“นั่งรอได้เลยนะคะ เดี๋ยวเอาไปเสิร์ฟให้”
วันนี้ลลิภัทรทำกาแฟดำน้ำผึ้งมะนาวให้ศรายะ เป็นเมนูง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดนานเพราะเริ่มมีลูกค้าทยอยเข้ามาเพิ่มจนดูหนาตากว่าทุกวัน เธอช่วยลูกน้องทั้งสามทำงานไม่พัก ไม่รู้ตัวว่าอยู่ในสายตาของพัตราที่ถูกชวนมาเฝ้าว่าที่สะใภ้ถึงที่
ใช่แล้ว หล่อนไม่ได้ขอตามมา แต่ศรายะเป็นฝ่ายชวน
“ลิสเขาอยู่แต่ที่นี่เหรอ”
“ครับ วันๆ ไม่ได้ออกไปไหนเลย นอกจากซื้อข้าวมาเลี้ยงพนักงาน” ชายหนุ่มวางแก้วกาแฟดำลงบนโต๊ะ นานวันเข้าก็เริ่มคิดถึงคาปูชิโนร้อนหวานน้อย สงสัยต้องพักเมนูอะไรก็ได้ไปก่อน
“แล้วศราโอเคกับไลฟ์สไตล์เขาเหรอ” พัตราถามต่อ
“ก็ดูตามตัวง่ายดีนะครับ ถ้าอยากเจอก็รู้ว่าอยู่ที่ไหน หนีผมไม่รอดเพราะไม่มีที่ให้หนี”
พัตราหัวเราะกับคำตอบ ทว่าแววตาไม่ได้ขำเสียทีเดียว “แบบนี้ถ้าชวนไปกินข้าวดูหนังก็ยากเลยละสิ”
“ต้องลองถามดู เขาอาจจะยอมทิ้งร้านเพื่อผมก็ได้ จริงๆ หลังร้านปิดก็พอกินข้าวดูหนังได้นะ” ลองคิดสลับกัน ถ้าเธอสั่งให้เขาหยุดงานเพื่อไปกินข้าวดูหนัง เขาก็คงไม่โอเค ฉะนั้นเขาไม่ควรจะรบกวนเวลางานของเธอ ตราบใดที่ยังมีเวลาอื่นที่ว่างกันทั้งคู่
“คุณลิสครับ ผมไปแล้วนะครับ ไว้เจอกันใหม่” ดนัยลุกไปบอกลาลลิภัทร ศรายะหันขวับ เพิ่งสังเกตเห็นว่านายมะยงชิดอยู่ที่นี่ด้วย
“ค่ะคุณเดียว ไว้เจอกันค่ะ” เจ้าของร้านตอบรับเสียงใส อีกฝ่ายหมุนตัวจะออกจากร้าน ทว่าสองเท้าชะงักเพราะปะทะเข้ากับสายตาของลูกค้าหนุ่ม
“มองผมทำไมครับ” ดนัยรู้สึกว่าสายตาคู่นั้นดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไร พานให้ร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล
“ไม่มีอะไรค่ะ” พัตรารีบปฏิเสธด้วยรอยยิ้มก่อนจะตีมือลูกชายเบาๆ เตือนเสียงลอดไรฟัน “ตาแข็งเชียว”
“เหรอครับ” เขาไม่รู้ตัว คิดว่าเมื่อกี้แค่มองด้วยความสงสัยว่านายมะยงชิดมาตั้งแต่เมื่อไร
คล้อยหลังดนัยเขาก็เฝ้ารอให้ลลิภัทรมีเวลาว่างสักที แต่เนื่องจากวันนี้คนเยอะต่างจากปกติ เธอจึงไม่ได้พักง่ายๆ สาเหตุหลักคงหนีไม่พ้นโพสต์เมื่อวานที่ดังกระฉ่อนไปไกล ทำให้ร้านไม่เงียบอย่างเช่นวันก่อนๆ
พัตราดื่มกาแฟจนหมดแก้ว เท่าที่สังเกตลูกชายดูจะไม่เบื่อกับการนั่งอยู่เฉยๆ ปกติแล้วหลังทำงานเสร็จศรายะจะต้องไปหากิจกรรมทำ อย่างเช่นไปซื้อของ เข้าฟิตเนส หรือไม่ก็ชวนหล่อนไปกินอาหารอร่อยๆ ในวันที่สมาชิกคนอื่นไม่กินข้าวที่บ้าน
ในตอนที่รู้ว่าเขามีคนถูกใจก็นึกว่าแกล้งพูดให้หล่อนไม่พาเขาไปรู้จักผู้หญิงคนอื่น แต่ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าเขาถูกใจคนนี้จริงๆ
และแล้วลลิภัทรก็เดินมาพร้อมจานเค้กใบเตยมะพร้าวอ่อน
“ลิสส่งข้อความไปบอกป้าแพรว่าคุณแม่ของคุณศรามา ป้าแพรเลยเลี้ยงเค้กใบเตยมะพร้าวอ่อนค่ะ” เธอเสิร์ฟเค้กตรงหน้าพัตรา
“ยายแพรนะยายแพร” พัตราบ่นเพื่อนต่อในใจ ก่อนจะให้ความสนใจกับคนเสิร์ฟ “ลิสทำเองเหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ ขนมที่นี่รับจากข้างนอกมาหมดเลย ลิสดีลกับร้านเบเกอรีโฮมเมดเอาไว้น่ะค่ะ เขาจะมาส่งตอนเช้า”
“อ๋อ ขอบใจนะจ๊ะ แล้วนี่ว่างหรือยัง”
“กำลังจะออกไปซื้อข้าวกลางวันให้น้องๆ น่ะค่ะ”
ขณะนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว คงเพราะลาเต้แก้วนี้ที่ทำให้พัตราไม่หิว แล้วยังเค้กที่ต้องรับผิดชอบอีก หล่อนจึงบอกลูกชายที่จ้องลลิภัทรแทบไม่วางตา
“ศรา ไปส่งลิสตอบแทนค่าเค้กหน่อยสิ”
ศรายะเลิกคิ้ว ควีนคลีโอพัตราหัวไวกว่าเขาอีก
“เอ่อ ไม่ต้อง...”
“ผมเอารถไปนะครับคุณแม่ เดี๋ยวกลับมาหา อยากได้อะไรไลน์มาได้เลย” เขาพูดแทรกไม่ให้ลลิภัทรแย้งได้ทัน ก่อนจะลุกขึ้นและพยักหน้าให้เธอ “เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ลิสไปเองดีกว่าค่ะ” เธอว่าอย่างเกรงใจ แต่ดูเหมือนคำพูดจะไม่เข้าหูเขาสักคำ ร่างสูงเดินไปเปิดประตูร้านและพยักหน้าให้เธอเดินออกไปก่อน
ลลิภัทรจำต้องยกมือไหว้ลาผู้อาวุโสแล้วเดินตามไป ตอนที่ออกมาด้วยกันเธอถือโอกาสอธิบายเรื่องเค้ก
“จริงๆ ป้าแพรโอนเงินค่าเค้กให้ลิสแล้วนะคะ ไม่ต้องไปส่งก็ได้”
“คนเลี้ยงไม่อยู่ให้ตอบแทนนี่ครับ ผมเลยตอบแทนกับหลาน” ศรายะเดินไปบริการเปิดประตูรถข้างคนขับ ทว่าหญิงสาวเห็นอะไรบางอย่างใต้ท้องรถเสียก่อนจึงย่อตัวมอง
“ปุย ทำไมไปอยู่ในนั้นล่ะ”
เจ้าของรถยืนงงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะย่อตัวนั่งยองๆ บ้างและเห็นว่าลลิภัทรคุยกับแมวจ้ำม่ำที่นอนพิงล้อรถของเขาอยู่
นี่ถ้าเธอไม่ตาดี เขาต้องได้ฆาตกรรมแมวแน่ๆ
“ออกมาเร็วปุย” เธอตบมือเรียกมันสองสามที เจ้าแมวสามสีลุกขึ้นและเดินอืดอาดออกมาจากใต้ท้องรถ เข้าไปคลอเคลียที่ข้อเท้าของคนเรียกอย่างสนิทสนม
“แมวคุณเหรอครับ” ศรายะเคยเห็นมันเดินแถวๆ นี้ แต่ไม่ได้สนใจสักครั้ง
“แมวจรน่ะค่ะ มาอยู่นี่ได้เดือนกว่าๆ แล้ว ลิสให้อาหารมันข้างนอก มันจะได้ไม่เข้าร้าน”
“ชื่อปุยนี่ตั้งเองเหรอ”
“ค่ะ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เห็นขนมันปุยๆ เลยเรียกปุย”
พอมันไม่อยู่ในที่สุ่มเสี่ยงแล้ว เธอถึงค่อยขึ้นรถ ศรายะมองเจ้าปุยที่เดินเอื่อยๆ ไปหาที่นอนพิงใหม่ ดูน่ารักและน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าตัวผู้หรือตัวเมีย ทำไมมันไม่สนใจเขาเลย
ชายหนุ่มเดินอ้อมไปนั่งตำแหน่งสารถี แต่ก่อนจะออกรถเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเข้าแอปพลิเคชันไลน์และส่งข้อความหาคนที่ยังนั่งอยู่ในร้าน
‘Thank you, my queen.’
ลลิภัทรเลือกร้านข้าวมันไก่ที่ใกล้ที่สุดและจอดเทียบบาทวิถีหน้าร้านได้เพื่อให้สะดวกแก่คนที่อาสามาส่ง เธอรีบลงจากรถไปสั่งข้าวสี่กล่อง คิดว่าเขาจะนั่งอยู่ในรถเพราะข้างนอกแดดร้อนมาก ทว่าเขากลับลงมาประกบ ประหนึ่งเธอเป็นนักโทษที่ต้องคุมตัวไปทุกที่
“เอาอะไรไหมคะ” เธอถาม ไม่รู้ว่าเขานิยมข้าวมันไก่ธรรมดาๆ แบบนี้ไหม
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมออกไปกินกลางวันพร้อมคุณแม่”
“ค่ะ จริงๆ คุณนั่งรอในรถก็ได้นะคะ แดดร้อน”
ศรายะก็รู้สึกร้อน แต่การนั่งรอในรถเย็นๆ และปล่อยให้ผู้หญิงยืนในร้านข้าวมันไก่ที่แสนอบอ้าวดูไม่ใช่ทางเลือกที่น่าประทับใจนัก
“ครับ แดดร้อน ถ้าผมเป็นคุณผมจะสั่งดิลิเวอรี”
“ไปเองดีกว่าค่ะ เร็วกว่า เพราะลิสเลือกร้านที่คนไม่เยอะ”
หากสั่งดิลิเวอรีก็ไม่รู้ว่าร้านไหนคนเยอะหรือน้อยในเวลานี้ เธอกลัวว่าจะรอนานเกินไป ออร์เดอร์ผิดก็มีบ้าง เพื่อความมั่นใจจึงออกมาซื้อเองทุกวันทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น
แต่วันนี้ลูกค้าที่คาเฟ่เยอะ ลลิภัทรว่าจะซื้อมื้อเย็นไปเลยจึงกวาดตามองหาร้านใกล้เคียง แล้วสายตาก็สะดุดกับร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้าม
“คุณศรา เดี๋ยวลิสจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้ามนะคะ ถ้าร้อนคุณรอในรถเถอะ เหงื่อไหลหมดแล้ว” เธอมองเขาอย่างเป็นห่วงเพราะเห็นเหงื่อที่ซึมบนใบหน้า ก่อนจะหยิบทิชชูมาส่งให้ ทว่าอีกฝ่ายไม่รับไป
“จริงเหรอครับ มองไม่เห็นเลย”
เหงื่ออยู่ที่ขมับ จะไปเห็นได้ยังไง
ลลิภัทรตอบในใจ มือเรียวบางยื่นทิชชูค้างไว้อย่างลังเล แล้วก็ได้รับคำอนุญาตจากคนที่ไม่คิดอะไรมาก
“เช็ดให้ผมได้นะครับ ไม่ว่า”
จริงๆ แล้วคนปกติเขาก็เช็ดเหงื่อ ทั้งที่ไม่เห็นกันทั้งนั้น อย่างน้อยต้องรู้สึกได้ว่ามี หรือว่าศรายะจะอยู่แต่ในแอร์เย็นๆ จนไม่รู้จักวิธีเช็ดเหงื่อ
ซึ่งก็ไม่น่าใช่
ถึงจะสงสัย แต่เธอก็ซับเหงื่อให้เขาโดยไม่พูดอะไร รู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาแปลกๆ สายตาพริบพราวทำให้เธอหน้าร้อนจนเหงื่อเริ่มซึมบ้างเหมือนกัน
เมื่อทิ้งทิชชูลงถังขยะใบเล็กใต้โต๊ะแล้ว หญิงสาวก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ข้าวมันไก่สี่กล่องเสร็จพอดี ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปที่รถและเปิดประตูให้เธออีกครั้ง
“คุณรอข้างใน ผมจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้เอง สั่งมาได้เลย”
“ไม่ต้องค่ะ ลิสไปเอง” ลลิภัทรปฏิเสธด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงบริการเธอหลายอย่าง แค่เค้กชิ้นเดียวกลับตอบแทนเหมือนได้ฟรีไปสิบชิ้น
“ผมไปเองครับ ผมชอบให้เหงื่อออกเยอะๆ”
แปลกคน...
หญิงสาวยืนมองเขาด้วยสายตาประหลาด เมื่อเธอไม่ยอมปริปากสักที ศรายะจึงหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดสี่ห้าครั้งและยื่นให้
แอดไลน์...
เธองงหนักกว่าเดิม
“คิดออกแล้วไลน์มาก็ได้ครับ ออร์เดอร์จะได้ไม่ผิด” เขาปั้นหน้าจริงจัง ลลิภัทรเห็นแบบนั้นจึงไม่ปฏิเสธอีก ที่จริงมีคอนแทกต์เอาไว้ก็ดี เผื่อเขาอยากสั่งเครื่องดื่มร้านเธอล่วงหน้าก่อนมาถึง ลูกค้าประจำบางคนทำแบบนี้
เธอแอดไลน์ตัวเองเสร็จสรรพและถือโอกาสพิมพ์เมนูลงในโทรศัพท์ของเขาไปเลย ระหว่างนั้นก็ถามเพื่อความแน่ใจ
“ให้ลิสไปด้วยดีไหมคะ”
“คุณเฝ้ารถให้ผมดีกว่า ร้านนั้นดูร้อนกว่าร้านนี้” ศรายะเดาเอาเองว่าร้านก๋วยเตี๋ยวก็ต้องร้อนกว่าเพราะมีหม้อซุปหลายหม้อ ด้านในร้านดูแคบกว่าอีกด้วย
ลลิภัทรไม่ท้วงอะไรอีก เธอยื่นโทรศัพท์คืนเขาและเข้าไปนั่งในรถ เจ้าของรถเร่งแอร์ให้เย็นฉ่ำก่อนข้ามถนนไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ เธอจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น แทบไม่ละสายตาไปไหน ราวๆ สิบนาทีต่อมาเขาก็ข้ามถนนกลับมาพร้อมก๋วยเตี๋ยวสี่ถุงที่เธอสั่ง
หญิงสาวกวาดตามองทั่วรถก่อนจะเจอกล่องทิชชูเบาะหลัง เธอหยิบมาเตรียมไว้ พอเขาเปิดประตูรถเข้ามานั่งก็เอามันไปแลกกับก๋วยเตี๋ยว
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เช็ดให้แล้วเหรอครับ” ศรายะถามด้วยความหวังว่าจะยังได้รับความใจดีแบบเมื่อครู่
ทว่าเธอเพียงแค่ยิ้มตอบ หญิงสาวเอื้อมไปดึงที่บังแดดลงมา เปิดฝาพับกระจกขึ้น คราวนี้เขาจะได้เห็นเหงื่อตัวเองสักที
ชายหนุ่มจำต้องรับทิชชูมาซับเหงื่อตัวเองด้วยสีหน้าเซ็งเล็กน้อย
“ทั้งหมดเท่าไรคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเลี้ยง”
“คุณศรา เค้กก้อนเดียวมันต้องขนาดนี้เลยเหรอคะ” เธอส่งสายตาขำขันเล็กน้อยให้ ก่อนที่ดวงตาคมจะตรึงสายตาเธอเอาไว้
“ความจริงไม่ได้ตอบแทนค่าเค้กหรอก กำลังซื้อใจอยู่”
“คะ?”
“ผมจีบคุณได้หรือเปล่า”
ราวกับร่างถูกแช่แข็งชั่วขณะ ลลิภัทรตาค้าง หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างคนตกใจ สีหน้าและแววตาของเขาแสดงออกว่ากำลังรอคอยคำตอบ มิหนำซ้ำยังมีความประหวั่นปรากฏออกมาให้เห็น
“ทำไมล่ะคะ” เสียงของเธอสั่นน้อยๆ “คุณ...ชอบลิสตรงไหนเหรอ”
ศรายะเงียบ เขาต้องใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดในหัวสักพักให้ออกมาดีที่สุด ชายหนุ่มย้ายสายตาไปมองถนนเบื้องหน้า เพราะถ้าสบตาคนข้างๆ ต่อ เขาคงคิดอะไรไม่ออก พูดอะไรไม่ถูก
ลลิภัทรรอฟัง เสี้ยวหนึ่งของความคิดเธอกำลังนึกถึงช่วงเวลาที่มีเขา...ความแปลกใหม่ในชีวิตประจำวันเดิมๆ เขาเป็นลูกค้าประจำที่ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเจอลูกค้าใหม่ทุกครั้ง
สำหรับเธอมันอาจเป็นมิตรภาพ แต่ถ้าเขาคิดมากกว่านั้นถึงขั้นขอจีบ...ก็คงต้องคิดหนักหน่อย
“ผม...ก็ไม่รู้ว่าผมชอบคุณตรงไหน” เขาทำหน้าเหน็ดเหนื่อยหลังจากคิดอยู่นาน แต่กลับอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ “แต่ผมอยากเห็นหน้าคุณทุกวันเลย”
จนถึงตอนนี้หัวใจของเธอก็เต้นรัวไม่หยุด เหมือนจะเต้นแรงขึ้นด้วยซ้ำ
ทว่าเธอเลือกที่จะตัดความหวังของอีกฝ่าย
“ไม่อนุญาตให้จีบค่ะ”
“หา?”
“คุณไปคิดมาให้ดีก่อนแล้วกลับมาตอบใหม่”
ความมั่นใจของศรายะตกฮวบ จู่ๆ ผู้หญิงที่กำลังคุยด้วยก็ดูน่ากลัวขึ้นมา เธอไม่ได้กรรโชกโฮกฮากใส่ แค่เสียงราบเรียบกว่าปกติ แววตาไร้ซึ่งความเมตตาปรานีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งที่อยากจีบเธอ
“ออกรถได้แล้วค่ะ”
สุดท้ายวันนี้เขาก็ต้องถอยทัพก่อน
ความคิดเห็น |
---|